ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2010, 12:06:51 am »พระศาสดาทรงไต่สวนทั้งสองฝ่าย
พระศาสดา รับสั่งให้เรียกพระโกณฑธานะนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า “ภิกษุ ข่าวว่า เธอกล่าวอย่างนั้นจริงหรือ ?”
พระเถระ กราบทูลว่า “จริง พระเจ้าข้า.”
พระศาสดา เพราะเหตุไร ? เธอจึงกล่าวอย่างนั้น.
พระเถระ เพราะเหตุที่ภิกษุเหล่านั้นกล่าวกับข้าพระองค์.
พระศาสดา ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไร ? แม้พวกท่านจึงกล่าว กะภิกษุนี้อย่างนั้น.
พวกภิกษุ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์เห็นหญิงเที่ยว ไปข้างหลังภิกษุนี้ จึงกล่าวอย่างนั้น.
พระศาสดาตรัสกับพระเถระว่า “ภิกษุเหล่านี้เห็นหญิงเที่ยวไปกับเธอ จึงกล่าว ขึ้นอย่างนั้น ส่วนตัวเธอไม่ได้เห็นเลย เหตุไฉนจึงกล่าวกะภิกษุเหล่านี้ อย่างนั้นเล่า ? ผลนี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยผลกรรมอันเลวของเธอในกาลก่อนมิใช่หรือ ? เหตุไร ในบัดนี้ เธอจึงกระทำกรรมที่ไม่ดีอีกเล่า ?
พวกภิกษุทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุนี้ได้ทำกรรม อะไรในปางก่อน ?”
ทีนั้นพระศาสดา จึงตรัสแสดงบุรพกรรมของท่าน (ที่ท่านได้เป็นภุมเทวดาในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า) แก่ภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสกับพระโกณฑธานะนั้นว่า “ภิกษุ เธออาศัยกรรมลามกนี้ จึงมีเรื่องอันแปลกเช่นนี้แล้ว บัดนี้ การที่เธอถือทิฏฐิอันลามกเช่นนั้นอีก ไม่สมควร เธออย่ากล่าวอะไรๆ กับภิกษุทั้งหลายอีก จงเป็นผู้ไม่มีเสียง เช่นกังสดาลอันเขาตัดขอบปากแล้ว เมื่อทำอย่างนั้น จักเป็นผู้ชื่อ ว่าบรรลุพระนิพพาน” ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
“เธออย่าได้กล่าวคำหยาบกะใครๆ
ชนเหล่าอื่นถูกเธอว่าแล้ว จะพึงตอบเธอ
เพราะการกล่าวแข่งขันกันให้เกิดทุกข์
อาชญาตอบพึงถูกต้องเธอ
ผิเธออาจยังตนไม่ให้หวั่นไหวได้ ดังกังสดาลที่ถูกจำกัดแล้วไซร้
เธอนั่นย่อมบรรลุพระนิพพาน
การกล่าวแข่งขันกัน ย่อมไม่มีแก่เธอ.”
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นแล้ว แม้พระโกณฑธานเถระ ตั้งอยู่ในพระโอวาทที่ พระศาสดาประทานแล้ว ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยคุณพิเศษ เหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ตั้งแต่นั้นหญิงนั้นก็หายไป
ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคมหาสาวกผู้รับสลากก่อน
ได้ยินว่า ท่าน ได้จับสลากได้ที่ ๑ ถึงสามครั้ง คือเมื่อพระศาสดาจะเสด็จไปสู่อุคคนคร ในกิจนิมนต์ของนางมหาสุภัททา ๑ เมื่อเสด็จไปสู่เมืองสาเกต ในกิจนิมนต์ของนางจุลสุภัททา ๑ เมื่อเสด็จไปสู่สุนาปรันตชนบท ๑ ในกิจนิมนต์ของพระปุณณเถระ ซึ่งในการไปในกิจนิมนต์แต่ละแห่ง ต้องการแต่พระขีณาสพ (อรหันต์) ล้วนๆ ๕๐๐ องค์ดังนี้
กิจนิมนต์ของนางมหาสุภัททา
ครั้งนั้น มหาสุภัททาอุบาสิกา ธิดาคนโตของอนาถบิณฑิกเศรษฐี แต่งงานกับบุตรชายของอุคคเศรษฐี แห่งอุคคนคร ซึ่งเป็นตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ในอุคคนคร ซึ่งอยู่ห่างจากนครสาวัตถีที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ๑๒๐ โยชน์ ในวันแต่งงานเศรษฐีให้นางทำบุญกับพวกชีเปลือยซึ่งเศรษฐีถือว่าเป็นสมณะของตน แต่นางไม่ยินยอมบอกว่าสมณะของนางมิใช่เช่นนี้ ภรรยาเศรษฐีจึงถามว่าสมณะของนางเป็นเช่นไร นางจึงกล่าวสมณภาพแห่งพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแก่ท่านเศรษฐีและภรรยา ท่านเศรษฐีจึงบอกให้นางนิมนต์สมณะของนางมารับภัตตาหารที่เรือนเศรษฐีในวันรุ่งขึ้น
นางจึงได้ตระเตรียมข้าวของเพื่อถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ยืนอยู่บนพื้นปราสาทชั้นบน ผินหน้าไปทางพระเชตวันมหาวิหาร กระทำเบญจางคประดิษฐ์ ระลึกถึงพระพุทธคุณทั้งหลาย ทำการบูชาด้วย ของหอม เครื่องอบ ดอกไม้และธูป กล่าว อธิษฐานว่า “ขอดอกไม้เหล่านี้ ตั้งอยู่ในภายใน จงตั้งเป็นเพดาน ณ เบื้องบนพระทศพล ด้วยสัญญานี้ ขอพระทศพลจงรับภิกษาของเรา พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป ในวันพรุ่งนี้” ดังนี้แล้ว จึงซัดดอกมะลิ ๘ กำไปในอากาศ.
ดอกไม้ทั้งหลาย ลอยไปเป็นเพดานดอกไม้อยู่ที่เบื้องบนพระศาสดา ผู้ทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท ๔ พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเพดานดอกมะลินั้นแล้ว ทรงทราบอธิษฐานจิตและรับนิมนต์ของนางสุภัททา ในวันรุ่งขึ้น เมื่ออรุณตั้งขึ้นแล้ว จึงตรัสกะพระอานนทเถระว่า ดูก่อน อานนท์ วันนี้พวกเราจักไปภิกขาจารในที่ไกล เธออย่าให้สลากแก่ภิกษุ ที่เป็นปุถุชน จงให้สลากแก่ภิกษุที่เป็นพระอริยะเท่านั้น พระเถระแจ้ง แก่ภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโสทั้งหลาย วันนี้พระศาสดาจักเสด็จภิกขาจาร ในที่ไกล ภิกษุที่เป็นปุถุชนอย่ารับสลาก ภิกษุที่เป็นพระอริยะเท่านั้นจง รับสลากดังนี้ พระกุณฑธานเถระ เหยียดมือออกไปก่อนทีเดียว โดย พูดว่า อาวุโส ท่านจงนำสลากมา พระอานนท์กล่าวว่า พระศาสดาไม่ตรัสสั่งให้ให้สลากแก่ภิกษุเช่นท่าน ตรัสสั่งให้แก่ภิกษุที่เป็นพระอริยะ เท่านั้น ด้วยท่านยังเข้าใจว่าพระเถระยังเป็นพระปุถุชน เมื่อท่านห้ามพระกุณฑธานะดังนี้แล้วก็เกิดปริวิตก จึงไปกราบทูลเรื่องนั้นต่อพระศาสดาแล้ว พระศาสดาตรัสว่า จงให้สลากแก่ผู้ที่ขอเถิด
พระอานนท์เถระคิดว่า ถ้าการให้สลากนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้แก่พระกุณฑธานะ พระศาสดาคงจะห้ามไว้ เรื่องนี้ชะรอยจักมีเหตุ จึงย้อนกลับไป ด้วยคิดว่า เราจักให้สลากแก่พระกุณฑธานะ แต่ก่อนที่พระอานนท์จะมาถึงนั้นแหละ พระกุณฑธานเถระก็เข้าจุตตถฌานมีอภิญญาเป็นบาท ยืนอยู่ในอากาศด้วยฤทธิ์ แล้วกล่าวว่า อาวุโส อานนท์ พระศาสดาทรงรู้จักเรา พระศาสดาไม่ทรงห้ามภิกษุเช่นเรา ผู้จับสลากก่อนหรอก ดังนี้แล้วยื่นมือไปจับสลาก ท่านก็ได้ฉลากเป็นที่ ๑
กิจนิมนต์ของนางจุลสุภัททา
เรื่องเป็นเช่นเดียวกับเรื่องของนางมหาสุภัททา ต่างกันที่นางจุลสุภัททา แต่งงานกับบุตรกาฬกเศรษฐี ณ นครสาเกตเท่านั้น
กิจนิมนต์ของพระปุณณเถระ
เล่ามาว่า ในแคว้นสุนาปรันตะ มีสองพี่น้องในหมู่บ้านพ่อค้าแห่งหนึ่ง ชื่อปุณณะ และ จุลปุณณะ ในสองพี่น้องนั้น บางทีพี่ชายก็นำเกวียน ๕๐๐ เล่ม ไปชนบทแล้วก็บรรทุกสินค้ามา บางทีก็น้องชายเป็นผู้ทำ ส่วนในครั้งนี้ ปุณณะผู้พี่ชายให้น้องชายอยู่เฝ้าบ้าน แล้วตัวเองก็นำเอาเกวียน ๕๐๐ เล่ม เที่ยวไปตามหัวเมือง มาถึงกรุงสาวัตถี โดยลำดับ พักกองเกวียนอยู่ใกล้ ๆ พระเชตวัน กินอาหารมื้อเช้าแล้ว นั่งพักผ่อนตามสบาย.
สมัยนั้น ชาวกรุงสาวัตถี กินอาหารมื้อเช้าแล้ว อธิษฐานองค์อุโบสถ สวมเสื้อสะอาด ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วพากันออกไปทางประตูทิศใต้ไปสู่พระเชตวัน เมื่อเขาเห็นคนเหล่านั้นเดินทางกันมาเป็นกลุ่ม จึงถามชายคนหนึ่งว่า พวกนี้ไปไหนกัน นี่นาย คุณไม่รู้อะไรเลยหรือ บัดนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้บังเกิดขึ้นแล้วในโลก เพราะอย่างนี้แหละหมู่ชนพวกนี้ จึงพากันไปฟังธรรม กถาในสำนักของพระศาสดา เมื่อได้ยินคำว่า พุทธะ จากปากของชายคนนั้นเขาก็เกิดความเลื่อมใส เขาจึงพาบริวารของตนไปสู่วิหารกับหมู่ชนพวกนั้น ยืนอยู่ท้ายสุดของบริษัทฟังธรรมของพระศาสดาที่ กำลังแสดงธรรมอยู่ด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะ แล้วเกิดความเลื่อมใสอยากจะบวช ขึ้นมา เมื่อบริษัททั้งหลายกลับไปแล้ว ก็เข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทูลอาราธนาเสวยพระกระยาหารในวันรุ่งขึ้น ในวันที่สองจึงให้สร้างปะรำ ตั้งอาสนะ ถวายมหาทานแด่พระสงฆ์มีองค์พระพุทธ เจ้าเป็นพระประมุข ในที่สุดภัตกิจ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแล้วเสด็จกลับ ปุณณมาณพเมื่อรับประทานอาหารเช้าแล้วก็อธิฐานองค์อุโบสถ แล้วให้เรียกเจ้าหน้าที่คุมของมา บอกว่า ของเหล่านี้ได้จำหน่ายไปแล้ว จงให้สมบัตินี้แก่น้องชายฉัน แล้วก็บวชในสำนักพระศาสดา ตั้งหน้าตั้งตา ทำกัมมัฏฐาน ครั้งนั้น เมื่อท่านเอาในใส่ทำกัมมัฏฐานอยู่ กัมมัฏฐานก็ไม่ปรากฏ ต่อมาท่านจึงคิดว่า ชนบทนี้ไม่เหมาะแก่เรา อย่างไรเสีย เราต้องรับกัมมัฏฐาน ในสำนักพระศาสดาแล้วไปสู่ถิ่นเดิมของเรา จึงเมื่อท่านเที่ยวบิณฑบาตใน ตอนเช้าแล้ว ออกจากการหลีกเร้นในตอนบ่ายแล้ว ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอให้ทรงบอกกัมมัฏฐานแล้วจึงหลีกไป ต่อจากนั้นก็ไปวัดมกุฬการาม วัดนั้นอยู่ไม่ไกล ไม่ใกล้หมู่บ้านพ่อค้ามากนัก ไปมาสะดวกเงียบ ไม่มีเสียง พระเถระคิดว่า ที่นี้สำราญ จึงให้สร้างที่พักกลางคืนและกลางวันพร้อมกับที่จงกรม เป็นต้นแล้ว ก็เข้าพรรษาในที่นั้น
ต่อมาอีกวันหนึ่ง ภายในพรรษานั่นเอง มีพ่อค้า ๕๐๐ คน ตั้งใจว่า พวกเราจะออกทะเลไปค้าขาย จึงเอาสินค้าบรรทุกลงเรือ ในวันลงเรือ น้องชาย ของพระเถระเลี้ยงพระเถระแล้ว เมื่อจะไปได้เรียนท่านว่า ท่านขอรับ ขึ้นชื่อว่าทะเลหลวงมีอันตรายมากมายเหลือ จะประมาณได้ ขอให้ท่านช่วยสอดส่องพวกกระผมด้วย แล้วก็ลงเรือ ไปจนถึงเกาะหนึ่ง พวกพ่อค้าคิดว่า พวกเราจะกินอาหารเช้า แล้วก็พากันขึ้นเกาะ บนเกาะนั้นไม่มีอะไร มีแต่ป่าจันทน์ทั้งนั้น ตอนนั้นคนหนึ่งเอามีดฟันต้นไม้ ก็รู้ว่าเป็นจันทน์แดง จึงกล่าวว่านี่ แน่ะ พวกเราไปสู่ทะเลอื่นก็เพื่อประสงค์จะได้ทรัพย์ การได้มาที่นี้นั้น จะหาลาภที่ยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ก็ไม้ท่อนขนาดยาว ๔ นิ้ว ก็ราคาตั้งแสนแล้ว แล้วพวกเขาก็เอาไม้จันทน์บรรทุกจนเต็มลำเรือ
พวกอมนุษย์ที่สิงในป่าจันทน์โกรธ พากันคิดว่า คนพวกนี้มันทำป่าจันทน์ของพวกเราให้ฉิบหายแล้ว พวกเราจะฆ่าพวกมัน แล้วพูดว่า เมื่อพวกมันถูกฆ่าในที่นี้ ป่าทั้งหมดก็จะกลายเป็นป่าช้าไป พวกเราจะ ให้เรือมันจมกลางทะเล แล้วต่อมาในเวลาที่คนพวกนั้นขึ้นเรือแล้วแล่นไปได้ครู่ เดียวเท่านั้น ก็ทำให้เกิดพายุลงอย่างแรง แล้วพวกอมนุษย์เหล่านั้นเองก็พากัน แสดงรูปที่น่ากลัวต่าง ๆ นานา พวกคนก็กลัวพากันไหว้เทพเจ้าของตน ๆ จุลปุณณะ น้องชายพระเถระคิดว่า ขอให้พี่ชายของข้าจงเป็นที่พึ่งด้วย เถิดแล้วก็ยืนระลึกถึงพระเถระอยู่.
ในขณะนั้นเอง พระเถระพิจารณาดูก็ได้ทราบว่าพวกเขา กำลังตกอยู่ในความฉิบหาย จึงเหาะขึ้นสู่ฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้าพวกอมนุษย์ พวกอมนุษย์เห็นพระเถระพูดว่า พระคุณเจ้าปุณณเถระมา แล้วพากันหลีกไป พายุร้ายก็สงบทันที พระเถระปลอบคนเหล่านั้นว่า ไม่ต้องกลัว แล้วถามว่า อยากจะไปไหนกัน พวกกระผมจะไปที่เดิมของตัวเองนั่นแหละครับท่าน พระเถระเหยียบแผ่นเรือแล้วอธิษฐานว่า จงไปสู่ที่ที่คนพวกนี้ต้องการ พวกพ่อค้าเมื่อไปถึงที่ของตนแล้ว ก็เล่าเรื่องนั้นให้ลูกเมียฟังแล้วชวนว่า มาเถิด พวกเราจงถึงพระ เถระเป็นที่พึ่งเถิด พ่อค้าทั้ง ๕๐๐ คน พร้อมกับพวกแม่บ้านของตนอีก ๕๐๐ คน ตั้งอยู่ในสรณะสาม ประกาศตัวเป็นอุบาสก ต่อจากนั้นก็ให้ขนสินค้าลงจากเรือ แบ่งถวายพระเถระส่วนหนึ่ง แล้วเรียนท่านว่า ท่านครับ นี้เป็นส่วนของพระคุณท่าน
พระเถระตอบว่า อาตมาไม่มีส่วนด้วยหรอก แต่พวกคุณเคยเห็นพระศาสดาแล้วหรือ
พ่อค้าตอบว่า ยัง ไม่เคยเห็นเลยท่าน
พระเถระ ถ้าอย่างนั้นขอให้พวกคุณเอา ส่วนนี้ไปสร้างโรงปะรำถวายพระศาสดา แล้วพวกคุณจะได้เห็นพระศาสดา
พวกพ่อค้านั้นก็รับว่า ดีแล้วท่าน แล้วก็เริ่มสร้างโรงปะรำด้วยทรัพย์ส่วนนั้น และเพิ่มด้วยส่วนของตนอีกมาก.
พวกอุบาสกช่วยกันสร้างโรงปะรำและเสนาสนะสำหรับพระภิกษุสงฆ์จนสำเร็จ แล้วเตรียมเครื่องทาน แล้วกราบเรียนพระเถระว่า พระคุณเจ้า พวกกระผม ได้ทำกิจเสร็จแล้ว ขอให้พระคุณเจ้าโปรดทูลพระศาสดามาเถิด ตอนบ่าย พระเถระไปถึงกรุงสาวัตถีด้วยฤทธิ์แล้วกราบทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชาวหมู่บ้านพ่อค้าอยากเฝ้าพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ได้โปรดกระทำอนุเคราะห์แก่พวกเขาเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้ว พระเถระทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้วก็กลับไปยังถิ่นของตนตามเดิม.
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรียกพระอานนทเถระมาสั่งว่า อานนท์ พรุ่งนี้พวกเราจะเที่ยวบิณฑบาตที่หมู่บ้านพ่อค้าในแคว้นสุนาปรันตะ เธอจง ให้สลากแก่ภิกษุขีณาสพ ๔๙๙ รูป พระเถระสนองพระพุทธบัญชาว่า ดีแล้ว พระ เจ้าข้า แล้วจึงบอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วพูดว่า ขอให้พวกภิกษุที่เป็นปุถุชนจงอย่าจับฉลาก ในวันนั้นท่านกุณฑธานเถระ ก็จับสลากได้ที่ ๑
พระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอรรถอุบัติเหตุเกิดเรื่อง จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้จับสลากได้ที่ ๑ ในศาสนาแล.
ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk-great-index-page.htm
อนุโมทนา ครับ