แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - rain....

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 41
1
[size=14pt] :43: :43: เพลงรักเธอทั้งหมดของหัวใจ  :43: :43::
I MISS U :รักเธอทั้งหมดของหัวใจ(Official MV)
คนที่อยู่ใกล้ที่สุดคือคนที่อยู่ห่างไกลที่สุด?    
ทว่าชีวิตคนเรานั้นไม่เที่ยง
เราไม่สามารถกำหนดหรือรู้ได้ว่าจะมีใครจากเราไปเมื่อไหร่
ถึงวันนั้นจะส่งกระแสจิตไปบอกรักหรือทำดีกับเขาเท่าไหร่ เขาก็ไม่รับรู้ได้

รักเธอทั้งหมดของหัวใจ

รักเธอทั้งหมดของหัวใจ
คำๆ นี้ ที่หลายคนอยากพูดในวันที่สายเกินไป

เคยได้ยินไหม "คนที่อยู่ใกล้ที่สุด คือคนที่อยู่ห่างไกลที่สุด"
เพราะเราละเลยความสำคัญและชะล่าใจเกินไป

บางคนอยู่บ้านเดียวกับครอบครัว แต่ได้คุยกันแค่วันละ 2 ช่วงเวลา
ในตอนเช้าขณะเพิ่งเห็นหน้ากันคือ

"วันนี้งานเยอะ ต้องรีบไปก่อนนะ"
และในตอนเย็นหรือค่ำขณะเพิ่งเปิดประตูเข้าบ้านมาคือ
"วันนี้งานเยอะ เหนื่อยมากเลย ขอไปนอนก่อนนะ"

กว่าจะได้คุยกันจริงๆ จังๆ สักทีก็ต่อเมื่อเขาคนนั้นไม่สบาย
และตั้งนานนมเพิ่งจะหาเวลามาดูแลเขาได้ก็วันนี้
และก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า

แม่เราก็แก่ไปเยอะนะ เราไม่ได้มองหน้าแม่จนลืมไปแล้วหรือเปล่า
หรือดูเหมือนว่าแฟนเราจะมีตีนกาเพิ่มขึ้นนะ
เพราะเราไม่มีเวลาให้ เธอจึงเครียดเพราะต้องแก้ปัญหาคนเดียวหรือเปล่า
หรือลูกฉันฟันหลุดไป 2 ซี่แล้วเหรอ ทำไมไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย ฯลฯ

เหล่านี้เป็นเพราะเราคิดว่าต้องทำอย่างอื่นก่อนใช่ไหม มีสิ่งอื่นสำคัญกว่า…
งานมันเยอะน่ะ พ่อแม่ครอบครัวก็รัก แต่เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ เห็นๆ หน้ากันอยู่
ไม่เป็นไร เมื่อกี๊ก็เพิ่งโทร.ไปหา ไว้วันหลังจะ..ฯลฯ

ทว่าชีวิตคนเรานั้นไม่เที่ยง
และเราไม่สามารถกำหนดหรือรู้ได้ว่าจะมีใครจากเราไปเมื่อไหร่
ถึงวันนั้นจะส่งกระแสจิตไปบอกรักหรือทำดีกับเขาเท่าไหร่ เขาก็ไม่รับรู้ได้
และคนที่เสียใจมากที่สุดคือตัวเราเอง

อย่าให้ต้องเป็นแบบนั้นเลย คิดเสียว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว
คุณมีอะไรให้นึกถึง และคุณทิ้งอะไรไว้ให้ใครนึกถึงบ้าง
คุณเต็มที่กับทุกชั่วเวลานาที และได้ปฏิบัติกับคนที่คุณรัก
อย่างที่จะไม่เสียใจแล้วเมื่อต้องจากกัน

แล้วคุณจะไม่เศร้า เมื่อได้ฟังเพลงนี้อีกครั้ง

...บันทึกรอยทางของแปลง...
*บ้านใส่ใจขอขอบคุณคุณแปลง ที่เขียนเรื่องราวดีๆและแบ่งมาให้เราได้อ่านกัน*
 [/size]

