แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - แปดคิว

หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 [12] 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 ... 66
112
ธรรมะเสวนา / กบไฟไหม้
« เมื่อ: มีนาคม 27, 2011, 08:34:20 pm »
 คนที่ไม่มีดี นับว่าเป็นคนที่อาภัพที่สุด ชีวิตต้องกระวนกระวายอยู่ตลอดชาติ วิธีแก้ก็คือ ท่านให้หาดีในตัวเองให้พบ เมื่อพบดีในตัวแล้วจะหายกระวนกระวาย ไฟจะดับทันที

กบตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในสระใกล้กุฏิพระ เช้าตรู่กบได้เห็นพระตื่นจากจำวัด (นอนหลับ) จัดแจงครองผ้าสวดมนต์ภาวนา พอสว่างก็ออกบิณฑบาตได้อาหารมาฉัน เป็นอย่างนี้ทุกๆ วัน เจ้ากบก็เกิดความยินดีในพระ เห็นดีในพระ มาเทียบกับตนแล้ว เห็นว่าตนเองแย่มาก ๆ

วันหนึ่งจะหาอาหารใส่ปากใส่ท้องระงับดับหิวก็ไม่ค่อยจะพอ มิหนำซ้ำยังต้องเป็นอยู่ด้วยความหวาดหวั่นพรั่นหรือกลัวภัยอันตรายตลอดเวลา ภัยอันตรายมีอยู่รอบทิศ ต้องจ้องกระโดหลบภัยอยู่เรื่อทำอย่างไรหนอ ? จึงจะได้เป็นพระเจ้า กบร้อนใจหนักหนา ปรารถนาจะเป็นพระ เห็นความเป็นกบนี้แสนจะเลวร้าย
          ต่อมาพระท่านฉันภัตตาหาร (กินข้าว) อิ่มแล้ว ก็เอาข้าวสุกมาโปรยให้ไก่ เจ้ากบเห็นไก่มีลาภ ได้จิกกินอาหารอย่างสำราญ ก็เปลี่ยนความคิดใหม่ว่า อา ! เป็นพระนี่เห็นจะสู้ไก่ไม่ได้ เพราะกว่าจะได้อาหารมาฉันก็ต้องเดินไกล ต้องออกบิณฑบาตเหนื่อยเหมือนกัน เทียบกันแล้วสู้ไก่ไม่ได้ ไก่อยู่กับที่ ถึงเวลาพระก็เอาข้าวสุกมาโปรยให้กินเอง พระท่านทำหน้าที่ราวกะทาสผู้ซื่อสัตย์ของไก่ทำอย่างไรหนอจะได้เป็นไก่
          ขณะนั้น หมาวัดตัวหนึ่งมาแย่งอาหารกิน ไก่กลัวหมาต้องละอาหารหนีเอาตัวรอด เจ้าหมาผู้มีอำนาจก็ยึดทรัพย์ของไก่เสียเจ้ากบเห็นดังนั้นก็หันไปชื่นชมหมา เห็นไก่ไม่เข้าท่าเลย จึงคิดอยากจะเป็นหมา เห็นหมาดีสารพัด ซื่นชมราวกะหมาเป็นวีรชน

          มีชายคนหนึ่ง เดินเข้ามาในวัด เจ้าหมาก็โดดใส่จะขบกัด ชายคนนั้นถือไม้ติดมือมาก็เลยหวดเจ้าหมาเข้า หมาเจ็บก็เลยวิ่ง่ร้องลั่นหางจุกตูดไป เจ้ากบก็เปลี่ยนใจทันที หมาไม่เห็นจะดี ถูกปราบเสียแล้ว สู้คนไม่ได้ ทำอย่างไรหนอจึงจะได้เป็นคนหนอ ?
          ขณะนั้นชายผู้นั้นมานั่งอยู่ที่ขอบสระ เห็นจะเป็นฤดูร้อนเพราะมีแมลงวันมาตอมกวนชายผู้นั้น ชายผู้นั้นรำคาญลุกหนี แต่บ่นให้กบได้ยินว่า "รำคาญแมลงวันจริงโว๊ย" กบได้ยินดังนั้น ก็นึกอพีโถ่ ! เป็นคนนึกว่าจะวิเศษซักแค่ไหน สู้แมลงวันก็ไม่ได้ อยากจะเป็นแมลงวันอีก
          ขณะนึกเคลิบเคลิ้ม เห็นแมลงวันเป็นเทวดาอยู่นั้น บังเอิญมีแมลงวันเจ้ากรรมตัวหนึ่งบินมาจับแหมะลงตรงปลายจมูกกบพอดีด้วยความเคยชิน เจ้ากบแลบลิ้นเลียแผล็บกินแมลงวันเป็นอาหารพอรู้รสแมลงวันเท่านั้น ความไม่ยินดีอันเป็นดุจไฟเผากบชั่วกาลนานก็พลันดับลงทันที เลยร้องออกมาว่า "เป็นอะไรก็ไม่ดีเหมือนเป็นกูนี่"
          กบเจอดีในตัวเองแล้วก็เลยสงบ เลิกปรารภดิ้นรนจะเป็นโน่นเป็นนี่อีกต่อไป

