ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2010, 02:46:57 pm »สาวกของพระพุทธเจ้าตื่นเสมอ
พระศาสดาทรงสดับคำของนางปุณณานั้นแล้ว จึงตรัสว่า “ปุณณา เจ้าไม่หลับ เพราะอันตรายคือทุกข์ของตัวก่อน ส่วนสาวกทั้งหลายของเรา ไม่หลับ เพราะความเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งธรรมเครื่องตื่นอยู่ ทุกเมื่อ” ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:
“อาสวะทั้งหลาย ของผู้ตื่นอยู่ทุกเมื่อ มีปกติ
ตามศึกษาทั้งกลางวันกลางคืน น้อมไปแล้วสู่พระ
นิพพาน ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้.”
ในกาลจบเทศนา นางปุณณายืนอยู่ตามเดิมนั่นเอง ดำรงอยู่ใน โสดาปัตติผลแล้ว เทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว.
พระเถระถูกกล่าวตู่
บาปกรรมที่ท่านได้ทำไว้ ด้วยกล่าวตู่พระเถระผู้เป็น พระขีณาสพรูปหนึ่งด้วยคำไม่จริงในกาลก่อน ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านหมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี ก็มาส่งผลในชาตินี้ ด้วยเรื่องอันเป็นอย่างนี้
ก็โดยสมัยนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะ ซึ่งเป็นหัวหน้าของพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ซึ่งเป็นพระภิกษุที่ก่อกวนด้วยกรรมต่างๆ เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ต้องทรงบัญญัติสิกขาบทหลายข้อ ในครั้งนั้นยังเป็นพระบวชใหม่และด้วยการที่ทำบุญมาน้อย เสนาสนะของสงฆ์ชนิดเลว และอาหารอย่างเลว ย่อมตกถึงแก่เธอทั้งสอง ด้วยได้ทำกุศลกรรมที่ทำมาน้อยนั่นเอง ครั้งนั้น ชาวบ้านในพระนครราชคฤห์ชอบถวายเนยใสบ้างน้ำมันบ้าง แกงที่มีรสดีๆ บ้าง ซึ่งจัดปรุงเฉพาะพระเถระ ส่วนพระเมตติยะและ พระภุมมชกะ เพราะอกุศลกรรมส่งผล เขาจึงถวายอาหารอย่างธรรมดาตามแต่จะหาได้ มีชนิดปลายข้าวมีน้ำส้มเป็นกับ เวลาหลังอาหารเธอทั้งสองกลับจากบิณฑบาตแล้วก็จะเที่ยวถามพวกพระเถระว่า ในโรงฉันของพวกท่านมีอาหารอะไรบ้าง ขอรับ พระเถระบางพวกบอกอย่างนี้ว่า พวกเรามีเนยใส มีน้ำแกงที่มีรสอร่อยๆ ส่วนพระเมตติยะและพระภุมมชกะพูดอย่างนี้ว่า พวกผมไม่มีอะไรเลย ขอรับ มีแต่อาหารอย่างธรรมดาตามที่จะหาได้ เป็นชนิดปลายข้าวมีน้ำส้มเป็นกับ ฯ
สมัยต่อมา กัลยาณภัตติยะคหบดีผู้ชอบถวายอาหารที่ดี ถวายภัตตาหารวันละ ๔ ที่แก่สงฆ์เป็นนิตยภัต เขาพร้อมด้วยบุตรภรรยา ปกติจะคอยอังคาสอยู่ใกล้ๆ ในโรงฉัน ปรนนิบัติพระภิกษุด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำแกงที่มีรสอร่อยๆ
คราวนั้น ท่านพระเถระซึ่งเป็นภัตตุเทสก์ได้แจกภัตต์ของกัลยาณภัตติยะคหบดี ผู้ชอบถวายอาหารที่ดี แก่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น วันนั้นท่านคหบดีไปสู่อารามด้วยกิจบางอย่าง เข้าไปหาท่านพระทัพพมัลลบุตร นมัสการ แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระทัพพมัลลบุตรแสดงธรรมแก่ท่านคหบดีพอสมควรแก่เวลาแล้ว คหบดีจึงเรียนถามว่า พระคุณเจ้าแสดงภัตตาหารเพื่อฉันที่เรือนของกระผมในวันพรุ่งนี้แก่ใครขอรับ ท่านพระทัพพมัลลบุตรตอบว่า อาตมาให้แก่พระเมตติยะกับพระภุมมชกะ คหบดีทราบดังนั้นก็มีความเสียใจว่า ไฉนภิกษุลามกจักฉันภัตตาหารในเรือนเราเล่าเมื่อกลับไปบ้ายตนแล้วจึงสั่งหญิงคนรับใช้ไว้ว่า ในวันพรุ่งนี้ เจ้าจงจัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหาร ด้วยปลายข้าว มีน้ำผักดองเป็นกับ หญิงคนใช้ก็รับคำสั่งของคหบดี
ครั้งนั้นพระเมตติยะและพระภุมมชกะก็กล่าวแก่กันว่า คุณ เมื่อวานนี้ท่านภัตตุทเทสก์แสดงภัตตาหารของกัลยาณภัตติยคหบดี ให้พวกเรา พรุ่งนี้คหบดีพร้อมด้วยบุตรภรรยาจักอังคาสพวกเราอยู่ใกล้ๆ จักถามด้วย ข้าวสุก กับข้าว น้ำแกงที่มีรสอร่อยๆ ตกกลางคืนภิกษุ ๒ รูปนั้นนอนหลับไม่เต็มตื่นเพราะความดีใจนั้นเอง ครั้นรุ่งเช้า พระภิกษุทั้งสองก็ไปยังนิเวศน์ของท่านคหบดี
