๑๗ คน ธรรมดาทั่วไปทุกคน พากันปล่อยตัวไปตามความคิดปรุงแต่ง ซึ่งอาศัยปรากฏการณทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่ เพราะฉะนั้นเขาจึงเกิดความรู้สึกที่เป็นความรักและความชัง ถ้าจะขจัดปรากฏการณ์ ซึ่งเป็นเครื่องแวดล้อมเหล่านั้นเสีย เธอก็เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่งของเธอเสีย เมื่อความคิดปรุงแต่งหยุด ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องแวดล้อมก็กลายเป็นของว่างเปล่า เมื่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ กลายเป็นของว่างเปล่าความคิดก็สิ้นสุดลง
แต่ ถ้าเธอพยายามขจัดสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น โดยไม่ทำให้ความคิดปรุงแต่งหยุดไปเสียก่อน เธอจะไม่ประสบความสำเร็จ กลับมีแต่จะเพิ่มกำลังให้แก่สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นให้รบกวนเธอหนักขึ้น
เพราะ ฉะนั้น สิ่งทั้งปวงก็ไม่ได้เป็นอะไร นอกจาก จิต คือ จิต ซึ่งสัมผัสไม่ได้ทางอายตนะ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อะไรเล่า ที่เธอหวังว่าอาจจะบรรลุได้ ?
พวก ที่เป็นนักศึกษาด้านปรัชญา (ของเซ็น) ย่อมถือว่าไม่มีอะไรเลย ที่จะต้องสัมผัสได้ด้วยอายตนะ เมื่อเป็นดังนั้น เขาจึงหยุดคิดถึงยานทั้งสาม
มีความจริงอยู่ก็แต่เพียง ความจริง อย่างเดียวนั้น ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่ต้องรู้ หรือต้องลุถึง การพูดว่า “ข้าพเจ้าสามารถ รู้ ถึงสิ่งบางสิ่ง” หรือ “ข้าพเจ้าสามารถ ลุ ถึงสิ่งบางสิ่ง” นั้น คือการจัดตัวเองไปไว้ในระหว่างบรรดาคนผู้เป็นนักอวดโอ้ เหมือนพวกคนที่สะบัดฝุ่นที่เครื่องนุ่งห่มของเขา แล้วลุกไปจากที่ประชุม ดังที่มีกล่าวอยู่ในสัทธรรมปุณฑริกสูตรนั่นแหละ คือคนพวกนั้นทีเดียว
เพราะเหตุดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “โดยแท้จริงแล้วเราตถาคตไม่ได้บรรลุถึงผลอะไร จากการตรัสรู้ของเรา” ดังนี้ มีอยู่ก็แต่ความเข้าใจซึมซาบอย่างเงียบกริบ และเร้นลับที่สุดเท่านั้น ไม่มีอะไรอีกแล้ว
ขอบคุณที่มาบันทึกชึนเชา