          เคล็ดในนิยายเรื่องนี้ก็คือ วิธีดับไฟ ไฟคือความอยาก ความอยากที่นอกเหนือวิสัยของตน แบบง่าย ๆ ก็คือพยายามฝึกจิตให้ชื่นชมยินดีกับสมบัติของตัว ภาวะของตัว หัดมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวในแง่ดี

          แม่บ้านหุงข้าวแฉะ ก็คิดว่าดีข้าวนิ่มดี มันหุงกับน้ำ หากเกิดไหม่ขึ้นมาก็นึกว่ามันหุงกับไฟ ถ้าดิบล่ะ ? ก็ดีอีกกินข้าวอิ่มแน่นอิ่มทนดี
          แฟนอ้วน ? อ้วนก็ดี พลานามัยสมบูรณ์ ไม่เจ็บไม่ไข้อายุยืน หัวล้านล่ะ ? ก็ดีเป็นลักษณะของคนเจ้าทรัพย์ ขาเป๋? ก็ดีดูไม่จืด เวลาเดินยังกะหงส์เหิน พอเจอดีเสียแล้วก็หมดเรื่อง สงบสุข ไม่ฟุ้ง ใจสบายอย่างเดียว ทุกสิ่งจะดีหมด จิตใจที่สดชื่นแม้จะอยู่ในร่าง "ลูกหมา" มันก็ร่าเริง หากมันอยู่ในร่างคน ก็มีค่าทวีคูณ

อย่าลืม ! อย่าลืม !
ในที่ไม่สบาย แม้จะอยู่เรือนร่างเทพบุตรเทพธิดา ก็ต้องพล่านไปพล่านมา จนวิมานไม่พอจะดิ้น !
http://www.dhammathai.org/dhammastory/story47.php

113


แผ่นดินไหวคือ ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิต และทรัพย์สินของมนุษย์ได้เป็นบริเวณกว้าง

เชื่อกันว่าทุกประเทศได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ปัจจุบันพบว่ามีความพยายามอย่างมากในหลายประเทศ ซึ่งได้รับอันตรายจากแผ่นดินไหว ศึกษา และทำความเข้าใจถึงกลไกของการเกิดแผ่นดินไหว เพื่อการพยากรณ์แผ่นดินไหว และทำนายเหตุการณ์ว่า จะเกิดขึ้นเมื่อใด? ที่ไหน? ขนาดเท่าใด? แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น ขณะนี้จึงยังไม่มีผู้ใดสามารถ พยากรณ์แผ่นดินไหวได้อย่างถูกต้อง โดยทั่วไปสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเผชิญภัยแผ่นดินไหว คือการเตรียมพร้อมที่ดี แต่ละประเทศควรมีมาตรการในการป้องกัน และบรรเทาภัยแผ่นดินไหวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับธรรมชาติของแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว รอยเลื่อนต่าง ๆ ให้ความรู้ และข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหวต่อประชาชน ให้มีการแบ่งเขตแผ่นดินไหวตามความเหมาะสมของความเสี่ยงภัย

