แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - แปดคิว

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ... 66
31
 อยาก ขอบคุณความเจ็บป่วยที่ทำให้หันมาสนใจธรรมะ
> > ได้หันมาดูแลตัวเอง จนทุกวันนี้รู้สึกสุขใจ มีเวลาให้คนในครอบครัว
> > หากไม่เจ็บป่วยอย่างนี้ก็คงจมหรือหมดเวลาทั้งชีวิตไปกับการงานและกิจกรรมโลก
> > ๆ และคงตายไปโดยไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลย”
> > • ”อยากขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ให้ธรรมะแก่เรา ธรรมะสอนไว้หมดจริง ๆ

>
> > พี่แดง ...หญิงผู้มีชัยต่อความตาย
>
> > "เรือที่จอดเทียบท่าอยู่นั้น เรายังมิอาจรู้ได้ว่าเป็นเรือที่ดีจริงหรือไม่
> > ต่อเมื่อมันถูกนำออกทะเล ว่าสามารถฝ่าคลื่นลมมรสุมโดยไม่สะทกสะท้าน
> > นั้นแหละ จึงจะบอกได้ว่าเป็นเรือที่ดีจริง
> > บุคคล ที่ยังไม่เจอสิ่งกระทบที่หนักหนาสาหัจสากรรจ์ ดังเช่น
>
> > การที่ต้องเผชิญกับโรคร้าย ความตาย และความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
> > เป็นต้น เราก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าเป็นคนที่ปล่อยวางได้จริง
> > ต่อ เมื่อ พิสูจน์ตนเองว่าสามารถฝ่าคลื่นลมมรสุมหนักของชีวิตได้โดยไม่สะทกสะท้าน
> > นั้นแหละ จึงจะบอกได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งจริง ปล่อยวางได้จริง"
>
> > พี่ แดง ...ผู้จัดการร้านกรอบรูปนำเข้าขนาดใหญ่ อายุราว ๕๐ ปีเศษ
> > มีสามีเป็นนักธุรกิจ และลูกเล็ก ๆ ๑ คน
> > ซึ่งเพิ่งจะเตรียมตัวเข้าเรียนในชั้นประถม
> > เมื่อ เธอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย (ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๒)
> > เธอได้พูดกับคุณเอก (หนึ่งในกลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำ)
> > ซึ่งรู้จักกันเพราะมีออฟฟิสอยู่ใกล้ ๆ กัน ว่า
>
> > "ทำไมต้องเป็นฉัน...ฉันก็เป็นคนดีมาตลอด", “ฉันห่วงลูกมากๆ”
> > และเมื่อความทุกข์โหมกระหน่ำใส่เธอมากเข้า เธอก็พูดด้วยความท้อใจว่า
> > "อยากให้มันตายๆ ไปเลย จะได้จบ"
>
> > คุณเอกเลยพูดให้สติเธอไปว่า "ตาย แล้วมันไม่จบอย่างที่พี่คิดนะซิ
> > มันก็ต้องไปเกิดๆ ตายๆ ต่อไปอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น
> > แถมไม่มีอะไรการันตีได้ว่า เราจะไม่ไปเกิดเป็นหมูหมากาไก่
> > ก็ยิ่งทุกข์กันเข้าไปใหญ่"
>
> > เธอเล่าภายหลังว่าประโยคที่ทำให้เธอคลิ๊กก็คือประโยคที่ว่า
> > "ตายแล้วมันไม่จบอย่างที่พี่คิดนะซิ"
>
> > จาก คำพูดนี้เอง จึงเป็นจุดเริ่มที่ทำให้พี่แดงสนใจศึกษาธรรมะ
> > โดยมีคุณเอกเป็นเพื่อนกัลยาณมิตร
>
> > เธอได้รับความซาบซึ้งในธรรมะของพระพุทธองค์เป็นลำดับ ๆ
> > ผ่านพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อชา สุภัทโท และพระอาจารย์ชยสาโร
> > (ศิษย์ต่างชาติของหลวงพ่อชา) จากซีดีที่คุณเอกนำมามอบให้
> > รวมทั้งการสนทนาธรรมกับคุณเอกอยู่เนือง ๆ
> > เพียง ไม่กี่เดือนที่พี่แดงปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง
>
> > ความแข็งแกร่งในจิตใจของเธอเริ่มฉายแววออกมาอย่างเด่นชัด
> > เธอบอกว่าเมื่อมาถึงตรงนี้ เธอไม่ได้คิดจะต่อสู้กับมะเร็ง
> > หากแต่ยอมรับมันและขออยู่ร่วมกับโรคร้ายนี้ฉันท์มิตร
