ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 11:07:27 pm »

 :13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม^^
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 09:43:11 pm »




หลักปัจจยาการที่แท้ก็คือความไม่เกิดไม่ดับและเป็นทั้งมัชฌิมาปฏิปทาด้วย
ถ้าเราพิจารณาด้วยสายสมุทัยคือ อวิชชาเป็นปัจจัย
ให้เกิดสังขารๆเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ฯลฯ เช่นนั้นโดยลำดับ โลกสมุทัยก็เกิดขึ้น

ถ้าพิจารณาสายดับคือ เพราะอวิชชาดับสังขารจึงดับเพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับฯลฯ
เช่นนี้โดยลำดับไซร้
ก็เป็นโลกนิโรธะ (คือพระนิรวาณ)ฝ่ายมัธยามิกะยกพระพุทธภาษิตขึ้นอ้างอีกว่า

"เมื่อสิ่งอันนี้มีอยู่ สิ่งอันนั้นก็จักเกิดขึ้นเพราะเกิดขึ้นแห่งสิ่งอันนี้

เมื่อสิ่งอันนั้นไม่มีอยู่สิ่งอันนี้ย่อมไม่มี สิ่งอันนี้จะดับได้ก็เพราะดับแห่งสิ่งอันนั้น"
ในปัจจยการนั่นเอง เมื่อกล่าวโดยสายเกิด
ก็เป็นโลกสมุทัย เมื่อกล่าวโดยสายดับก็เป็นโลกนิโรธะหรือพระนิรวาณ

เพราะฉะนั้นใช่ว่าจะมีพระนิรวาณต่างหากนอกเหนือปรากฏการแห่งปัจจยการนี้ไม่
เพราะเห็นแจ้งในโลกสมุทัย
นัตถิกทิฏฐิจึงไม่เกิดขึ้นและเพราะแจ้งในโลกนิโรธะ สัสสตทิฏฐิจึงไม่อุบัติ...

อรรถกถาของท่านนิลเนตรได้ให้ข้ออุปมาโดยง่าย ๆ ว่า

เหมือนกับเมล็ดพืชเมล็ดแรกนั้นเกิดขึ้นในสมัยใดแม้เราจะสืบสวนไปจนถึง
เบื้องปฐมกัลป์ เราก็หาไม่พบว่า
เมล็ดพืชเมล็ดแรกเกิดขึ้นอย่างไรและมีอะไรเป็นปฐมเหตุเราไม่อาจหาไปจนพบ

ถ้ามีปฐมเหตุอะไรเป็นปฐมเหตุให้เกิดปฐมเหตุนั้นอีกเล่าสืบสวนไป ไม่มีที่สิ้นสุด
ความเกิดแห่งเมล็ดนี้จึงไม่ปรากฏ (ที่ปรากฏว่าเมล็ดพืชนั้นเป็นมายา)

เมื่อเมล็ดความเกิด  ไม่ปรากฏ  จะกล่าวว่าเมล็ดพืชนั้นดับไม่มีเลยหรือก็หามิได้
เพราะเมล็ดพืชที่เราเห็นอยู่นั้นมี (อย่างมายา) สืบเนื่องกันมาเรื่อยจนถึงปัจจุบัน

และจากปัจจุบันจะสืบเนื่องไปจนถึงอนาคต ถ้ากระนั้นเมล็ดพืช
ก็มีภาวะเที่ยงนะซิ เปล่าเลย
เพราะถ้ามีภาวะเที่ยงแล้วไซร้เมล็ดพืชจะงอกงามเป็นต้นกิ่งก้านใบสาขาไม่ได้

ถ้าไม่เที่ยงเมล็ดพืชนั้นชื่อว่าขาดสูญด้วยหรือไม่  ไม่ขาดสูญหรอก
เพราะกิ่งก้านใบสาขาใบดอกของพืชนั้นย่อมสืบสันตติเนื่องมาจากเมล็ด

ดังนั้นไซร้ควรกล่าวว่าเป็นหนึ่งก็ไม่ควรเพราะหากเป็นหนึ่งแล้วกิ่งใบดอกผล
จะมีไม่ได้ จะต้องเป็นตัวเมล็ดพืชนั้นเอง
ถ้ามิใช่หนึ่งก็สมควรว่าต่างแตกแยกจากเมล็ดพืชเด็ดขาดหรือ มิได้เลย