ออกกฎหมายให้อาคารสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ สามารถรับแรงแผ่นดินไหวตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่เสี่ยงภัย มีการวางแผนการจัดการที่ดี หากเกิดความเสียหายร้ายแรงหลังการเกิดแผ่นดินไหว เป็นต้น ในกรณีของประเทศไทย แม้ว่าตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิประเทศ จะอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวต่ำ แต่เพื่อความไม่ประมาท กรมอุตุนิยมวิทยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมมาตรการข้างต้นโดยมีภารกิจในการตรวจวัดแผ่นดินไหวตลอด 24 ชั่วโมง แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศเป็นประจำ ตลอดจนวางแผนจัดตั้งโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหว ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสาธารณชนได้




แผ่นดินไหว เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ เกิดจากการเคลื่อนตัวโดยฉับพลันของเปลือกโลก ส่วนใหญ่ แผ่นดินไหวมักเกิดตรงบริเวณขอบ ของแผ่นเปลือกโลกเป็นแนวแผ่นดินไหวของโลก การเคลื่อนตัวดังกล่าว เกิดขึ้นเนื่องจากชั้นหินหลอมละลาย ที่อยู่ภายใต้เปลือกโลก ได้รับพลังงานความร้อนจากแกนโลก และลอยตัวผลักดันให้เปลือกโลกตอนบนตลอดเวลา ทำให้เปลือกโลกแต่ละชิ้นมีการเคลื่อนที่ในทิศทางต่าง ๆ กันพร้อมกับสะสมพลังงานไว้ภายใน บริเวณขอบของชิ้นเปลือกโลกจึงเป็นส่วนที่ชนกันเสียดสีกัน หรือแยกจากกัน หากบริเวณขอบของชิ้นเปลือกโลกใด ๆ ไม่ผ่านหรืออยู่ใกล้กับประเทศใดประเทศนั้น ก็จะมีความเสี่ยงต่อภัยแผ่นดินไหวสูง เช่น ประเทศญี่ปุ่น ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศอินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น นอกจากนั้นพลังที่สะสมในเปลือกโลก ถูกส่งผ่านไปยังเปลือกโลกพื้นของทวีป ตรงบริเวณรอยร้าวของหินใต้พื้นโลกหรือที่เรียกว่า "รอยเลื่อน" เมื่อระนาบ รอยร้าวที่ประกบกันอยู่ได้รับแรงอัดมาก ๆ ก็จะทำ ให้รอยเลื่อนมีการเคลื่อนตัวอย่างฉับพลันเกิดเป็น แผ่นดินไหวเช่นเดียวกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก tmd.go.th
http://variety.teenee.com/science/33985.html

116
ธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ผู้ที่เข้าใจธรรมะ ก็เป็นผู้เข้าใจตนเอง
เมื่อใดที่เราเห็นธรรมะ  เมื่อใดที่เราเห็นถูก
เมื่อนั้น  เราก็จะมีความปลอดโปร่ง
จะมีแต่ความเป็นอิสระตลอดเวลา
ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ท่านอย่ายึดมั่นในธรรม”
ธรรมะคืออะไร?
คือทุกสิ่ง  ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะ
ความรัก  ความเกลียด  ก็เป็นธรรมะ
ความสุข  ความทุกข์  ก็เป็นธรรมะ
ความชอบ  ความไม่ชอบ  ก็เป็นธรรมะ
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยสักเพียงไหน
สิ่งเหล่านั้น  ก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมะทั้งนั้น

117
การฝึกใจ
ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง
ยิ่งกว่านั้น
มันยังมีเสือกำลังอาละวาดอยู่ในกรงด้วย
ถ้าไม่ได้อะไรตามที่ต้องการแล้ว มันก็อาละวาด
เพราะฉะนั้น  เราต้องอบรมใจ
ด้วยการปฏิบัติภาวนา  ด้วยการเจริญสมาธิ
นี่แหละ  เราเรียกว่า  “การฝึกใจ”
ใจที่ยังไม่ได้ฝึก
มันก็คอยวิ่งไปตามนิสัยความเคยชิน
ใจที่ยังไมได้อบรม  มันก็เต้นไปตามเรื่อง
เต้นไปตามความคะนอง  เพราะยังไม่เคยถูกฝึก
ดังนั้น  จงหมั่นฝึกใจของตัวเองไว้ให้ดี
 