หญิงคนรับใช้นั้นได้แลเห็นพระเมตติยะและพระภุมมชกะกำลังเดินมาแต่ไกล จึงปูอาสนะถวายที่ซุ้มประตู แล้วกล่าวว่า นิมนต์นั่ง เจ้าค่ะ พระเมตติยะและพระภุมมชกะนึกว่า ภัตตาหารคงจะยังไม่เสร็จเป็นแน่ เขาจึงให้เรานั่งพักที่ซุ้มประตูก่อน ขณะนั้น หญิงคนรับใช้ ได้นำอาหารปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับเข้าไปถวาย พลางกล่าวว่า นิมนต์ฉันเถิดเจ้าค่ะ
ภิกษุทั้งสองตอบว่า น้องหญิง พวกฉันเป็นพระรับนิตยภัต จ้ะ
หญิงคนรับใช้ตอบว่า ดิฉันทราบว่าพระคุณเจ้าเป็นพระรับนิตยภัต เจ้าค่ะ แต่เมื่อวานนี้เอง ท่านคหบดีได้สั่งดิฉันไว้ว่า แม่สาวใช้ เจ้าจงจัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาส ภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ด้วยปลายข้าวมีน้ำผักดองเป็นกับ นิมนต์ฉัน เถิด เจ้าค่ะ
พระเมตติยะและพระภุมมชกะพูดกันว่า คุณ เมื่อวานนี้เอง ท่านคหบดี ไปสู่อารามที่สำนักพระทัพพมัลลบุตร พวกเราคงถูกพระทัพพมัลลบุตรยุยงเป็นแน่ เพราะความเสียใจนั้นเองทำให้ภิกษุทั้งสองรูปนั้นฉันไม่อิ่ม ครั้นเวลาหลังอาหารกลับจากบิณฑบาตไปสู่อาราม เก็บบาตรจีวรแล้ว นั่งรัดเข่าด้วยผ้าสังฆาฏิอยู่ภายนอกซุ้มประตูอาราม นิ่งอั้น เก้อเขิน คอตก ก้มหน้าซบเซา ไม่พูดจา ฯ
ภิกษุณีเมตติยาไปเยี่ยม
คราวนั้น ภิกษุณีเมตติยาเข้าไปหาพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้ว ได้กล่าวว่า ดิฉันไหว้ เจ้าค่ะ เมื่อนางกล่าวอย่างนั้นแล้ว ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ ทักทายปราศรัย แม้นางภิกษุณีจะกล่าวเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ภิกษุทั้งสองรูป ก็มิได้ทักทายปราศรัย
ภิกษุณีเมตติยาถามว่า ดิฉันผิดต่อพระคุณเจ้าอย่างไร ทำไมพระคุณเจ้า จึงไม่ทักทายปราศรัยกับดิฉัน
ภิกษุทั้งสองตอบว่า ก็จริงอย่างนั้นแหละ น้องหญิง พวกเราถูกพระ ทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ เธอยังเพิกเฉยได้
ภิกษุณีเมตติยาถามว่า ดิฉันจะช่วยเหลืออย่างไร เจ้าคะ
ภิกษุทั้งสองตอบว่า น้องหญิง ถ้าเธอเต็มใจช่วย วันนี้พระผู้มีพระภาคต้องให้พระทัพพมัลลบุตรสึก
ภิกษุณีเมตติยาถามว่า ดิฉันจะทำอย่างไร ดิฉันสามารถจะช่วยเหลือได้ด้วยวิธีไหน
ภิกษุทั้งสองตอบว่า มาเถิดน้องหญิง เธอจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลอย่างนี้ว่า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้ กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉันถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า
นางรับคำของภิกษุทั้งสอง แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม แล้วได้กล่าวหาพระทัพพมัลลบุตรเถระด้วยคำอย่างนั้น
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคจึงรับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า ดูกรทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือไม่ว่า เป็นผู้ทำกรรมตามที่ภิกษุณีนี้กล่าวหา ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระองค์ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาค ทรงถามเช่นเดิมแม้ครั้งที่สอง แม้ครั้งที่สาม
ท่านพระทัพพมัลลบุตรก็ยังกราบทูลเช่นเดิมว่า พระองค์ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า ดูกรทัพพะ บัณฑิตย่อมไม่กล่าวแก้คำกล่าวหาเช่นนี้ ถ้าเธอทำก็จงบอกว่าทำ ถ้าไม่ได้ทำ ก็จงบอกว่าไม่ได้ทำ
ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว แม้โดยความฝันก็ ยังไม่รู้จักเสพเมถุนธรรม จะกล่าวไยถึงเมื่อตื่นอยู่เล่า