หากต่างแตกแยกจากเมล็ดพืชแล้วกิ่งก้านสาขาใบดอกก็ออกจากเม็ดพืช
เหมือนงูเลื้อยออกจากโพรงอย่างนั้นซิ เปล่าอีกเหมือนกัน
เพราะเราต่อยเมล็ดพืชนั้นออกเราก็หาไม่พบกิ่งก้านสาขาใบดอกในเมล็ดนั้น

ฉะนั้นเราจึงลงบัญญัติได้ว่าเมล็ดพืชนั้นเป็นเพียงมายา ...

สำหรับทฤษฎีเรื่องพุทธภาวะมีอยู่ในสรรพสัตว์นั้น อาจารย์นาคารชุนไม่รับรอง
ทฤษฎีนี้ ถือว่าถ้าอย่างนั้นก็จัดว่า
เป็นพวกวาทะผลอยู่ในเหตุฝ่ายมัธยามิกะย่อมถือว่าสัตว์ทั้งหลายมีความสามารถ

ที่จะบรรลุความเป็นพุทธได้เพราะสัตว์ทั้งปวงไม่มีภาวะอันคงที่ดั้งเดิม ทำกรรมใด
ย่อมได้รับผลกรรมนั้น เมื่อลงสร้างทศบารมีเมศสมบูรณ์ก็จักบรรลุเป็นสัมพุทธะได้

ไม่ใช่ว่ามีพุทธภาวะ ที่บริสุทธิ์ที่เป็นอมตะอยู่ก่อนเป็นอนมตัคคะแต่ถูกหุ้ม
อย่างฝ่ายภูตตถาวาท
ทั้งนี้เนื่องด้วยการถือว่ามีพุทธภาวะที่แน่นอนอยู่ก่อนแล้วนั้นชื่อว่าเป็นการถือ

"สิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง"นั่นเอง อนึ่งเมื่อธรรมทั้งปวงเกิดจากเหตุปัจจัย
จึงปราศจากแก่นสารตัวตน เมื่อปราศจากตัวตน
อะไรเล่าเป็นตัวท่องเที่ยวในวัฏฏสังสาร  อะไรเล่าเป็นตัวดับกิเลสบรรลุพระนิรวาณ

เราจะเห็นว่าว่างเปล่าทั้งสิ้นไม่มีสภาวะเกิดหรือดับไป เพราะฉะนั้นผู้บรรลุนิรวาณ
ไม่มีแล้ว พระนิรวาณอันผู้นั้นจะบรรลุจึงพลอยไม่มีไปด้วย
ท่านนาคารชุนอรรถาธิบายต่อไปอีกว่าพระพุทธเจ้าตรัสเทศนา


หลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รวมลงได้ที่ศูนยตานี้เอง และดังนั้น
ในปรัชญาปารมิตาสูตร จึงกล่าวว่า  รูปํ ศูนยตา ศูนยตาตท รูปํ
รูปคือความสูญ ความสูญคือรูป
นั้นคือสังขตะ อสังขตะแท้ก็เป็นเพียงสมมติบัญญัติ



ความจริงย่อมเป็นสูญ บัณฑิตที่สอดส่องด้วยปัญญาเท่านั้นจึงจักตรัสรู้ถึง
เพราะอสังขตะย่อมเป็นธรรมคู่กับสังขตะ ปราศจากสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเองเหมือนกัน
เมื่อแสดงปรัชญามาถึงตอนนี้พวกอัสติวาทินก็แย้งขึ้นมาว่าเมื่อสังขตะอสังขตะ

ล้วนเป็นสูญไปแล้ว การบำเพ็ญมรรคผลต่างๆ มิไร้สาระไปด้วยหรือ ความเป็นอย่างนี้
มิเป็นอุจเฉทวาทหรือ ท่านนาคารชุนก็โต้กลับไปว่าเพราะสิ่งทั้งปวง

