๑๘ ถ้า คนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง เมื่อเขาร่อแร่จวนจะตาย หากว่าเขาสามรถเพียงแต่เห็นว่ามูลธาตุทั้งห้า ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น เป็นของว่างเปล่า และเห็นว่ามูลธาตุทางรูปกายนั้น ไม่ใช่สิ่งซึ่งประกอบขึ้นเป็นตัว “ข้าพเจ้า” และเห็นว่า จิต จริงแท้นั้น ไม่มีรูปร่างและไม่ใช่สิ่งที่มีการมาหรือการไป และเห็นว่าธรรมชาติเดิมแท้ของเขานั้น เป็นสิ่ง ๆ หนึ่ง ซึ่งมิได้มีการตั้งต้นขึ้นที่การเกิดหรือมิได้มีการสิ้นสุดลงที่การตายของ เขา แต่เป็นของสิ่งเดียวรวดและปราศจากการเคลื่อนไหวใด ๆ ในส่วนลึกจริง ๆ ของมันทั้งหมด และว่า จิต ของเขากับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งแวดล้อมเขาอยู่นั้น เป็นสิ่ง ๆ เดียวกัน ถ้าเขาสามรถทำได้ตามนี้จริง ๆ เขาจะลุถึงการรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแว็บเดียว ในขณะนั้น
เขา จะเป็นผู้ที่ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับโลกทั้ง ๓ อีกต่อไป เขาจะเป็นผู้อยู่เหนือโลกได้ เขาจะไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว
แม้ หากว่าเขาจะได้มองเห็นภาพอันรุ่งโรจน์ ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์กำลังเสด็จมาต้อนรับเขา ห้อมล้อมไปด้วยสิ่งอันวิจิตรตระการตาทุกชนิด เขาก็ไม่เกิดความรู้สึกอยากเข้าไปใกล้สิ่งเหล่านั้น หรือถ้าเขาจะได้มองเห็นสิ่งอันหน้าหวาดเสียวทุก ๆ ชนิดมาแวดล้อมอยู่รอบตัวเขา เขาก็ไม่รู้สึกกลัวเลย
เขา จะเป็นแต่ตัวของเขาเองเท่านั้นที่ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง และเป็นสิ่ง ๆ เดียวกันกับ สิ่งสูงสุด สิ่งนั้น เขาจะได้ลุถึงภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ฉะนั้นนี่แหละ คือ หลักธรรมะที่เป็นหลักมูลฐานในที่นี้
ขอบคุณที่มาบันทึกชึนเชา