 :13: :13: :13: :13:
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก  http://www.carefor.org/content/view/1610/156/

2
บทความ (Blog) / มุมมองชีวิตกับการทำงาน
« เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2012, 05:18:22 pm »
:03: :03:มุมมองชีวิตกับการทำงาน     :03: :03:

1. จงพิจารณาความเป็นไปได้ที่ว่า
การชอบทำงานเกินเวลาจนเป็นนิสัยของคุณนั้นแสดง
ถึงว่าคุณต้องการสำนักงานมากกว่าที่สำนักงานต้องการคุณ

2. อย่าทำงานเกินเวลาจนติดเป็นนิสัย
เมื่อมันกลายเป็นนิสัยจะทำให้มันหมดคุณค่า

3. ปล่อยตัวตามสบายได้ แต่อย่าให้ถึงกับดูโทรมนัก

4. จงทำตัวให้ร่าเริง คอยช่วยเหลือ และทำหน้าที่ให้ดีในการทำงานของคุณ
คุณจะพบว่าไม่มีใครมาแข่งขันกับคุณ

5. อย่าได้ไว้เนื้อเชื่อใจว่าความสามารถ ความมีเสน่ห์ และจินตนาการ
จะนำพาคุณขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดได้
คุณควรจะมีผมสีเทาและพุงป่องกลางอีกหน่อยด้วย

6. อย่าได้เป็นกังวลในเรื่องการปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ในสำนักงาน
แต่เป็นกังวลกับการปล่อยให้ชีวิตของคุณเปล่าประโยชน์จะดีกว่า

7. อย่าโทษคอมพิวเตอร์สำหรับความผิดพลาดที่คุณทำขึ้นเอง

8. ลองคิดถึงเวลาที่คุณไม่มีเงินเดือนดูบ้าง

9. จงถือว่าสุขภาพคือทรัพย์สมบัติประการแรก

10. อย่าได้ก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่เคยสังเกตเห็นนก ต้นไม้ ดอกไม้และปุยเมฆ

11. ในเวลาอาหารกลางวัน จงเลือกรับประทานอย่าง?ลาด
แต่ในบางครั้งจงรับประทานให้เต็มที่

12. เมื่อใดที่สำนักงานทำให้คุณรู้สึกเศร้าสร้อย
จงนึกเสียว่านี่เป็นเกมกีฬาสำหรับคนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่
และอย่าได้นำมันกลับไปบ้านด้วย

13. จำไว้ว่า ยังมีอะไร ๆ
อีกมากในการทำงานและในชีวิตมากกว่าทำงานเพื่อให้มีชีวิตอยู่หรือมีชีวิตอยู่เพื่อจะทำงาน

14. อย่าทำเป็นคนตรงต่อเวลา ไปถึงก่อนเวลาจะดีกว่า

15. อย่าได้หลอกตัวเองว่าการมีสิ่งของรกอยู่บนโต๊ะหมายถึงการมีงานมาก
มันเพียงแต่หมายความว่าคุณยังไม่ได้ทำมันนั่นเอง

16. จัดเก็บโต็ะของคุณให้เรียบร้อย
บุคคลส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จจะมีโต๊ะทำงานที่ว่างโล่ง

17. อย่าเป็นกังวลมากจนเกินไปว่าเพื่อนร่วมงานคิดอย่างไรกับคุณ
เพราะส่วนใหญ่ในชีวิตของพวกเขา ไม่ได้คิดถึงคุณเลย

18. จงร่ำรวยเงินสด

19. จงหาเวลาแทนที่จะรอให้มีเวลา

20. จงยิ้มไว้เสมอ

--------------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณคุณ "ekkapoom" มากครับที่ส่งเรื่องดีๆมาให้เราได้อ่านกัน

 :13: :13: :13: :13:
ขอคุณบทความดีๆจาก  บ้านใส่ใจ
http://www.carefor.org/content/view/145/151/