เป็นของสูญ ปราศจากสิ่งที่เป็นอยู่ด้วยตัวของมันเองนะซิ ปุถุชนจึงบำเพ็ญมรรคภาวนา
เป็นอริยบุคคลได้ คนทำชั่วจึงลงนรกได้ คนทำดีจึงไปสวรรค์ได้

ถ้าหากมีสิ่งที่เป็นอยู่ด้วยตัวของมันเองแล้ว มันจะเกิดแปรเปลี่ยนภาวะจากปุถุชน
เป็นอริยเจ้าได้อย่างไรหนอ เพราะสิ่งที่เป็นอยู่ด้วยตัวของมันเอง
ย่อมหมายถึงสิ่งนั้นต้องไม่อิงอาศัยสิ่งอื่นเลยสำเร็จในตัวของมันเอง ดำรงอยู่ด้วย

ตัวของมันเองเช่นนี้ย่อมเป็นการหักล้างกฏอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของพระพุทธองค์
และทิฏฐิอย่างนี้มิเป็นสัตตวาทหรือ
ฝ่ายมัธยามิกะอุปมาอย่างโลก ๆ ว่าเหมือนกับอาศัยที่ว่าง เราปราถนาจะสร้างอะไรๆ
จึงจักสร้างขึ้นได้ ณเนื้อที่ว่างเปล่าตรงนั้น ไม่ว่าจะมากหรือน้อย อุปไมยดังอาศัยศูนยตา


เหตุปัจจัยทั้งหลายจึงจักแสดงบัญญัติขึ้นมาได้ ฉันใดก็ฉันนั้น..
ธรรมทั้งหลาย ไม่อุบัติขึ้นเอง ไม่อุบัติจากสิ่งอื่น
ทั้งไม่อุบัติขึ้นเองด้วย ไม่อุบัติจากสิ่งอื่นรวมอยู่ด้วยกัน
และไม่ใช่ปราศจากเหตุ.. เพราะฉะนั้นจึงรู้ว่าไม่มีการอุบัติขึ้นลย



เสถียร โพธินันทะ ,ปรัชญามหายาน


"สังขตธรรมทั้งปวง มีอุปมาดั่งความฝัน ดั่งภาพมายา ดั่งฟองน้ำ
ดั่งเงา ดั่งน้ำค้าง
และดั่งสายฟ้าแลบ พึงเพ่งพิจารณาโดยอาการเช่นนี้แล"


วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร



*สังขตธรรม  (ธรรมะของขันธ์ 5 หรือโลกียะธรรม หรือสังขารธรรม
ซึ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา. )
อสังขตธรรม  (ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ)




palungjit.com
http://www.sookjai.com/index.php?topic=993.msg10968#msg10968
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 05:23:26 pm »


ท่านนาคารชุนะ

ปรัชญามหายาน นิกายศูนยตวาทิน (มาธยามิกะ)

อาจารย์นาคารชุนได้ประกาศทฤษฎีศูนยตวาทินด้วยอาศัย
หลักปัจจยการและอนัตตาของพระพุทธองค์เป็นปทัฏฐาน ท่านกล่าวว่า
สังขตธรรม อสังขตธรรม*
มีสภาพเท่ากันคือสูญ ไม่มีอะไรที่เป็นอยู่มี ด้วยตัวของมันเองได้อย่างปราศจาก

เหตุปัจจัยปรุงแต่งแม้กระทั่งพระนิรวาณเพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่สังขธรรมเป็นมายา
ไร้แก่นสารเลย พระนิรวาณก็เป็นมายาด้วย สิ่งที่อาจารย์นาคารชุนปฏิเสธคือ
"สิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง" ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอยู่โดยสมมติหรือปรมัตถ์

ก็สิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเองนั้นกินความหมายรวมทั้งอาตมันหรืออัตตาด้วย
แต่เรื่องอาตมันนั้น พระพุทธศาสนาทุกนิกาย
(ยกเว้นนิกายวัชชีบุตรและพวกจิตสากล) ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดไม่ยอมให้
เหลือเศษอะไรอยู่แล้ว แต่ตามทัศนะของอาจารย์นาคารชุน

