แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - แปดคิว

หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 [8] 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... 66
71
อนึ่งการเผชิญภาวะต่างๆนั้นคือ " กรรมเก่า "
การตัดสินใจเลือกการตอบสนองนั้นคือ" กรรมใหม่ "
ตัวอย่างเช่น นายดำเคยประทุษร้ายบุคคลผู้ไม่ผิดแต่กาลก่อน มาในบัดนี้กรรมนั้น
ทำให้นายดำถูกประทุษร้ายโดยไม่ผิด เมื่ออยู่ในภาวะเผชิญเช่นนี้ นายดำสามารถเลือกตอบสนองได้ 3วิธีคือ
1. วางเฉย ก็เป็นอันว่าได้รับผลกรรมแล้ว กรรมนั้นก็สิ้นสุดลง
2. ประทุษร้ายตอบ ก็เป็นอันว่ารับกรรมเก่าและก็สร้างกรรมดำใหม่ขึ้นอีก
ในกาลต่อไปก็จักโดนประทุษร้ายอีกแน่นอน
3. อภัยและเมตตา ก็เป็นอันว่ารับกรรมเก่าแล้ว ก็สร้างกรรมขาวใหม่ขึ้น
 ในกาลต่อไปศัตรูนั้นก็จักกลายมาเป็นมิตร

พระพุทธองค์ตรัสว่า " หว่านพืชเช่นไร ก็ได้รับผลเช่นนั้น "

เพราะฉะนั้นต่อไปภายภายหน้าหากเราเกิดโมโหเพราะมีคนดูถูกเรา ก็จงย้อนระลึกนึกถามตัวเองก่อนว่า
" เราเคยดูถูกคนอื่นบ้างไหม? " และควรจะบอกกับตัวเองว่า " สิ่งที่เราได้รับอยู่นี้เป็นผลจากการกระทำที่ไม่ดีของเราในอดีต เราควรยอมรับเคราะห์กรรมนี้โดยไม่เคืองแค้นใครๆ เมื่อมันผ่านพ้นไปก็คือ เราได้ชดใช้หนี้กรรมของเราให้หมดไปครั้งหนึ่ง "
แท้จริงแล้วการที่เราทำอย่างนี้ ไม่เพียงแต่ชดใช้หนี้กรรมเท่านั้น แต่เรายังได้พิจารณาอุปนิสัย มีความอดกลั้นแลฝึกหัดระงับอารมณ์ของเราด้วย ......

From:   
narissara saitham

73
ถ้าไม่อยากเป็น “ของมัน” ก็ควรถอนความสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็น “ของฉัน”

74
เมื่อเรากลายเป็น “ของมัน”

เคยสังเกตไหมว่าเวลาเพื่อนทำกระเป๋าเงินหาย
เราสามารถสรรหาเหตุผลมาได้มากมายเพื่อช่วยให้เธอทำใจ
(ยังดีที่ไม่เสียมากกว่านี้, ถือว่าใช้กรรมก็แล้วกัน,เงินทองเป็นของนอกกาย ฯลฯ)
ในทำนองเดียวกันเวลาเพื่อนอกหัก ถูกแฟนทิ้ง
เราก็รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรเพื่อให้เธอปล่อยวาง
แต่เวลาเราประสบเหตุอย่างเดียวกัน กลับทำใจไม่ได้
เอาแต่เศร้าซึมจ่อมจมอยู่กับความสูญเสีย
คำแนะนำดี ๆ ที่ให้กับเพื่อนกลับเอามาใช้กับตัวเองไม่ได้
บ่อยครั้งก็นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะทำใจอย่างไร
ใช่หรือไม่ว่าสาเหตุที่เราสามารถแนะนำเพื่อนได้อย่างฉาดฉาน
ก็เพราะเงินของเพื่อน ไม่ใช่เงินของฉัน แฟนของเพื่อน ไม่ใช่แฟนของฉัน
เราจึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเท่าใดนัก ปัญญาจึงทำงานได้เต็มที่
แต่เมื่อใดที่เหตุร้ายเกิดกับเงินของฉัน หรือกับแฟนของฉัน
อารมณ์จะท่วมท้นใจจนนึกอะไรไม่ออก

ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังเท่ากับคำว่า “ของฉัน”
ไม่ว่าความวิบัติจะรุนแรงเพียงใดก็ตาม หากมันไม่เกี่ยวข้องกับ “ของฉัน”
เราก็ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาด้วย แต่ทันทีที่มีอะไรมากระทบกับ “ของฉัน”
แม้เล็กน้อยเพียงใด มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที

หลายคนดูข่าวแผ่นดินไหวในอิหร่านที่มีคนตายนับแสนคนด้วยความรู้สึกเฉย ๆ
แต่จะขุ่นเคืองไปทั้งวันเมื่อพบว่ารถของตนมีรอยขีดข่วนที่ตัวถัง
สาเหตุที่ผู้คนยอมเหนื่อยยากทำงานตัวเป็นเกลียวก็เพื่อรักษาและเพิ่มพูน “ของฉัน”ให้มากที่สุด
ความยึดอยากให้ทุกอย่างเป็น “ของฉัน”ทำงานอยู่ในส่วนลึกของจิตใจตลอดเวลา
แม้เก้าอี้ในโรงหนังที่เพิ่งมานั่งได้ไม่กี่นาที เราก็เรียกว่า “เก้าอี้ของฉัน”ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

แต่เราเคยสังเกตไหมว่า ทันทีที่ยึดอะไรก็ตามว่าเป็น “ของฉัน”
เรากลายเป็น “ของมัน”ไปทันที เราจะยอมทุกข์เพื่อมัน
ถ้าใครวิจารณ์เสื้อของฉัน ตำหนิรถของฉัน เราจะโกรธและจะแก้ต่างให้มัน
บางครั้งถึงกับแก้แค้นแทนมันด้วยซ้ำ ถ้าเงินของฉันถูกขโมย
เราจะทุกข์ข้ามวันข้ามคืนทีเดียว
คนจำนวนไม่น้อยยอมตายเพื่อรักษาสร้อยเพชรไว้ไม่ให้ใครกระชากเอาไป
บางคนยอมเสี่ยงชีวิตฝ่าเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้บ้านเพราะกลัวอัญมณีจะถูกทำลายวายวอด
ฉะนี้แล้วควรจะเรียกว่า”มันเป็น “ของฉัน” หรือฉันต่างหากที่เป็น “ของมัน
เป็นเพราะหลงคิดว่ามันเป็น “ของฉัน”
ผู้คนทั้งโลกจึงกลายเป็น “ของมัน”ไปโดยไม่รู้ตัว มีชีวิตอยู่ก็เพื่อมัน
ยอมทุกข์ก็เพื่อมัน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่ามีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด
แต่ก็ใช้เวลาไปอย่างไม่เสียดายก็เพื่อมัน
ซ้ำร้ายกว่านั้นหลายคนยอมทำชั่ว อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณก็เพื่อมัน

ยิ่งยึดมั่นว่าทรัพย์สมบัติเป็นของฉัน เรากลับกลายเป็นทาสของมัน
จิตใจนี้อุทิศให้มันสถานเดียว
เศรษฐินีเงินกู้คนหนึ่ง เป็นโรคอัลไซเมอร์ในวัยชรา จำลูกหลานไม่ได้แล้ว
แต่สิ่งเดียวที่จำได้แม่นก็คือสมุดจดบันทึกทรัพย์สิน ทุกวันจะหยิบสมุดเล่มนี้มาพลิกดูไม่รู้เบื่อ
แม้ลูกหลานจะชวนสวดมนต์หรือฟังเทปธรรมะ ผู้เฒ่าก็ไม่สนใจ
จิตใจนั้นรับรู้ปักตรึงอยู่กับเงินทองเท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อสิ้นลมผู้เฒ่าจะนึกถึงอะไรและจะไปสุคติได้หรือไม่

ไม่ว่าจะมีเงินทองมากมายเพียงใด เมื่อตายไปก็ไม่มีใครเอาไปได้แม้แต่อย่างเดียว
นั่นเป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่อทรัพย์สมบัติ
แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ หากหวงแหนติดยึดมันแม้กระทั่งในยามสิ้นลม
มันก็สามารถฉุดลงอบายได้