>
> > เมื่อเธอศึกษาและปฏิบัติธรรมมากเข้า ๆ เธอก็ยิ่งเห็นคุณค่าของธรรมะ
> > และเห็นคุณค่าของเวลาที่ยังเหลืออยู่
>
>
> > ดังนั้้น เธอจึงปฏิบัติธรรมชนิดไม่คิดถึงเรื่องเวล่ำเวลา รู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อไร
> > ไม่ว่ากี่โมง นั่นถือเป็นเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม ตื่นก็ตื่นกับพุทโธ
> > หลับก็หลับไปกับพุทโธ
>
> > พี่แดงยังคงทำงานและกิจวัตรในแต่ละวันตามปรกติเหมือนสมัยที่ยังไม่ป่วย
> > แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ
> > เธอกลับมีสีหน้าและน้ำเสียงที่แช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ
> สวนทางกับการที่ร่างกายเธอต้องถูกโรคมะเร็งเบียดเบียนหนักขึ้นทุกวัน ๆ
>
> > เธอพูดบ่อยครั้งขึ้นถึงความเป็นธรรมชาติธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง
> > โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตายที่เธอกำลังเผชิญ
> > นี้กระมังที่เป็นวิหารธรรมหรือเครื่องอยู่ของเธอนับจากที่เธอได้เข้ามาประพฤติธรรม
> >
> ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมของเธอนั้น เธอต้องใช้กำลังใจมากกว่าคนทั่วไป
> > เพราะสามีของเธอก็เหมือนกับคนอื่นๆ
> > ทั่วไปที่เห็นว่าการปฏิบัติธรรมยังมิใช่สาระสำคัญของชีวิต
> >
> เธอต้องสู้อดทนอดกลั้น
> > และเอาตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าธรรมะมีคุณค่าจริง กระทั่งในที่สุด
> > สามีเธอเอ่ยปากออกมาเองว่าหากเขาเป็นโรคร้ายอย่างเธอ
> > ก็คงไม่สามารถเป็นอยู่อย่างแช่มชื่นเบิกบานหรือปล่อยวางอย่างเธอได้
> > นี้จึงเป็นจุดที่เธอถือเป็นโอกาสชี้ให้สามีตระหนักว่าที่เธอเป็นอยู่ได้เช่น
> > นี้ก็เพราะธรรมะ
> >
> เมื่อ ย่างเข้าปีที่ ๒ ที่เธอป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
> > (เธอปฏิบัติธรรมมาได้ราว ๑ ปี)
> > ซึ่งเลยเวลาที่คุณหมอขีดเส้นไว้นานหลายเดือน
> > ...อาการของโรคนั้นเพียบเต็มที่
> > แต่คุณหมอที่ดูแลอาการป่วยของเธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงยังสามารถเดินเหิรไป
> > ไหนมาไหนได้ อีกทั้งยังพูดคุยเป็นปรกติ ทั้ง ๆ ที่ควรจะมีอาการตัวเหลือง
> > และนอนซม เพราะความที่ตับของเธอดำหมดแล้ว
>
> > คุณ หมอไม่รู้ว่าเธอทำตัวอย่างไร วางใจอย่างไร หรือได้ยาวิเศษที่ไหนมา
> > ถึงได้สามารถรักษาสุขภาพจนอยู่มาได้ขนาดนี้
> > ซึ่งจากผลทางกายภาพที่คุณหมอมองเห็น
> > ทำให้คุณหมอพูดด้วยความมั่นใจว่าแนวปฏิบัติที่เธอทำอยู่
> > (ซึ่งคุณหมอก็ไม่รู้ชัดนักว่าคืออะไร) นั้นถูกต้องแล้ว ให้เธอทำต่อไป
> > ก่อน ที่เธอจะลาโลกนี้ไปไม่กี่เดือน คุณเอกได้ชวนผมไปนั่งสนทนากับเธอ
> > และสิ่งที่ผมจะถ่ายทอดต่อไปนี้
> > คือสาระสำคัญที่ได้จากการพูดคุยซักถามเธอเพื่อให้รู้ถึงธรรมโอสถหรือยาวิเศษ
> > ที่ช่วยรักษาโรคทุกข์ให้กับเธอ
> > ชนิดที่ผมและเพื่อนในกลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำต้องยอมรับและถือเธอเป็นแบบ
> > อย่างของนักปฏิบัติตัวจริง ชนิดที่แม้เรา ๆ ซึ่งเข้าวัดมานานกว่าเธอมาก
> > ก็ยังต้องเขินอายต่อความจริงจังในการปฏิบัติธรรมของเธอ
> > (โปรดอดใจรออ่านบทสัมภาษณ์พี่แดงในกระทู้ต่อไปนะครับ)