ท่านคณาจารย์เหล่านั้นถึงแม้ปฏิเสธความมีอยู่ด้วยตัวของมันเอง
เพียงแต่อาตมันเท่านั้น
แท้จริงยังไม่เกิดอุปาทานยึดสิ่งที่มีอยู่ในตัวของมันเองในขันธ์ธาตุอายตนะ

พระนิรวาณว่ามีอยู่ด้วยตัวของตัวเองอีกเห็นว่ามีกิเลสต้องละและมีพระนิรวาณ
เป็นที่บรรลุ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด
นาคารชุนกล่าวว่า สิ่งที่เราเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งจุดสุดท้ายที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเองนั้น

แท้จริงก็เกิดจากปัจจัยอื่นอีกมากหลายปรุงแต่งขึ้น เมื่อสิ่งทั้งหลายไม่มีภาวะ
อันใดแน่นอนของตัวเองเช่นนี้
สิ่งเหล่านั้น ก็เป็นประดุจมายาสิ่งใดเป็นมายาสิ่งนั้นก็ไร้ความจริง จึงจัดว่าสูญ

นาคารชุนอธิบายว่าสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเองย่อมบ่งถึงความเป็นอิสระ
ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น จะเปลี่ยนแปลงมิได้
ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็เป็นการขัดต่อกฎปัจจยาการของพระพุทธศาสนา

เพราะตามกฎแห่งปัจจัยสิ่งทั้งปวงย่อมอาศัยเหตุปัจจัยจึงมีขึ้น ไม่ได้มี
สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอยู่โดยโดดเดี่ยว
เช่นนี้ย่อมจัดเป็น*สัสสตทิฏฐิไป อนึ่งถ้ามีความเห็นว่าทั้งปวงขาดสูญ
ปฏิเสธต่อบาปบุญคุณโทษเล่าก็เป็น*อุจเฉททิฏฐิ

หลักธรรมฝ่ายศูนยตวาทินจึงไม่เป็นทั้งฝ่ายสัสสตทิฏฐิ

ก็เพราะแสดงถึงแก่นความจริงว่า สรวม ศูนยมด้วยความเป็นที่ไร้ภาวะ
ที่โดดเดี่ยวโดยตัวของมันเอง

และไม่เป็นทั้งอุจเฉททิฏฐิหรือนัตถิกทิฏฐิก็เพราะแสดงว่าสิ่งทั้งปวงอาศัยเหตุ
เป็นปัจจัยดุจมายา มีอยู่ด้วยสมมติบัญญัติ
ด้วยประการดังนี้อาจารย์นาคารชุนกล่าวว่าการหลุดรอดจากบาปทั้งปวง
ต้องทำลายความติดอยู่

ในภาวะหรือสัสสตความเป็นอยู่ซึ่งจัดว่าเป็นสัสสตทิฏฐิ และทำลาย
ความติดในอภาวะหรืออสัสสต ความไม่เป็นอยู่
ซึ่งเป็นนัตถิกทิฏฐิเสียนั่นแหละจึงบรรลุถึงมัชฌิมาปฏิปทา

เพื่อสนับสนุนทฤษฎีนี้อาจารย์นาคารชุนยกพระพุทธภาษิต
ที่ตรัสแก่พระกัจจายนะ ขึ้นอ้างว่า

"ดูก่อนกัจจายนะ ข้อที่ว่าสิ่งทั้งปวงมีอยู่เป็นส่วนสุดข้างหนึ่งข้อที่ว่า
สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่ก็เป็นส่วนสุดอีกข้างหนึ่ง
ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยท่ามกลาง  ไม่เกี่ยวข้องส่วนสุดทั้งสองนั้น"


เพราะฉะนั้นศูนยตวาทินจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามาธยามิกะ ซึ่งต่อไปจะเรียกชื่อนี้
แทนชื่อเดิมต่ออสังขธรรม  ฝ่ายมาธยามิกะมีทัศนะว่า
อสังขธรรมนั้นย่อมไม่มีความเกิดปรากฏขึ้น อันใดความเกิดไม่มีอันนั้นจะมีอยู่อย่างไร