ถ้าไม่อยากเป็น “ของมัน” ก็ควรถอนความสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็น “ของฉัน”
การให้ทานเป็นวิธีการเบื้องต้นในการฝึกจิตให้ถอนความสำคัญมั่นหมายดังกล่าว
ถ้าให้ทานอย่างถูกวิธี ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับเท่านั้น
หากยังเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้ ประโยชน์ประการหลังมิได้หมายถึง
ความมั่งมีศรีสุขในอนาคตเท่านั้น
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือช่วยลดความยึดติดในทรัพย์“ของฉัน”
แต่อานิสงส์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราให้โดยไม่ได้หวังอะไรกลับคืนมา
หากให้เพื่อมุ่งประโยชน์แก่ผู้รับเป็นสำคัญ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นพระหรือไม่ก็ตาม
และเมื่อให้ไปแล้วก็ให้ไปเลย โดยไม่คิดว่าของนั้นยังเป็นของฉันอยู่

การให้ทานและเอื้อเฟื้อเจือจานเป็นการสร้างภูมิต้านทานให้แก่จิตใจ
ทำให้ไม่ทุกข์เมื่อประสบความสูญเสีย ในทางตรงข้ามคนที่ตระหนี่
แม้จะมีความสุขจากเงินทองที่พอกพูน
แต่หารู้ไม่ว่าจิตใจนั้นพร้อมที่จะถูกกระทบกระแทกในยามเสียทรัพย์ แม้จะเป็นเรื่องที่จำเป็นก็ตาม

ชาวอินเดียผู้หนึ่งเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก
วันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากภรรยาว่าเธอปวดท้องและปวดศีรษะมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล
หมอจึงสั่งตรวจเลือดและทำอุลตร้าซาวด์ เพราะเกรงว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ
พอรู้เช่นนี้เขาจึงสั่งให้ภรรยารีบหนีออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้น
แล้วเขาก็โทรศัพท์ไปด่าหมอว่าเห็นแก่เงิน
สั่งตรวจเลือดและทำอุลตร้าซาวด์โดยไม่จำเป็น
หมอพยายามอธิบายอย่างไรเขาไม่ยอมเข้าใจ.......
ต่อมาเขามีเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลเดียวกันนั้นเพื่อผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี
เขาต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลายวันเนื่องจากมีการติดเชื้อ
ค่าใช้จ่ายจึงเป็นจำนวนมาก วันสุดท้ายที่เขาอยู่โรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินได้มาเก็บเงินจากคนไข้ถึงในห้อง
ทันที่เขาเห็นตัวเลขค่าใช้จ่าย ก็เกิดอาการช็อคและสิ้นลมคาเตียง

เงินนั้นมีไว้ใช้ แต่เมื่อใดที่เผลอใจกลายเป็นของมันไป มันก็สามารถทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตได้

นิตยสารซีเครท : Vol.2 No.50 26 July 2010  Joyful Life & Peaceful Death

พระไพศาล วิสาโล
.....................................................
พึงชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ

  wantana bunlamai

75

" ชมคนด้วยวาจา...มีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ
ทำร้ายคนด้วยวาจา...สาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ.."
"ซุนวู"


" คนอื่นช่วยเรา...เราจะจำไว้ชั่วชีวิต
เราช่วยคนอื่น...จงอย่าจำใส่ใจ "
"ฮั่วหลัวเกิง"


" มีชีวิตอย่างไร้คุณธรรม
มิสู้ตายอย่างมีคุณธรรม
ได้มาด้วยความคดโกง
มิสู้ยอมเสียอย่างซื่อตรง..."
"หวังติ้งเป่า"


" น้ำใสสะอาดเกินไป...ย่อมไร้ซึ่งมัจฉา
คนที่เข้มงวดเกินไป......ย่อมไร้ซึ่งบริวาร "
"ปันกู้"


" ความไม่พอใจ...ความกลัดกลุ้มหงุดหงิด
ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราฮึดสู้มากยิ่งขึ้น
ไม่ควรเป็นสิ่งที่ทำให้เราท้อแท้..ห่อเหี่ยวยอมจำนน
ต่ออุปสรรค์..."
"หลี่ต้าเจา"