> >
> > บัดนี้ ซึ่งล่วงเลยวันที่สัมภาษณ์พี่แดงมาได้ไม่ถึงปี
> > พี่แดงก็จากไปอย่างผู้องอาจจริง ๆ แม้ในวันท้าย ๆ
> > จะมีเลือดออกมาทั้งทางปากและจมูก แต่เธอก็ยังคงรักษาอาการอันสงบระงับไว้
> > โดยปราศจากการใช้มอร์ฟีนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
> > ...ช่างงดงามและเป็นแบบอย่างของนักปฏิบัติผู้มีชัยต่อความตายจริง ๆ
>
>
> > พี่แดงจากไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อวันพฤหัสที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔
> > รวมสิริอายุ ๕๐ ปี รวมระยะเวลาที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งราว ๓ ปีเศษ
> > และปฏิบัติธรรมได้ราว ๒ ปี
> > กราบอนุโมทนา ต่อบุญกุศลที่พี่แดงบำเพ็ญมาดีแล้ว
> > และขออนุญาตดวงจิตพี่แดงที่จะนำบทสัมภาษณ์มาเผยแพร่เพื่อเป็นแบบอย่างและ
> > กำลังใจแก่นักปฏิบัติผู้มุ่งหวังความพ้นทุกข์ทุก ๆ คน
> >
> > ผมได้สรุปคำสัมภาษณ์ไว้ทั้งสิ้นจำนวน ๑๐ ข้อ โดยจะทยอยลงเผยแพร่เป็นลำดับดังนี้
> >>
> > ๑. เมื่อรู้ตัวว่าต้องเผชิญหน้าต่อความตาย ซวนเซเพราะโรคร้าย
> > แล้วตั้งหลักใจขึ้นได้เพราะวางใจไว้อย่างไร
> >
> > ”อันดับแรกเราต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อน...มันเป็นธรรมชาติ ใบไม้
> > แม้ยังเขียว แต่หากมีหนอนกัดกินก็ร่วงได้
> > เกิดเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ก็ยังต้องตายเลย
> > เกิดเป็นกบเป็นเขียดอยู่ในรูก็ตาย อยู่ในอวกาศก็ตาย ทุกชีวิตต้องตายหมด”
> >
> >>> ๒. อะไรที่ช่วยเราในยามเจ็บไข้เช่นนี้
> >
> >> * ”ธรรมะ ... ธรรมะและเรื่องใจต้องมาก่อน
> > ธรรมะสอนให้เรารู้จักว่า หน้าที่ของเราคือการดูแลจิตใจ
> > ส่วนร่างกายนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอที่จะเยียวยา
> > * “ธรรมะ ช่วยให้ใจเราดี เมื่อใจเราดี เรานอนหลับได้ รับประทานได้
> > ร่างกายก็พลอยดีขึ้น ใจไม่ดี ทานก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ
> > ร่างกายก็ทรุดโทรม”
> > * “ข้อ ปฏิบัติหลักในยามนี้คือ ไหว้พระ ทำสมาธิ คิดในสิ่งที่ดี
> > พูดในสิ่งที่ดี ๆ ทำในสิ่งที่ดี ๆ ...ตื่นก็ตื่นกับพุทโธ
> > หลับก็หลับไปกับพุทโธ”
> > * “ธรรมะนอกจากช่วยเยียวยาใจได้แล้วยังล้ำมาที่ร่างกาย
> > คือช่วยให้สุขภาพกายดีขึ้นหรือทรุดโทรมช้าลงได้อีกด้วย”
> >
> >> * ”เวลา เข้าไปในห้องพยาบาล ไม่ว่าลูกเรา สามีเรา หรือญาติคนไหน ๆ
>
> > ก็ตามเราเข้าไปในห้องไม่ได้ สิ่งเดียวที่ตามเราเข้าไปได้คือ พุทโธๆ
> > ...นี่ขนาดยังไม่ตาย ยังไม่มีใครตามเราเข้าไปได้ ยิ่งเวลาตาย
> > ไม่มีใครไปกับเราหรือช่วยอะไรเราได้จริง ๆ ทุกคนส่งเราได้แค่กองฟอน
> > ที่ช่วยได้มีแต่พระ มีแต่ธรรมะเท่านั้น”
>
> > ๓. ประคองใจคนใกล้ตัวอย่างไรไม่ให้ทุกข์เพราะการเจ็บไข้ของเรา
> >
> > ”ความตายมันเป็นธรรมชาติธรรมดาที่เกิดกับทุกคน ...ตอนนี้ฉันยังไม่ตาย
> > จะร้องไห้ไปทำไม ฉันเป็นคนป่วยฉันยังไม่ทุกข์ ยังไม่ร้องไห้เลย
> > ดูอย่างภูเขาสิมันยังสึกกร่อนได้เลย
> > ความเสื่อมสิ้นไปของทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมชาติ”
> > (ต่อฉบับหน้า)
>
> > บทสัมภาษณ์พี่แดง หญิงผู้ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย
> > (ต่อจากตอนที่ ๒)
>
> > ๔. ห่วงลูกห่วงสามีไหม
>
> > ”ทางใครทางมัน ...ตอนนี้ก็ทำหน้าที่ในฐานะแม่ ฐานะภรรยา แต่สุดท้ายแล้วก็
> > “ทางใครทางมัน”
> > แม้ จะห่วงความเป็นไปของลูกมาก ก็ต้องทำใจ
> > และยอมรับความจริงว่าสังขารมันไปไม่ไหวแล้ว สิ่งที่ควรทำในฐานะแม่
> > ฐานะภรรยา ก็ได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ทุกคนย่อมมีกรรมเป็นของ ๆ ตน
> > ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากบ้าง น้อยบ้าง ชีวิตก็ต้องดำเนินไป แม้ว่าจะไม่มีแม่
> > ไม่มีภรรยาแล้วก็ตาม”
>
> > ๕. หากย้อนเวลาไปได้ อยากทำอะไร
> >
> > ”อยากพาลูกเข้าวัดฟังธรรม ปฏิบัติธรรมะเยอะ ๆ ...ต้องระวังตัวเองให้มาก
> > ไม่ให้ไปเบียดเบียนคนอื่น”
>
> > ๖. ปฏิบัติธรรมประจำวันอย่างไร
>
> > • “ก่อน นอนจะไหว้พระ สวดมนต์ และนั่งสมาธิทุกคืน
> > แล้วลุกขึ้นมานั่งสมาธิอีกทีตอนตีสี่ตีห้า แต่บางครั้ง
> > หากตื่นขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นตีสองตีสามก็ช่าง ก็จะลุกขึ้นนั่งภาวนาเลย
> > จะไม่ปล่อยให้นอนคิด เพราะหากปล่อยให้คิดไปเรื่อย ๆ มันมีแต่จะคิดลงต่ำ
> > คิดปรุงแต่งเลยเถิดไปจนน่ากลัวชวนให้ทุกข์ใจ
> > ต้องลุกขึ้นมานั่งสมาธิทำให้จิตนิ่ง เมื่อจิตนิ่งก็จะมีความสุขสงบ”
>
> ทุกวันนี้กล้าพูดว่าแทบจะไม่ลืม “พุทโธ” และลมหายใจเลย
> > ตื่นนอนก็ตื่นพร้อมพุทโธ หลับก็หลับไปกับพุทโธ
> > จะรู้สึกเสียใจถ้าหากวันไหนลืมระลึกรู้ลมหายใจหรือลืมบริกรรมพุทโธ”
> > • ”วาง ใจเหมือนก้อนหิน ประคองใจให้สงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว
> > คลื่นซัดก้อนหิน ก้อนหินก็ยังอยู่อย่างเดิม ...อะไรจะเกิดก็เกิด
> > ไม่เผลอให้ความอยากมีชีวิตอยู่รอดทำให้เกิดความเครียด
> > ...สุขทุกข์อยู่ที่ใจ จึงต้องทำใจให้เป็นสุข ทำใจให้ดีอยู่เสมอ”
>
>
> ๗. ประสบการณ์การปฏิบัติภาวนา
>
> > ”บาง ครั้งปฏิบัติไปจนเหมือนลมหายใจไม่มี แต่ก็อยู่ได้ ไม่ตาย
> > รวมทั้งเคยปฏิบัติจนได้ข้ามเวทนา
> > จึงเกิดความเชื่อมั่นว่ากายกับใจเป็นคนละส่วนกันจริง”
>
> > ๘. อยากบอกอะไร
> > • ”อยาก ขอบคุณความเจ็บป่วยที่ทำให้หันมาสนใจธรรมะ
> > ได้หันมาดูแลตัวเอง จนทุกวันนี้รู้สึกสุขใจ มีเวลาให้คนในครอบครัว
> > หากไม่เจ็บป่วยอย่างนี้ก็คงจมหรือหมดเวลาทั้งชีวิตไปกับการงานและกิจกรรมโลก
> > ๆ และคงตายไปโดยไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลย”
> > • ”อยากขอบคุณพระพุทธเจ้าที่ให้ธรรมะแก่เรา ธรรมะสอนไว้หมดจริง ๆ
> > ทั้งการอยู่การกิน การดูแลรักษาใจ ฯลฯ”
> >
> > ๙. ถ้าว่าไม่กลัวตาย ถามว่ากลัวทุกขเวทนาตอนตายที่จะมาถึงหรือไม่
>
> > ”กลัว แต่จะไม่ไปเป็นทุกข์ล่วงหน้า ตอนนี้ยังไม่เกิดก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ไปกับมัน”
>
> > ๑๐. ตั้งความปรารถนาไว้อย่างไร
> > “หากยังต้องเกิดก็อยากเกิดเป็นผู้ชาย อยากเป็นพระค่ะ”
> > เป็นอันว่า สรุปบทสัมภาษณ์พี่แดง ก็ถูกนำมาลงไว้โดยครบถ้วนแล้วนะครับ
> > หวังว่าจะเกิดประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายตามสมควร
> >
>
> มีสติรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง
> ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