3
:33: :33:รักษาความดี...ดุจเกลือรักษาความเค็ม  :33: :33:   

ความดีเป็นสิ่งที่ต้องสั่งสม จึงจะเกิดคุณค่าแก่ตนเองและผู้อื่น

กว่าที่จะสร้างความดีหรือความสำเร็จในชีวิตได้นั้น
ต้องใช้เวลานาน บางครั้งอาจใช้เวลาเกือบชั่วชีวิต

หากไม่รู้จักเก็บรักษาความดีหรือความสำเร็จนั้นไว้
ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสูญสิ้น
และไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้

....................

จงรักษาความดีของตนเองไว้ยิ่งชีวิต
ให้เหมือนดังเช่นเกลือที่รักษาความเค็ม

อย่าปล่อยตนให้ตกต่ำถอยหลัง

อย่าเห็นแก่เงินทองหรือสินจ้างรางวัลมากกว่าชื่อเสียงเกียรติยศของตนเอง

อย่าประมาทในการใช้ชีวิต หรือหลงผิดไปในห้วงเหวแห่งอบายมุขทั้งปวง

.............................

การรักษาความดีและชื่อเสียงของตนเองเป็นเรื่องยาก
และต้องใช้เวลา...........

................................

แต่การทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม
หรือทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องแม้เพียงเล็กน้อยนั้น
เป็นเรื่องง่ายเหมือนดังการไหลของน้ำ
เพราะธรรมชาติของน้ำ มักไหลสู่ที่ต่ำเสมอ

นอกจากนั้นยังจะทำลายความดีที่มีอยู่เสียหมดสิ้นในพริบตา

ดังนั้นจงเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า

"ทำความดีตลอดชาติไม่เพียงพอ
ทำความชั่วเพียงวันเดียวก็เหลือหลาย

จงรักษาความดีที่มีอยู่ ........
หยุดทำในสิ่งไม่ดี ... เสียตั้งแต่วันนี้"

----------------------------------
จาก คู่มือสู้ชีวิตด้วยตนเอง ชุดที่ 4 ความสำเร็จ...เพียงแค่เอื้อม
รวบรวมเรียบเรียงโดย เบญญาวัธน์

 :13: :13: :13: :13:
ขอบคุณบทความดีๆจาก
http://www.carefor.org/content/view/1177/151/

4
:19: :19:จงเป็นฝ่ายเริ่มต้น...ที่จะรักและให้อภัย  :19: :19:   

เรามักคอยให้คนอื่นมาง้อหรือขอโทษเรา โดยเชื่อว่านี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้เราให้อภัย หรือคงสัมพันธภาพกับครอบครัวและญาติมิตรต่อไปได้

 

จงเป็นคนแรกที่แสดงความรักหรือเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน

พวกเราส่วนมากมักเก็บความไม่พอใจหรือความโกรธแค้นในเรื่องเล็กๆน้อยๆ
อันเกิดขึ้นจากการโต้เถียงกัน ความเข้าใจผิด การถูกเสียดสีนินทา
หรือเหตุการณ์เลวร้ายอื่นๆไว้ด้วยทิฐิ

เรามักคอยให้คนอื่นมาง้อหรือขอโทษเรา
โดยเชื่อว่านี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้เราให้อภัย
หรือคงสัมพันธภาพกับครอบครัวและญาติมิตรต่อไปได้

..................................................

