..... ให้รับประสพการณ์เหล่านั้นให้ได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเองลูก ก็เพราะยังมีสัตว์อีกเยอะแยะรอบกายเรา ที่เรามองไม่เห็น! ที่เขาต้องการผลบุญของเรา มันก็เลยกลายเป็นว่า เมื่อเขารับผลบุญของเรา เวลาจะมีเรื่องอะไรเดือดร้อนอะไร เราต้องการความช่วยเหลืออะไร สัตว์เหล่านั้น เปรต อสูรกาย และวิญญาณร้ายเหล่านั้น เขาก็จะพาอภิบาลรักษาดูแล และ คุ้มครองเรา จะช่วยเหลือเรา! และบางครั้งก็จะมาเตือนเราให้สติเรา ทีเราจะพลาด หรือ ใกล้ตาย มันจึงมีผลอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่า หลวงปู่จะตั้งอกตั้งใจกับการที่จะแผ่เมตตา และ อุทิศส่วนกุศล และทุกครั้งที่มีการพูดคุยกับพวกเราก็จะนำแผ่เมตตาทุกครั้ง เพราะต้องการให้สัตว์ทั้งหลาย เปรต อสูรกาย และก็สิ่งที่เราเห็น และ ไม่เห็น ทั้งหลาย ได้กินข้าว กินน้ำ รับผลบุญ จากพวกเรา เป็นเรื่องเป็นราวที่เราต้องให้ ด้วยความเอื้ออาทร และเป็นการฝึกปรือชีวิตวิญญาณของตนให้เป็นคนเสียสละ แบ่งปัน และทำลายความตระหนี่ถี่เหนียว และ ความเห็นแก่ตัว เพียงแค่เราแผ่เมตตา พระโพธิสัตว์ก็จะเกิดกับเรา จะมีอยู่ในตัวเรา เราก็จะกลายเป็นพระโพธิสัตว์ในพริบตาในช่วงเวลานั้น
..... เทวดา และ พรหม เทพเจ้าทั้งหลายก็จะบูชาเราได้เหมือนกันจำไว้ หลวงปู่อยากจะบอกว่า ไม่จริงหรอกลูกเรายิ่งให้เรายิ่งได้ เห็นมั้ยหลวงปู่สร้างวัดนี้ หลวงปู่ไม่ได้เรี่ยไรใครไม่ได้ขออะไรใคร หลวงปู่มีเท่าไหร่ หลวงปู่ก็จะให้ จะมีเงินของตัวเองที่เก็บเอาไว้ ก็คือ เงิน 3 บาท แต่ถ้าใครจะเอามาให้ หลวงปู่ก็จะเก็บ ถ้ามีโอกาสใช้ก็จะใช้ ปี ๆ หนึ่งบวชพระ เณรนี่ ปีหนึ่งใช้เงินไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนบาท แต่เรารับบริจาคอย่างดีก็ แสนกว่าบาท สองแสนบาท แล้วเงินที่เหลือเล่าใครจ่าย เพราะชาวบ้านเขาถวายหลวงปู่เราไม่ได้ใช้เก็บไว้ ก็มาซื้ออะไร ต่อ อะไร มาให้กับพวกเขาแต่สิ่งที่เราได้ก็ อย่างที่เห็นนี่แหละ หลวงปู่ไม่ต้องหาไม่ต้องขอ คนเขามาให้ด้วยใจศรัทธายิ่งให้ ยิ่งได้รับลูก เวลาหลวงปู่จะต้องการใช้เงินวันนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า หรือ ปีหน้า บางเดือนรายจ่ายของที่นี่ เดือนละเป็นล้าน ไม่ต่ำกว่าแสน เวลาที่มีการก่อสร้าง แล้วถามว่าหลวงปู่เอาเงินจากไหน รู้ไหมว่า 3 เดือนที่หลวงปู่เข้ามาอยู่ในวัด หมดเงินไปตั้งสิบกว่าล้าน แล้วเอามาจากไหน เพราะฉะนั้น ยิ่งให้ ยิ่งได้ลูก ไม่ใช่ยิ่งให้แล้วยิ่งหมด! อย่าไปเชื่อใคร ขอเพียงเราให้อย่างฉลาดให้อย่างเป็นคนที่ให้อย่างจริงใจแต่ ไม่ใช่งก ไม่ใช่ขี้เหนียว ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ให้แล้วหวังว่าจะต้องได้เท่านั้น เท่านี้