" ในชีวิตของเรา..มิตรภาพเปรียบเสมือนโคมส่องสว่าง
ดวงหนึ่ง....ซึ่งสาดส่องจิตวิญญาณของเราให้สว่างไสว
ทำให้ชีวิตของเรามีแสงสีอันงดงาม.."
"ปาจิน"

๗.
" ตัวสกปรกก็คิดจะอาบน้ำ เท้าสกปรกก็คิดจะล้างเท้า
แต่ใจสกปรก กลับไม่คิดที่จะชำระใจ..."
"หยางว่านหลี่"

๘.
" สุขสบายเกินไป..เส้นสายก็พลอยหย่อนยาน
จิตใจก็พลอยขลาดกลัว"
"หูหลินอี้"

๙.
" พูดน้อย กลุ้มน้อย ตัณหาน้อย นอนน้อย...
....ถ้าสี่อย่างนี้น้อย ก็ใกล้จะเป็นเซียนแล้ว"
"ซุนซือเหมี่ยว"

๑๐.
" คนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป...
เป็นคนที่โดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุด!"
"ลู่ซู"

๑๑.
" ไม่มีอะไรแย่เท่ากับความเย่อหยิ่งอวดดี....
ผู้ที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ คือ คนที่ดีพอ...
ผู้ที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว คือ ผู้ที่ดีไม่พอ...!"
"ฟังเสี้ยวหยู"

๑๒.
" ต้องกล้าที่จะมองความจริง...
แม้ว่าความจริงอาจจะทำให้เราเจ็บปวดมากๆ"
"จางจื้อซิน"

๑๓.
" ความอิจฉา เป็นอุปสรรคต่อมิตรภาพ...
ความระแวงสงสัย..เป็นศัตรูตัวร้ายกาจของความรัก...
...ความรักถ้าปราศจากความซื่อสัตย์จริงใจต่อกันเสียแล้ว
ก็ไม่อาจเชื่อถือซึ่งกันและกันได้"
"ซุนยาง"

๑๔
" ยามมีควรคิดถึงความจน...
....ยามจนไม่ควรคิดถึงยามมี..!"
"เจิงก่วงเสียนเหวิน"

๑๕
" อย่าทำความชั่ว เพราะคิดว่าผิดนิดเดียว...
อย่าละเว้นการทำความดี...
เพราะคิดว่าได้บุญกุศลแค่นิดเดียว..."
"เผยสงจือ"

๑๖
" รู้เหตุผลไม่อับจน รู้กาละไม่ถูกด่า รู้ประหยัดไม่ขัดสน "
"ซูลิน"

๑๗
" ใช้จิตใจที่ชอบตำหนิผู้อื่น...มาตำหนิตัวเอง.....
ใช้จิตใจที่ชอบให้อภัยตัวเอง...ให้อภัยผู้อื่น.."
"เจิงจิ้นเสียนเหวิน"

๑๘
" ขี้เกียจแล้วยังฟุ่มเฟือย...ย่อมยากจน
ขยันและประหยัด..ย่อมร่ำรวย.."
"ก่วนจ้ง"

๑๙
"…สูงส่งแต่ไม่เย่อหยิ่ง ชนะแต่ไม่ลำพอง
ปราดเปรื่องแต่รู้จักลงเวที เข้มแข็งแต่มีความอดกลั้น.."
"ขงเบ้ง"

๒๐
"..ก่อนที่จะเอาชนะคนอื่น...จักต้องเอาชนะตัวเอง
ให้ได้เสียก่อน
ก่อนที่จะว่าคนอื่น...ควรพิจารณาดูตัวเองเสียก่อน
ก่อนหน้าที่จะรู้จักคนอื่น...ควรจะรู้จักตัวเองเสียก่อน.."
"หลี่ปุ๊เหว่ย"

๒๑
" ผู้ที่รู้จักคนอื่นเป็นคนฉลาด.....ผู้ที่รู้จักตัวเองเป็นคนมีสติ.."
"เล่าจื้อ"

๒๒
" การตกระกำลำบากเป็นมหาวิทยาลัยชั้นสูงในการฝึกฝนยอดคน..!!"
"เหลียงฉี่เชา"