เพื่อนสนิทของผมซึ่งมีสุขภาพไม่ดีนักเล่าให้ผมฟังเมื่อเร็วๆนี้ว่า
เธอไม่ได้พูดกับลูกชายมาสามปีแล้ว
เมื่อผมถามว่าทำไม
เธอตอบว่าเป็นเพราะเธอกับลูกขัดแย้งกันในเรื่องเกี่ยวกับภรรยาของเขา
และเธอจะไม่พูดกับเขาจนกว่าเขาจะมาขอโทษเธอก่อน

เมื่อผมแนะนำว่าเธอควรเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน
เธอก็ยังยืนยันความคิดเดิมและบอกเพียงว่า
"ฉันทำเช่นนั้นไม่ได้โดยเด็ดขาด ลูกควรเป็นคนมาขอโทษฉัน"
เธอยอมตายเสียดีกว่าที่จะเป็นฝ่ายลดตัวไปง้อลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ

อย่างไรก็ดี หลังจากได้ฟังคำแนะนำอย่างสุภาพของผมต่อไปอีกสักครู่
เธอก็ตัดสินใจยอมเป็นฝ่ายเริ่มต้น
และเธอก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่า
ลูกชายรู้สึกดีใจมากที่เธอโทรศัพท์ไปหา
และได้กล่าวขออภัยจากเธอด้วยตนเอง

ดังเช่นกรณีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเสมอ
เมื่อมีใครสักคนยอมลดทิฐิลงและเป็นฝ่ายเริ่มต้น
ทุกคนย่อมเป็นฝ่ายชนะ

เมื่อใดก็ตามที่เรายอมให้ความโกรธเข้าครอบงำ
เราได้เปลี่ยนเรื่องเล็กน้อยให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในใจของเราเองอย่างแท้จริง
และทำให้คิดว่าเรื่องของศักดิ์ศรีสำคัญยิ่งกว่าความสุข

ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากต้องการเป็นคนเยือกเย็นยิ่งขึ้น
ท่านต้องเข้าใจว่าการเป็นฝ่ายถูกเกือบจะไม่สำคัญไปกว่า
การปล่อยให้ตัวเองมีความสุขสงบอย่างแท้จริงในจิตใจ

และวิธีที่จะทำให้มีความสุขได้ก็คือ
ปล่อยให้เรื่องไร้สาระผ่านเลยไปและยอมเป็นฝ่ายเริ่มต้น
ลองปล่อยให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายถูกเสียบ้าง

นี่ไม่ได้หมายความว่าท่านเป็นฝ่ายผิด
แต่ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
และท่านจะได้รับประสบการณ์ความสงบสุข
อันเกิดจากการปล่อยให้สิ่งจุกจิกกวนใจผ่านเลยไป
เช่นเดียวกับการปล่อยให้คนอื่นเป็นฝ่ายถูกเสียบ้าง

ท่านยังจะได้สังเกตเห็นอีกว่า
คนอื่นจะลดปฏิกิริยาต่อต้านลงและยอมรับท่านมากขึ้น
หรือแม้แต่ยอมเป็นฝ่ายงอนง้อท่านก่อน

แต่ในบางกรณีหากพวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นไร
เพราะท่านยังคงเกิดความพอใจที่ได้ทำหน้าที่ส่วนของท่าน
ในการเสริมสร้างโลกให้มีความรักและการให้อภัยต่อกันยิ่งขึ้น
และในเวลาเดียวกันตัวท่านเองจะรู้สึกสุขสงบมากยิ่งขึ้น

________________________________________
จาก Don't sweat the small stuff… and it's all small stuff 100
( ข้อคิดเพื่อชีวิตสุขสงบ) RICHARD CARLSON, PH.D. เขียน
ผศ. ดร. ปริญญ์ ปราชญานุพร แปลและเรียบเรียง


ขอขอบคุณบทความดีๆจาก
http://www.carefor.org/content/view/873/153/

7
  “ยาตีกัน” หมายถึงการที่ฤทธิ์ของยาตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเมื่อได้รับยาอีกตัว หนึ่งร่วมด้วย โดยผลที่เกิดขึ้นอาจก่อให้เกิดผลการรักษาที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ตั้งใจ หรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์ หรืออาจทำให้ผลการรักษาลดลงก็ได้ หรือบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ยาตีกันจะเกิดผลมากน้อยขึ้นกับสภาวะของผู้ป่วย ระยะเวลาที่ใช้ยาร่วมกัน และขนาดยาที่ใช้ด้วย

