พอตัวเองหายข่าวร้ายก็เกิดขึ้น พี่สาวของบ้านคนเดียวป่วย ความที่แกดูแลเรา รักษาเรา คอย เอาใจใส่เรา ชื่อตุ๊กตา หน้าตาสวย ใจดี รักพี่น้องทุกคน จำได้ว่าข้าวในบ้านเหลือนิดเดียวแกจะ เอามาต้มแล้วก็ให้เรากินก่อน ส่วนแกก็ไปหามันที่รับจ้างขุดเอามาเผากิน เสื้อผ้าในบ้านหายาก แกก็จะสละส่วนของแก เอามาให้เราได้นุ่งได้ห่ม สมัยนั้นไม่มีข้าวสวยกินทุกวัน มีแต่ข้าวต้ม จะ เอื้ออาทรต่อทุกคน แกไม่ได้เลี้ยงคนในบ้านอย่างเดียว แกยังไปเลี้ยงเด็กข้าง ๆ บ้านด้วย ช่วย เหลือเขา คนแก่เฒ่าที่มาอยู่อาศัย แกเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวดูแลรักษาให้ทำตัวเหมือนทาส เหมือนคน ใช้ในบ้าน แต่ถึงเวลาแกป่วยไม่มีใครช่วยอะไรแกได้ แกไม่บอกใครว่าแกป่วย แกเห็นย่าลำบาก แกก็ไปช่วยย่าแบกมัน เสร็จแล้วแกก็ช็อค ย่ารู้อีกทีก็ตัวร้อนจี๋มาก พอกลับบ้านอยู่ได้สักวันหนึ่ง แกก็ตาย หมอประจำหมู่บ้านบอกว่า มาเลเรียขึ้นสมอง
ตอนที่แกตายทั้งบ้านมีเงินไม่ถึงห้าสิบสตางค์ ย่าก็เอาผ้าห่มของแกห่อตัว จำได้ว่าตอนที่แกตาย อายุเพิ่งจะ ๑๕ ......๑๖ ห่อตัวแล้ว ชาวบ้านผู้ชายมาช่วยกันขุดหลุมลึก ๆ แล้วฝัง
ตอนนั้นไม่รู้ว่าพระสามองค์นั้นไปใหนแล้ว จำได้ว่าพอตัวเองหายป่วยแล้วมันเหมือนกับโชคชะตา ที่พัดพาให้ตัวเองขาดที่พึ่ง เราก็เลยต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น ถ้าแกยังอยู่คงไม่มีกูวันนี้แน่ เพราะแก จะทำทุกอย่างที่อยู่ในบ้าน อาบน้ำน้อง ซักผ้า กวาด เช็ดถู ทำความสะอาด หุงต้ม ผัดข้าว ดูแล ปูที่นอนให้แม่ ล้างขี้ ล้างเยี่ยว คนป่วยที่มาอาศัยอยู่ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่าสิบคน พอแกตายเราก็ เลยต้องทำ เพราะถือว่าเป็นคนเล็กในบ้าน แต่ก็มีปัญญาทำได้
ส่วนคนโตเป็นผู้ชายมันเกเรไปอยู่กับเสือกับสิงห์ ไม่กลับบ้านเป็นอันว่าทั้งบ้านมีแต่กูกะย่า สุดท้าย ก็เลยเสียใจที่ลูกสาวคนเดียวต้องตาย สังเกตุแกจะไปนั่งร้องไห้ตรงหลุมศพลูกสาวเป็นประจำ แก ไมค่อยแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น