๒๓
" สิ่งที่ตัวเราไม่ชอบ ...จงอย่าทำกับคนอื่น.."
"ขงจื้อ"

๒๔.
" คนที่ทำได้อาจพูดไม่ได้...คนที่พูดได้อาจทำไม่ได้.!!"
"ซือหม่าเชียน"

๒๕.
" คนเราหนีไม่พ้นความตาย...แต่ความหมายการตายนั้น
ไม่เหมือนกัน...
บ้างมีค่าหนักกว่าขุนเขา...บ้างไร้ค่าเบากว่าขนนก...!"
"ซือหม่าเชียน"
--
สว่างตา ด้วยแสงไฟ สว่างใจ ด้วยแสงธรรม
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

   wantana bunlamai

77
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม / คำสอนหลวงพ่อจรัล
« เมื่อ: มิถุนายน 01, 2011, 09:22:35 pm »
คำสอนหลวงพ่อจรัล

ความอดทนเป็นสมบัติของนักต่อสู้

ความรู้เป็นสมบัติของนักปราชญ์

ความสามารถเป็นของนักประกอบกิจ

ความสามารถทุกชนิดเป็นสมบัติของผู้ดี


ความดีเป็นศัตรูของชีวิต ความดีต้องมีอุปสรรค
เขาร้ายมาอย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมา เราเอาความดีไปแก้ไข
คนตระหนี่ก็ให้ของที่ต้องใจ
คนพูดเหลวไหล เอาความจริงใจไปสนทนา
อย่าเอาเหลวไหลไปสนทนากับมัน เสียเครดิตหมด
อย่าไปเห็นแก่คนแบบนั้นแบบนี้เลย จะเสียหาย


ขอฝากไว้กับคุณโยมทุกๆ ท่าน คนเรานี่สุขไม่เหมือนกัน
ทุกข์ไม่เหมือนกัน แก้ไขเหมือนกันทุก ๆ คนไม่ได้
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
อย่าไปขัดคอเขา ต้องฝืนใจต้องอดทน


เราอยู่กับคนมากต้องอดทนมาก อยู่กับคนต้องอดทนตลอดไป
ถ้าเราอยู่คนเดียวก็ไม่ต้องอดทน เพราะไม่มีใครขัดคอ
ใครจะพูดอย่างไรก็ช่าง วันไหนมีคนด่าคนว่าอย่างโน้นอย่างนี้
ล้วนแต่ได้กำไร คนเรานี่มีปัญหามาก


คน แปลว่า ปัญหา คนสร้างแต่ปัญหาให้เรา
เราเป็นผู้จัดการผู้บริหารต้องอดทนมาก
เมื่ออยู่กับคนมากก็ต้องอดทนมากแน่นอน


ขอเจริญพรว่าเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมมีความแตกต่างกัน
ไม้ไผ่ต่างปล้อง พี่น้องต่างใจ บ้านเดียวกันไม่เหมือนกัน
แต่เราควรสร้างความดีร่วมกัน


มีสติปัญญาสวดมนต์ไหว้พระ เจริญพระกรรมฐาน จะเหมือนกันได้
และวิสัยทัศน์จะเหมือนกัน จะได้มีสติปัญญาเหมือนกัน
จะมีเมตตาเหมือนกัน อารีอารอบเหมือนกัน และจะช่วยกันดีด้วย
เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีเมตตา มีธรรมะแล้วจะช่วยกันตลอดรายการ
พี่ช่วยน้อง น้องช่วยพี่ สร้างความดีให้พ่อแม่ตลอดไป
ถ้าเราอยู่โรงพยาบาล หรือจะอยู่ในรูปบริษัทใดก็ตาม
เราทำงานด้วยความตั้งใจ มีความสามัคคีรับรองไปรอดแน่


โรงพยาบาลเรานี้ต้องช่วยเหลือกัน
หนักนิดเบาหน่อยให้อภัยกัน ประเสริฐที่สุด
หนักนิดเบาหน่อยไม่ให้อภัยกันเลย เราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
เดี๋ยวเราก็ตายจากกันแล้ว ให้เกียรติซึ่งกันและกัน