118
กรรมฐาน  ปราบกิเลส
อารมณ์กรรมฐานนี้
สามารถที่จักทำจิตให้บริสุทธิ์ได้
ฉะนั้นท่านจึงให้หาอารมณ์กรรมฐาน  ว่า
อารมณ์อันใดถูกใจ  ถูกจริตของเรา
ท่านให้พิจาณา  เช่น
เกศา  โลมา  นขา  ทันตา  ตโจ
ท่านให้พิจารณากลับไปกลับมา
ถ้าอันโดถูกจริตของเราแล้ว
อันนั้นก็เป็นอารมณ์กรรมฐานของเรา
สำหรับที่จะให้เราได้ใช้เป็นอาวุธ
ในการปราบกิเลสทั้งหลายให้เบาบางลงไป

119
ธรรมะเสวนา / ศิษย์คิดล้างครู
« เมื่อ: มีนาคม 22, 2011, 09:49:19 pm »
ในเมืองพาราณสี มีตระกูลหนึ่งรับหน้าที่สอนศิลปะเกี่ยวกับการฝึกช้างและการใช้ช้างให้ทำงานต่างๆ ตามที่ปรารถนา

ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นลูกของตระกูลนั้น ศึกษาศิลปะเกี่ยวกับเรื่อการฝึกช้างจนจบและเชี่ยวชาญ จึงได้รับมอบหมายจากตระกูลให้ทำหน้าที่สอนศิลปะนั้นแก่ศิษย์รุ่นต่อๆ มา

อาจารย์เป็นคนมีเมตตาต่อบรรดาศิษย์มาก ตั้งใจสอนศิลปะวิทยาเป็นอย่างดีโดยไม่ปิดบังและไม่เลือกว่าศิษย์นั้นมีฐานะเป็นเช่นไร ดังนั้น จึงมีศิษย์มาสมัครเรียนศิลปะวิทยาจากทั่วสารทิศ ต่อมาได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาขอศึกษาอยู่ด้วย

          "เธอมาจากที่ไหน" อาจารย์ถาม
          "ข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองพาราณสีนี้เอง" ชายหนุ่มตอบ
          "เธอจะเรียนไปทำไม"
          "ข้าพเจ้ามาเรียนก็เพื่อเอาไว้ไปใช้ทำมาหากิน"

เมื่อทราบความประสงค์ของศิษย์อย่างนั้นแล้ว อาจารย์ก็ได้รับไว้ด้วยความเมตตาและสอนศิลปวิทยาให้จนหมดสิ้น

วันหนึ่ง หลังจากจบการศึกษาแล้ว ชายหนุ่มได้เข้าไปหาอาจารย์ อาจารย์ได้กล่าวความยินดีและชวนสนทนาถึงเรื่องต่าง ๆ รวมทั่งเรื่องราวในราชสำนักด้วย

          "ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าอยากรับราชการ" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง
          "งานราชการคืองานรับใช้พระราชสำนักเป็นงานหนักนะ" อาจารย์บอก
          "ข้าพเจ้าไม่กลัวงานหนัก กลัวแต่ว่าจะไม่ได้งานทำเท่านั้น"
          "ถ้าเธอต้องการจริง ๆ ฉันจะช่วยฝากให้"

อาจารย์ทำตามที่พูดไว้ หลังจากเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต พระราชาแห่งแคว้นนกาสีแล้ว วันหนึ่งจึงได้กราบทูลว่า

          "ขอเดชะ ข้าพระองค์มีลูกศิษย์ฝีมือดีอยู่คนหนึ่ง ขอฝากเขาไว้รับไช้ในราชสำนักด้วย"
          "ได้ซีท่านอาจารย์" พระเจ้าพรหมทัตตรัสรับรอง "ใครก็ตาม ถ้ามาจากอาจารย์ ฉันรับหมดเพราะเชื่อฝีมือ"
          "เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าข้า" อาจารย์ก้มลงกราบพลางขอให้พระเจ้าพรหมทัตตั้งเงินเดือนให้เขาด้วย
          "ท่านอาจารย์ ฉันมีธรรมเนียมอยู่ว่าศิษย์กับอาจารย์จะได้เงินเดือนไม่เท่ากัน ศิษย์จะต้องได้น้อยกว่า อาจารย์จะต้องได้มากกว่า"