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล พวกเธอจงให้ภิกษุณีเมตติยาสึกเสีย และจงสอบสวนภิกษุเหล่านี้ ครั้นแล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จเข้าพระวิหาร ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายให้ภิกษุณีเมตติยาสึกแล้ว พระเมตติยะและพระภุมมชกะเห็นการณ์เป็นดังนั้นจึงได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านอย่าให้ภิกษุณีเมตติยาสึกเสียเลย นางไม่ผิดอะไร พวกผมแค้นเคือง ไม่พอใจ มีความประสงค์จะให้ท่านพระทัพพมัลลบุตรเคลื่อนจากพรหมจรรย์จึงได้ให้นางใส่ไคล้
ภิกษุทั้งหลายถามว่า ก็พวกคุณโจทท่านพระทัพพมัลลบุตร ด้วยศีลวิบัติ อันหามูลมิได้หรือ
ภิกษุทั้งสองนั้นรับว่า อย่างนั้น ขอรับ
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระเมตติยะและพระภุมมชกะ จึงได้โจทท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยศีลวิบัติอันหา มูลมิได้เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุเมตติยะและภิกษุภุมมชกะโจททัพพมัลลบุตร ด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
ทรงติเตียน
ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระเมตติยะและพระภุมมชกะ โดยเอนกปริยาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:
พระบัญญัติ
๑๒. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด ขัดใจ มีโทสะ ไม่แช่มชื่น ตามกำจัด ซึ่งภิกษุ ด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ ด้วยหมายว่า แม้ไฉนเราจะยังเธอให้ เคลื่อนจากพรหมจรรย์นี้ได้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้นอันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ ถือเอาตามก็ตาม แต่อธิกรณ์นั้น เป็นเรื่องหามูลมิได้ แลภิกษุยันอิงโทสะอยู่ เป็น สังฆาทิเสส
พระพุทธเจ้าทรงโปรดให้คว่ำบาตรเจ้าวัฑฒะลิจฉวี
สมัยนั้น เจ้าวัฑฒะลิจฉวีเป็นสหายของพระเมตติยะ และพระ ภุมมชกะ เจ้าวัฑฒะลิจฉวี ได้เข้าไปหาพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้ว กล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ เมื่อเธอ กล่าวอย่างนั้น เรื่องต่อมาก็เป็นเช่นเดียวกับเรื่องภิกษุณีเมตติยานั้นแหละ และในที่สุดภิกษุทั้งสองรูปก็เจ้าวัฑฒะลิจฉวี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วแล้วกราบทูลว่าภรรยาของเจ้าวัฑฒะลิจฉวีถูกพระทัพพมัลลบุตร ประทุษร้าย
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงให้สอบสวน พระทัพพมัลลบุตรเถระก็ได้ทูลว่า
“ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว แม้โดยความฝัน ก็ยังไม่รู้จักเสพ เมถุนธรรม จะกล่าวไยถึงเมื่อตื่นอยู่เล่า พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ถ้า เช่นนั้น สงฆ์จงคว่ำบาตรเจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ อย่าให้คบกับสงฆ์ ฯ
องค์แห่งการคว่ำบาตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงคว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วย องค์ ๘ คือ:
๑ ขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย
๒ ขวนขวายเพื่อมิใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย
๓ ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย
๔ ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย
๕ ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน
๖ กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า
๗ กล่าวติเตียนพระธรรม
๘ กล่าวติเตียนพระสงฆ์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ ฯ