อย่าได้แหนงแคลงใจกัน รับรองไปรอด
อยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รักกันเหมือนพี่น้องกัน รักเหมือนญาติ


ถ้าเราไม่รักกันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร เป็นพี่น้องกันยังรักกันไม่ได้
พี่น้องยังโกงกัน จะไปกันรอดหรือ
อาตมาจึงพูดว่า ความดีเป็นศัตรูของชีวิต เงินทองเป็นอสรพิษ
ไม่ใช่ของเราอย่าเอามา เอามาแล้วเป็นงูเห่า
กัดแหลกลาญ ฆ่ารันฟันแทงกัน นี่แหละสัตว์โลกเป็นเช่นนี้
ขาดธรรมะเป็นอย่างนี้ มีแต่อคติกัน ไม่รักกันเลย
ไม่มีเมตตาต่อกัน ไม่มีสงสารกัน


เราจะต้องตายจากกันไปแล้วไม่วันใดก็วันหนึ่ง
จะรบราฆ่าฟันกันไปถึงไหน มีทิฐิกันไปไม่มีโอกาสดีได้
พระพุทธเจ้าของเราทรงสร้างปัญญาในตัว
แต่นักปราชญ์ของโลกสร้างปัญญานอกตัว จึงช่วยตัวเองไม่ได้


พระพุทธเจ้าของเราทรงมีปัญญาในตัว
สอนให้เราทุกคนสร้างปัญญาในตัวของเราให้ได้
ปัญญา คือ ความรอบรู้ รู้จริงทุกสิ่งในตัวเอง
จะเป็นชายก็จริง หญิงก็แท้ เป็นคนแก่ที่น่าบูชา


รู้จริงอย่างนี้ ปัญญาในตัวช่วยตัวเองได้ ช่วยลูกช่วยหลานได้
ปัญญานอกตัวช่วยใครไม่ได้เลย


แต่ตอนนี้เราไปหาปัญญานอกตัวกัน จึงละเลยกันไปหลายอย่าง
ทั้งไม่มีมารยาท ขาดการเคารพผู้ใหญ่
ไม่มีระเบียบวินัย วัฒนธรรมของชาติหมดไปอย่างน่าใจหาย
wantana bunlamai

78


“ คำว่าทางสายกลาง แปลว่าเราเห็นทั้งสองข้าง ...เห็นทุกข์ เห็นสุข....”

สุขก็อย่างนั้นๆ ทุกข์ก็อย่างนั้นๆ
เราไม่เข้าไปชอบหรือไปชัง...
เกลียดทุกข์ชอบสุข .....ไม่ต้องมีเลย
สุขก็คืออย่างนี้ ทุกข์ก็อย่างนี้
มันไม่เหมือนกัน แต่มันก็ไม่แตกต่าง
ดูให้ดีๆ....ทุกข์คือทนยากหน่อย ...สุขคือทนง่ายหน่อย
มันก็คือสิ่งปรุงแต่งทั้งนั้น...ใช่ของจริงที่ไหน...

สุขจริงหรือ....ไม่จริง
ทุกข์จริงหรือ....ไม่จริง

จะเห็นคว่ามไม่เที่ยง...เห็นเป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ ตั้งอยู่ไม่ได่
เห็นอนิจจัง เกิดขึ้นแล้วดับไป มี...แล้วก็หายไป
เห็นอนัตตา ไมใช่ตัวตน ไม่ควรถือว่าเป็นตัวเราของเรา

....ควรยึดไม๊ว่าเป็นตัวเราของเรา....
....ก็ของมันไม่เที่ยง แล้วจะไปยึดได้อย่างไร....

แต่ไม่ใช่ว่าเราไปเชื่อว่าอย่าไปยึดถือ...ไม่ใช่นะ
เราจะเห็นว่ามันยึดไม่ได้ เราต้องมีปัญญาของเราเอง
ไม่ใช่เชื่อพระพุทธเจ้าว่าอย่าไปยึดถือ อย่าไปถือว่าเป็นตัวเราของเรา
แล้วเราก็คิดว่ามันไม่ใช่ตัวเราของเรา....นั่นไม่ใช่

....เราต้องเห็นของเราเอง เห็นอย่างที่พระพุทธเจ้าเห็น...
....ก็มันยึดไม่ได้ เราก็จะมองเห็นว่ามันยึดไม่ได้บังคับบัญชาไม่ได้....