..... หลวงปู่ไม่เคยเลย ไม่เคยคิดว่าสั่งสอนพวกเราแล้วจะได้อะไร ๆ กลับมา! ก็เคยคิด คิดอย่างเดียวว่า เราสอนให้เขาเป็นคนดี แล้วเขาไปทำดีต่อสังคม และครอบครัวเท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ถ้ารู้ว่าให้แล้วหมด พระองค์คงไม่สอนให้ ให้แล้วหรอกลูก เชื่อพระพุทธเจ้า ยิ่งให้ ยิ่งได้ เป็นการให้ด้วยความเมตตา ไม่ใช่ เป็นการให้ เพราะอยากอวดมั่ง อวดมี อวดเด่น ให้อย่างนั้น ยิ่งให้ยิ่งเสียลูก ให้ด้วยแล้วเสียด้วย อย่างน้อยก็สูญเสียสิ่งดี ๆ ที่เราควรจะได้กับการให้ในครั้งนั้น เราจะหยิ่งขึ้น ทรนงขึ้น ถือตัวถือตนเองมากขึ้น จองหองขึ้น แต่ถ้าเราให้ด้วยความอยากให้ ให้ด้วยความเมตตา ความหยิ่งก็จะไม่มี ความทรนงก็จะไม่มี ความถือตัวถือตนว่าเป็นผู้มีพระคุณก็จะหมดไป ความผยองพองขนก็จะไม่มี เพราะฉะนั้นการให้อย่างนี้จึงถือว่าเป็นการให้แบบพระโพธิสัตว์
การทำบุญมีด้วยกัน 4 ประเภท
ประเภทแรก การทำบุญอย่างพระพุทธเจ้าให้ แบบพระพุทธเจ้าให้ เป็นพระพุทธเจ้า คนที่ให้แบบนั้นเป็นพระพุทธเจ้าให้อย่างไม่หวังอะไรตอบแทน ให้ด้วยความเอื้ออาทร และด้วยความเมตตา มี ดี เต็ม อิ่ม แล้วก็ แบ่งปั่นให้ นั้นเรียกว่าให้แบบพระพุทธเจ้า
ประเภทที่สอง ให้แบบพระโพธิสัตว์ให้ มี ไม่ดี ไม่เต็ม ไม่อิ่ม แต่ถ้ามีคนมาขอ ก็มีจิตเมตตา แม้แต่เฉือนเนื้อตัวเองให้ ก็ให้ ให้อย่างนั้นเรียกว่าเป็นการให้แบบพระโพธิสัตว์ให้ ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน
ประเภทที่สาม ให้แบบพระอริยเจ้าให้ ให้เพราะตัวเองคิดว่าอยากจะอนุเคราะห์สรรพสัตว์ ตามหน้าที่เพราะตัวเองเป็นคนดี คนมี คนเต็ม คนอิ่ม ตามพระพุทธเจ้า มี ดี เต็ม อิ่ม และก็ด้วยมีฐานะของความเป็นผู้ที่ไม่ยึดติด ผู้ละวางปล่อยเว้น ไม่ต้องการอะไร แล้วก็เอื้ออาทร ต่อสรรพสัตว์ แล้วก็แบ่งปั่น ให้อย่างนี้เรียกว่าให้อย่างพระอริยะเจ้าให้
ประเภทที่สี่ เรียกว่าให้แบบเปรตให้ ให้แบบชนิด เจ้าประคูณ ขอให้งวดนี้ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง เจ้าประคูณ ขอให้ลูกดิฉันสอบนายร้อยได้ เจ้าประคูณขอให้ทำมาค้าขึ้น ไอ้เนี้ย เปรตให้ลูก เปรต แปลว่าผู้ไม่อิ่ม ไม่เต็ม พร่องเป็นนิจ และต้องการ ให้แล้วต้องให้ได้เท่านั้นเท่านี้ อย่างนี้เรียกว่าเปรตให้ลูก เลือกเอาลูก
http://www.dharma-isara.onoi.org/index.php?option=com_content&view=article&id=227:2009-07-26-10-52-26&catid=47:2009-06-23-19-00-26&Itemid=75