 wantana bunlamai

33
"แม่" เป็นภาระให้แก่ลูกทุกคนมาตั้งแต่เกิด นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้ก็ลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย อยู่ดีๆผู้หญิงคนนี้ก็มาโอบอุ้ม ถูกเนื้อต้องตัวเรามิวายที่เราจะแหกปากร้องไห้ขับไล่ไสส่งยายผู้หญิงคนนี้ ขนาดไหน เธอก็ยังพยายามปลอบโยนเห่กล่อมเราอยู่นั่นแหละเป็นภาระให้เราต้องจำใจเงียบ ยอมนอนดูดนมเธออยู่จั่บ ๆ ๆ 

          พอเราเริ่มเตาะแตะตั้งไข่จะเดินไปไหนต่อไหนมั่งคุณเธอก็ยังคอยเรียกหาเราอยู่นั่นแหละ   

          "มานี่มาลูก มานี่มา อีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว อีกก้าวเดียว" ไม่รู้จะเรียกทำไมนักหนาไอ้เราก็เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่เห็นมั้ยเป็นภาระที่เราต้องเดินไปให้เธอกอดอีก   

          โต ขึ้นมาอีกนิดเราเริ่มกินอาหารได้หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้เละ ๆ เทะ ๆมาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้เดี๋ยวแม่จะน้อยใจก็เอาวะเอาซะหน่อยเคี้ยวไปเเจ่บ ๆอย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้มคงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะกล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋าในปากฉันตอนนี้น่ะถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ
       
          ทีนี้พอเรา เริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นมาหน่อย คราวนี้ยังไงล่ะผู้หญิงคนนี้กลับขับไล่ไสส่งให้เราไปโรงเรียนซะอีกไม่ไปก็ ไม่ได้ด้วยนะ บางทีมีตีเราเข้าให้อีกภาษาอะไรนักก็ไม่รู้ เอามาให้เราหัดอ่านหัดเรียนใช่มั้ย ลองคิดดูนะสัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวันน่ะมันภาระหนักหนาแก่เราแค่ ไหน

          แต่พอถึงเวลาเราจะดูทีวี ดูหนังการ์ตูนนอนดึกขึ้นมาสักหน่อยลองนึกย้อนไปสิ ใครกันเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอนด้วยตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะเพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น 

          วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้นแต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้าแต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ดูทันสมัย ใคร ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่งพูดแล้วขนลุกผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไป ไหนเลย..ว่ามั้ย

         พอ เราสำเร็จจบการศึกษาเเล้วเป็นยังไง... เธอร้องไห้ครับ เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้องไห้ ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องไห้มีอย่างที่ไหนเราคร่ำเคร่งร่ำเรียน มาแทบตาย แล้วตัวเองแท้ ๆ ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง พอเราเรียบจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้ มีอย่างที่ไหน

          ดีนะว่าเราเข้าใจ คู่มือการเลี้ยงแม่ก็เลยทำใจได้ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ขอไปฉลองการสำเร็จการศึกษากับพวกเพื่อนๆที่นอกบ้านก่อนก็แหมเรียนจบ ทั้งที จะมาให้นั่งดูผู้หญิงแก่ ๆนั่งร้องไห้ทำไมล่ะ..ใช่มั้ย 

          เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้ใครๆก็ต้องอยากมีแฟน คนโน้นก็ไม่ดีคนนี้ก็เรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะดูไม่มีความรับผิดชอบมั่งล่ะ...แม่ แม่จะไปรู้อะไรแม่เคยคบกับเขาเหรอ 

          ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ แม่เขายังอยากรู้ไปจนถึงเรื่องอาชีพการงานด้วยว่าเราจะไปทำอะไร อยากเป็นอะไร

          แม่ครับ แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ยพวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกเราอนาคตของ เรา ขอให้เราได้ตัดสินมันเอง แต่เรารับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า เราจะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เชย

          นับ จากบรรทัดแรกจนมาถึงบรรทัดนี้ เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้วสมควรที่พวกเราจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองสักที ว่าแล้วเราก็ย้ายออกจากบ้านแม่ มายืนด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างที่แม่เคยพูดไง แล้วทำไมต้องมาทำตาละห้อยด้วยล่ะ วันที่เราย้ายออกมาน่ะมันก็ไม่ได้ใกล้มันก็ไม่ได้ไกลหรอกนะ ไอ้ที่ย้ายออกมาน่ะ แต่เวลามันรัดตัวจริงๆใช้โทร.คุยกันก็ได้นะแม่นะ

          ถึงวันที่เรามีลูก แม่ยังพยายามอยากมาทำตัวเป็นภาระกับลูกเราด้วย เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก เราดูแลลูกของเราได้ เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ

          แม่อายุเกือบหกสิบปีแล้ว โทร.มาไอแค่ก ๆ บอกไม่ค่อยสบาย เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้ 

          จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณโทร.กลับไปที่บ้านแม่ แต่... ไม่มีคนรับสายแล้ว อย่าเพิ่งตกใจ แม่อาจจะออกไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ก็ได้ ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก... 

          อย่าเพิ่งด่วนสรุป มือถือแม่อาจจะแบตหมดก็ได้ ผู้หญิงคนนี้กระดูกเหล็กจะตายไปเธอต้องไม่เป็นอะไรแน่ ๆ คิดฟุ้งซ่านไปได้ยังไงแม่ก็ต้องรอเราอยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ ไปหาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ อย่างมากแกก็อาจจะงอนนิดๆหน่อยๆพอเห็นหลานตัวเล็กๆวิ่งเข้าไปกอดก็ขี้คร้าน จะอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง หลายวันผ่านไปทำไมแม่ยังไม่โทร.กลับมาอีกนะ ทำบุญตักบาตรก็ไม่น่าจะรอคิวนานขนาดนี้ ชาร์จแบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นแบตเตอรี่รถสิบล้อป่านนี้ไฟทะลักแล้ว 

          วันนี้แวะไปหาแม่สักหน่อยดีกว่า ระหว่างทางที่คุณขับรถไป ลูกคุณซนเป็นลิงอยู่ข้างๆประโยคมากมายที่หลุดจากปากคุณ ล้วนเเต่เป็นคำที่แม่คุณเคยพูดมาแล้วทั้งสิ้น คุณ เพิ่งสัมผัสได้ ภาพเก่าๆมากมายที่ผู้หญิงคนนั้นทำวิ่งวนอยู่ในหัวคุณ ช่างเถอะ.. เดี๋ยวเจอเธอแล้วคุณจะสารภาพผิด แล้วทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น แล้วคุณก็ได้เจอคนที่คุณรู้สึกว่าเธอเป็นภาระให้กับคุณมาตั้งแต่เกิด 

          ผู้หญิงคนนั้น นอนตายในท่าที่คอยคุณมาตลอดชีวิต...