....เวลาทุกข์ ขอให้มันทุกข์อย่างนั้นสิ...อย่าให้มันดับได้ไม๊...ก็ไม่ได้....
....สุขก็เหมือนกัน เหมือนกันอย่างนี้....ผลสุดท้ายก็ดับไม่มีเหลือ....
ไม่อะไรในโลกนี้ ที่จะตั้งอยู่ทั้งภายนอกและภายใน เหมือนกันหมด

สังขารปรุงแต่งทั้งนั้นเลย....

“....แต่ตัวแท้ ตัวจริง เค้าไม่มีรูป ไม่มีร่าง แม้แต่เงา...ก็ไม่มี....”


....หลวงพ่อสมบูรณ์....
โดย: ตามรอย ท่านพุทธทาส

79
ธรรมะเสวนา / Re: นิทานกระต่ายกะเต่า ฉบับ MBA
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2011, 09:32:33 pm »
ไอ้ช้าแต่ชัวร์น่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ให้เร็วและพอใช้ได้นี่ดีกว่า.... เรื่องยังไม่จบแค่นี้ คราวนี้ถึงทีเจ้าเต่ามาหาจุดบกพร่องของตัวเองบ้าง และมันก็พบว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะชนะกระต่ายในเส้นทางการวิ่งแบบที่เป็นอยู่นี้ มันก็คิดอยู่ซักครู่หนึ่งก็ไปท้ากระต่ายแข่งใหม่ แต่ขอเปลี่ยนเส้นทางวิ่งซะหน่อย
เจ้ากระต่ายก็ว่าย่อมได้อยู่แล้วเพ่
พอการแข่งเริ่มปุ๊บ เจ้ากระต่ายก็ใส่เกียร์ห้อออกไปเต็มสปีดเลย จนกระทั่งไปถึงระหว่างทาง “เฮ้ย!!!..เวรกรรม ต้องข้ามแม่น้ำ ทำไงล่ะตู...” เส้นชัยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่เลย เจ้ากระต่ายมัวแต่เง็งว่าจะทำไงดี
จนเจ้าเต่าคืบคลานมาทันแล้วก็จ๋อมลงน้ำว่ายข้ามฝั่งไปเข้าเส้นชัย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.... พิจารณาจุดแข็งของตนให้ดีแล้วพยายามเปลี่ยนสนามการแข่งขันให้ ตนเองได้เปรียบมากที่สุด ย๊างงง ยังไม่พอ มีต่อ.... ด้วยน้ำใจนักกีฬา ครั้งนี้เจ้าเต่ากับกระต่ายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว ต่างคนต่างมาระดมสมองคิดด้วยกัน หากทั้งสองร่วมมือกัน การแข่งแบบเมื่อครั้งล่าสุดจะช่วยให้ทำเวลาได้ดีขึ้น ดังนั้น พวกมันจึงคิดจะแข่งอีกครั้ง แต่แข่งคราวนี้เป็นแบบทีมเวิร์ค เริ่มต้นเจ้ากระต่ายก็แบกเต่าวิ่งไปด้วยความเร็วสูง จนถึงริมแม่น้ำแล้วเจ้าเต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังว่ายข้ามไป พอข้ามฝั่งเจ้ากระต่ายก็แบกเจ้าเต่าวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัยด้วยกัน