พระเจ้าพรหมทัตตรัสชี้แจง

           "ข้าพระองค์คิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีปัญหา"
          "ถ้าอย่างนั้น ทุกวันนี้ฉันให้อาจารย์เดือนละ ๑๐๐ กหาปณะ ศิษย์ของอาจารย์ก็ได้ครึ่งหนึ่งคือ ๕๐ กหาปณะ"
          "เป็นพระมหากรุณาพระเจ้าข้า"

อาจารย์ดีใจมากที่สามารถฝากศิษย์เข้ารับราชการได้สำเร็จตามความต้องการของศิษย์ ดังนั้นครั้นกลับถึงบ้านแล้วจึงรีบแจ้งให้ชายหนุ่มทราบทันที

          "อาจารย์ดีใจด้วย พระราชารับเธอเข้ารับราชการแล้ว"
          "แล้วเรื่องเงินเดือนพระราชาทรงให้เท่าไร ท่านอาจารย์" ชายหนุ่มถามอย่างกระตือรือร้น
          "เห็นรับสั่งจะพระราชทานให้ครึ่งหนึ่งของฉัน" อาจารย์ ตอบตามความเป็นจริง
          "ฉันได้ ๑๐๐ กหาปณะ"
          "ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ได้เพียง ๕๐ กหาปณะใช่ไหมอาจารย์"
          "ใช่" อาจารย์พยักหน้ารับ
          "ท่านอาจารย์..." ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ "ข้าพเจ้ากับท่านมีความรู้เท่ากัน ก็ควรจะได้เงินเดือนเท่ากัน"
          "ถ้าเธอต้องการอย่างนั้นฉันจะไปกราบทูลพระราชาดูก่อนว่าจะทรงเห็นด้วยหรือไม่" อาจารย์ยินดีรับข้อเสนอ

ต่อมา อาจารย์ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตและกราบทูลข้อเสนอของชายหนุ่มให้พระราชาทราบ

          "ได้..ท่านอาจารย์" พระเจ้าพรหมทัตรับข้อเสนอของชายหนุ่ม และทรงมีเงื่อนไขว่า "ลูกศิษย์ของท่านจักได้เงินเดือนเท่ากับท่าน ถ้าเขามีความสามารถเท่ากับท่าน"
          "พระองค์จะให้เขาแสดงศิลปะแข่งกับข้าพระองค์หรือพระเจ้าข้า" อาจารย์ทูลถาม
          "ใช่แล้ว" พระเจ้าพรหมทัตพยักพระพักตร์รับ

อาจารย์ได้นำความนั้นมาแจ้งให้แก่ชายหนุ่มได้ทราบและได้รับคำตอบอย่างหนักแน่นว่า

          "ได้..ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้ายินดีจะแสดงความสามารถแข่งกับท่าน"
          "ตกลง" อาจารย์รับคำ

วันรุ่งขึ้น อาจารย์ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งกราบทูลเรื่องที่ชายหนุ่มตกลงแสดงศิลปะแข่งกับตนให้ทรงทราบ

          "เอาละ อาจารย์ พรุ่งนี้เชิญท่านกับศิษย์มาแสดงแข่งกันได้เลยที่ลานดินหน้าพระราชวัง" พระเจ้าพรหมทัตทรงนัดหมาย
          "เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าข้า" อาจารย์ก้มลงกราบแทบพระบาท           "และเป็นพระมหากรุณาธิคุณมากยิ่งขึ้นหากพระองค์จะป่าวประกาศเชิญชวนชาวเมืองมาร่วมเป็นสักขีพยาน

พรหมทัตตรัสรับคำอย่างหนักแน่น

ความจริงแล้ว อาจารย์รู้สึกสะเทือนใจที่ต้องมาแสดงฝีมือแข่งกับศิษย์เพราะคิดไม่ถึงว่าศิษย์จะกล้าท้าทายตนเช่นนี้

          "เราควรจะสอนให้เขาได้สำนึกบ้าง" อาจารย์บอกกับตนเองขณะเดินทางกลับบ้าน

คืนวันนั้น ขณะที่ทุกคนหลับกันหมดแล้ว อาจารย์ก็แอบไปที่โรงช้างเรียนรู้คำสั่งและปฏิบัติการที่ตรงกันข้าม นั่นคือ เมื่อออกคำสั่งว่า "ไป" ให้ช้างเรียนรู้ว่า "ต้องถอยหลัง" เมื่อออกคำสั่งว่า "ไป" ให้ช้างเรียนรู้ว่า "ต้องถอยหลัง " เมื่อออกคำสั่งว่า "หยุดยืน" ให้ช้างเรียนรู้ว่า "ต้องนอน" และเมื่อออกคำสั่งว่า "ถือ" ให้ช้างเรียนรู้ว่า "ต้องปล่อย"