อุปมาดังดอกฟ้าและเขากระต่ายหรือนางหินมีครรภ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีในโลก
และไม่เคยมีปรากฏ ด้วยอันดอกฟ้านั้นใครบ้างเคยเห็น
กระต่ายเกิดมีเขางอก หรือรูปปั้นสตรีเกิดมีครรภ์ขึ้นได้นั้น  ล้วนเป็นมายา

อนึ่งถ้าพระนิรวาณมีอยู่ไซร้ พระนิรวาณจักชื่อว่ามีการเกิดขึ้น
สิ่งใดมีการเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมไม่เที่ยง
เป็นการขัดกันและหากสิ่งใด มีอยู่โดยลำพังตัวเองจะปราศจากการิยรูป

หรือคุณภาพมิได้สิ่งใดมีการิยรูปหรือคุณภาพย่อมบ่งให้เห็นว่าสิ่งนั้นมีการปรุงแต่งอยู่
ดังนั้นจึงสรุปว่านิรวาณ
ก็เป็นประดุจมายา เพราะไม่มีการเกิดขึ้นเหมือนดอกฟ้าเขากระต่ายหรือนางหินมีครรภ์

อนึ่งถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งความเกิดความดับที่แท้ก็ไม่เป็นอื่นไปนอกจาก
ความไม่เกิด ไม่ดับนั้นเอง
พระนิรวาณมิใช่จักเป็นภาวะใดภาวะหนึ่งนอกจากปรากฏการณ์ทั้งหลาย






สังขตธรรม (ธรรมะของขันธ์ 5 หรือโลกียะธรรม หรือสังขารธรรม
ซึ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา. )

อสังขตธรรม (ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ)

* ความหมายของอุจเฉททิฏฐิ
ประกอบมาจากคำสองคำคืออุจเฉทะ(ขาดสูญ, ขาดสิ้น, ตัวขาด)
และทิฏฐิ๑ (ความเห็น, การเห็น, ลัทธิ, ทฤษฎี, ทัศนะ)

อุจเฉททิฏฐิ หมายความว่าทัศนะที่เชื่อว่าอัตตาและโลกขาดสูญ ในความเห็นว่า ขาดสูญ
หมายความว่า เห็นว่าหลังจากตาย อัตตาและโลกจะพินาศสูญหมด
กล่าวคือ หลังจากตายแล้ว อัตตาทุกประเภท ไม่มีการเกิดอีก

อีกนัยหนึ่ง อุจเฉททิฏฐิ หมายถึง การปฏิเสธความไม่มีแห่งผลของการกระทำทุกอย่าง
คือ ไม่ยอมรับว่ามีผลย้อนกลับมาถึงตัวผู้ทำ
ทุกอย่างจบสิ้นเพียงแค่เชิงตะกอน หลังจากตายแล้ว อัตตาและโลกไม่เกิดอีก
เป็นมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด)


สัสสตทิฏฐิ - ความเห็นว่าเที่ยง
 คือความเห็นว่า อัตตาและโลก เป็นสิ่งเที่ยงแท้ยั่งยืน คงอยู่ตลอดไป เช่น เห็นว่าคนและสัตว์ตายไปแล้ว

ร่างกายเท่านั้นทรุดโทรมไป ส่วนดวงชีพหรือเจตภูตหรือมนัสเป็นธรรมชาติไม่สูญ
ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่นสืบไป เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหนึ่ง;  ตรงข้ามกับ อุจเฉททิฏฐิ


นัตถิกทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นว่าไม่มี หมายความว่า ความเห็นที่ยอมรับแต่ความไม่มี
ปฏิเสธความมีอยู่ทุกอย่าง หรือ ความเห็นว่าสิ่งที่ทำแล้วไม่มีผลย้อนกลับต่อผู้กระทำความดี
 เป็นความเห็นที่ปฏิเสธผลของการกระทำเป็นต้น ดังพุทธพจน์ที่ว่า

. . .สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้มีความเห็นอย่างนี้ว่าทานที่ให้แล้วไม่มีผล
การบวงสรวงไม่มีผล การบูชาไม่มีผล
ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี คุณของมารดาไม่มี คุณของบิดาไม่มี

โอปปาติกสัตว์ไม่มี สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัด
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้รู้ทั่ว ไม่มีในโลก. . .

เป็นมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด)