ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 09:26:16 am »

อนุโมทนาครับพี่มด  :13:
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 09:00:41 am »

มันตรยาน และ สหัชยาน

            บรรดานิกายต่างๆ ของพระพุทธศาสนา นิกายมันตรยาน และสหัชยานนับว่ามีคนรู้จักน้อยที่สุด ทั้งนี้เพราะเป็นนิกายที่เกิดขึ้นในชั้นหลัง อย่างไรก็ตามคำว่า “มันตร” ปรากฏอยู่แล้วในข้อความบางตอนของพระไตรปิฎก เช่นใน อาฏานาฏิยสูตร แม้ว่าเราจะไม่ค่อยเห็นการใช้มนตร์กันในพระพุทธศาสนายุคแรกๆ  แต่เราก็อาจกล่าวได้อย่างไม่ผิดว่า เพราะมนตร์ในสมัยดั้งเดิมนั่นเอง นิกายมนตรยานจึงเกิดขึ้น และเจริญคู่คี่มากันพระพุทธศาสนานิกายอื่นๆ เป็นเวลาช้านาน แล้วจัดให้เป็นระบบและเรียกว่า “ยาน” ในกาลต่อมา ในสมัยแรกๆ มันตรยานและสหัชยานสอนเรื่อง ความเจริญของจิตใจอันมีผลทางจิตวิทยา คำสอนของนิกายทั้งสอนนี้มีลักษณะเฉพาะเจาะจง และจเข้าใจได้ก็ด้วยทำให้เกิดประสบการณ์ขึ้นทันที แต่ทำให้เราเข้าใจความแตกต่างระหว่างนิกายทั้งสองนั้นได้ยากเพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเหลือเกิน

            เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะทราบได้อย่างไรว่า มันตรยานคืออะไร และหลักสำคัญของมันตรยานคืออะไร เรื่องนี้มีคำอธิบายอย่างชัดเจนอยู่ในหนังสือของท่าน ปัทมะ การโป จากคำอธิบายของท่านผู้นี้ ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า มันตรยานมุ่งต่อความสำเร็จ ชนิดเดียวกับที่พระพุทธศาสนานิกายอื่นๆประสงค์ กล่าวคือ การรวมบุคคลเข้ากับโพธิหรือความบริสุทธิ์สูงสุดของจิตใจ แม้จะมีจุดมุ่งหมายเหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติแตกต่างกันเป็นอันมาก การจะบรรลุโพธิได้ขึ้นอยู่กับความพยายามของบุคคลแต่ละคน จะทำแทนกันไม่ได้ แต่มีพิธีกรรมขั้นต้น บางประการที่ทำให้บุคคลเข้าถึงโพธิง่ายขึ้น พิธีกรรมขั้นแรกนั้นก็คือ การถึงสรณะ และการสร้างโพธิจิต (จิตที่น้อมไปเพื่อการตรัสรู้) ให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติต่อไป การถึงสรณะนั้น ก็คือการนับถือพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ว่าเป็นที่พึ่ง การนับถือนั้นไม่ได้ความว่า นับถือพระพุทธ พระสงฆ์ที่เป็นบุคคล และพระธรรมที่เป็นคัมภีร์ แต่หมายถึงการนับถือพระรัตนตรัยโดยพระคุณ การถึงสรณะนี้ เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการตกลใจ ที่จะบำเพ็ญเพียรให้ตรัสรู้เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย และการตกลงใจนั้เร่งเร้าให้เกิดการเปลี่ยนท่าทีเดิม คือผู้ปฏิบัติจะเปลี่ยนจากการแสวงหาปัญญาธรรมดา ไปแสวงหาญาณทัสสนะ ซึ่งจะเห็นตนเองและโลกโดยรอบด้าน ขั้นต่อไปก็คือ การเพิ่มพูนพัฒนาความมุ่งหมายใหม่นี้ ให้เจริญโดยการทำสมาธิ ในการทำสมาธินั้น การท่องมนตณืนับว่าเป็นสิ่งสำคัญในอันที่จะกำจัดกิเลสอสวะทั้งปวง คำว่า “มนตร์” มีคำจำกัดความว่า  “การคุ้มครองจิตใจ” คือเป็นเครื่องป้องกันจิตใจไม่ให้ดำเนินไปนอกทาง จึงนับว่าเป็นการช่วยเหลือในการทำสมาธิโดยตรง จิตใจของมนุษย์เรานั้นไม่ใช่ถูกครอบงำ โดยภาพมายาทั้งภายในและภายนอกเท่านั้น หากแต่ถูกครอบงำด้วยคำพูดด้วย อำนาจของคำพูดเป็นสิ่งที่มีผลต่อจิตใจมาก เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำไม่กี่พยางค์ ก็สามารถป้องกันไม่ให้ บุคคลลดความพยายามลงมา แสวงหาปัญญาเพียงขั้นธรรมดา แม้ว่ามนตร์ตจะเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอำนาจ ดังกล่าว แต่การใชมนตร์แต่ละอย่างขึ้นอยู่กับจริต อัธยาศัย ของนักปฏิบัติแต่ละคน วิธีปฏิบัตินี้ได้รับการปรับปรุงในนิกายมนตรยาน โดยใช้วิชาการมากที่สุด ถัดจากพิธีนี้ก็ถึงพิธีให้ “มณฑล” ซึ่งเป็นพิธีที่ทำให้คุณธรรม และปัญญาที่จำเป็นขั้นต้นบริบูรณ์ จิตวิทยาสมัยใหม่ได้ค้นพบคุณค่าตามธรรมชาติของ “มณฑล” ว่าเป็นกระบวนการให้เกิดปัญญาได้ แต่พระพุทธศาสนายังก้าวเลยการค้นพบของจิตวิทยา สมัยใหม่ไปอีก และแก้ปัญหาได้สมบูรณ์กว่าจิตวิทยา เพราะพระพุทธศาสนาไม่แยกคนออกจากสิ่งแวดล้อมของเขา สิ่งแวดล้อมนั้น ได้แก่เอกภพทั้งหมด ไม่ใช่เพียงสิ่งที่สังคมยอมรับเท่านั้น ในการบำเพ็ญ “มณฑล” นั้น แต่ละขั้นตรงกับปารมิตา 6 คือ เสรีภาพ จริยธรรม ขันติ วิริยะ สมาธิ และปัญญา นี้หมายความว่า การสร้าง “มณฑล” ขึ้นมีคุ่ณค่าเป็นอย่างมาก เพราะมีผลต่อพฤติกรรมของคน มันตรยานก็เช่นเดียวกับมหายานนิกายอื่น ๆ คือขัดแย้งอย่างรุนแรง กับพระพุทธศาสนาเถรวาท มันตรยานได้ตั้งจุดประสงค์ และอุดมคติไว้เป็นแบบปฏิฐาน (โพธิ) ส่วนเถรวาทตั้งไว้เป็นและนิเสธ (นิโรธ) การปฏิบัติทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการเตรียมไว้สำหรับขั้นสุดท้าย คือ “คุรุโยคะ” ด้วยการบำเพ็ญคุรุโยคะนี้ บุคคลจะบรรลึงการรวมกันระหว่างตัวตนกับความจริงอันติมะ อย่างแบ่งแยกมิได้ คุรุโยคะ เป็นข้อปฏิบัติที่แปลกที่สุดอย่างหนึ่ง และวิธีปฏิบัติก็ยุ่งยากสลับซับซ้อน แม้ว่าตามความหมายที่แท้ คุรุก็คือ ตัวความจริงนั่นเอง และแม้ความจริงจะพบในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่พบในสิ่งสิ้นสุดที่คิดฝันเอา ถึงกระนั้นคัมภีร์ของมันตรยานก็ยังคงเป็นความลับอยู่

            นิกายที่ใกล้ชิดกับมันตรยานก็คือ สหัชยาน สหชะแปลว่าอะไร ตามตัวอักษรแปละว่าเกิดรวมกัน ก็อะไรเล่าที่เกิดร่วมกัน ปัญหาข้อนี้ นักปราชญ์ชาวธิเบต และท่านมิลาเรปะได้ตอบไว้แล้ว ท่านอธิบายว่า สิ่งที่เกิดร่วมกันนั้น ได้แก่ธรรมกายกับปัญญา นี่หมายความว่า ธรรมกายกับปัญญาจะแบ่งแยกไม่ได้คือเอกภาพ เอกภาพนี้หมายความว่า “สัจจะ” เป็นหนึ่งและแบ่งแยกมิได้ แต่บุคคลก็อาจใช้ปัญญา วิเคราะห์ แยกแยะออกไปได้ ดังนั้นเอกภาพแห่งจิต (ธรรมกาย) กับปัญญา บุคคลจะบรรลุได้ก็ด้วยการบำเพ็ญเพียรจนได้ตรัสรู้ การที่เข้าใจว่า เอกภาพนี้เป็นสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นอย่างเลื่อนลอย เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะการจะบรรลุความตรัสรู้นี้ได้ จำเป็นต้องทำสมาธิ การทำสมาธิ ต้องอาศัยประสบการณ์โดยตรง และอาศัยการสังเกตว่า ปัญญาทำหน้าที่ร่วมไปกับอารมณ์ การที่จิตใจทำงานสองอย่างพร้อมกันจะทำให้เกิดกิเลสขึ้น  กิเลสนั้นจะปกคลุมจิตใจให้มืดมิด ภาวะการณ์ เช่นนี้จะละได้ก็ด้วยบำเพ็ญสมาธิ ความสงบระงับไม่ใช่สิ่งที่บุคคลจะบรรลุได้ด้วยการแกล้งทำ แต่จะบรรลุได้ด้วยความรู้แจ้งในกระบวนการของจิต ความสงบระงับนั้นนับว่าเป็นรากฐานที่จำเป็นประการแรก ที่จะบำเพ็ญทางจิต ให้สูงขึ้นไป เรายิ่งปฏิบัติตามวิธีนี้สูงขึ้นไปเพียงใด เราก็จะเกิดความชำนาญขึ้นเพียงนั้น และญาณทัสสนะก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเพียงนั้น เพราะว่า สิ่งที่มาปิดบังปัญญาได้ถูกกำจัดให้หมดไป การบรรลุถึงขั้นนี้ ได้ต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติเพียงแต่คิดหาเหตุผลหาได้ไม่ ทฤษฎีของมหายานว่าด้วยเอกภาพแห่งสังสารวัฏฏ์ กับนิพพาน และเอกภาพแห่งกิเลสกับความตรัสรู้ จึงนับว่าเป็นทฤษฎีที่สำคัญมาก

            สิ่งที่สหัชยานสอนไม่ใช่ระบบสร้างปัญญาเลย แต่เป็นการปฏิบัติวินัยอย่างเข้มงวด บุคคลจะต้องปฏิบัติวินัยนั้น จนเกิดความรู้ขึ้นมาเอง ข้อนี้ทำให้เราเข้าใจสหัชยานยาก และให้คำจำกัดความยาก ยิ่งกว่านั้น สหัชยานได้ย้ำถึงการเข้าถึงความแท้จริงด้วยญาณทัสสนะ เราจึงเห็นได้ว่า หน้าที่ของญาณทัสสนะนั้น ไม่ได้เป็นอันเดียวกันกับหน้าที่ของปัญญา และยังเห็นด้วยว่าญาณทัสสนะกับปัญญาต่างกันโดยสิ้นเชิง

            ทั้งมันตรยานและสหัชยาน มีหลักสำคัญอยู่ 4 ประการคือ

1        ทรรศนะเกิดมากจาประสบการณ์ (ทฤษฎี)

2        อบรมทรรศนะนั้นให้เกิดขึ้น (ภาวนา)

3        ปฏิบัติตามทรรศนะนั้น (จริยา)

4        การรวมบุคคลเข้ากับทรรศนะนั้น (ผล)

ผลของการปฏิบัตินี้ อาจเรียกได้ต่างๆกันว่า “ความตรัสรู้” “ความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ” หรือ “พุทธภาวะ”

            มันตรยาน และสหัชยานมีอิทธิพลที่สุด ในธิเบตและมีหลักฐานอย่างเพียงพอว่า นิกายทั้งสองนี้ เป็นรากฐานของพระพุทธศาสนาแบบเซนด้วย อิทธิพลของนิกายทั้งสองที่มีมากอย่างน่าสังเกตนั้น เป็นเพราะสอนถึงธรรมชาติของมนุษย์ทั้งหมดว่า มนุษย์นั้นไม่ใช่เป็นเพียงสัตว์ที่ใช้ปัญญา แต่เป็นสัตว์ที่ใช้อารมณ์ด้วย และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า  ในชีวิตประจำวัน คนเราใช้อารมณ์มากกว่าใช้ปัญญาหลายเท่า ดังนั้น ขณะที่นิกายมาธยมิก วิชญาณวาท ไวภาษิกะ และเสาตรานติกะ ซึ่งเป็นนิกายที่สร้างทฤษฎีให้เกิดปัญญา มีผู้สนใจเพียงศึกษาเท่านั้น นิกายมนตรญานและสหัชยาน ยังมีผู้ปฏิบัติอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ในพระพุทธศาสนาที่มีอยู่ในธิเบต ประเทศต่างๆแถบภูเขาหิมาลัย จีน และญี่ปุ่น ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมันตรยาน และสหัชยานทั้งสิ้น

            แม้ว่ามันตรยาน และสหัชยานไม่ใช่เป็นนิกายที่ติดอยู่กับหลักที่จำกัดอย่างแน่นหนา เหมือนนิกายไวภาษิกะ และวิชญาณวาท นิกายทั้งสองนั้นก็มีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ต่อพระพุทธศาสนาที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือ นิกายมันตรยานมีอิทธิพลในทางเข้าเร้าอารมณ์ให้เลื่อมใสง่าย และมีพิธีกรรมอันสวยสดงดงาม ส่วนสหัชยานมีอิทธิพลในด้านการปฏิบัติสมาธิอย่างลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า นักปราชญ์ที่เด่นๆ ในพระพุทธศาสนา เช่น ท่านอสังคะ ท่านศานติเทวะ ท่านติโลปา ท่านนาโรปา ท่านไมตรีปา ท่านเซอร์กลิงปา  และคนอื่นๆจะไม่มีส่วนการสร้างนิกายทั้งสองนั้น

สภาการศึกษา มหามกุฎราชวิทยาลัย

หนังสือ พุทธศาสนประวัติ ระหว่าง2500ปีที่ล่วงแล้ว

http://www.mahayana.in.th/buddhism/วัชรยาน.htm
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 08:59:54 am »

  ในธิเบต ธยานีพุทธะ และธยานีโพธิสัตว์ทั้งที่เป็นบุรุษ และสตรีถือกันว่า เป็นบุคคลที่แทบไม่มีความรู้สึกทางเพศ ในนิกายต่างๆของญี่ปุ่นที่ได้กล่าวข้างต้นก็ถืออย่างนี้เหมือนกัน สำหรับชาวธิเบตแล้ว แม้การรวมกันของธยานีพุทธะเหล่านั้น มีความเกี่ยวข้องอย่างแนบแน่นกับความจริงอันสูงสุด  ในการปฏิบัติเพื่อความตรัสรู้ ฉะนั้นจึงเป็นการพ้นจากความสัมพันธ์กับกามารมณ์ทางกายโดยสิ้นเชิง

            เราต้องไม่ลืมว่า ภาพแสดงของสัญลักษณ์เหล่านี้ ไม่ได้ถือว่าเป็นภาพมนุษย์ หากแต่เป็นการแสดงประสบการณ์ และญาณทัสสนะในการทำสมาธิ ให้เป็นรูปร่างขึ้น ในสภาวะเช่นนั้น ไม่มีอะไรที่เอาจเรียกได้ว่ากามารมณ์ มีแต่เพียงธรรมชาติสองประการ ซึ่งควบคุมการทำงานทั้งกายและทางใจ ธรรมชาติ2ประการนั้น จะข้ามพ้นได้ก็เฉพาะในสภาวะที่มันรวมกันในที่สุด กล่าวคือในการบรรลุศูนยะตา นี้เป็นสภาวะซึ่งเรียกว่า “มหามุทรา” ซึ่งเป็นชื่อระบบการทำสมาธิระบบหนึ่งในธิเบต ในลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนาแบบอินเดียยุคแรกๆ มหามุทราถูถือว่าเป็นสตรีเพศอันนิรันดร ดังจะเห็นได้จากคำจำกัดความของ อัทวยวัชระ ว่า “คำว่า มหา กับ มุทรา รวมกันเป็นคำว่า มหามุทรา มหาทุราไม่ใช่อะไรสิ่งหนึ่ง แต่พ้นจากการครอบงำของ สิ่งอันมองเห็นได้ มหามุทราส่องแสงเหมือนกับท้องฟ้าอันสงบในเวลาเที่ยงระหว่างฤดูใบไม้ร่วง มหามุทราเป็นเครื่องสนับสนุนความสำเร็จทั้งมวล มหามุทราเป็นเอกภาพแห่งสังสารวัฏฏ์กับนิพพาน มหามุทรา คือความกรุณาซึ่งไม่จำกัดอยู่แก่วัตถุสิ่งใด มหามุทราเป็นเอกภาพแห่งความสุขอันยิ่งใหญ่

            แม้ในหนังสือ ปรัชโญบายวินิศจัยสิทธิ ของอนังควัชระ จะกล่าวว่า “สาธกะควรได้รับการบำเรอจากสตรีทุกคน เพื่อได้เสวยมหามุทรา” แต่ข้อความนี้ ก็เข้าใจไม่ได้ด้วยความหมายทางกาย แต่อาจประยุกต์ได้กับความรักชั้นสูง ซึ่งไม่จำกัดอยู่ในวัตถุสิ่งเดียวและซึ่งสามารถมองเห็นคุรภาพของสตรีทั้งปวง ไม่ว่าในตัวเราเอง หรือในผู้อื่น เช่นคุณภาพของทิพยมารดา (ปรัชญาปารมิตา หรือโลกุตตรปัญญา)

            ข้อความอีกตอนหนึ่ง มีใจความน่าตกใจ ซึ่งจะถือตามตัวอักษรไม่ได้ ข้อความนั้นมีอยู่ว่า “สาธกะผู้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับมารดาของตนเอง กับพี่สาวน้องสาวของตนเอง กับบุตรสาวของตนเอง และกับหลานสาวของตนเอง จะประสบความสำเร็จในความพยายาม เพื่อจุดหมายปลายทางขั้นสุดท้ายอย่างง่ายดาย”

            การยึดถือคำว่า มารดา พี่สาวน้องสาว บุตรสาว และหลานสาวตามตัวอักษรในเรื่องนี้ เป็นสิ่งไร้ความหมาย เหมือนอย่างถือเอาตามตัวอักษรในคาถาธรรมบท (คาถาที่294) ว่า “บุคคลผู้ฆ่าบิดา มารดาพระราชา ผู้กษัตริย์ 2 พระองค์ และทำลายราชอาณาจักรพร้อมด้วยประชาชนแล้ว จะเป้นพราหมณ์ พ้นจากบาปทั้งปวง” ในคาถาธรรมบทนั้น คำว่าบิดามารดาหมายถึงอัสมิมานะและตันหา พระราชาสองพระองค์หมายถึงอุจเฉททิฏฐิ และสัสสตทิฏฐิ ราชอาณาจักรพร้อมด้วยประชาชน หมายถึงอายตนะ 12 และพราหมณ์ หมายถึงภิกษุผู้หลุดพ้น

            การกล่าวว่า พุทธศาสนิกฝ่ายตันตระ ส่งเสริมให้มีการ่วมเพศระหว่างญาติ และส่งเสริมสิ่งที่ผิดศีลธรรมย่อมเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะ เช่นเดียวกับการกล่าวหาพุทธศาสนิกฝ่ายเถรวาทว่า ทำมาตุฆาต ปิตุฆาตและประกอบอาชญากรรมอันร้ายแรงอื่นๆ ถ้าเราพยายามสำรวจประเพณีตันตระ ตามแบบแผนที่แท้จริง ดังที่มีอยู่ในวัดและอาศรมของธิเบตนับเป็นจำนวนพันๆแล้วเราจะเห็นว่า การที่ทฤษฎีปัจจุบันพยายามดึงตันตระลงมาหาความเกี่ยวข้องกับกามารมณ์นั้น เป็นการกระทำที่ผิดและไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง

            ตามทรรศนะของลัทธิตันตระ ข้อความที่กล่าวแล้วข้างต้น จะมีความหมายก็เฉพาะในการใช้ศัพท์ทางโยคะเท่านั้น

            สตรีทุกคนในโลก มีธาตุทุกอย่าที่รวมกันเข้าเป็นหลักธรรมฝ่ายสตรีซึ่งเป็นแหล่งก่อกำเนิดของบุคคลทั้งทางจิตและทางกาย อันตรงกับสิ่งที่พระพุทะ
เจ้าตรัสเรียกว่า “โลก” ส่วนฝ่ายตรงกันข้าม ก็มีหลักธรรมฝ่ายบุรุษมีจำนวนเท่านกับหลักธรรมฝ่านสตรีเหล่านั้น หลักธรรมฝ่ายสตรี 4 ประการ ได้แก่ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม และสิ่งที่เป็นคู่กับธาตุเหล่านี้ คือ จิตตจักร  หรือระดับวิญญาณในร่างกายมนุษย์ในจิตตจักรแต่ละขั้น จะต้องมีการรวมกัน ระหว่างหลักธรรมฝ่ายบุรุษกับหลักธรรมฝ่ายสตรี ก่อนที่จะถึงขั้นที่ 5 อันเป็นขั้นสูงสุด ถ้าเราประยุกต์ คำว่ามารดา พี่สาว น้องสาว บุตรสาว เป็นต้น กับคุณธรรมสำคัญของมหาภูตธาตุอันทรงพลังเหล่านี้ เราจะเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

            กล่าวอีกนัยหนึ่ง แทนที่จะต้องแสวงหา การรวมกันกับสตรีภายนอกตัวเรา เราก็แสวงหาสตรีจากภายในตัวเราเอง โดยรวมธรรมชาติฝ่ายบุรุษกับสตรีเข้าด้วยกันโดยการทำสมาธิ ข้อนี้แสดงไว้ชัดเจนแล้วในหลัก 6 ประการของติโลปะหลัก 6 ประการนี้ เป็นรากฐานแห่งวิธีบำเพ็ญโยคะที่สำคัญที่สุดของ นิกาย กาจูปา และเป็นหลักที่มิลาเรปาใช้ปฏิบัติ แม้ว่าเราไม่อาจอธิบายรายละเอียดของโยคะนี้ได้ แต่เราได้คัดลอกข้อความสั้นๆมาพิสูจน์ความเป็นของเราดังนี้

            “อำนาจของขันธ์ 5 ตามธรรมชาติอันแท้จริง เป็นพุทธภาวะเพศชายซึ่งปรากฏทางจิตประสาทฝ่ายซ้าย อำนาจของธาตุ 5 ตามธรรมชาติอันแท้จริง เป็นพุทธภาวะเพศหญิง อันปรากฏทางจิตประสาทฝ่ายขวา เมื่ออำนาจอันประกอบด้วย พุทธภาวะทั้งสองรวมกันลงมาสู่ประสาทกลาง ความตรัสรู้ก็ค่อยๆ เกิดขึ้น”  บุคคลผู้ตรัสรู้นั้นก็ได้บรรลุพรพิเศษของมหามุทรา คือการรวมกันของบุรุษเพศและสตรีเพศ (อุบาย และปัญญา) ในพุทธภาวะอันสูงสุด

            ดังนั้น เพียงเราสามารถเห็นความสัมพันธ์ ระหว่างร่างกายกับจิตใจ เห็นปฏิกิริยา ระหว่างร่างกายกับจิตใจโดยได้สัดส่วนกันพอดี และสามารถเอาชนะ “ตน” และ “ของตน” ความรู้สึกเห็นแก่ตัว และทรรศนะที่แฝงไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว ตลอดถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ อันก่อให้เกิดมายา คือตัวตนแยกๆ กัน เราก็บรรลุพุทธภาวะได้

            ตามที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่เพียงแต่วิวิฒนาการมาจากนิกายวิชญาณวาท และโยคาจารเท่านั้น ยังเป็นผลทางตรรกวิทยา และผลสุดท้ายของหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา กล่าวคือกฎปฏิจจสมุปบาท แม้อริยสัจจ์ 4 และมรรคมีองค์ 8 จะเป็นพหุลานุสาสนีของพระพุทธเจ้า แต่ก็เป็นหลักทั่วๆไป ไม่ได้สร้างแนวคิดทางศาสนาขึ้นใหม่ ความจริงเรื่องทุกข์และความจริงว่า ทุกข์อาจดับได้ด้วยการดับความอยาก อันประกอบด้วยความเห็นแก่ตัว (ตัณหา) นั้น เป็นหลักทั่วไปในศาสนาต่างๆของอินเดีย คือ ในศาสนาอื่น ก็มีสอนเหมือนกัน มรรคมีองค์ 8 ก็เป็นการกล่าวซ้ำ สิ่งที่นักปฏิบัติชาวอินเดียเชื่อถือกันอยู่แล้ว หรือเป็นการกล่าวซ้ำสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า เป็นหลักทั่วไปของคนที่นับถือศาสนา โดยไม่จำกัดว่าศาสนาใดๆ

            แต่การที่พระพุทธศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นหรือ เด่นกว่าศาสนาอื่นทั้งหมดอยู่ที่ ทรรศนะว่า โลกนี้ไม่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าผู้สร้าง  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา หากแต่ขึ้นอยู่กับกฎแห่งความสัมพันธ์ ระหว่างวัตถุกับจิตใจ หรือกฎปฏิจจสมุปบาท กฎนี้ไม่ใช่เพียงเหตุผลที่สืบเนื่องกันเป็นสายโซ่  ซึ่งเป็นการสะดวกสำหรับประยุกต์กับความเป็นไปในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังเป็นทรรศนะที่แสดงว่า ไม่มีอะไรแยกอยู่เป็นหน่วยหนึ่งในตัวเอง หรือโดยตัวเองในกาลหรือในอวกาศ แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะต่างๆ และเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลก  ดังนั้นเราจึงไม่อาจกล่าวได้ว่ามัน “มี” หรือ “ไม่มี” “เป็น”  หรือ  “ไม่เป็น”

            สมจริงดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสังยุตตนิกายว่า “ดูก่อนกัจจานะ โลกนี้ติดอยู่กับสิ่งสองประการคือ “ความมี” และ “ความไม่มี” ผู้ใดเห็นความเกิดขึ้น ของสิ่งทั้งหลายในโลกตามความเป็นจริงและด้วยปัญญา “ความไม่มี” อะไรในโลกจะไม่มีแก่ผู้นั้น ดูก่อนกัจจานะ ผู้ใดเห็นความดับของสิ่งทั้งหลายในโลกตามความเป็นจริงและด้วยปัญญา “ความมี” อะไรในโลกจะไม่มีแก่ผู้นั้น

            จากพระพุทธดำรัสนี้ ทำให้เราสามารถเข้าใจคำสอน เรื่องอนัตตาของพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น เมื่อพระอัสสชิ ได้รับคำขอร้องจากพระสารีบุตร ให้ย่อคำสอนของพระพุทธเจ้าลงในคาถาเดียว ท่านจึงไม่กล่าวถึง อริยสัจจ์ 4 หรือมรรคมีองค์ 8 แต่กล่าวถึงปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นธรรมที่ลึกซี้งที่สุด และเมื่อนาครชุนได้พื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ท่านก็ได้ใช้กฎปฏิจจสมุปบาทเป็นรากฐานของพระพุทธศาสนา ซึ่งปรากฏอยู่ในคาถาแห่งหนังสือ มูลมัธยมก

            พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาท อันไม่มีความดับ ไม่มีความเกิด ไม่มีความขาดศูนย์ ไม่มีความยั่งยืน ไม่ใช่สิ่งเดียว ไม่ใช่หลายสิ่ง ไม่มีการมา ไม่มีการไป เป็นความสงบกิเลสเครื่องเนิ่นช้า เป็นสิ่งประเสริฐ ข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ประเสริฐกว่าศาสดาทั้งปวง

            คำว่า “ประปัญจะ” หรือ “กิเลสเครื่องเนิ่นช้า” หรือความเป็นไปต่างๆ” นี้เป็นไวพจน์ของคำว่า “มายา” หรือ “ความลวงอันเกิดจากศักติ” หรือ “อำนาจสร้างโลกอย่างไม่ลืมหูลืมตา” อำนาจนี้เองที่นำเราดิ่งลงไปในความมีความเป็น และความเกิดความตาย เราจะต้องตกอยู่ในอำนาจของมายานี้เรื่อยไป ถ้าเราไมม่สร้างปัญญา หรือความรู้เห็นธรรมดาของโลกตามเป้นจริงให้เกิดขึ้น การเห็นโลกตามความเป็นจริง ก็หมายถึการเห็นตัวเราเองตามความเป็นจริง เพราะธรรมดาของโลก ไม่ได้แตกไปจากธรรมดาของตัวเองโลกภายในและโลกภายนอก ถ้าจะเปรียบก็เหมือนผ้าผืนเดียวกัน มีสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นชั้นนอกอีกด้านเป็นชั้นใน แต่ทั้งสองด้านนั้นก็ทอด้วยด้ายเส้นเดียวกัน โลกภายในและโลกภายนอกก็มีสภาพเช่นนั้น เพราะประกอบด้วยสิ่งอันเดียวนั่นเอง

            ความคิดเช่นนี้ ไม่มีที่ใดแสดงไว้อย่างห้าวหาญ เหมือนในตันตระของพระพุทธศาสนา คำว่า “ตันตระ” เองก็หมายความว่าผสม คือสิ่งผสมทั้งหลายกับการกระทำเข้าด้วยกันหรือการอาศัยกันของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่หรือความสืบต่อกันของเหตุและผลเป็นลูกโซ่ หรือความคลี่คลายขยายตัวของประเพณี ซึ่งเหมือนกับเส้นด้าย รวมกันเข้าเป็นผืนผ้านั้นเอง เพราะฉะนั้นคำว่า “ตันตระ” จึงหมายถึง ประเพณี หรือสันตติ ของวิญญาณ อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ซึ่งมีชื่อว่า “ตันตระ”ในพระพุทธศาสนามีคำสอนลึกลับต่างๆ และพยายามจะสร้างความสัมพันธ์ภายในระหว่างสิ่งทั้งหลาย โดยการฝึกหัดจิตในการฝึกหัดนั้น ยันตระ มันตระ และมุทรา รูปเสียง และสัมผัส กับ กาย วาจา และใจ จะต้องร่วมกัน เพื่อบรรลุถึงความสมบูรณ์ขั้นสุดท้ายหรือความตรัสรู้

            ดังนั้นในการใช้ศัพท์ต่างๆของ คุรุกัมโปปะ จึงอาจกล่าวได้ว่า ตันตระในพระพุทธศาสนามีปรัชญา ที่ประมวลความรู้ทั้งหมดไว้ คือเป็นระบบการทำสมาธิ ซึ่งสร้างจิตตานุภาพให้เกิดขึ้น หรือเป็นศิลปะแห่งการครองชีพที่เราสามารถใช้กาย วาจา ใจ ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินไปสู่ความหลุดพ้น

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 08:59:19 am »

   พวกเถรวาทจะตกใจ ถ้าคำว่า อนัตตา (สันกฤตเรียกอนาตมัน) ถูกแปลความหมายในในทางตรงกันข้าม คือ ให้มีความหมายเหมือนกับคำว่าอาตมันของพราหมณ์ หรืออธิบายไปในทำนองว่า พวกเถรวาทยอมรับความคิดเรื่องอาตมัน (เนื่องจากพระพุทธศาสนา เป็นเพียงสาขาหนึ่งของศาสนาพราหมณ์) ฉันใด พุทธศาสนิกชาวธิเบตก็ฉันนั้น จะรู้สึกตกใจ เมื่อมีใครมาตีความหมายศาสนาของเขาผิดๆว่า เหมือนศักติของฮินดู เพราะคำว่าศักติไม่เคยใช้ในคัมภีร์ของธิเบต และคำว่าศักตินั้นมีความหมายตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาต้องการแสดงโดยใช้ศัพท์ว่า ปัญญาหรือสตรีเพศ ซึ่งเป็นคู่กับธยานีพุทธะ และธยานีโพธิสัตว์