สาเหตุของยาตีกัน มาจากอะไร

– อาจมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ป่วย หรือ การได้รับยาจากสถานพยาบาลหลายแห่ง แพทย์ หรือเภสัชกรคนละคน โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรังซึ่งต้องรักษาต่อเนื่องและกินยาหลายขนาน เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มักได้รับยามาจากสถานพยาบาลหลายแห่ง โดยแต่ละแห่งไม่ทราบข้อมูลว่าผู้ป่วยรับประทานยาอะไรอยู่บ้างเป็นประจำ
– หรืออาจมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวผู้ป่วยเอง เช่น การที่ผู้ป่วยไปหาซื้อยา อาหารเสริม หรือแม้แต่สมุนไพรมารับประทานเอง นอกจากเกิดปัญหาการได้รับยาซ้ำซ้อนแล้ว ยังอาจเกิด “ยาตีกัน” ได้

ยาตีกัน ที่พบได้บ่อย และเป็นอันตรายมีอะไรบ้าง

        – ยาปฏิชีวนะบางชนิดจะตีกันกับยาที่ผู้ป่วยได้รับอยู่แล้ว เช่น ยาลดไขมัน ยาหัวใจ ยาขยายหลอดลม เป็นต้น ทำให้ระดับยาในเลือดของยาเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น ในผู้ป่วยบางคนอาจเป็นอันตรายได้
– ผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ต้องระมัดระวังในการซื้อยาหรืออาหารเสริมมารับประทานร่วมด้วย เพราะอาจเกิดปฏิกิริยากัน ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติและอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้
– การรับประทานยาฆ่าเชื้อบางกลุ่ม ร่วมกับยาลดกรด หรือแคลเซียม เหล็ก วิตามินบางชนิด จะทำให้การดูดซึมของยาฆ่าเชื้อลดลงกว่าครึ่ง ผลการฆ่าเชื้อก็ลดลงด้วย
– ยาตีกับอาหารเสริม หรือสมุนไพรบางชนิด นอกจากยาตีกันเองแล้ว อาหารเสริมที่ไม่ได้จัดเป็นยาหรือสมุนไพรบางชนิดก็สามารถ “ตีกับยา” ได้ เช่น น้ำผลไม้บางชนิด กระเทียม หรือแป๊ะก๊วย อาจเพิ่มฤทธิ์ของยาที่ต้านการเกาะกันของเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน หรือยาที่ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin ได้

พฤติกรรมการรับประทานอาหาร มีฤทธิ์ตีกับยาหรือไม่

– พฤติกรรมของผู้ป่วย ในเรื่องการรับประทานอาหาร การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า ล้วนมีผลต่อการออกฤทธิ์ของยาทั้งสิ้น การสูบบุหรี่จะทำให้ยาทั้งหลายออกฤทธิ์ลดลง ผู้ป่วยที่สูบบุหรี่ส่วนใหญ่ต้องการขนาดยาที่จะได้ผลการรักษาที่สูงกว่าคน อื่นทั่วไป เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์จะทำให้ผลการรักษาของยาเปลี่ยนแปลงไป
– ยาบางอย่าง เช่น ยาเบาหวาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือเกิดอาการที่เรียกว่า disulfiram-like effect
– น้ำผลไม้บางชนิดโดยเฉพาะน้ำเกรฟฟรุต (ขนาด 250 ซีซี) จะทำให้ระดับยาในเลือดของยาที่รับประทานร่วมด้วยสูงขึ้น เช่น ยาลดไขมัน ยากดระบบประสาท เป็นต้น
– อาหารเสริม หรือสมุนไพรบางชนิด นอกจากยาตีกันเองแล้ว อาหารเสริมที่ไม่ได้จัดเป็นยาหรือสมุนไพรบางชนิดก็สามารถ “ตีกับยา” ได้ เช่น น้ำผลไม้บางชนิด กระเทียม หรือแป๊ะก๊วย อาจเพิ่มฤทธิ์ของยาที่เพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้

ทางสภาเภสัชกรรมร่วมกับองค์กรเครือข่ายวิชาชีพเภสัชกรรม ได้จัดทำ “สมุดบันทึกยา” ขึ้น เพื่อบันทึกประวัติการใช้ยาประจำตัวผู้ป่วย ใช้เป็นเครื่องมือของเภสัชกรในภาคส่วน ต่าง ๆ ทั้งในโรงพยาบาลและร้านยาที่จะได้ร่วมกันดูแลความปลอดภัยในการใช้ยาของ ประชาชน

        “สมุดบันทึกยา” นี้จะมีข้อมูลรายการยาที่ผู้ป่วยใช้ ไม่ว่าจะได้จากสถานพยาบาลใด ซึ่งจะช่วยให้ตรวจสอบ ดูแล ปัญหาการใช้ยาของผู้ป่วย ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการรักษา ช่วยให้แพทย์หรือเภสัชกรไม่จ่ายยาที่ซ้ำซ้อนกับยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่ หรือเลือกจ่ายยาที่ไม่ “ตี” กับยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่ เป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการใช้ยา ในสมุดบันทึกยานอกจากจะมีรายการยาทั้งหมดที่ผู้ป่วยได้รับแล้ว ยังมีการบันทึกรายละเอียดที่สำคัญของผู้ป่วยไว้ ทั้งประวัติการแพ้ยา อาการข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

         ควรดูแลบันทึกการใช้ยาของตนเองด้วยเพื่อความปลอดภัย รวมถึงการบันทึกรายการยา สมุนไพร อาหารเสริม ที่ประชาชนหาซื้อมาใช้เองเพิ่มเติม เพื่อให้มีบันทึกยาที่สมบูรณ์ ที่จะเป็นเครื่องมือในการป้องกันอันตรายจากยาและช่วยให้เกิดความปลอดภัยใน การใช้ยาอย่างแท้จริง

ขอบคุณ>>>>http://www.janjawka.com/

8
  ใครที่ไม่อยากเป็นมะเร็ง สารอาหารที่เซลล์มะเร็งต้องการมีอะไรบ้าง  …

1. น้ำตาล เช่น น้ำตาลทรายขาว โดยใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง แต่ต้องใช้ในปริมาณที่น้อยมาก เกลือ มีสารจำเป็นที่เซลล์มะเร็งนำไปใช้ ควรงด หรือในปริมาณน้อย

2. นม ควรดื่ม นำนมถั่วเหลืองทดแทน

3. เซลล์มะเร็ง เจริญเติบโตในสภาพที่เป็นกรด การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพเป็นกรด ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าหมู เนื้อ และเนื้อสัตว์ มีแบคทีเรีย ใช้โฮโมนในการเจริญเติบโตปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นมะเร็ง

4. 80% ของผักและนำผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืช จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว น้ำผักและผลไม้สด จะให้เอนไซม์ที่ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน

5. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ช็อกโกแลต ที่มีคาเฟอีนที่สูง เป็นดื่มชาเขียวที่มี สารต้านมะเร็ง
ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำกรองดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปา และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มีสภาพเป็นกรด

6. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก และเนื้อที่ย่อยไม่หมด จะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง

7. เซลล์มะเร็ง มีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น

8. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น วิตามินอี วิตามินซี

9. เซลล์มะเร็ง เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การควบคุมอารมณ์ และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อารมณ์โกรธ หรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย ควรเรียนรู้ที่จะรัก และให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชีวิต

10. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้ การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึกลึก จะช่วยเพิ่มระดับ ออกซิเจนในเซลล์ การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็ง หันมาดูแลรักษาสุขภาพกันดีกว่า.

9
  แพทย์แผนไทยแนะอาหารรับมือหนาว (ไอเอ็นเอ็น)

อธิบดีกรมแพทย์แผนไทย แนะการรับประทานอาหาร และออกกำลังกาย รับหน้าหนาว ให้สุขภาพแข็งแรง

น.พ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะการดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาว ว่า ทฤษฎีการแพทย์แผนจีน ระบุว่า ช่วงฤดูหนาว คนจะเจ็บป่วยง่าย โดยการแพทย์แผนจีน ได้ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลของร่างกายให้มีการเปลี่ยนแปลงคล้อยตาม ธรรมชาติจะช่วยให้มีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง

ซึ่งการดูแลสุขภาพหน้าหนาวเบื้องต้น คือ ควรดื่มน้ำ 3 แก้ว

แก้วแรกช่วงเช้า เวลา 05.00 น. – 07.00 น. จะช่วยการขับถ่าย

แก้วที่ 2 ดื่มเวลา 15.00 น. – 17.00 น. จะช่วยล้างกระเพาะปัสสาวะ

แก้วที่ 3 ดื่มก่อนนอน 1 ชั่วโมง ช่วยการนอนหลับ

ให้ปรับอารมณ์จิตใจให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน เนื่องจากฤดูหนาว ควรรักษาพลังหยินของไต เดินรับแสงอาทิตย์ และหายใจให้ลึก ๆ เวลาที่เหมาะสม คือเวลาช่วง 14.00 น. – 15.00 น. ควรเดินออกกำลังกาย ควรรับประทานเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ กุ้ง ควรรับประทานผัก ประเภท ถั่วเหลือง กระเทียม หอมใหญ่ กุยช่าย คะน้า เมล็ดสน หัวไช้เท้า ควรรับประทานผลไม้ เช่น เกาลัด ส้มเขียวหวาน ส้มโอ น้ำนม หรืออาหารที่ควรรับประทาน เช่น โจ๊กงาดำ โจ๊กกระดูกสันหลังหมู ตังถั่งเช่า (ตุ๋นเป็ด) น้ำพุทรา เป็นต้น

 :13: :13: :13: :13:

10


หลาย ท่านคงเคยเห็นดอกไม้ดอกหนึ่ง…ที่มีสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ มีกลีบบางเบาชวนน่าสัมผัส มันเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ได้ดอมดมแล้วชวนชื่นใจดีจริง ๆ และดอกไม้ ที่เราพูดถึงนั้น จะเป็นดอกไหนไปไม่ได้เลยนอกเสียจาก “ดอกสเลเต” หรือที่พอจะคุ้น ๆ ชื่อกันหน่อยก็คือ “ดอกมหาหงส์” ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใกล้ ๆ นี่เอง

แล้ว วันนี้เราจะพาคุณ ๆ ผู้รักดอกไม้สวยงามทุกท่านไปทำความรู้จักกับดอกสเลเต และรายละเอียดต่าง ๆ หากผู้ใดสนใจจะปลูก ก็ไม่ยากเลย มาดูกันเลยค่ะ

แต่ ก่อนอื่น ไปรู้ที่มาของชื่อกันก่อนว่า ทำไมถึงมีหลายชื่อ แล้วแต่ละชื่อมีที่มาอย่างไรบ้าง ทั้งนี้คนแต่ละท้องถิ่นจะเรียกแตกต่างกันออกไป โดยภาคกลางเรียก มหาหงส์ หางหงส์ กระทายเหิน ว่านมหาหงส์ ซึ่งที่เรียกว่า มหาหงส์ นั้นก็เพราะรูปทรงของเจ้าดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์นี้เหมือน “มหาหงส์” หงส์เหิน อันเป็นนกในวรรณคดี ตระกูลสูง เสียงไพเราะ เป็นพาหะของพระพรหม โดยเฉพาะยามบานเต็มที่มองคล้ายล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างงามสง่า เพราะถูกชูช่อขึ้นตรงปลายยอดจะมีลักษณะเหมือนหงส์เหินเป็นอย่างมาก