รุ่งเช้า ที่บริเวณหน้าพระราชวัง ชาวเมืองพาราณสีมาเฝ้าชมการแข่งขันประลองความสามารถระหว่างศิษย์กับอาจารย์อยู่เนืองแน่น พระเจ้าพรหมทัตประทับนั่งบนพระที่นั่งอย่างสง่างาม แล้วทันใดนั้นเอง อาจารย์กับศิษย์ก็ปรากฏตัวพร้อมด้วยช้างที่จะใช้ประลองความสามารถ

ครั้นได้เวลา อาจารย์กับศิษย์ก็ผลัดกันแสดงความสามารถในการบังคับช้าง ผลปรากฏว่าอาจารย์มีความสามารถบังคับได้อย่างไร ศิษย์ก็มีความสามารถอย่างนั้น ผู้คนที่มาเฝ้าชมต่างพากันเงียบกริบเพราะคิดว่าอาจารย์คงสู้ศิษย์ไม่ได้ อาจารย์เองก็ชื่นชมศิษย์ของตนเองอยู่ในที

ช่วงสุดท้ายมาถึงแล้ว อาจารย์ยืนสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเสนอวิธีการประลองความสามารถครั้งสุดท้าย คือ ให้ศิษย์สั่งบังคับช้างของตนเอง

          ได้..ท่านอาจารย์ ช้างของท่านก็เหมือนช้างของข้าพเจ้า"

ชายหนุ่มรับข้อเสนอของอาจารย์ทันทีแล้วตรงรี่เข้าหาช้างของอาจารย์พร้อมทั้งออกคำสั่งให้ช้างทำ แต่ผลปรากฎว่าช้างกลับทำกริยาอาการตรงกันข้ามหมดสิ้น

ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มเริ่มหน้าถอดสีเพราะรู้สึกอับอายที่ไม่สามารถสั่งช้างของอาจารย์ให้ทำตามตนสั่งได้ ผู้คนที่เฝ้าชมซึ่งเอาใจช่วยอาจารย์อยู่ตลอดเวลา ต่างได้โอกาสลุกฮือขึ้นสาปแช่งชายหนุ่มกันเสียงอึงมี่

          "ไป...ไปให้พ้น ไอ้ลูกศิษย์เนรคุณ ช่างไม่รู้จักประมาณตัวเองบ้างเลย"

ว่าแล้ว ต่างคนต่างปาก้อนดินใส่ชายหนุ่มจนได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสและขาดใจตายในเวลาต่อมา

นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ศิษย์ที่คิดล้างครูนั้นย่อมมีแต่ความวิบัติ เหมือนชายหนุ่มกับอาจารย์ผู้มากด้วยเมตตา ผลสุดท้ายชายหนุ่มก็ได้รับผลร้ายที่เกิดจากการกระทำของตนเอง
http://www.dhammathai.org/dhammastory/story67.php

120
ตที่กำหนดรู้ จักเป็นอิสระ
จิตที่มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอาหาร
เป็น “จิตที่กำหนดรู้”
เมื่อรู้ว่าอันนั้นเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง
ทุกขัง เป็นทุกข์
อนัตตา ไม่ใช่เราหรือของเราแล้ว
ขอให้มีสติอยู่ เห็นการเกิดดับของใจ
แต่อย่าให้มันมาทำใจให้วุ่นวาย
ให้เราปล่อยวางมันลงไป
ความรัก เกิดขึ้น ก็ปล่อยมันไป
ความโลภ เกิดขึ้น ก็ปล่อยมันไป
ความโกรธ เกิดขึ้น ก็ปล่อยมันไป
กระทั่งความหลงเกิดขึ้น ก็ปล่อยมันลงไป
มันมาจากที่ไหน ก็ให้มันกลับไปที่นั่น
อย่าเก็บมันไว้ เมื่อนั้นจิตของเราก็จะหลุดพ้น

หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 [12] 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 ... 66