ครั้นเวลาเช้า ท่านพระอานนท์ครองอันตรวาสกแล้วถือบาตรจีวร เข้าไปยังนิเวศน์ ของเจ้าวัฑฒะลิจฉวี ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะเจ้าวัฑฒะลิจฉวีว่า ท่านวัฑฒะ สงฆ์คว่ำบาตรแก่ท่านแล้ว ท่านคบกับสงฆ์ไม่ได้ พอเจ้าวัฑฒะลิจฉวี ทราบข่าวว่า สงฆ์คว่ำบาตรแก่เราแล้ว เราคบกับสงฆ์ ไม่ได้แล้ว ก็สลบล้มลง ณ ที่นั้นเอง
พระพุทธเจ้าทรงโปรดให้หงายบาตรเจ้าวัฑฒะลิจฉวี
ขณะนั้น มิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิต ของเจ้าวัฑฒะลิจฉวี ได้กล่าวคำนี้ กะเจ้าวัฑฒะลิจฉวีว่า ไม่ควร ท่านวัฑฒะ อย่าเศร้าโศก อย่าคร่ำครวญไปนักเลย พวกเราจักให้พระผู้มีพระภาคและ ภิกษุสงฆ์เลื่อมใส เจ้าวัฑฒะลิจฉวีพร้อมด้วย บุตรภรรยา มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิต เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า โทษได้มาถึงหม่อมฉันแล้ว ตามความโง่ ตามความเขลา ตามอกุศล ขอพระองค์ทรงพระกรุณารับโทษของหม่อมฉันที่ได้โจทพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตร ด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวม ต่อไปเถิด พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เชิญเถิด เจ้าวัฑฒะ โทษได้มาถึงท่านแล้ว ตามความโง่ ตามความเขลา ตามอกุศล ท่านได้เห็นโทษที่ได้โจททัพพมัลลบุตร ด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล โดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม เราขอรับโทษนั้นของท่าน การที่ท่านเห็นโทษ โดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงหงายบาตร แก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ ทำให้คบกับสงฆ์ได้
พระเถระปรินิพพาน
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้ พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระเถระเที่ยวบิณฑบาตไปในกรุงราชคฤห์ ครั้นเมื่อกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตแล้ว จึงไปสู่ที่พัก ถือเอาน้ำจากหม้อน้ำล้างเท้าทั้งสองข้าง ทำตัวให้เย็น ปูลาดอาสนะ กำหนดเวลาที่จะเข้าสมาบัติ แล้วท่านก็เข้าสมาบัติ ครั้นครบเวลาที่กำหนดไว้แล้วท่านพระเถระก็ออกจากสมาบัติ ตรวจดูอายุสังขารของตน ก็ทราบว่าอายุสังขารของท่านสิ้นไปแล้ว ท่านคิดว่า การที่เราจะนั่งปรินิพพานในที่นี้ โดยเราไม่กราบทูลพระศาสดาไม่สมควรแก่เราเลย เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายก็จะไม่ทราบ ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ให้พระองค์อนุญาตการปรินิพพานเสียก่อน แล้วเราจะแสดงฤทธานุภาพของเรา เพื่อจะแสดงว่าพระพุทธศาสนาเป็นเหตุนำสัตว์ออกจากทุกข์ แล้วเราจักนั่งในอากาศเข้าเตโชธาตุแล้ว ปรินิพพาน เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เหล่าชนผู้ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสในเรา ก็จักเกิดความเลื่อมใส ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่เขาเหล่านั้นตลอดกาลนาน
ท่านพระเถระครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระสุคต บัดนี้ เป็นกาลปรินิพพานแห่งข้าพระองค์ พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรทัพพะ เธอจงสำคัญเวลาอันควร ณ บัดนี้เถิด ลำดับนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรลุกจากอาสนะ ถวายบังคม พระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้ว เหาะขึ้นไปสู่เวหาส นั่งขัดสมาธิเข้าสมาบัติมีเตโชธาตุ เป็นอารมณ์อยู่ในอากาศกลางหาว ออกจากสมาบัติแล้วปรินิพพาน เมื่อท่านปรินิพพาน สรีระถูกไฟเผาไหม้อยู่เถ้าไม่ปรากฏเลย เขม่าก็ไม่ปรากฏ เหมือนเถ้าแห่งเนยใสหรือน้ำมันที่ ถูกไฟเผาไหม้อยู่ ไม่ปรากฏเลย เขม่าก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้น ฯ
ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk-great-index-page.htm
อนุโมทนาครับ