ส่วนทางภาคเหนือนั้น จะเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า ตาห่าน เหินแก้ว เหินคำ ในขณะที่ระยองกับจันทบุรี เรียกว่า เลเป ลันเต และ อีสานเรียก สเลเต ชื่อที่หลายคนฟังแล้วชอบชื่อนี้นัก อีกทั้งผู้บ่าว (ชายหนุ่ม)ไทบ้านอิสานมักจะเปรียบเทียบหญิงคนรักกับดอกสเลเตว่า “โอ้แม่ดอกสเลเต”

ลักษณะทางกายภาพ

ดอกสเลเต เป็นไม้หัวล้มลุก มีเหง้าคล้ายขิง ข่า ลำต้นอยู่ใต้ดิน ส่วนที่โผล่พ้นดินขึ้นมาแท้จริงเป็นก้านใบที่มีความยาวมาก เช่น เดียวกับกล้วยซึ่งมีลำต้น (เหง้า) อยู่ใต้ดิน และชูกาบใบพ้นดินเป็นเหมือนลำต้น กาบในหรือลำต้นเทียมของมหาหงส์อาจสูงได้ถึง 2 เมตร เมื่อสมบูรณ์เต็มที่ มีใบแยกออกสลับตรงข้ามกันเป็นระเบียบในแนวเดียวกัน เป็นใบเดี่ยว เส้นใบขนานกัน

ดอกมีลักษณะเป็นช่อที่ปลายยอด ช่อละ 3-6 ดอก แต่ละดอกมี 3 กลีบ เป็นสีขาวนวลบริสุทธิ์ หรือ เหลืองแซม ออกเป็นช่อตลอดปี แต่เวลาบานไม่บานทั้งช่อ ค่อย ๆ ทยอยกันบาน  เริ่มหอมในเวลาเย็น และชวนดมเสียด้วย จึงมีผู้คนนิยมหามาปลูกกันมาก

การขยายพันธุ์

นิยมแยกหน่อเช่นเดียวกับข่า หรือพุทธรักษา สเลเตชอบพื้นดินชื้นแฉะหรือน้ำขัง แต่ก็อาจปลูกในที่แห้งหรือในกระถางได้เช่นกัน โดยต้องให้น้ำมากเป็นพิเศษ จึงจะออกดอกได้ดี

นอกจากความงดงามและกลิ่นหอมที่ชวนชื่นใจแล้ว ดอก สเลเต ยังมีสรรพคุณทางยามากมาย โดยในตำราแพทย์ไทยบอกเอาไว้ว่า เมื่อเอาเหง้าสเลเตมาหั่นตากแห้งเป็นผงคลุกกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน กินเช้าเย็นก่อนอาหารเพื่อบำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย แก้ปวดแก้อักเสบได้ดีมาก อีกทั้งยังช่วยย่อยอาหารและบรรเทาอาการหอบหืด ลดความดันอีกด้วย

ทั้ง นี้ คนในสมัยก่อนยังนิยมใช้เหง้าสเลเต มาต้มเป็นยากลั้วคอ แก้ต่อมทอนซิลอักเสบได้ด้วย ยังไม่หมดเท่านี้ สเลเตยังใช้เป็นยาภายนอกในการแก้อักเสบ ฟกช้ำดำเขียว โดยจะใช้เหง้าสด ๆ ตำพอกหรือคั้นน้ำทาบริเวณที่มีอาการอักเสบ ช้ำ บวม หรือใช้เหง้าตำทำเป็นยาประคบหลังคลอด

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับเนื้อหาสาระดี ๆ ของดอกสเลเต ที่นำมาฝากกันวันนี้ หวังว่าคุณผู้อ่านทุกท่านคงรู้จักเจ้าดอกไม้สีขาวชวนดมดอกนี้มากขึ้นกว่า เดิม อีกทั้งได้รู้ว่ามันมีประโยชน์มากกว่าที่เรารู้มากเลยเนอะ^^

ขอบคุณมากมาย>>>>http://www.janjawka.com/

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 41