            ระบบเทวนิยมสุดโต่ง ซึ่งเต็มไปด้วยความคิด เรื่องพระเจ้าผู้สร้างนี้ใครๆ ไม่อาจจะเปลี่ยนมาเป็นระบบอเทวนิยม ซึ่งปฏิเสธเรื่องพระเจ้าผู้สร้างอย่างเด็ดขาด ตามอำเภอใจได้ ด้วยความสับสนในการใช้ศัพท์ จึงได้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นว่า อภิพุทธะของตันตระยุคต่อมานั้น หาใช่อะไรอื่นไม่ หากแต่เป็นพระเจ้าผู้สร้างในรูปใหม่ ซึ่งนับว่าทรรศนะเช่นนี้ตรงกันข้ามกับทรรศนะในพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม อภิพุทธะก็เป็นสัญลักษณ์แห่งสกลภาพอกาลิกภาพ และสัมบูรณภาพแห่งดวงจิตอันตรัสรู้แล้ว หรืออย่างที่ กูเอนเธอร์ กล่าวไว้อย่างห้าวหาญว่า “คำพูดที่ว่าเอกภาพหรือมนุษย์เป็นอภิพุทธะ เป็นเพียงการแสดงประสบการณ์ทั่วไป ที่ยังไม่ชัดเจนพอ อันที่จริงอภิพุทธะไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า ผู้เอาโลกเป็นกระดานหมากรุก และเล่นหมากรุกเพื่อฆ่าเวลาของพระองค์ อภิพุทธะไม่ใช่เอกเทวนิยม อันจะเพิ่มเติมจากพระพุทธศาสนาอเทวนิยมยุคแรก ความเข้าใจเช่นนั้น เป็นความผิดพลาดของนักนิรุกติศาสตร์ พระพุทธศาสนาไม่นิยมสร้างทฤษฎี แต่พยายามขุดค้นลงไปในห้วงลึกแห่งจิตของเรา และพยายามทำแสงอันริบหรี่ ให้สว่างจ้าไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นอภิพุทธะ ถ้าจะแปลให้ถูกต้องอย่างที่สุด ก็ต้องแปลว่า “ผู้เปิดเผยธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์”

            เพราะความสับสนระหว่าง ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนา กับลัทธิศักติในตันตระของฮินดู จึงได้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น ซึ่งทำให้คนรุ่นหลังไม่เข้าใจ พระพุทธศาสนาแบบวัชรยานและสัญลักษณ์ของวัชรยาน  ทั้งภาพเขียนและคัมภีร์ โดยเฉพาะคัมภีร์เรื่องสิทธะ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ คัมภีร์สิทธะนั้นใช้สัญลักษณ์พิเศษอย่างหนึ่ง คือสิ่งที่สูงที่สุดแสดงในรูปของสิ่งที่ต่ำที่สุด สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแสดงในรูปของสิ่งที่ธรรมดาสามัญที่สุด สิ่งที่เป็นโลกุตตระ แสดงในรูปของสิ่งที่เป็นโลกีย์อย่างที่สุด ความรู้อันลึกซึ้งที่สุด แสดงด้วยถ้อยคำที่เปิ่นๆที่สุด การแสดงเช่นนี้ไม่ใช่เป็นภาษาของนักปฏิบัติเท่านั้น แต่เป็นการแสดงให้คนทั่วๆไป รู้สึกทึ่งและงงงวย ซึ่งนับเป็นสิ่งจำเป็น ในการสร้างวุฒิปัญญาทางศาสนา และปรัชญาในสมัยนั้น

            พระพุทธเจ้า ทรงปฏิวัติประเพณีนิยม ที่แสดงความใจแคบ คือให้อภิสิทธิแก่พวกพราหมณ์ฉันใด พวกสิทธะก็ปฏิวัติความสุขสบายของตนเองคือ การอยู่ในวัดที่มุงบัง อันเป็นเหตุไม่ให้รู้ความจริงฉันนั้น ภาษาของพวกเขา เป็นภาษาที่ผิดธรรมดาสามัญ เช่นเดียวกับชีวิตของพวกเขา ผู้ที่ถือเอาคำพูดของเขาตามตัวอักษร ถ้าไม่ปฏิบัติผิด โดยพยายามแสวงหาอำนาจทางไสยและความสุขทางโลก ก็จะต้องเลิกปฏิบัติ เพราะเห็นคำดุพระพุทธเจ้าด่าบูรพาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกอะไร ที่พอพระพุทธศาสนาเสื่อมศูนย์ไปจากอินเดีย คัมภีร์นั้นก็ถูกลืม หรือกลายเป็นลักทธิตันตระที่ถือความสัมพันธ์ทางเพศเป็นสำคัญ

            ไม่มีอะไรผิลพลาดยิ่งไปกว่า การยึดถือว่าการปฏิบัติทางจิตของตันตระในพระพุทธศาสนา เหมือนกับลัทธิตันตระอันเสื่อมทรามดังกล่าวข้างต้น ตันตระในพระพุทธศาสนานั้น เราจะรู้ลึกซึ้งไม่ได้โดยการศึกษาเพียงทฤษฎีกล่าวคือ เพียงทำการเปรียบเทียบหรือศึกษาคัมภีร์เก่าแก่ หากแต่เราจะรู้ได้โดยการลงมือปฏิบัติ ด้วยการเข้าถึงประเพณีของตันตระซึ่งยังคงมีอยู่ และด้วยวิธีทำสมาธิ อย่างที่ปฏิบัติกันในธิเบต มงโกเลีย และในนิกายบางนิกายของญี่ปุ่น เช่น นิกายชินงอน นิกายเทนได เป็นต้น เกี่ยวกับนิกายทั้งสองที่กล่าวนั้น เกลสแนป ได้ให้ข้อสังเกตว่า “พระโพธิสัตว์ที่เป็นสตรี ซึ่งปรากฏรูปในหนังสือ มัณฑละ เช่นปรัชญาปารมิตา และจุณฑิ เป็นบุคคลที่ไม่มีเพศ และยึดถือกันมาแต่โบราณว่า พระโพธิสัตว์เหล่านี้ งดเว้นความสัมพันธ์ทางเพศอย่างเด็ดชาด” ในเรื่องนี้นิกายทั้งสองแตกต่างจากนิกายต่างๆในเบงกอล เนปาลและธิเบตซึ่งย้ำถึงหลักธรรมฝ่ายบุรุษและสตรี

            การพูดถึงเบงกอล เนปาล และธิเบตรวมกันในที่นี้แสดงว่า ลัทธิตันตระในเบงกอล และเนปาลมีลักษณะเหมือนกับลัทธิตันตระในธิเบต แม้ผู้เขียนจะเห็นความจำเป็นในการอธิบาย ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง ลัทธิตันตระกับลัทธิศักดิ แต่เขาก็ยังอธิบายไม่ชัดเจนพอ เพราะลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนา ก็ใช้สัญลักษณ์เป็นบุรุษเพศและสตรีเพศเหมือนกัน แต่หาได้ตั้งหลักธรรมฝ่ายสตรีขึ้น เหมือนลัทธิศักติไม่ กลับใช้ตรงกันข้ามกับลัทธิศักติ เช่นปัญญา วิทยา หรือมุทรา ตามที่กล่าวมานี้ นับว่าเป็นการปฏิเสธความคิดของ ลัทธิศักติ และลัทธิเพศสัมพันธุ์

            แม้ว่าหลักธรรมฝ่ายสตรี และฝ่ายบุรุษจะเป็นที่ยอมรับกันในลัทธิตันตระแห่งวัชรยาน และเป็นส่วนสำคัญแห่งสัญลักษณ์ของวัชรยาน แต่วัชรยานก็ตรงกันข้ามกับลัทธิฝักใฝ่ในกามรมณ์ เช่นเดียวกับเครื่องหมายบวกกับเครื่องหมายลบ ฉะนั้นการใช้หลักธรรมสตรี และฝ่ายบุรุษ จึงนับว่ามีหลักฐานทั้งในทรรศนะที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 08:57:59 am »

   ไม่มีใครกล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าทรงสอนผิด ในการที่ทรงยอมรับเทพเจ้าจากเทพนิยานฮินดู มาสนับสนุนคำสอนของพระองค์ หรือทรงใช้เทพเจ้าเหล่านั้นเป็นสัญลักษณ์ ของความดีบางประการหรือเป็นสัญลักษณ์ของระดับแห่งการบำเพ็ญสมาธิ หรือทรงใช้เทพเจ้าเหล่านั้นเป็นตัวอย่างแห่งความเป็นผู้มีจิตใจสูง แต่ถ้าพวกนักตันตระจะเจริญรอยตามพระองค์บ้าง เขาเหล่านั้นถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาอันบริสุทธิ์ เราจะเข้าใจหลักศาสนาใดๆ ไม่ได้ ถ้าเราไม่ศึกษาหลักศาสนานั้นๆด้วยจิตใจที่มีความศรัทธาและเคารพคุณธรรมเหล่านี้ ผู้ที่ได้รับการศึกษาแล้วย่อมจะมีอยู่ด้วยกันทุกคน เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะเปรียบเทียบระบบส่วนตัวของนักปราชญ์ แต่ละคนกาบลักษณะที่คล้ายคลึงกันในระบบอื่น เราต้องพิจารณาดูว่านักปราชญ์เหล่านั้น มีพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมมาอย่างไร เขาสร้างทฤษฎีขึ้น โดยขัดแย้งกับความเป็นจริงของเขาหรือไม่ เพราะความจริงของสองสิ่งที่ดูเผินๆแล้วเหมือนกัน เมื่อพิจารณาดูให้ลึกซึ้ง มักจะมีความแตกต่างกันมาก การก้าวขึ้นในแง่หนึ่ง อาจเป็นการก้าวลงในอีกแง่หนึ่ง เพราะฉะนั้นคัพท์ปรัชญาต่างๆ ก็ดี ภาพพจน์ต่างๆก็ดี อาจจะมีคุณค่าในแง่อื่นแต่ในที่นี้หามีคุณค่าอันใดไม่

            เราเห็นด้วยกับท่านภัตตาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านกล่าวว่า “เมื่อมองดูแต่เพียงภายนอก ตันตระของพระพุทธศาสนากับตันตระของฮินดู ละม้ายคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่ แต่อันที่จริงแล้ว ตันตระทั้งอสงนั้นไม่เหมือนกันเลย ทั้งในด้านสาระสำคัญ ทั้งในด้านคำสอนทางปรัชญา ทั้งในหลักศาสนา ข้อนี้ไม่ต้องสงสัย เพราะจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของพุทธศาสนิกกับพวกฮินดูแตกต่างกันอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้”

            ความแตกต่างที่สำคัญก็คือ ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ลัทธิศักดิ ในพระพุทธศาสนานั้น ความคิดเรื่องศักติ เรื่องอำนาจทิพย์ เรื่องสตรีเพศ ของเทพเจ้าสูงสุด (พระศิวะ) หรือเรื่องสิ่งต่างๆที่เกิดมาจากพระศิวะไม่ได้มีอยู่เลย ตรงกันข้ามในตันตระของฮินดู ความคิดเรื่องอำนาจ(ศักติ) เป็นจุดรวมแห่งความสนใจที่สำคัญ ส่วนความมุ่งหมายที่สำคัญของพระพุทธศาสนาแบบตันตระอยู่ที่ปัญญา

            สำหรับพุทธศาสนิกแล้ว ศักติเป็นเพียงมายาคือ อำนาจที่สร้างความลวงขึ้น ซึ่งเราจะพ้นไปได้ก็ด้วยปัญญาเท่านั้น เพราะฉะนั้น พุทธศาสนิกจึงไม่ปรารถนาอำนาจ หรือรวมตนเองเข้าอำนาจของเอกภพ ไม่ว่าเพื่อเป็นนายรหือเป็นทาสของอำนาจเหล่านั้น แต่ตรงกันข้าม พุทธศาสนิก พยายามเปลื้องตนให้พ้นจากอำนาจเหล่านั้น เพราะอำนาจเหล่านั้นทำให้เขาต้องตกเป็นทาสของสังสารวัฏฏ์มาเป็นเวลานับไม่ถ้วน เขาพยายามกำหนดรู้อำนาจเหล่านั้น ซึ่งทำให้เขาเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในวัฏฏสงสาร ทั้งนี้ก็เพื่อเปลื้องตนให้พ้นไปจากวัฏฏสงสารนั้น แต่เขาก็ไม่ได้พยายามจะทำลายอำนาจเหล่านั้น เพียงแต่จะเปลี่ยนให้มันไปเป็นประทีป คือปัญญา เพื่อว่ามันอาจกลายเป็นกำลังแห่งความตรัสรู้ ซึ่งแทนที่จะสร้างความแตกต่างกันต่อไป ก็ทำให้เกิดเอกภาพ ความกลมกลืนและความสมบูรณ์

            วัตถุประสงค์ของตันตระฮินดูนั้น ถ้าไม่ตรงกันข้ามกับพระพุทธศาสนาก็แตกต่างกันมากทีเดียว “กุลจุฑามณีตันตระ” แสดงว่า “เมื่อรวมเข้ากับศักติแล้ว จะเพียบพร้อมไปด้วยอำนาจ” “เพราะการรวมกันของพระศิวะกับศักตินั้นเอง โลกจึงถูกสร้างขึ้น” ตรงกันข้ามพุทธศาสนิก ไม่ต้องการสร้างโลก แต่ต้องการ ศูนยตา ซึ่งเป็นสภาวะไม่มีอะไรสร้าง ไม่มีอะไรปรุงแต่ง การสร้างทั้งปวงไม่เกี่ยวกับคูนยตา หรือ ศูนยตามีอยู่ก่อนการสร้างและพ้นจากการสร้างทั้งปวง

            การรู้ศูนยตานี้ เป็นปัญญาหรือความรู้สูงสุด  การบรรลุความรู้สูงสุดนี้ คือตรัสรู้ กล่าวคือ ถ้าปัญญา (ศูนยตา) หรือคุณธรรมฝ่ายสตรี ซึ่งเป็นสภาวะสถิต และครอบงำสิ่งทั้งปวง  เป็นบ่อเกิดแห่งสิ่งทั้งปวง และเป็นที่รวมลงแห่งสิ่งทั้งปวงได้กลมกลืนกับคุณธรรมฝ่ายบุรุษ ซึ่งเป็นสภาวะจลนะอันมีความรักและความกรุณาไม่มีประมาณ เป็นอุบายเพื่อบรรลุปัญญาและศูนยตาแล้ว บุคคลก็จะบรรลุความเป็นพุทธะโดยสมบูรณ์ ปัญญาที่ปราศจากศรัทธา ความรู้ปราศจากความรัก และเหตุผลที่ปราศจากความกรุณา ย่อมนำไปสู่ความศูนย์เปล่า ความร้ายแรงความสลายแห่งจิตใจ และความว่างเปล่า ส่วนศรัทธาที่ปราศจากเหตุผล ความรักที่ปราศจากความรู้ และความกรุณา ที่ปราศจากปัญญา ย่อมนำไปสู่ความยุ่งยาก ความเสื่อมสลาย แต่ในที่ใดคุณธรรมทั้งสองฝ่ายรวมกันในที่ใด  ความกรุณากับเหตุผลรวมกัน ศรัทธากับปัญญารวมกัน ความรักสูงสุดกับความรู้สึกซึ้งที่สุดรวมกัน ในที่นั้นย่อมมีความสมบูรณ์ และบรรลุความตรัสรู้อันสูงสุด

            เพราะฉันนั้น กระบวนการแห่งความตรัสรู้จึงแสดงด้วยสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุด มี่มนุษยธรรมที่สุดและสากลที่สุด นั่นคือ การรวมกันระหว่างชายกับหญิง ด้วยความรักอันสุงสุด ในความรักนั้น อุบายแสดงเป็นเพศชาย ปัญญาแสดงเป็นเพศหญิง ตรงกันข้ามกับตันตระของฮินดู ซึ่งศักติแสดงเป็นสตรี และศิวะแสดงเป็นบุรุษ

            ในการใช้สัญลักษณ์ของพุทธศาสนานั้น ผู้รู้(พุทธะ) รวมเป็นอันเดียวกันกับความรู้ของตน เช่นเดียวกับบุรุษและภรรยาของเขา รวมเป็นอันเดียวกันด้วยความรัก และการรวมเป็นอันเดียวกันนี้ ก่อให้เกิดความสุขสูงสุดอันอธิบายไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธยานีพุทธะ (พระพุทธเจ้าในอุดมคติซึ่งปรากฏในการทำสมาธิ) และธยานีโพธิสัตว์จึงถูกแสดงว่ารวมกับปัญญาของตน ปัญญานั้นใช้สัญลักษณ์แทนเป็นรูปเทพี ซึ่งเป็นที่รวมแห่งความรู้อันสูงสุด ส่วนธยานีพุทธะ และธยานีโพธิสัตว์ใช้สัญลักษณ์แทนรูปเทพเจ้า ซึ่งเป็นที่รวมแห่งอุบายให้ถึงความตรัสรู้หรือเป็นที่รวมแห่งความรัก และความกรุณาหาประมาณมิได้

            นี้ไม่ได้เป็นการกลับสัญลักษณ์ของฮินดูตามใจชอบ แต่เป็นการเป็นการประยุกต์หลักซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อระบบตันตระ ของพระพุทธศาสนาทั้งหมด เพราะในสัญลักษณ์ของฮินดูนั้น “ความเป็นทิพย์แสดงด้วยสัญลักษณ์เพศชาย การเข้าถึงความเป็นทิพย์ แสดงด้วยสัญลักษณ์เพศหญิง สัญลักษณ์ทั้งสองนั้นจะต้องแสดงอย่างชัดเจน มิฉะนั้นเพศแห่งความคิด ซึ่งเขามุ่งหมายจะแสดงให้เป็นรูปธรรมในพระพุทธศาสนา จะไม่ลงรอยกับสัญลักษณ์ของฮินดู”

            ในทำนองเดียวกัน ตันตระของฮินดูเป็นการประยุกต์ความคิดสำคัญๆของศาสนาฮินดูซึ่งมีอยู่เท่ากัน แม้ว่าตันตระเหล่านั้น เลียนแบบวิธีการของพุทธศาสนา ทุกแห่งที่จะเหมาะกับความประสงค์ของเขา แต่วิธีอันเดียวกันเมื่อนำไปประยุกต์ด้วยทรรศนะตรงกันข้าม ก็ต้องนำไปสู่ผลอันตรงกันข้าม อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลทางไสยศาสตร์เช่นนั้น เพื่อให้ลงรอยกับเพศทางไวยากรณ์ คือปัญญา (เพศหญิง) และ อุบาย (เพศชาย)

            แต่การหาเหตุผลเช่นนั้น เป็นเพียงผลของการเดาผิดๆ ว่า ตันตระในพระพุทธศาสนาเลียนแบบมาจากตันตระของฮินดู ถ้าเราสามารถเปลื้องตนเองจากความเข้าใจผิดนี้ได้เร็วเท่าใด ก็เห็นได้ชัดเจนเท่านั้นว่า ทรรศนะเรื่องศักตินั้น มิได้มีอยู่ในพระพุทธศาสนาเลยๆ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 08:56:23 am »

    นักปราชญ์ชาวยุโรป คนแรกที่กล้ารื้อฟื้นตันตระขึ้นมา โดยเฉพาะตันตระของฮินดูว่าด้วย กุณฑลินีโยคะ คือเซอร์ จอห์น วูดรอฟ  ท่านผู้นี้ได้พิมพ์หนังสือชุดตันตระและปรัชญาตันตระขึ้นโดยใช้นามปากกาว่า อาร์เธอร์ อเวลอน ในคำนำเรื่องจักรสัมภารตันตระ เขากล่าวไว้ว่า “คนโง่เข้าใจความแท้จริงด้านจิตใจไม่ถูกต้อง เขาจึงเรียกความแท้จริงเข่นนั้นว่า ไสยศาสตร์ ความชั่วและความโง่นั้นมีอยู่มากแล้วตามธรรมชาติของมัน และมันได้สร้างวิชาให้เราศึกษาในแง่ตรงกันข้าม แต่ถ้าเราไม่ยึดถือความรู้นั้น ก็จะเป็นเหตุให้เกิดความโต้เถียงกันทางศาสนา ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอย้ำว่า เราต้องเชื่อสติปัญญาและความยุติธรรมของเราเอง โดยพยายามเข้าใจศาสนาทุกศาสนาในแง่ที่ดีที่สุด และจริงที่สุด” แม้อเวลอนเอง ก็เชื่อว่า ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนาเป็นเพียงสาขาหนึ่งของลัทธิตันตระแบบฮินดู และเชื่อว่า ตำราซึ่งเขาค้นคว้านั้นเป็นหลักดั้งเดิมของตันตระทีเดียว ความเห็นนี้เป็นที่ยอมรับว่าถูกต้องมาโดยตลอดตราบเท่าที่ความรู้เรื่องตันตระจารคัมภีร์ของธิเบตยังไม่ได้เป็นที่รับรู้กันนอกดินแดนหิมาลัย เพราะคัมภีร์ตันตระเหล่านั้น ถึงแม้จะมีคำแปลแล้วแต่ก็ยังยากที่จะเข้าใจ ทั้งในด้านเหตุผล ในด้านประวัติศาสตร์ และในการปฏิบัติ

            เหตุผลสำหรับเรื่องนี้ ก็คือว่าคัมภีร์เหล่านี้เราไม่สามารถจะเข้าใจได้เฉพาะในด้านปรัชญาเท่านั้น แต่เราเข้าได้จากประสบการณ์ด้านโยคะ ซึ่งไม่สามารถจะศึกษาได้จากหนังสือ ยิ่งกว่านั้นหนังสือซึ่งใช้ค้นคว้ากันนี้ ก็เขียนด้วยสำนวนแปลกๆ คือ ใช้ภาษาที่มีความหมายไม่ตรงตามตัวอักษร ซึ่งภาษาสันสกฤตเรียกว่า สนธยาภาษา

            การใช้ภาษาที่มีความหมายไม่ตรงตามตัวอักษรนั้น ทำให้คนโง่ หรือผู้ที่ไม่ใช่นักปฏิบัติ ไม่สามารถจะเข้าใจได้ และนำไปปฏิบัติผิดๆ อีกด้วย แต่ก็จำเป็นต้องใช้ภาษาเช่นนั้น เพราะภาษาธรรมดาไม่สามารถจะแสดงประสบการณ์สูงสุดของจิตใจได้ สิ่งที่นักปฏิบัติได้บรรลุนั้น อธิบายให้เข้าใจกันไม่ได้ แต่สามารถแนะนำให้ปฏิบัติตามได้ ด้วยการยกอุทาหรณ์ และใช้อุปมาเปรียบเทียบ

            ลักษณะทำนองเดียวกันนี้ มีอยู่ในพระพุทธศาสนานิกายฌานของจีนและนิกายเซนของญี่ปุ่น  เพราะนิกายทั้งสองนั้น ได้มีความสัมพันธ์กับนักปฏิบัติโยคะตันตระของพระพุทธศาสนาในยุคกลาง ผู้ปฏิบัติจนบรรลุผลเหล่านี้เรียกตัวเองว่า สิทธะ ซึ่งแพร่หลายอยู่ในอินเดียระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7-11 พวกนี้เองเป็นผู้ประกาศคำสอนแบบตันตระวัชรยาน คัมภีร์ลึกลับและกวีนิพนธ์เป็นจำนวนมากของเขา ถูกทำลายเกือบหมด เมื่อประเทศอินเดียถูกพวกมุสลิมรุกราน แต่หนังสือเหล่านั้น ส่วนใหญ่ ได้แปลเป็นภาษาธิเบต ประเพณีการบำเพ็ญโยคะ และสมาธิก็ถ่ายทอดกันเรื่อยมาเป็นเวลาหลายชั่วคน

            อย่างไรก็ตาม ในอินเดีย ยังคงมีชนชั้นต่ำที่ปฏิบัติตันตระ โดยคลุกเคล้าไปกับประเพณีของคนเหล่านั้น จนในที่สุดก็หมดคุณค่ากลายเป็นลัทธิไสยศาสตร์ ซึ่งไม่ได้รับความเชื่อถือ จากนักปฏิบัติตันตระที่แท้จริง

            การปฏิบัติตันตระแต่เก่าก่อนของชาวพุทธ ได้มีอิทธิพลต่อศาสนาฮินดูอย่างมากมาย และความจริงจังของชาวฮินดูในการใช้การปฏิบัติตันตระ ส่งผลให้นักปราชญ์ในการต่อมาเข้าใจว่าตันตระนั้นเกิดจากฮินดู และนิกายต่ำๆของพระพุทธศาสนายอมรับและนำเข้ามาใช้ในภายหลัง

            จากหลักฐานที่ได้ค้นพบยืนยันว่า พระพุทธศาสนาได้มีการปฏิบัติตันตระกันแล้วตั้งแต่ มหาสังฆิกะยุคแรก ประมวลมนตราธารณีปิฎกของมหาสังฆิกะ  ในหนังสือมัญชูศรีมูลกัลป์ปะ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า เขียนขึ้นในตริสตศตวรรษที่ 1 ได้มีการกล่าวถึง มนตร์ ธารณี มณฑลและมุทรา เป็นอันมาก เป็นความครบถ้วนสมบูรณ์ของการปฏิบัติตันตระ ฉะนั้นการกล่าวว่าชาวพุทธชั้นต่ำยอมรับและนำเข้ามาซึ่งตันตระของฮินดูมาปนเปื้อน ในคริสตศตวรรษที่7-11 จึงเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริงเลย นักปราชญ์และผู้ปฏิบัติชาวพุทธได้ปฎิบัติตันตระมาก่อนฮินดูหลายศตวรรษ และก็มิใช่ปฏิบัติกันในหมู่ชาวพุทธชั้นต่ำ ผู้ที่ได้ศึกษาตันตระที่แท้จริงจึงรู้ว่า พุทธตันตระและฮินดูตันตระนั้น แม้มีคำเรียก คำกล่าว ที่คล้ายกัน และจุดประสงค์และการปฏิบัติต่างกันเป็นตรงกันข้าม

            อาจารย์ศังกร นักปรัชญาฮินดูผู้ยิ่งใหญ่แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 9 ผู้ได้เรียบเรียงหนังสือไว้เป็นรากฐานของปรัชญาไศวะ ได้ยอมรับเอาทรรศนะของนาครชุนและสาวกของนาครชุนเป็นอันมาก จนชาวฮินดูผู้เคร่งครัดระแวงว่าเขาอาจเป็นสาวกลับๆของพระพุทธศาสนา ในทำนองเดียวกัน นักตันตระฮินดูก็ได้ยอมรับเอาวิธีการ และหลักการแห่งลัทธิตันตระของพระพุทธศาสนาไปปรับปรุงใช้ตามความต้องการของตน ทรรศนะดังกล่าวนี้ไม่ใช่จะยอมรัรบกันแต่ในประเทศธิเบตเท่านั้น  แม้นักปราชญ์ชาวอินเดีย เมื่อได้สำรวจตรวจสอบคัมภีณ์พระพุทธศาสนาแบบตันตระ ที่เป็นภาษาสันสฤตยุคแรกๆ และได้ทราบความสัมพันธ์ระหว่างคัมภีร์เหล่านั้น กับคัมภีร์ตันตระของฮินดู ในด้านประวัติศาสตร์ และความคิดแล้วก็ยอมรับทรรศนะนั้นเหมือนกัน

            ในหนังสือ “ลัทธิลึกลับของพระพุทธศาสนา” เบนอยโตช ภัตตาจารย์ ได้สรุปว่า “อาจกล่าวได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ว่าพุทธศาสนิกชนเป็นพวกแรกที่สร้างลัทธิตันตระขึ้นในศาสนาขนตน ต่อมาพวกฮินดูได้ยืมตันตระนั้นไปจากพุทธศาสนิก จึงเป็นการไร้ประโยชน์ที่กล่าวว่า พระพุทธศาสนารุ่นหลังเป็นสาขาหนึ่งของศาสนาไศวะ”

            ออสติน แวดเดล  เป็นอีกผู้หนึ่งที่เข้าใจผิดว่าลัทธิตันตระของฮินดู และของพระพุทธศาสนาใช้วิธีการทางไสยศาสตร์เหมือนกัน เขามักจะแสดงตัวเสมอว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญพระพุทธศาสนาแบบธิเบต เขาแสดงความคิดเห็นว่า “ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากลัทธิบูชาผีสางเทวดา สิ่งที่เรียกกันว่า “มนตร์” และ “ธารณี” ก็คือคำพูดที่ไร้ความหมาย พิธีกรรมลึกลับของลัทธิตันตระ ก็เป็นเพียงการเล่นกลอย่างโง่ๆ โดยใช้ภาษาที่ไม่มีใครรู้เรื่อง และไร้ความหมาย ส่วนการบำเพ็ญโยคะแบบตันตระก็เปรียบเหมือน “กาฝาก” หรือ “ตัวพยาธิ” ซึ่งเติบโตแพร่หลายเร็วอย่างน่ากลัว แล้วก็บ่อทำลาย “ชีวิตอันร่อแร่” ของพระพุทธศาสนาบริสุทธิ์ที่มีอยู่บ้างในฝ่ายมหายาน คำสอนของมาธยมิก โดยใจความแล้ว ก็เป็นอุจเฉทวาทะที่ใช้เหตุผลผิดๆ กาลจักรก็ไม่สมควรจะถือเป็นระบบปรัชญา” (ความรู้และความเข้าใจในพุทธตันตระของไทยแต่แรกเริ่ม ได้รับจากการแปลหนังสือเรื่องพุทธศาสนาตันตระยานหรือวัชรยานของ ออสติน แวดเดลทั้งสิ้น ศรีภัทร)

            เพราะเหตุที่ชาวตะวันตกได้รับความรู้ เรื่องพระพุทธศาสนาแบบธิเบตเป็นครั้งแรกจาก “ผู้เชี่ยวชาญ” เช่นนั้น เขาจึงพากันรังเกียจเกลียดชัง ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนาอย่างรุนแรง ผู้ทีศึกษาลัทธิตันตระ จากหนังสือที่ชาวตะวันตกเขียน ก็พลอยเกลียดลัทธินี้ตามชาวตะวันตกไปด้วย

            การใช้หลักตันตระของฮินดูโดยเฉพาะ หลักของลัทธิ “ศักดิ” มาตัดสินคำสอนหรือสัญลักษณ์ต่างๆของลัทธิตันตระ ในพระพุทธศาสนานั้น ย่อมใช้ไม่ได้และเป็นการผิดพลาดย่างมหันต์ ทั้งนี้เพราะระบบทั้งสอง ใช้วิธีการหาเหตุผลแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าทั้งสองระบบจะใช้วิธีโยคะ ใช้ศัพท์เฉพาะหรือศัพท์ปรัชญาเหมือนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธศาสนาเป็นอันเดียวกันกับศาสนาพราหรมณ์ เพราะฉะนั้น กมาใช้ความรู้ตันตระในศาสนาฮินดู มาตีความตันตระในพระพุทธศาสนา หรือการใช้ความรู้ตันตระในพระพุทธศาสนา ไปตีความตันตระในศาสนาฮินดูจึงไม่ถูกต้อง

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 08:55:03 am »

หลักพระพุทธศาสนาแบบตันตระ

คำว่าพระพุทธศาสนาแบบตันตระ นั้นโดยทั่วไป ใช้เรียกพระพุทธศาสนาในอินเดียยุคหลัง กล่าวคือ มนตรยาน วัชรยาน หรือสหัชยาน การที่นิกายโยคาจาร ได้ย้ำถึงความสำคัญของวิญญาณและความเจริญของวิญญาณได้ค่อยๆทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายประการ ในพระพุทธศาสนา มนตร์ ธารณี และแผนภาพเป็นรูปวงกลมหรือสามเหลี่ยม เริ่มมีความสำคัญเพิ่มขึ้น สำหรับโยคี มนตร์เหล่านี้ถือกันว่ามีอำนาจขลังอย่างสำคัญ ถ้าจะเปรียบก็พอเปรียบกันได้กับ ปริตร ในคัมภีร์บาลี เพราะปริตรนั้น ก็ถือกันว่าสามารถป้องกันผู้ท่องบ่นให้พ้นจากความชั่วทั้งปวงได้ ครั้งหนึ่งการปฏิบัติแบบลึกลับ ถูกนำเข้ามาในพระพุทธศาสนา การปฏิบัตินั้น ต้องการผู้ปฏิบัติเพียงกลุ่มเล็กๆ ฉะนั้นการจะรักษาไว้ให้สืบต่อกันไปได้ จึงจำเป็นต้องมีสถาบันแห่งครูและศิษย์ (คุรุและเจฬะ) ปฏิบัติสืบต่อกันไปเรื่อยๆ

            เพื่อจะรักษาธรรมชาติอันลึกลับของการปฏิบัตินั้นไว้ นักปฏิบัติจำต้องใช้ภาษาสัญลักษณ์ ซึ่งเข้าใจกันได้เฉพาะในหมู่นักปฏิบัติเท่านั้น สำหรับคนสามัญคำพูดเหล่านั้น มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง นักเขียนในนิกายนี้ได้ใช้ภาษาที่มีความหมายสองแง่ในทำนองเป็น “คำคม” ความหมายจริงๆของคำเหล่านั้นจะทำให้คนสามัญต้องสดุ้งตกใจ แต่สำหรับ “นักปฏิบัติ” เขาจะแปลความหมายไปอีกทาง คนธรรมดาย่อมแปลความหมายของคำต่างๆตามที่เคยแปลกันมา ฉะนั้นจึงทำให้เกิดความเข้าใจ ฉะนั้นจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง

            ลักษณะอีกประการหนึ่งของพระพุทธศาสนาแบบตันตระ ก็คือเชื่อในเทพเจ้าและเทพีเป็นจำนวนมาก เขาเชื่อว่าด้วยความโปรดปรานของเทพเจ้าและเทพีเหล่านั้นผู้ปฏิบัติก็จะบรรลุ “สิทธิ” หรือความสำเร็จได้ เขามันจะสร้างรูปแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าประทับนั่นอยู่ ในท่ามกลางเทพีเป็นจำนวนมาก

(เทพ เทพีที่เกิดมาก่อนในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งพระพุทธเจ้ามิได้ปฏิเสธว่า ไม่มีอยู่จริง ซึ่งนักตันตระชาวพุทธได้แปลงมาเป็นเทพพุทธะ เทพีพุทธะ ทั้งยังได้สร้าง พุทธเจ้าปางดุ พุทธมารดาปางดุขึ้น อีกทั้งยังมีเทพโพธิสัตว์ และเทพธรรมบาล อีกมาก นักตันตระชาวพุทธสร้างขึ้น มิใช่ต้องการความโปรดปรานของเทพพุทธะทั้งปวงเหล่านั้น แต่ต้องการได้คุณสมบัติของเทพพุทธะเหล่านั้น เพราะว่า เทพพุทธะเหล่านั้นแต่ละองค์ก็เป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์หนึ่งของสรรพชีวิต พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีคุณสมบัติพิเศษจากอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเป็นพิเศษในการบรรลุธรรม คุณสมบัตินั้นเป็นสิ่งที่นักตันตระต้องการเพื่อการบรรลุสิทธิ มิใช่การบูชาเพื่อให้ท่านโปรดปราน  ศรีภัทร

ยังมีพระพุทธศาสนาอีกแบบหนึ่ง ที่เหมือนกับพระพุทธศาสนาแบบที่กล่าว มาแล้ว นั่นก็คือพระพุทธศาสนาแบบ วัชรยาน พระพุทธศาสนาแบบนี้ นอกจากจะไม่มีคำสอนที่ดีหรือบริสุทธิ์ตามแบบเดิมแล้ว ก็ยังผสมผสานกับประเพณีท้องถิ่น และยอมรับพิธีกรรมลึกลับและน่ากลัวต่างๆ จึงแพร่หลายอยู่ในหมู่ชนชั้นต่ำ ผู้นำทางศาสนาแบบนี้ปฏิบัติและส่งเสริมข้อปฏิบัติหลอกลวงต่างๆ เช่นข้อปฏิบัติ 5 ประการ เกี่ยวกับ ม. คือมัทยะ (น้ำเมา) มางสะ(เนื้อ) มัตสยา(ปลา) มุทรา(ผู้หญิง) และไมถุนะ(เสพเมถุน) ในหนังสือ ศรีสมาช(คุยหสมาช) สาธนมาลา ,ชญาณสิทธิ เป็นต้น เราจะพบว่ามีการเหยียบย่ำแม้กระทั่งศีล 5 ซึ่งเป็นรากฐานของพระพุทธศาสนา ตัวอย่างเช่นในหนังสือ คุยหสมาช สนับสนุนให้มีการฆ่า การหลอกลวง การลัก และการเสพเมถุน ใครจะคิดบ้างว่า พระพุทธเจ้าทรงเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนั้น

            อย่างไรก็ตาม ลัทธินี้ก็แพร่หลายไปกว้างขวาง ในอินเดียตะวันออก มหาวิทยาลัยวิกรมศีลา ซึ่งเป็นศูนยกลางแห่งการศึกษาแบบตันตระ ซึ่งค่อยๆแพร่หลายไปยัง เบงกอล อัสสัม และโอริสสา ประชาชนคนดีๆ ทั้งหลายต่างพากันต่อต้าน การปฏิบัติหลอกลวงเช่นนั้นอย่างหนักหน่วง และกระปฏิบัติหลอกลวงนี้เอง มีส่วนอย่างสำคัญ ในความเสื่อมศูนย์แห่งพระพุทธศาสนาในอินเดีย **(จากสองคอลัมท์ข้างบน ได้กล่าวถึงชนชั้นต่ำ ขอให้ท่านได้อ่านต่อไปจนจบแล้วจะเข้าใจในความเข้าใจผิดของตนต่อพุทธวัชรยาน ขออธิบายคำว่าชนชั้นต่ำ ตั้งแต่มีพุทธศาสนาขึ้นมา ผู้ที่ปฏิบัติพุทธธรรมได้ถูกจัดอันดับแม้ต่ำที่สุดก็ถูกเรียกว่า “บัณฑิต” ดังนั้นจึงมิไม่ชนชั้นต่ำเป็นชาวพุทธเลย แต่เราก็ต้องยอมรับว่า มีบุคคลชั้นต่ำซึ่งใช้ประโยชน์จากความศรัทธาของมหาชนต่อพุทธศาสนา พวกนี้มิเคยมีจิตใจใฝ่หาการบรรลุพุทธภาวะเลย เพียงอาศัยรูปแบบของชาวพุทธดำรงชีพ แล้วปฏิบัติตามตัณหาราคะของตน มิเคยได้พัฒนาใจ ขัดเกลาจิต ไม่เคยตีความในพุทธปรัชญาเพื่อการหลุดพ้น แต่พยายามตีความเพื่อสนองตัณหาแห่งตน เพราะรูปแบบที่ตนยืมมาดำรง ทำให้ตนมีเกียรติได้รับความเคารพจากมหาชน ยิ่งทำให้การหลอกลวงเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น อีกทั้งยังดึงดูดชนชั้นเดียวกันได้ให้เป็นเช่นเดียวกันได้มากขึ้นเรื่อยๆ พระเจ้าอโศกได้จับผู้ปลอมตัวบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา ถึง หกหมื่นกว่าคน ผู้ปลอมตัวบวชเหล่านั้นชาวพุทธเรามิได้ยอมรับพวกเขาเป็นพุทธศาสนิก ถือเป็นชนชั้นต่ำที่แฝงตัวมาอาศัยหากินเท่านั้น แต่ในกรณีที่ท่านได้กล่าวว่าชนชั้นต่ำในวัชรยานเป็นตัวการทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมจนสูญสลาย แล้วทำไมท่านยังยอมรับเขาเหล่านั้นเป็นพุทธศาสนิกชน แล้วทำไมผู้ปลอมบวชในสมัยพระเจ้าอโศกเราไม่ถือเขาว่าเป็นพุทธศาสนิกชน พุทธศาสนาไม่ว่านิกายใดและลัทธิใดก็มีผู้ที่เป็นชาวพุทธที่แท้จริงและเป็นผู้ที่อาศัยพุทธศาสนาเกาะกินและบ่อนทำลายด้วยกันทั้งนั้น ทั้งเถรวาท มหายาน และวัชรยาน จึงมีทั้งผู้จรรโลงและทำลายด้วยกันทั้งนั้น การกล่าวว่า เฉพาะชาวพุทธวัชรยานเป็นตัวการทำให้พุทธศาสนาต้องกลายเป็นศาสนาแห่งความสกปรก มั่วสุมอยู่ในโลกีย์ตัณหา จนตกต่ำและต้องสูญสลายไปจากดินแดนที่ให้กำเนิดนั้นถูกต้องหรือไม่ ในกรณีของข้อปฏิบัติ 5 ม.ซึ่งเป็นเรื่องของปรัชญา นักตันตระชาวพุทธให้ความหมายทางปรัชญาไปทางหนึ่ง แต่เราก็ห้ามมิใช่ชนชั้นต่ำซึ่งมิใช่นักตันตระชาวพุทธตีความไปตามที่ตนเองต้องการอีกทางหนึ่งไม่ได้ สุดท้ายชาวพุทธเราเองก็ร่วมมือกับชนชั้นต่ำซึ่งมิใช่ชาวพุทธ โจมตีชาวพุทธด้วยกันเองและสถาปนาชนชั้นต่ำที่ไม่ใช่ชาวพุทธให้เป็นชาวพุทธที่ทรงปัญญาจนสามารถทำลายพระพุทธศาสนาไปได้ หลักการของการปฏิบัติกับสุรา ที่กล่าวไว้ว่า เพื่อให้เกิดความมึนเมาจะได้สุดสวิงกิ้งอย่างเต็มที่ แต่การเกี่ยวข้องกับสุราของนักตันตระชาวพุทธยังคงปฏิบัติตามศีลข้อห้า คือให้ใช้เป็นกระสายยาได้ไม่เกินขนาดหนึ่งเมล็ดแตงโม แต่ในกรณีที่ พระอาจารย์ได้พบศิษย์ที่ทะนงตนว่าได้บรรลุการดำรงสติตลอดเวลาทุกสถานการณ์ พระอาจารย์จำนำสุรามาทดสอบกับศิษย์ การปฏิบัตินี้จะอยู่ในความควบคุมของพระอาจารย์  เรื่องเนื้อและปลา การเสพเนื้อเสพปลา ต้องเสพด้วยความเมตตา 1 สัตว์นั้นต้องถึงซึ่งกาลเอง 2 ต้องเสพด้วยจิตเมตตาเพื่อให้สัตว์นั้นได้สร้างกุศล 3 เนื้อสัตว์เมื่อมาบำรุงกายเราต้องคำนึงถึงจำนวนชีวิตของสัตว์ ควรเสพสัตว์ด้วยชีวิตจำนวนน้อย มากกว่าใช้ชีวิตสัตว์จำนวนมากในแต่ละมื้อ ส่วนคำว่ามุทรา ในที่กล่าวไว้ว่ามุทราแปลว่า ผู้หญิงที่มาร่วมเสพกาม แต่ในวัชรยานชาวพุทธ มุทราแปลว่าสัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้ คือคุณสมบัติของสิ่งซึ่งทำให้พระพุทธเจ้าในอดีต เป็นพระพุทธเจ้า ดังนั้น มุทราคือสัญลักษณ์แห่งพุทธภาวะของพระพุทธเจ้าในอดีต หลักสุดท้ายคือ เมถุน เมถุนในพุทธวัชรยาน เป็นการปฏิบัติสมาธิจิตด้วยการ รวม ปัญญาและอุบายเข้าด้วยกัน เป็นการ เสพเมถุนภายในจิตของผู้ปฏิบัติเองคนเดียว(มีกล่าวไว้ในหนังสือหลักขอให้อ่านต่อไป)  ธรรมะจะเป็นสิ่งประเสริฐ หรือเป็นเครื่องมือสุดต่ำช้า อยู่ที่ผู้นำเครื่องมือนั้นไปปฏิบัติ  พุทธธรรมเมื่ออริยะชนชาวพุทธนำไปปฏิบัติ ก็นำจิตให้สูงขึ้นไปสู่ความเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างสมบูรณ์ แต่พุทธธรรมถ้าชนผู้มิใช่ชาวพุทธนำไปดัดแปลงแล้วปฏิบัติ เราคงไม่เรียกผู้ปฏิบัตินั้นว่าเป็นพุทธศาสนิกชน สามัคคีธรรมที่วัสสการพราหมณ์ นำธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไปดัดแปลงและปฏิบัติจนแคว้นวัชชีล่มสลาย เราจะถือว่าวัสสการพราหมณ์เป็นชาวพุทธ หรือ ชาวพราหมณ์ ศรีภัทร)

            ในบรรดาพระพุทธศาสนาแบบต่างๆ คำสอนแบบตันตระถูกละเลยและเข้าใจผิดกันมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ว่า ตันตระนี้เกิดขึ้นจากประเพณีต่ำๆของพวกฮินดู และการปฏิบัติผิดๆซึ่งมีอยู่ในกลุ่มชนที่ไร้การศึกษา คำสอนแบบตันตระทุกอย่าง คนทั้งหลายรังเกียจกันมาก จนกระทั่งนักปราชญ์ก็ไม่กล้าแตะต้อง ผลก็คือ การสำรวจหรือการวิจัยอย่างตรงไปตรงมา ถูกทอดทิ้งเป็นเวลาช้านาน

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 08:51:05 am »

ณิงมาปะ

    ณิงมา เป็น นิกายแรกและเก่าแก่ดั้งเดิม และยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยถือ ว่ากำเนิดจากท่านคุรุปัทมสมภพ ณิงมาปะ ได้มีพัฒนาการ ครั้งใหญ่ๆ 3 ครั้ง คือ การเริ่มต้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นพุทธศาสนาของทิเบตด้วย และ เป็นนิกายเดียวที่มีอยู่ในช่วงนั้น คือศตวรรษที่ 8-11 คำว่า  ณิงมา แปลว่าโบราณ  สัญลักษณ์ของนิกายคือใส่หมวกสีแดง ชาวทิเบตเลื่อมใสศรัทธาท่านคุรุปัทมภพมาก เชื่อว่าท่านเป็นผู้ทรงพลานุภาพอย่างมากในการให้ความช่วยเหลือขจัดอุปสรรคต่างๆได้จนหมดสิ้น ณิงมาปะ ได้เน้นในด้านพุทธตันตระ คำว่าตันตระนั้นแปลว่า เชือกหรือเส้น ด้ายใหญ่ๆ หรือความต่อเนื่องซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการถ่ายทอดคำสอนจากอาจารย์ไปสู่ศิษย์โดยไม่มีการขาดตอน โดยผ่านพิธีอภิเษกและเป็นการถ่ายทอดคำสอนปากเปล่าจาก อาจารย์ สู่ศิษย์ ในคำสอนของตันตระเน้นในการสวดมนตราธารณี การใช้สัญลักษณ์มุทรา สัญลักษณ์มันดาลา ในการประกอบพิธี เพื่อเข้าสู่การบรรลุพระโพธิญาณ หลังจากสมัย คุรุปัทมสมภพแล้วก็ได้มีการค้นพบคำสอนซึ่งถูกซ่อนไว้ โดยคุรุปัทมสมภพ ในทิเบตเรียกว่า เตอร์มา ซึ่งแปลว่าขุมทรัพย์อันล้ำค่า และได้ทำนายไว้ว่าในอนาคต ศิษย์ของท่านจะเป็นผู้ค้น พบและเปิดขุมทรัพย์ องค์คุรุปัทมสมภพได้ให้เหตุผลไว้ 3 ประการ 1เพื่อไม่ให้คำสอนผิดเพี้ยน ไปเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ 2 เพื่อให้พลังแห่งคำสอนนั้นอยู่ ครบถ้วนบริบูรณ์ 3 เพื่อเป็นการให้พร  แก่คนรุ่นหลังที่ได้สัมผัสกับคำสอนดั้งเดิม

 
    คำสอนณิงมาปะเน้นในเรื่องความไม่เป็นแก่นสารของจักรวาลและเน้นถึงความเป็นไปได้ในการตรัสรู้ในเวลาอันสั้นหรือทันทีทันใด หลักการสอนและปฏิบัติณิงปา คือปฏิบัติควบคู่กันไปทั้งสูตระและตันตระ โดยประยุกต์รวมผสานปรัชญานิกายมัธยมิก โยคาจารย์และจิตอมตะเข้าด้วยการใช้หลักปฏิบัติของมนตรายาน (ดูรายละเอียดในนิกายของมหายานอินเดียในเพจปรัชญามหายาน)  ณิงมาปะ ได้แบ่งพุทธศาสนาออกเป็น9ยานคือ สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตว์ยาน คือสามยานขั้นต้น  กริยาตันตระ จริยะตันตระ โยคะตันตระ เป็นสามยานในชั้นกลางหรือจัดเป็นตันตระต่ำและ มหาโยคะตันตระ อนุตรโยคะตันตระและอทิโยคะตันตระ สามยานสุดท้าย หรือจัดเป็นตันตระสูง อนุตรโยคะตันตระจัดเป็นตันตระสูงสุดของตันตระทุกระดับยกเว้น  อทิโยคะตันตระ คุหยสมาช  กาลจักร  จักรสังวร ล้วนจัดอยู่ในอนุตรโยคะตันตระทั้งสิ้น ส่วน อทิโยคะตันตระหรือซกเชนถือเป็นตันตระพิเศษสูงสุดกว่าตันตระใดๆซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติของ สมัตรภัทรพุทธ เป็นวิธีการเจาะเข้าสู่พุทธะภาวะโดยตรงหกยานแรกเป็นพื้นฐานของพุทธ ตันตระทั่วไปทุกนิกายส่วนสามยานสุดแท้เป็นลักษณะพิเศษของณิงมา ท่านเชอเกียมตรุงปะ วัชราจารย์แห่งณิงมาผู้มีชื่อเสียงอย่างมากในโลกตะวันตกในศตวรรษที่20ได้กล่าวไว้ว่า หีนยานได้กล่าวว่าตนเข้าถึงความจริงแท้และให้หนทางที่ดีที่สุดมหายานก็กล่าวว่าพระโพธิ สัตว์ได้ให้หนทางที่ดีที่สุดในการเข้าสู่สัจจะธรรม ส่วนผู้ปฏิบัติวัชระยานก็ว่า มหาสิทธะผู้ทรง ฤทธิ์อำนาจวิเศษสามารถมอบ หนทางสู่การบรรลุได้อย่างวิเศษสุด คำถามและคำตอบมาก มายที่ได้เกิดขึ้นพร้อมกับความสับสนต่างๆนาๆแล้วอะไรเล่าจึงเป็นสิ่งที่ปรารถนาของศิษย์ ผู้ต้องการเข้าสู่พระพุทธธรรม อทิโยคะตันตระได้ให้คำตอบไว้ว่าการมองทุกสรรพสิ่งด้วยสาย ตาของเอกซ์เรย์ มองทุกสรรพสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และ ปฏิบัติตนอย่างเปล่าเปลือยทะลุ ปรุโปร่งเช่นกัน นั่นจึงเป็นธรรมชาติแท้แห่งพุทธะภาวะ

        อทิโยคะตันตระซึ่งจัดเป็นยานสูงสุดของพุทธศาสนา และถือว่าเป็นธรรมวิธีที่สูงสุด มีหลักการว่ารู้กระจ่างในธรรมกายตนและให้ธรรมกายตนออกหน้าในทุกภาวะ ผลที่ได้ตนก็คือพระพุทธเจ้า

นิกายกากยู

        นิกายนิกายกากยูเป็นนิกายสำคัญนิกายหนึ่งในต้นศตวรรษที่ 11 นิกายกากยูแปลว่าการถ่ายทอดคำสอนด้วยการบอกกล่าวจากปากอาจารย์สู่หูของศิษย์ ผู้ก่อตั้งคือมาร์ปะผู้สืบสายคำสอนมาจากนาโรปะนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหาวิหารนาลันทาผู้รับสืบทอดคำสอนมาจากติโลปะผู้ถือว่ารู้แจ้งเองไม่ปรากฏว่าท่านได้รับคำสอนจากพระอาจารย์ท่านใด แต่ได้มีบันทึกบอกกล่าวไว้ว่าท่านได้รับคำสอนโดย ตรงจากพุทธวัชระธารา

นาโรปะท่านเป็นคุรุผู้บรรลุและเชี่ยวชาญ ทั้งโยคะและปรัชญาทั้งมวลของโยคาจารย์แห่งมหาวิทยานาลันทา ท่านเป็นคุรุผู้ทดสอบคัดเลือกบุคคลซึ่งจะเข้ารับการศึกษาในมหาวิทยาลัยนาลันทาทางทิศเหนือ (ช่วงนี้ท่านได้รับศิษย์ไว้ผู้หนึ่ง ชื่อศรีภัทร และต่อมาศรีภัทรได้เป็นอาจารย์ผู้หนึ่งของ อติษะ ผู้เดินทางไปทิเบตและได้ตั้งนิกายกาดัมปะและต่อมาพัฒนาเป็นเกลูปะ) ภูมิรู้ของท่านเต็มเปี่ยน แต่ท่านก็ไม่บรรลุโพธิญาน จนเมื่อท่านได้รับรู้ว่ามีคุรุผู้สามารถช่วยให้ท่านได้บรรลุโพธิญานอยู่ท่านหนึ่ง ชื่อว่าติโลปะ นาโรปะจึงได้ละทิ้งภารกิจของท่านออกเสาะหา จนกระทั่งได้พบคุรุติโลปะ ขณะที่ท่านได้พบติโลปะ ติโลปะได้กำหนดสภาพตนเองให้นาโรปะพบด้วยฐานะของขอทานสกปรกมอมแมม เกรี้ยวกราด ดุร้ายไม่มีเหตุผล คุรุติโลปะได้เคี่ยวเข็ญทรมานนาโรปะมากมายหลายประการ เพื่อลดทอนทำลายทิฐิ ยึดมั่นในความเป็นมหาบัณฑิตผู้รอบรู้สรรพศาสตร์ จนเมื่อถึงที่สุดเมื่อกาลเวลาแห่งการบรรลุมาถึง ติโลปะได้ใช้รองเท้าของตนตบไปที่หัวของนาโรปะ นาโรปะก็ได้บรรลุโพธิญาณในบัดเดี๋ยวนั้น จากนั้นมานาโรปะก็ได้ท่องเที่ยวโปรดสรรพสัตว์ทั่วไปจนได้พบกับมารปะซึ่งเป็นชาวทิเบตและได้ถ่ายทอดธรรมให้ เพื่อให้นำไปโปรดชาวทิเบตต่อไป

 มาร์ปะโชจิโลดูซ์ เป็นลามะปราชญ์ผู้แปลพระธรรมที่มีชื่อเสียงมากท่านหนึ่ง ของ ทิเบต ท่านได้เผยแพร่ธรรมที่ได้รับจากนาโรปะ จนมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว แนวคำสอนของท่านเป็นการถ่ายทอดปากเปล่าจากปากของคุรุสู่หูของศิษย์ จึงมีการเรียกแนวทางของท่านว่ากระซิบบอก  ท่านมีศิษย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านแต่ที่มีชื่อเลื่องลือที่สุดคือ มิลาเรปะ มหาโยคีผู้บรรลุความรู้แจ้งในชีวิตนี้ มาร์ปะและมิลาเรปะถือว่ามีความ สำคัญมากในพุทธตันตระของทิเบต ท่านได้ประพันธ์คำสอนไว้มากมาย บทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่านคือ “หนึ่งแสนธรรมคีตาของมิลาเรปะ” (มีการแปลออกเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก โดยอีวานแวน ผู้ช่วยคนสำคัญของโยคีเชนศิษย์ชาวจีนของนอราริมโปเช)  มิลาเรปะ มีศิษย์ทั้งหมด21ท่าน ท่านที่มีชื่อเสียงที่สุดคือกัมโปปะ นิกายกากยูปะเป็นนิกายที่มีชื่อเสียงมากใน ศตวรรษที่13 เนื่องด้วยมิลาเรปะมีศิษย์หลายท่านกัมโปปะเองก็มีศิษย์หลายท่านทำให้นิกาย นิกายกากยูได้มีการพัฒนาไปตามแนวทางคำสอนของศิษย์แต่ละท่านได้รับ จึงเกิดนิกายกากยูในสายต่างๆขึ้นมาหลายสาย ในปัจจุบันสายกรรมะนิกายกากยูมีชื่อเสียงมากที่สุดด้วยความสามารถของกรรมะปะองค์ที่16 คำสอนของนิกายกากยูก็ไม่ได้แตกต่างไปจากนิกายอื่น คือเน้นไปที่พุทธตันตระ ตันตระโยคะทั้ง 6 ของนาโรปะ การสืบทอดวิญญาณและ การปฏิบัติตันตระมหามุทรา

        โยคะทั้ง 6 ของนาโรปะ ประกอบด้วย

            1 คตุม.ม้.  ตุม.โม  การบรรลุด้วยธรรมวิธีเกี่ยวกับพลังความร้อนภายในกาย
            2 q^.ลูซ.    จู.ลูซ์.  การบรรลุด้วยธรรมวิธีเกี่ยวกับกายมายา ปรากฏการณ์ทั้งมวลเป็นมายาดั่งผีหลอก
            3 nj.ลม.    มิ.ลัม.  การบรรลุด้วยธรรมวิธีเกี่ยวกับความฝัน ฝึกฝนปฏิบัติในขณะฝันและจิตบรรลุดั่งฝัน
            4 อ้ด.คซล. โอะ.ซัล. การบรรลุด้วยธรรมวิธีเกี่ยวกับแสงประภัสสร
            5 บร.ด้.   บัร.โด.  การบรรลุด้วยธรรมวิธีเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย
            6 อภ้.บ.   โภ.วา.  การบรรลุด้วยธรรมวิธีเกี่ยวกับเคลื่อนย้ายจิตวิญญาณ การย้ายจิตวิญญาณเข้าสู่สุขาวดีพุทธเกษตร เพื่อรับคำสอนและปฏิบัติเบื้องพระพักตร์ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า

        นิกายนิกายกากยูมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่านิกายขาว สืบเนื่องจากการครองผ้าของมิลาเรปะซึ่งท่านจะครองผ้าบางๆสีขาวตลอดเวลาหรืออาจ จะมาจากสัญลักษณ์ของวัดในนิกายกากยูปะซึ่งจะทาสีขาวทั้งหมด
นิกายนิกายกากยูมีแนวปฏิบัติพื้นฐานมาจากแนวปฏิบัติณิงมาทั้งหมด แต่ที่ทำให้เป็นนิกายกากยูก็คือการปฏิบัติขั้นสุดท้ายของมารปะซึ่งรับถ่ายทอดมาจากนาโรปะ ก็คือธรรมวิธีสูงสุดซึ่งจัดอยู่ในยานที่แปด คืออนุตรตันตระหรือมหามุทรา หลักการของอนุตรตันตระก็คือ ทุกขณะจิต จิตตนและจิตพระพุทธเจ้ารวมเป็นจิตเดียวกัน นั่นคือคำว่า เอกจิต

นิกายสักกยะ

    นิกายนี้ได้มาจากชื่อของวัดสักกยะ คำว่าสักกยะหรือสำเนียงทิเบตว่าสักเจียแปลว่าดินชนิดหนึ่ง ในบริเวณจั้ง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำยาลุงซังโป วัดของสักกยะมีเอกลักษณ์คือทาสีเป็น3 แถบ คือแถบสีแดงสีขาวสีดำ สีทั้ง3เป็นสีแห่งพระโพธิสัตว์ 3 องค์ซึ่งนิกายสักกยะ ให้ความ สำคัญมาก คือ สีแดงสีแห่งพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ผู้ทรงปัญญาคุณ สีขาวสีแห่งพระอวโลติเก ศวรโพธิสัตว์ ผู้เมตตากรุณาคุณ สีดำสีแห่งพระวัชระปราณีโพธิสัตว์ ผู้ทรงพลาคุณ ในประเทศ  ได้เรียกชื่อนิกายนี้ว่า นิกายหลายสี ซึ่งก็ได้เรียกมาจนถึง ทุกวันนี้นิกายสักกยะได้ตั้งขึ้นใน ศตวรรษที่ 11 ผู้ก่อตั้งนิกายคือผู้สืบเชื้อ สายขุนนางเก่าตระกูล คอน คอนโซก เกียวโป ท่านได้รับคำสอนตันตระกาลจักรจากบิดาซึ่งรับคำสอนมากจากวิรูปะโยคีชาวอินเดีย คอน คอน โซกเกียวโปได้เดินทางไปเรียนตันตระจากอาจารย์อีกท่านคือโยมิโลซาวา คอน คอน โซกเกียวโปได้สร้างวัดของนิกายสักกยะขึ้นใกล้แม่น้ำถอม เป็นบัญญัติของคอนคอนโซกเกียว โปว่าการสืบทอดในนิกายสักกยะจะสืบทอดเฉพาะคนในตระกูลคอนเท่านั้นตำแหน่งของเจ้านิ กายสักกยะเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจทั้งในทางการเมืองและการศาสนาความสำคัญในเชิงประวัติ ศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าผู้สืบสายนิกายสักกยะท่านที่4คือคุงก้าเกียวเจนหรือสักกยะบันฑิตและ หลานของท่านที่ชื่อว่าพักปะโลดุปเกียวเจนทั้ง 2ท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงในการเมืองของทิเบตมาก ทั้ง2ท่านได้รับการเชิญจากโดยข่านชาวมงโกลให้ไปแผ่แพร่พุทธตันตระในประเทศจีนเป็นที่ เลื่อมใสแก่ข่านมงโกลอย่างมาก กุบไลข่านได้แต่งตั้งให้พักปะโลดุปเกียวเจนให้ปกครองทิเบต และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการที่พระสงฆ์นั้นปกครองทั้งอาณาจักรและศาสนาจักร

นิกายกาดัมและเกลูปะ

    จุดเริ่มของทั้ง 2 นิกายมาจากอติษะและศิษย์ของท่านชื่อดอมทอนปะ อติษะหลักการสอนของอติษะเน้นที่สูตระเป็นสำคัญและเน้นในการปฏิบัติพระธรรมวินัยที่เคร่งครัดก่อน(หลักการส่วนใหญ่จะคล้ายมหายานทั่วไป) แล้วจึงปฏิบัติตันตระได้ ศิษย์ของอติษะได้ก่อตั้งนิกายกาดัมปะขึ้นคำว่ากาดัมแปลว่าคำสอนของพระพุทธ เจ้า เมื่อเวลาผ่านไปกาดัมปะได้สูญเอกลักษณ์ของตนเองไปบ้างด้วยแรงดึงดูดใจจากตันตระ ในศตวรรษที่14โจงคาปาพระภิกษุที่มีชื่อเสียงทรงความรู้ความสามารถในการจัดการองค์กรได้ ศึกษาคำสอนของอติษะได้ปฏิวัตินิกายกาดัมปะขึ้นมาใหม่ให้คงเอกลักษณ์เดิมและได้เปลี่ยน ชื่อใหม่เป็นนิกายเกลูปะ คำว่าเกลู  แปลว่าความดีที่เป็นกุศล คำสอนของเกลูปะ เน้นที่การ ค่อยๆศึกษาจากต่ำขึ้นไปสูงเน้นในวินัยเน้นในด้านตรรกะเกลุปะจะบัญญัติให้ภิกษุที่พรรษาไม่มากไม่ให้ศึกษาตันตระเอกลักษณ์ของนิกายคือสวมหมวกสีเหลืองหรือนิกายหมวกเหลืองซึ่ง เป็นนิกายในสังกัดของดาไลลามะ

ดูคำอธิบายเพิ่มเติมเรื่องนิกายทั้งสี่ในเพจคำอธิบายหนังสือทุกย่างก้าวคือการเรียนรู้

    มีนิทานพุทธที่เล่ากันทั่วไปในทิเบต เรื่องต้นไม้พิษ  ต้นไม้พิษนี้เป็นต้นไม้ที่มีพิษร้ายแรงมากแม้ ใครหลงไป กินผลของมันเข้าจะทุรนทุรายสาหัสสากรรจ์ เนื่องจากทุกคนรู้ถึงพิษของต้นไม้นี้จึง คิดที่จะทำลายต้นไม้นี้เสีย คนกลุ่มหนึ่งก็ให้ความคิดว่าต้องถอนรากถอนโคนไม่ให้เหลือแม้แต่รากฝอยของต้นไม้ไว้ แต่ก็มีคนอีกกลุ่มเสนอว่าเพียงตัดโคนหรือตัดส่วนสำคัญของมันต้นไม้ก็จะตายไปในที่สุด และยังมีอีกกลุ่มซึ่งมีภูมิความรู้ทางการแพทย์และเคมีมาบ้างเสนอว่าไม่จำเป็นต้องไปทำลายต้นไม้ทิ้ง เพียงแต่นำพิษของมันไปปรุงเป็นยาวิเศษเพื่อเพิ่มพลังในการรักษาโรคได้ เป็นเพราะพวกคุณ 2 กลุ่มแรกไม่รู้ในวิธีปรุงยา ถ้าไม่มีพิษนี้ก็ไม่มีวัตถุดิบในการปรุงยา ในขณะที่กลุ่มคนทั้ง3กำลังให้ความเห็นกันอยู่นั้น ก็มีนกยูงตัวหนึ่งเข้ามาและกินผลไม้พิษนั้นเป็นอาหารโดยที่พิษไม่เป็นอันตรายต่อนกยูงแต่ประการใด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสีสันความสวยสดงดงามของขนหางความแข็งแรงของร่างกายด้วย

      จากนิทานต้นไม้พิษนี้พอจะเปรียบเทียบได้กับ การปฏิบัติในพุทธศาสนาที่เน้นวิธีการที่ไม่เหมือนกัน กลุ่มแรกเน้นในเรื่องการขุดรากถอนโคนโดยสิ้นเชิงในกิเลสทั้งปวงเพื่อป้องกันมิให้มันเกิดขึ้นได้ใหม่ โดยการปฏิบัติศีลสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญาอันเป็นแนวทางของเถรวาท การปฏิบัติตามแนวนี้ต้องบวชเป็นภิกษุจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด การปฏิบัติศีล สมาธิ โดยการทำให้จิตว่าง เข้าไปสู่ปัญญา โดยการใช้สมถะ วิปัสสนา จะทำให้ผู้ปฏิบัติค่อยๆหลุดจากพิษของความโลภ โกรธ หลง

   วิธีการที่2เป็นวิถีทางแห่งมหายาน ซึ่งถือว่าการตัดจุดสำคัญของต้นไม้พิษก็จะทำให้ต้นไม้พิษนั้นตายได้จุดสำคัญสุดยอดก็คือ อาตมันการยึดติดกับอาตมันคือ ตัดตรงจุดนี้ก็ทำให้หลุดพ้น ได้การยึดในความเป็นแก่นสาร หรือความจีรังต่างๆเมื่อถูกตัดด้วยดาบแห่งศูนยตา ฟันแก่นของการยึดติด เข้าสู่ปัญญาแห่งความไม่มีแก่นสารของจักรวาล

       กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มของแพทย์ และนักเคมีที่ต้องการแปรเปลี่ยนสภาพ คือวิถีแห่งวัชระยานแทนที่จะทำลายต้นไม้พิษทิ้ง แต่กลับนำพิษจากต้นไม้พิษ ใช้วิธีการพิเศษให้แปรสภาพพิษกลายเป็น ยาวิเศษ ยาวิเศษก็คือ ฌานให้เกิดปัญญาโดยวิธีการสร้างมโนจิตตัวเองให้ดำรงจิตอยู่ใน ฌาน ความรู้ตัวทุกขณะจิตไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ชนิดใด ปัญญาแห่งการบรรลุก็บังเกิดขึ้น

ตัวนกยูงก็ คือวิถีทางแห่งการหลุดพ้นดั้งเดิม ซึ่งในทิเบตเรียกว่า อทิโยคะ หรือซกเชนหรือในสันสฤต เรียก มหาสันติ ในวิธีนี้คือการเข้าไปสู่การรู้แจ้งโดยการเจาะทะลวงเข้าไปเลย การเข้าสู่การรู้แจ้งโดยไม่ผ่านขั้นตอนต่างๆ เช่น การตัดขาด การขจัด ชำระล้าง หรือการแปรสภาพใดๆ เป็นการเข้าสู่การรู้แจ้งแบบตรงดิ่งเข้าไปเลย ไม่ต้องผ่านพิธีการใดๆซึ่งหนทางนี้ได้รับการ กล่าวขานว่า เป็นวิธีที่สูงที่สุดในวัชระยานในทิเบตได้มี การเก็บรักษาคำสอนต่างๆของพุทธศาสนา ไว้อย่างสมบูรณ์แบบทุกหนทางเพื่อเป็นหนทางแก่พุทธศาสนิกชนทุกแบบทุกประเภท ได้เลือกรูปแบบ และวิธีการที่เหมาะกับตนในการบรรลุสู่ความรู้แจ้งซึ่งบางรูปแบบก็ไม่เป็นที่ยอมรับของพุทธศาสนิกชนในประเทศอื่น แต่ในประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสนาวัชระยานมีพระ อาจารย์ในสายปฏิบัตินี้ มากมายที่บรรลุความรู้แจ้งในบริเวณประเทศแถบหิมาลัยและประเทศในสายปฏิบัติวัชระยาน

พุทธศาสนาวัชระยานในประเทศไทย ตามหลักฐานที่ปรากฏแต่โบราณพุทธศาสนามหายานและวัชระยานได้เข้าสู่สุวรรณภูมิก่อนแต่ไม่ ปรากฏว่ามีการปฏิบัติวัชระยานในดินแดนแถบนี้ เป็นที่ปรากฏแน่ชัดว่าการปฏิบัติวัชระยานในประเทศไทยได้เริ่มขึ้นประมาณ70ปีที่แล้ว โดยพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร(โพธิ์แจ้ง) มหาอริยะสงฆ์แห่งช่วงกึ่งพุทธกาล ผู้ซึ่งท่านนอร่ารินโปเช่ สังฆราชาแห่งวัดริโวเช่ วัดซึ่งใหญ่ที่สุด มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดแห่งแคว้นคามในทิเบตตะวันออก ได้เคยกล่าวไว้ว่า ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งคือ “ตุลกู แห่ง คุรุนาครชุน” ผู้มาเพื่อสถาปนาความมั่นคงแห่งพุทธศาสนามหายานในภูมิภาคนี้  ในช่วงที่ท่านเจ้าคุณได้กลับจากการศึกษาวัชระยานในทิเบตในราวปี พ.ศ.2482ท่านได้รับศิษย์ปฏิบัติวัชระยานไว้หลายท่านท่านเจ้าคุณได้สร้างวัดโพธิ์เย็นขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่จะให้เป็น ศูนย์กลางในการปฏิบัติวัชระยาน ในปีฉลองกึ่งพุทธกาลท่านได้สร้างองค์คุรุปัทมะสมภพขึ้น2องค์ประดิษฐาน ณ องค์พระปฐมเจดีย์จังหวัดนครปฐมหนึ่งองค์ และประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์เย็นหนึ่งองค์ ดังนั้นจึงอาจนับได้ว่า พุทธศาสนาวัชระยานได้เริ่มเข้ามาในประเทศไทยโดยการนำของท่านเจ้าคุณอาจารย์โพธิ์แจ้ง

 

ความรู้และเข้าใจในพุทธวัชรยานของชาวไทย

บทความจาก สภาการศึกษา มหามกุฎราชวิทยาลัย

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 08:50:18 am »

ยานที่4 กริยาตันตระ

    เป็นการปฏิบัติภายนอกเพื่อนำไปสู่การชำระล้าง โดยการปฏิบัติพิธีกรรมด้วยกายและวาจา พลังทิพย์ที่ได้คือธาตุสูงสุดแห่งความเป็นพุทธ คือปัญญาสูงสุด ซึ่งปัญญาที่ได้มายังประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นได้ ในเชิงจิตวิทยา ตัวผู้ปฏิบัติเปรียบเสมือนผู้รับใช้ในพลังแห่งพุทธนั้น การบำเพ็ญปฏิบัติด้วยความวิริยะ เพื่อรับใช้พลังนั้นด้วยด้วยมั่นใจว่าด้วยความสัมพันธ์นี้จะนำพาผู้ปฏิบัติเข้าสู่พลังทิพย์แห่งพุทธนั้น ความสำเร็จในการเข้าสู่พลังทิพย์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนโดยใช้เวลาในการปฏิบัตินี้ 16 ชาติมนุษย์ การปฏิบัติหีนยานและมหายานที่ได้ปฏิบัติมาเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของการเริ่มต้นปฏิบัติตันตระนี้

ยานที่5จริยาตันตระ

    เป็นการปฏิบัติเพิ่มเติมต่อเนื่องจากกริยาตันตระซึ่งปฏิบัติพีธีกรรมด้วยกายและวาจา จริยาตันตระเน้นการปฏิบัติสมาธิ คือการปฏิบัติจิต ควบคู่กันไปด้วย มุมมองของจริยาตันตระคือ ผู้ปฏิบัติและพลังทิพย์แห่งพุทธอยู่ในระดับเดียวกัน เปรียบเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ เหมือนน้อง การปฏิบัติจะใช้การเพ่งนิมิตหรือการสร้างมโนทัศน์ ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในมันดาลา ซึ่งประกอบด้วยองค์วัชรกาย องค์ยิดัม โพธิสัตว์ ธรรมบาล มโนทัศน์ในสมาธิจิตว่าตัวผู้ปฏิบัติก็คือองค์สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อเราได้ปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง เราจะพบว่าถึงแม้องค์สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพลังทิพย์นั้นแม้จะอยู่ในระดับเดียวกับเรา แต่ก็ยังแยกต่างหากจากตัวเรา นี่คือจุดประสงค์ของการบรรลุสู่วัชรธารา การปฏิบัตินี้ด้วยความวิริยะสามารถบรรลุความเป็นพุทธในเวลา 7 ชาติมนุษย์

ยานที่6โยคะตันตระ

   แบ่งออกเป็นสองส่วนคือส่วนนอกซึ่งเรียกว่าอุปโยคะตันตระและส่วนใน เรียกว่าอนุตรโยคะตันตระ อุปโยคะตันตระ ถือว่าพิธีกรรมที่ถูกต้องบริสุทธิ์และการปฏิบัติที่เคร่งคัด เป็นเพียงการช่วยเหลือไปสู่การบรรลุสู่พลังทิพย์แห่งพุทธภาวะ สิ่งสำคัญที่ต้องเพ่งคือ ในช่วงสมาธิจิตอันมั่นคงให้มองลึกเข้าไปในสมาธิจิตนั้นให้เห็นการมานะปฏิบัติเพื่อรับใช้พลังทิพย์ ได้เกิดพลังขึ้น นั่นคือพลังแห่งการปฏิบัติได้เข้าผสมรวมกับพลังทิพย์แห่งพุทธภาวะ เป็นการเข้ารวมกับปัญญาอันสูงสุด และเข้ากันโดยไม่เหลือร่องรอย คือไม่เหลือขั้วใดๆ คือการเข้าสู่การรู้แจ้งในศูนยตาสภาวะ การปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ศูนยตาสภาวะหรือสภาวะอันไม่มีขั้ว เกิดจากการปฏิบัติมุทราทั้งสี่ คือมหามุทรา ธรรมมุทรา ซามายามุทรา กามามุทรา ขันธ์ 5 และอารมณ์ 5 ถูกแปรเปลี่ยนเป็นพระพุทธเจ้า5พระองค์หรือก็คือปัญญาอันสูงสุดทั้ง5 มหามุทราเป็นส่วนขยายความเพิ่มออกมาจากปรัชญาปารามิตา ซึ่งเน้นในการรู้แจ้งภายใน ในวัชรยานจุดเริ่มต้นของมหามุทราได้ต่อเชื่อมกับสมาธิราชาสุตตะซึ่งก็คือความหมายเบื้อง ลึกของปรัชญาปารามิตา พระอาจารย์ผู้บรรลุและเชี่ยวชาญในสายการปฏิบัติมหามุทราเรียกว่ามหาสิทธะ ส่วนใหญ่และจะไม่ใช่ภิกษุสงฆ์ แต่เป็นผู้ปฏิบัติสำเร็จมรรคผลในเบื้องลึกสุดยอดแห่งปรัชญาปารามิตา อยู่ในศูนยตาสภาวะ อยู่ในความไม่มีขั้ว พระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง อาทิ ซาราฮา ติโลปะ นาโรปะ มารปะ มิลาเรปะ อนุตรโยคะตันตระ ซึ่งเป็นตันตระในและถือเป็นส่วนที่คาบเกี่ยวกันระหว่างตันตระนอกและในคัมภีร์หลักของอนุตระตันตระคือ กูเฮี้ยสมัชชา คำว่ากูเฮี้ยแปลว่าไม่ได้เปิดเผย ความหมายของกูเฮี้ยสมัชชา คือกายวาจาใจของพระพุทธเจ้าในส่วนที่ไม่ได้นำเสนอต่อสมัชชาสงฆ์ปัจเจกพุทธและ ผู้ปฏิบัติทั่วไปในมหายานคำภีร์นี้ได้เปิดเผยในทิเบตตะวันออกโดยบันฑิตสัมฤทธิฌานะในศตวรรษที่ 11

ยานที่7 มหาโยคะ

    มหาโยคะจัดอยู่ในตันตระภายในซึ่งจัดอยู่ในช่วงของการพัฒนา ในคำสอนของพุทธศาสนาทั่วไปได้จัดความจริงออกเป็นสองประเภทคือความจริงทางโลกียะ หรือสมมุติสัจและความจริงทางโลกุตระหรือปรมัตถ์สัจ แต่ในมหาโยคะจะพูดถึงความจริงที่3 ความจริงที่3สอนให้ใช้อารมณ์ทุกอารมณ์ ทุกสภาพแวดล้อม ทุกสถานการณ์ ให้เป็นยานพาหนะนำไปสู่สมาธิซึ่งคงที่และสูงยิ่งๆขึ้นเพื่อบรรลุมรรคผลในชาตินี้ ทุกสถานการณ์ ทุกอายตนะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นมันดาลา องค์พุทธ ยิดัม ธรรมบาล ประทับอยู่มากมาย ซึ่งหลากหลายรูปลักษณ์ กระแส เสียงและสีสัน ทั้งปวงถือเป็นการแบ่งภาคมาจากตรีกาย ในการปฏิบัติศาทนะ(พีธีกรรม มุทรา มนตรา)จะทำให้จิตของผู้ปฏิบัติใสดังเช่นกระจก เป็นมันดาลาที่ใสบริสุทธิ์ มหาโยคะเน้นในการสร้างมโนทัศน์ในสมาธิจิต

ยานที่8 อนุตรโยคะ

     อนุโยคะจัดอยู่ในช่วงของการบังเกิดผล โดยเน้นไปที่ความรู้สึกในศูนยตาของมันดาลา ภาพมันดาลาในมหาโยคะเปรียบดังภาพในมิติเดี่ยว แต่ภาพเดียวกันในมันดาลาเปรียบดังภาพหลายมิติสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ในศูนยตา ในอนุโยคะ รูป เสียง สัมผัส ในสรรพสิ่งที่เรารู้สึกได้ ให้มีความรู้สึกในอารมณ์แห่งศูนยตา ความรู้สึกเช่นนี้ถือเป็นลัญลักษณ์ความรู้สึกของธรรมกาย ซึ่งเรียกว่ากุนตูซังโม ภาพที่เห็นหรือสิ่งที่ปรากฏขี้นคือสัญลักษณ์ของธรรมกายเปรียบดังเพศชาย ส่วนความรู้สึกในศูนยตาของธรรมกายคือกุนตูซังโม เปรียบดังเพศหญิง การรวมกันของกุนตูซังโปและกุนตูซังโมเกิดสภาวะอิสระแห่งจักรวาลหรือพุทธภาวะ หรือสภาวะเหนือเหตุและผล การปฏิบัติอนุโยคะได้ด้วยการฝึกบังคับลมปราณต่างๆในร่างเพื่อนำพาร่างวัชรของเรา คือกุนตูซังโปเข้ารวมกับความรู้สึกแห่งศูนยตาคือกุนตูซังโม เพื่อบังเกิดผลในสภาวะอิสระแห่งจักรวาล

ยานที่9 อธิโยคะ

    อธิโยคะคือการแสดงออกที่สมดุลย์การเข้ากันได้อย่างดีที่ สุดของสิ่งที่ปรากฏและความรู้สึกแห่งศูนยตา ดังนั้นอธิโยคะจึงเน้นที่พุทธภาวะหรือสภาวะเหนือเหตุและผลดั้งเดิมซึ่งมีอยู่ประตัวในทุกสรรพสิ่ง สรรพสิ่งเกิดขึ้นพร้อมกับปัญญาดั้งเดิม ปัญญาดั้งเดิมนำพาเข้าสู่สภาวะอิสระแห่งจักรวาลดั้งเดิมนั่นคือพุทธภาวะ สภาวะอิสระแห่งจักรวาลจึงเป็นสภาวะอันปราศจากรูปแบบ ปราศจากมิติ การแตกแยกหรือการรวมกลุ่มใดๆ และสภาวะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสร้างให้เกิดขึ้นเพราะว่ามันมีอยู่แล้ว ด้วยสภาวะจิตอิสระแห่งพุทธนั้น แม้แต่กายหยาบก็สามารถนำพาเข้าเอกภาวะนั้นได้ด้วย และกายนั้นก็ไม่ต้องถูกยึดติดด้วยเหตุผลใดๆหรือมิติใดๆ

     ในคำสอนอธิโยคะ ซึ่งถือเป็นคำสอนสูงสุดของทุกยานที่มีอยู่ มีคำสอน หกล้านสี่แสนประโยด ซึ่งเปิดเผยและถ่ายทอดสู่โลกมนุษย์โดยวัชรสัตโต โดยการับโดเจเป็นผู้รับมอบ ซึ่งถือเป็นส่วนน้อยนิดที่ที่ได้ถ่ายทอดออกมา ยังมีอีกมากมายมหาศาลที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกมา อธิโยคะมาจากองค์ธรรมกายสมันตรภัทร(กุนตูซังโป)ถ่ายทอดสู่วัชรสัตโตองค์สัมโภคกาย ถ่ายทอดต่อยังการับโดเจองค์นิรมานกายซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับถ่ายทอด จากนั้นสู่มัญชูศรีมิตตา ซึ่งมัญชูศรีมิตตาได้นำคำสอนหกล้านสี่แสนประโยคไปจัดกลุ่มเป็นเซมเด ลองเด เมกาเด และถ่ายทอดให้ศรีสิงหะ ศรีสิงหะได้แบ่งเมกาเดออกเป็นสี่ระดับ ระดับนอก ระดับใน ระดับลับ และระดับลับสุดยอดและได้ถ่ายทอดสู่ ฌานะสุตตะ กูรูรินโปเช่ และไวโรจนะ ฌานะสุตตะได้ถ่ายทอดให้วิมลมิตร และวิมลมิตรยังได้รับการถ่ายทอดจากการับโดเจโดยตรงในมิติแห่งนิมิตร ไวโรจนะ วิมลมิตร และกูรูรินโปเช่ได้นำคำสอนทั้งหมดเข้าสู่ทิเบตและได้ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้

    วัชรยานคือชื่อเรียกโดยรวมในแนวคิดทุกทางทั้งวินัย สุตันตระ และอภิธรรม ส่วนตันตระคือวิธีปฏิบัติคำว่าตันตระคือการต่อเนื่องซึ่งมีและไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดที่จบในขณะเดียวกันดังเช่นการดำเนินไปบนเส้นรอบวง ด้วยว่าทุกจุดเป็นจุดเริ่มและจบได้ด้วยกันทั้งนั้น ในวัชระยาน สภาวะอิสระแห่งพุทธได้เกิดขึ้นพร้อมกับจักรวาล เกิดขึ้นด้วยศูนยตาสภาวะ การดำเนินไป การวิวัฒนาการ แห่งสรรพสิ่ง ดำเนินไปบนเส้นรอบวง ทุกจุดบนเส้นรอบวงไม่ใช่จุดเริ่มต้นและไม่ใช่จุดจบ เช่นกันทุกจุดบนเส้นรอบวงก็เป็นได้ทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ ดังนั้น ทุกจุดจึงสามารถเป็นจุดแห่งสภาวะอิสระดังเดิมได้ทั้งนั้น ฉะนั้นการเดินทางของพุทธตันตระคือการเดินไปมองไปเพื่อให้จำให้ได้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของเราอธิโยคะ ก็คือการชี้ตรงลงไปเลยว่าจุดนี้คือจุดแห่งสภาวะอิสระดั้งเดิมแห่งเรา และเราจะอยู่ในจุดนี้จุดที่อิสระจากการควบคุมใดๆจุดที่อยู่นอกเหนือจากมิติ เหตุและผลใดๆทั้งปวง

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 08:47:06 am »

พระพุทธศาสนาในทิเบตได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองจนเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นและจัดแบ่งจนเกิดคำว่าตันตระเก่า,ตันตระใหม่ ตันตระเก่าหรือพุทธศาสนาเก่าหรือที่เรียกว่า "ณิงมา" นับเริ่มตั้งแต่กษัตริย์ ฑิโซงเดเชน ซึ่งครองราชย์ในปี ค.ศ.755-797  พระองค์ได้อัญเชิญกูรูศานตรักษิตะ กูรูริมโปเช วิมลมิตรเข้ามา สถาปนาพระพุทธศาสนาจนมั่นคงอยู่หลายรัชกาล จนถึงสมัยกษัตริย์ รางทรามา ซึ่งครองราชย์ในปี ค.ศ.836-842 กษัตริย์รางทรามาได้ร่วมมือกันเสนาบดีซึ่งยังคงนับถือลัทธิเซ่นสังเวยดั้งเดิมซึ่งมีชื่อเรียกว่า "บอนปะ" ได้ทำลายล้างพระพุทธศาสนาไปจากทิเบตเกือบหมดสิ้น เชื้อพระวงศ์ ภิกษุสงฆ์ ผู้ปฏิบัติพุทธธรรมส่วนใหญ่ต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดไปอยู่ในบริเวณชายแดน โดยเฉพาะในแคว้นคามทิเบตตะวันออกเป็นแหล่งที่นักปราชญ์นักปฏิบัติที่หนีออกมาไปรวมอยู่กันมากที่สุด ทิเบตในยุคนั้นศาสนาลัทธิความเชื่อสับสนวุ่นวายไปหมด ผู้ไม่ใช่ชาวพุทธได้นำแนวปฏิบัติของพุทธไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขปฏิบัติเองตามใจชอบ เหตุการณ์ทั้งหลายในยุคนี้เป็นเหตุการณ์ที่กูรูริมโปเช่ท่านได้รู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น ท่านจึงได้เกิดสอนคำสอนของท่านไว้ในที่ต่างๆทั่วทิเบต เพื่อให้หลังจากกลียุคนี้ผ่านพ้นไปแล้วผู้ปฏิบัติชาวพุทธจะได้มีพระสูตรดั้งเดิมไว้สอบทาน เพื่อมิให้การปฏิบัติผิดเพี้ยนไป พระธรรมคำสอนที่กูรูริมโปเช่ซ่อนไว้มีชื่อเรียกว่า"เตอร์โตน" หรือมหาสมบัติที่ซ่อนเร้น"

      ต่อมาในปี ค.ศ.980 รินเชนสังโป กษัตริย์แห่งแคว้นหนึ่งในทิเบตตะวันตก ผู้ปฏิบัติพุทธธรรมจนบรรลุ ท่านเป็นทั้งผู้ปฏิบัติ และนักปราชญ์ผู้รอบรู้แห่งพุทธศาสนา ได้อัญเชิญอติษะ(ทีปังกรศรีญาณ ภิกษุแห่งมหาวิทยาลัยวิกรมศีลา อินเดีย เข้ามาเพื่อสะสางพุทธศาสนาในทิเบตให้มั่นคงถาวรขึ้นมาใหม่ ในยุคนี้มีกูรูอีกหลายท่านจากอินเดียเข้ามาเผยแพร่พุทธศาสนาจนพุทธศาสนามั่นคงถาวรมาถึงทุกวันนี้ ยุคนี้มีชื่อเรียกว่า "ซามา" หรือยุดตันตระใหม่ ในยุดนี้เองได้เกิดนิกายต่างๆขึ้น เช่น กาดัมปะ,กากจูปะ,สักเจียปะ เป็นต้น ครั้นต่อมา ในยุดนี้พุทธศาสนาก็ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิผลของการเมืองซึ่ง ข่านมงโกล ซึ่งปกครองจีนในขณะเข้าไปมีอิทธิผลเหนือทิเบต แต่พระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ แต่ก็เกิดความสับสนวุ่นวายพอสมควร และในที่สุด กาดัมปะซึ่งก่อตั้งโดยอติษะก็ได้เป็นเป็น นิกายเกลุคปะ โดยโจงคาปา.ในปี ค.ศ.1357

พุทธศาสนาวัชรยานได้แบ่งเป็นตันตระใหม่และตันตระเก่า

ตันตระใหม่พระศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นผู้สอน โดยมาในปางสัมโภคกาย ได้แบ่งเป็น เก้ายาน สามกลุ่ม

กลุ่ม 1 คือสามยานแห่งเหตุ มี สาวกยาน(หีนยาน) ปัจเจกพุทธยาน((หีนยาน) และโพธิสัตว์ยาน(มหายาน)
กลุ่ม 2 คือ สี่มนตรายานแห่งผล กริยาตันตระ จริยาตันตระ โยคะตันตระ
กลุ่ม 3 คือ อนุตระตันตระ มี ตันตระพ่อ ตันตระแม่ และสหตันตระ

     ในมุมมองของวัชรยานทุกประสบการณ์ทุกอารมณ์จะไม่มีการทำลายล้างหรือจ้องที่จะบังคับตัดขาดมิให้บังเกิดขึ้น แต่จะแปรเปลี่ยนให้เป็นประสบการณ์ อารมณ์ในการบรรลุ ดังเช่นโทสะอันร้อนแรงประดุจเพลิง คอยเผาผลาญสติ ก็จะเปลี่ยนให้เป็นเพลิงอันทรงพลังแห่งพ่อ ถึงแม้ว่าแรงระเบิดเพลิงจะรุนแรงอย่างไรก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความรักลูก ต้องการให้ลูกบรรลุสู่จุดสูงสุดดีที่สุดในชีวิต กระตุ้นให้คิดค้นกลอุบายตามแรงเพลิงโทสะนั้นเพื่อบรรลุเป้าหมาย ดังเช่นการปฏิบัติตันตระพ่อแรงเพลิงแห่งโทสะนำพาสู่อุบายในการเสริมสร้างสติแห่งการบรรลุ ส่วนโลภะ ความอยากได้ ความต้องการ ความปารถนาในลาภ ยศ สรรเสริญ ก็แปรเปลี่ยนให้เป็นพลังรักแห่งแม่ ที่แสดงออกโดยตรงและยอมรับในทุกประสบการณ์ของลูกโดยไม่ต้องแสวงหาอุบายใดๆ ยอมรับและอยู่ร่วมกับประสบการณ์ของลูกโดยดุษฏี เพื่อความอยู่ดีมีสุขของลูก นั่นคือตันตระแม่ โลภะที่เกิดเปลี่ยนให้เป็นแรงปารถนาในการบรรลุ ประดุจดังความรัก ความปารถนา และการกระทำของแม่ ตัวผู้ปฏิบัติเป็นแม่ สติคือลูก ผลการบรรลุ คือผลสูงสุดที่ต้องการให้ลูกได้รับ โมหะความลุ่มหลง เช่นการหลงในตนเองว่าเลิศสุดกว่าผู้ใดด้วยเหตุผลนานาประการ ทำให้เกิดการสร้างอาณาเขตแห่งตนขึ้นเกิดความคับแคบในมโนทัศน์และประสบการณ์ หน้าที่อันไม่แบ่งแยกของพ่อและแม่คือการพยายามสร้างอาณาจักรอันไม่มีขีดจำกัดแก่ลูก สหตันตระ มีแง่คิดอยู่ในมุมมองที่ว่าการเปลี่ยนโมหะบ่อเกิดความคับแคบเพื่อให้เป็นพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ไพศาลเป็น อาณาเขตอันไร้ขอบเขตแห่งจักรวาลซี่งเป็นที่ตั้งแห่งพุทธภาวะ ความไม่แบ่งขั้ว ไม่แบ่งเพศ ไม่มีขีดจำกัดใดๆ


ตันตระเก่าได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันใน นิกายณิงมาปะ สอนโดย พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าแบ่งเป็นเก้ายาน อันมี


     ยานภายนอก 3 ยาน มี สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน(อันเป็นพุทธศาสนาหีนยานซี่งเน้นการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อบรรลุอรหันต์ผล) โพธิสัตว์ยานเน้นการปฏิบัติบารมีหก เพื่อเข้าสู่ภูมิที่สิบ อันเป็นภูมิแห่งพระโพธิสัตว์ และตันติกอีก 6 ยานซึ่งเป็นวัชรยานทั้งหมด ซึ่งได้มีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มตันตระภายนอก มี กริยาตันตระ จริยาตันตระ โยคะตันตระ กลุ่มตันตระภายใน มี มหาโยคะตันตระ อนุโยคะตันตระ อธิโยคะตันตระ กลุ่มตันตระภายใน เป็นยานพิเศษที่มีเฉพาะในนิกายณิงมา โดยเฉพาะอธิโยคะซึ่งทิเบตเรียก ซกปะเชนโป สันกฤตเรียก มหาสันติ อันถือเป็นยานหรือคำสอนสูงสุดของพุทธศาสนา การปฏิบัติอธิโยคะในหมู่ผู้มีปัญญาอันเลอเลิศและได้ปฏิบัติด้วยความวิริยะอุตสาหะ สามารถเข้าถึงพุทธภาวะในเวลาอย่างช้าสามปี ในหมู่ผู้มีปัญญาสูงสามารถบรรลุผลในเวลาหกปี ในหมู่ผู้มีปัญญาระดับทั่วไปก็สามารถบรรลุผลได้ในเวลาสิบสองปี คำสอนการปฏิบัติตันตระที่ได้ปฏิบัติกันอยู่ มาจากหลายแหล่ง เช่นจากที่มีบันทึกอยู่ในพระสูตรกันจุร์ จากที่มีอยู่ในณิงมากิวบุมซึ่งได้แยกบันทึกไว้ต่างหากอีก ยี่สิบห้าฉบับ จากพระอาจารย์ตันตระที่บรรลุมรรคผลโดยเกิดขึ้นเองในจิตของท่าน ในคำสอนทั้งหมดที่สมบูรณ์ที่สุดและแพร่หลายที่สุดเป็นคำสอนที่ถ่ายทอดโดยกูรูรินโปเช่และธรรมศักติเยเซโชเกียว ซึ่งได้ถ่ายทอดโดยตรงและได้เก็บซ่อนไว้ในสถานที่ต่างๆกันซึ่งเรียกว่าเตอร์มา เพื่อให้เปิดเผยในเวลาต่อมาโดยผู้ที่ได้ถูกกำหนดไว้ซึ่งเรียกว่าเตอร์โตน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 จนถึงปัจจุบัน

     คำสอนอธิโยคะได้จัดระดับคำสอนไว้3ระดับ คือ เซมเด ลองเดและเมกาเด ท่านคุรุศรีสิงหะยังได้แบ่งเมกาเดออกเป็นอีก4ระดับคือระดับภายนอก ระดับภายใน ระดับลับ และระดับลับสุดยอด ได้แยกการปฏิบัติออกเป็นสองลักษณะ คือเตกโชและโทกัล เตกโชคือการฟันฝ่าทะลุทะลวงดิ่งตรงเข้าสู่พุทธภาวะและผสานจิตตนเข้ากับ สภาวะธรรมชาติแห่งจักรวาลอย่างฉับพลันทันใด เป็นการสำเร็จพุทธในชาติปัจจุบันนี้ เมื่อถึงกาลสิ้นชีพกายจะเกิดประกายแสงหลากหลายพวยพุ่งออกมาและร่างกายจะสลายเข้ากับ แสงนั้นและหายไปเหลือเพียงผม เล็บมือเล็บเท้าปรากฏการณ์นี้เรียกว่าการเกิดกายรุ้ง ซึ่งเกิดในช่วงของการแตกสลายของธาตุทั้ง 4 เพื่อเข้าสู่แสงแห่งปัญญาของสัมโภคกาย ส่วนโทกัลคือการเดินดิ่งเข้าสู่พุทธภาวะ ผู้บรรลุเมื่อสิ้นชีพก็เกิดกายรุ้งเช่นกันแต่ กายรุ้งนั้นจะเห็นได้เฉพาะผู้บรรลุแล้วเท่านั้น วิธีปฏิบัติเมกาเดมีชื่อเรียกว่าณิงติก ได้เรียกชื่อตามพระอาจารย์ที่ค้นพบหรือถ่ายทอดเช่นเจดซุงณิงติกถ่ายทอดโดยท่ายเจดซุง คานโดณิงติกโดยท่านเปดมาเล เดเซล กามาณิงติกโดย กามาปะที่3 และรางชุงโดเจ โดเซมณิงติกโดยท่านไวโรจน ลองเชนณิงติกโดยจิกเมลิงปะและเซซุมโอเซลณิงติกโดยจัมยังเคนเซวังโป ในจำนวนณิงติกทั้งปวงที่แพร่หลายและสมบูรณ์ที่สุดคือวิมาณิงติกซึ่งท่านวิมลมิตรได้นำเข้าทิเบต คานโดณิงติกซึ่งท่านกูรูรินโปเช่นำเข้าทิเบต และได้ค้นพบ เรียบเรียงให้เป็นหมวดหมู่เป็นระเบียบโดยลองเชนรับจัมในราวศตวรรษที่13 ในศตวรรษที่17 ท่านจิกเมลิงปะได้รวมวิมาณิงติกและคานโดณิงติกเข้าด้วยกัน โดยให้ชื่อว่าลองเชนณิงติก