ผลการแข่งครั้งนี้ สร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่าย(ตัว)มากกว่า การแข่งครั้งก่อนๆหน้านี้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.... การมีจุดแข็งและความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ยังไงก็ไปไม่รอด เพราะมันจะมีบางสถานการณ์ที่เราเจ๋งคนอื่นเจ๊ง ในขณะที่บางสถานการณ์เราเจ๊งแต่คนอื่นเจ๋ง ทีมเวิร์คสำคัญตรงที่การกำหนดผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์ ให้ผู้ที่มีความถนัดกับสถานการณ์นั้นๆเป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละช่วง สถานการณ์ที่เหมาะกับความสามารถของเขา นอกจากนี้เรายังได้บทเรียนอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ไม่ว่าเต่าหรือกระต่าย ไม่มีใครที่คิดเลิกล้มหรือท้อแท้หลังจากความความล้มเหลวได้เกิดขึ้น กระต่ายแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองโดยการทำงานที่หนักขึ้น และเพิ่มความมุมานะในงานของตนเองหลังจากพบความล้มเหลว ส่วนเต่าได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนใหม่ เพราะตัวมันเองได้ทำงานหนักที่สุดเท่าที่มันจะสามารถทำได้แล้วในชีวิต
เมื่อเราพบกับปัญหาหรือความล้มเหลว บางครั้งเราก็ควรจะทำงานให้หนักขึ้นและมีความเอาใจใส่ในงานมากกว่าเดิม บางครั้งก็ควรเปลี่ยนแผนการทำงานและทดลองในสิ่งใหม่ๆที่แตกต่างออกไป และในบางครั้งก็จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างเลย นอกจากนั้น กระต่ายกับเต่าก็ได้บทเรียนที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อเราหยุดการแข่งขันกับตัวบุคคล
แล้วหันมาแข่งขันกับสถานการณ์แทน พวกมันจะทำงานได้ดีขึ้นมาก

80
ธรรมะเสวนา / นิทานกระต่ายกะเต่า ฉบับ MBA
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2011, 09:29:58 pm »
ลครั้งหนึ่ง เจ้าเต่ากับกระต่ายเถียงกันว่าใครเร็วกว่ากัน ทั้งคู่จึงตกลงที่จะวิ่งแข่ง ก็มีการกำหนดเส้นทางวิ่งแล้วก็เริ่มการแข่งขัน เจ้ากระต่ายนำโด่งมาไกลก็เลยชะล่าใจ คิดว่าพักผ่อนใต้ต้นไม้ซักกะแป๊บนึงก่อนแข่งต่อก็คงดี ไปๆมาๆก็ง่วงสิ ตื่นมาอีกทีเจ้าเต่าก็คว้าแชมป์ไปแล้ว
นิทานตอนนี้สอนให้รู้ว่า ช้าๆแต่มั่นคงสามารถเอาชนะได้(เหมือนกัน) นี่เป็นเวอร์ชั่นเดะๆที่เราคุ้นหูกัน ไม่นานมานี้มีคนเล่าเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจให้ฟัง ต่อเลยนะ....
เจ้ากระต่ายสันหลังยาวก็รมณ์บ่จอยตามระเบียบที่แพ้ มันจึงค้นหาจุดอ่อนของตนเอง มันก็พบว่าความมั่นใจในตัวเองเกินไปบวกกับความขี้เกียจ ของมันนั่นแหละที่ทำให้แพ้ ถ้ามันไม่เผลอหลับซะอย่าง เต่าหน้าไหนจะเอาชนะมันได้
มันจึงขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง เฮ้ย..เมื่อกี๊ฟลุ้คอ๊ะป่าว แน่จริง..ใหม่เด่ะ
เจ้าเต่าก็ตกลง ย่อมได้ไอ้น้อง”.... แน่นอนว่าครั้งนี้ เจ้าเต่าโดนทิ้งไม่เห็นฝุ่น กระต่ายชนะขาดลอย
เราได้ข้อคิดอะไรล่ะ... ต่อให้ช้าแต่ชัวร์ ยังไงก็แพ้เร็วและสม่ำเสมอ ถ้าเราเปรียบเทียบคนสองคนในองค์กรของเรา คนนึงช้าจริง ทำอะไรมีระบบระเบียบแบบแผน แต่ทำอะไรๆไม่เคยพลาด ไว้ใจได้แน่นอนในผลงานของเขา เทียบกับอีกคนนึงที่เร็วและก็พอไว้ใจได้ในสิ่งที่เขาทำ คนที่เร็วกว่ามักจะประสบความสำเร็จมีความเจริญก้าวหน้าในองค์กรนั้นๆมากกว่า (ซิกแซกไม่เป็น อะไรลัดได้ เร็วได้ก็ไม่กล้าเสี่ยงไม่กล้าทำ ผลงานก็เลยน้อยมั้ง)


หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 [8] 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... 66