ขอบคุณ : postjung      wantana bunlamai

34
แม่ทำเพื่อไม่ให้ลูกคิดมากหาได้โกหกไม่ :29:

36
ธรรมะเสวนา / วิมานสะเทือน
« เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 08:58:08 pm »
รื่องเกี่ยวกับความสวย ๆ งาม ๆ มักมีปัญหาทุกที่ แม้บนสวรรค์เทวดายังสะเทือน เหตุแย่งเทพธิดา นางฟ้าคนเดียวกัน เทพบุตรสี่นางฟ้าหนึ่ง นางฟ้าคือนางโรหิณี มันก็น่าแย่งหรอก สวยเหลือเกินชื่อโรหิณี ชื่อก็เพราะสวยก็สวย เพราะนางทำบุญไว้มาก คนอื่นทำแต่บาปเลยตกอันดับไม่ได้ไปเกิดบนสวรรค์ นางโรหิณีเป็นเทพธิดานางฟ้าคนเดียว ครองอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีเทพบุตรผู้คุ้มครองอยู่สี่องค์ และต่างก็หมายปองจ้องจะได้โรหิณีมาเป็นสมบัติ เกิดวิวาทบาทมางตกลงกันไม่ได้ร้อนถึงผู้พิพากษาของเทวดาได้แก่พระอินทร์ พระอินทร์ซึ่งเป็นผู้พิพากษา และ ผบ. สูงสุดของเทวดาก็เสด็จลงไกล่เกลี่ย ว่าใครสมควรจะได้เทพธิดาโรหิณีไปครอง พระอินทร์ก็ไต่สวนว่า
     "ไหน..? ลองเล่าให้ข้าพเจ้าฟังซิว่าเวลาเห็นโรหิณีแล้วรู้สึกอย่างไร?"
     พ่อเทพบุตรองค์ที่ ๑ ก็บอกว่า "แหม..พอเห็นโรหิณีใจมันระทึกเหมือนกับกลองศึก เต้นตูม .. ตูม.. สั่นระริกไม่เป็นจังหวะมันอยากได้เหลือเกินถ้าไม่ได้แย่"
     เทพบุตรที่ ๒ บอกว่า "ใจของข้าพเจ้าเหมือนน้ำที่ตกจากภูเขาเสียงดัง ซ่า ซ่า กระแสมันแรงเชี่ยวกรากเหลือเกิน" พายุตุ๊ดที่ชุมพรสู้ไม่ได้หรอก สมัยนี้ตุ๊ดมันระบาด ขนาดพายุยังเป็นเกย์เป็นตุ๊ดคิดดูก็แล้วกัน ฉะนั้นหัวใจ แหม .. มันเหมือนน้ำตกลงมาจากเขาอันสูงชัน มันกระทบรุนแรงมาก"
     เทพบุตรองค์ที่ ๓ บอกว่า "ตาของข้าพเจ้าแทบถลนออกนอกเบ้าเหมือนตาปู..ตั้งแต่ได้เห็นแม่โรหิณี" นางสวยหยาดเยิ้มเหลือเกิน ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นนางฟ้าคนไหนงามอย่างนี้เลย
     เทพบุตรองค์ที่ ๔ บอกว่า "มันเหมือนกับธงทิวที่ปักปลิวอยู่บนยอดเจดีย์บนยอดเขาเวลาลมพัดมันสะบัดพลิ้ว แหม.. หัวใจมันร้อนผ่าวอุณภูมิจะลดได้ก็ต่อเมื่อได้โรหิณีเท่านั้น"

     ท่านผู้พิพากษาซึ่งเป็นจอมหรือ ผบ. สูงสุดของเทวดา พอได้ฟังดังนั้นก็บอก "โอ้..พ่อเทพบุตรทั้งสี่เอ๋ย เท่าที่ฟังเหตุผลท่านทั้งหลายแล้วแม้จะรุนแรงเพียงใดก็ยังพอทนได้ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วถ้าไม่ได้โรหิณีวันนี้ ตายสถานเดียว ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจะยอมให้ข้าพเจ้าตายต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ ?"

     สุดท้ายแม่โรหิณีก็เลยตามเสร็จพระอินทร์ไป เทพบุตรทั้งหลายทะเลาะกันแทบตายก็เลยอดนี่แหละ การชิงรักหักสวาทใช่มีแต่เมืองมนุษย์เมื่อไร มันมีปัญหายันบนสวรรค์เลยเชียวแหละ...

http://www.dhammathai.org/dhammastory/story60.php

37


ผลการวิจัยเสนอแนะให้เราเลือกรับประทานปลาย่างและปลาอบ แทนที่จะทานปลาทอดกรอบที่ส่งผลเสียต่อหัวใจ

ถ้าคุณกำลังคิดเมนูสำหรับอาหารเย็นของวันนี้อยู่ว่าจะทำอะไรดี ก็ลองอ่านผลการวิจัยนี้ดูก่อน เพราะผลวิจัยระบุเอาไว้ว่าการรับประทานปลาย่างและปลาอบสัปดาห์ละ 5 ครั้ง จะช่วยลดโอกาสในการเกิดหัวใจล้มเหลวได้มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์

ส่วนใครที่ยังนิยมชมชอบการรับประทานปลาทอดอยู่นั้น ข่าวร้ายก็คือ การรับประทานปลาทอดกรอบเพียงแค่สัปดาห์ละครั้ง ก็มากพอที่จะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดหัวใจล้มเหลวได้ถึง 48 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

การศึกษาครั้งนี้ทำขึ้นในสหรัฐอเมริกา และมีการเปิดเผยผลการศึกษาในวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมีข้อมูลเกี่ยวกับการรับประทานปลาชนิดต่างๆ ว่ามีผลแตกต่างกันอย่างไร โดยชนิดของปลาที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่ควรรับประทานก็คือปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล และปลาทะเล ดีกว่าที่จะเลือกรับประทานปลากระพง ปลาค็อด ปลาตาเดียว และปลาทูน่า โดยที่ปลาที่มีสีเข้มกว่าจะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 มากกว่า และมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจมากกว่าปลาประเภทอื่นเช่นกัน

ในการวิจัยที่ใช้เวลาถึง 10 ปีนี้ นักวิจัยจาก Northwestern University Feinberg School of Medicine ในชิคาโก เก็บข้อมูลจากผู้หญิงที่อยู่ในวัยหลังหมดประจำเดือน 84,493 คน

ส่วนการวิจัยที่ผ่านมาก็เคยมีการพบความเกี่ยวข้องระหว่างกรดไขมันโอเมก้า-3 ในปลา และการช่วยลดอาการอักเสบและช่วยทำให้ความดันโลหิตดีขึ้น และการวิจัยก่อนหน้านี้ก็ยังเคยระบุอาไว้ว่าปลาทอดจะเพิ่มกรดไขมันทรานส์ใน อาหาร ซึ่งก็จะนำไปสู่การเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจนั่นเอง

เพราะฉะนั้นหากคุณคิดว่าจะเพิ่มปลาเข้าไปในเมนูอาหารประจำสัปดาห์แล้วล่ะก็ มีตัวช่วยมากมายที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการหาซื้อปลาที่ดีต่อ สุขภาพ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ Blue Ocean Institute ซึ่งเป็นองค์กรที่จะเสนอแนะทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับการวางแผนเมนูอาหาร และมีคู่มือให้ความรู้ให้เลือกดาวน์โหลด โดยที่ในคู่มือก็จะประกอบด้วยภาพของปลาสายพันธุ์ต่างๆ การเปรียบเทียบระหว่างปลาเลี้ยงและปลาในธรรมชาติ โดยจะระบุถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพด้วย และทั้งหมดนี้สามารถเข้าไปหาเพิ่มเติมได้ที่ blueocean




ที่มา life.voicetv     
wantana bunlamai

38
ดอกบัวโพธิสัตว์ / Re: มิลินทปัญหา
« เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2011, 08:26:07 pm »
 :yoyo078: :yoyo106: :yoyo106:

39
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล / หลวงปู่ดูลย์ อตโล
« เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2011, 08:45:32 pm »
พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตโล)
“เม้จะจบพระไตรปิฎกหมดแล้ว จำพระธรรมะได้มากมาย มีคนเคารพนับถือมาก ทำการก่อสร้างวัตถุได้อย่างมากมาย หรือสามารถอธิบายถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างละเอียดแค่ไหนก็ตาม ถ้ายังประมาทอยู่ ก็ยังถือว่าไม่ได้รสชาติของพระพุทธศาสนาแต่ประการใด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของภายนอกเท่านั้น เมื่อพูดถึงประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ภายนอก คือเป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เพื่อสงเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง หรือเพื่อสัญลักษณ์ของศาสนวัตถุ ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้จรองนั้นคือ ความพ้นทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อรุ้จิตเหนึ่ง
จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลที่อันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตแป็นจิต เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเป็นจิต เป็นนิโรธ
ขอให้เลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้นเราอาจกล่าวไว้ว่า คลองแห่งคำพูดได้ถูกตัดขาดไปแล้ว พิษของจิตก็ได้ถูดถอนขึ้นจนหมดสิ้น จิตในจิตก็จะเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ซึ่งมีอยุ่ประจำอยู่แล้วในทุกคน”

40



อนิจจังทุกข์ขังอนันตา       การเวลาย่อมไหลไปดังสายน้ำ

สรรพสิ่งก็ย่อมเปลี่ยนตามโมงยาม      แม้ร้องห้ามก็ไม่ฟังดังความตาย

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ... 66