หลังจากพี่สาวตายไป ๒ เดือน แกไปหารถเดินทางกลับมาอยู่กรุงเทพ หนทางแสนจะลำบากกว่า จะถึงที่หมาย กูเมารถแทบตาย กลับมาอยู่ใต้ถุนบ้านทรงไทยซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของแก แต่ ก็ขายให้เพื่อนเพราะสังคมรอบข้างรังเกียจที่แกรับเลี้ยงคนที่เป็นโรคเรื้อน แกจึงขายบ้านแล้วไป อยู่ระยอง สุดท้ายต้องซมซานกลับมาอาศัย ใต้ถุนบ้านเขาอีก กูเมารถเลยมานอนใต้ถุนบ้านนี้ ไม่ไหวติงสิ้นสติไปสามวันสามคืน ขนาดอาศัยอยู่ใต้ถุนเขายังเลี้ยงตาแป๊ะยายซิ้มตั้งสี่ชีวิต กูได้ เรียนตีขิมกับอาแปะนี่แหละ
อยู่ใต้ถุนบ้านเขาแน่นอนความสุขมันไม่มี เจ้าของบ้านมีแม่แก่ ๆ เป็นคนขี้เมา พ่อแม่เจ้าของบ้าน เข้าโรงฝิ่น กินเหล้า ตีไก่ กัดปลา เป็นคนไม่มีศีลธรรมสักเท่าไหร่ วันดีคืนดีมันก็ด่าเอา บางทีก็ตำ หมากเสียงดัง บางทีก็เยี่ยวใส่ ย่าไม่พูดอะไรเลย ยิ้มรับสถานการณ์ลูกเดียว
ตอนนั้นย่ากลับมาก็ไปรับจ้างเขาทำงานที่ท่าเรือ หลวงปู่ก็หาผักบุ้งบ้าง ปูบ้าง คนแก่ในบ้านก็ไป หาหอย แต่กูไม่เคยหาได้ซักตัว เคยยิงนก แต่ยิงไม่โดนหรอก นกมันตกใจบินไปชนต้นไม้ตกน้ำ เอง นั่งร้องไห้อยู่นั่นแหละกลัวนกจมน้ำตายจนคนต้องเอามันขึ้น ไม่ได้กินหรอก
พอไกล้วันตรุษสงกรานต์พวกเราจะทำงานหนัก พับถุงขายยันตีหนึ่งเอาไปแลกข้าวแลกกับ อาหาร ยอดโปรดคือหัวปลาเค็ม เต้าหู้ยี้ กินมันทั้งปี กินผักบุ้งผัดเต้าหู้ยี้ ตากูถึงได้ใสไง ย่าชอบกินปลาทู ส่วนกูชอบกินปลาโอเพราะมันถูก สมัยก่อนปลาทูมันแพงปลาแดงมันถูก ปลาโอก็ถูก แล้วก็กินปลา โอไม่ได้ กินแล้วมันจะคันยุบยิบ อาหารทะเลเป็นอาหารกระจอกที่สุดของคนยุคก่อน ปลาน้ำจืด เป็นของแพงที่สุด
ครั้งหนึ่งย่าสั่งว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันสงกรานต์ แม่จะไปหามะพร้าวมาแกงเป็ด เป็ดที่เลี้ยงไว้ในเล้า เดี๋ยวให้จัดการด้วยนะ เราก็เข้าใจล่ะว่าต้องทำอย่างไร เขาต้องแกงเป็ดแจกชาวบ้าน ใส่บาตร ด้วย ไปตัดไม้ไผ่มาเหลาธนู หมดเวลาไปเกือบครึ่งวัน พอได้ธนูมาแล้วก็ไล่ยิงเป็ด ไอ้ธนูรึก็ไม่ แหลม เป็ดก็ขนหนา ยิงเท่าไรมันก็ไม่ตาย หกโมงแล้วยังไม่ได้เป็ด ย่ากลับมาเตรียมเครื่องมา พร้อม ถามใหนเป็ด วันนั้นไม่ได้กินเป็ดไม่มีปัญญา เขาก็เลยต้องไปวานน้าชายให้จัดการเป็ด ได้เราพอเห็นเขาเชือดคอเป็ด เลิอดพุ่ง นั่งกอดเข่าซึม เป็ดเราเลี้ยงมาแต่เล็ก มาตายซะแล้ว
ถึงวันสงกรานต์มีกล้วยแจกกล้วย มีอ้อยแจกอ้อย หลวงปู่ชอบที่บ้านถึงแม้จะอดอยากอย่างไร แต่ถ้าถึงวันนักขัตฤกษ์สำคัญเราชอบที่จะให้กัน นั่นคือสังคมคนไทยยุคโบราณ เขาจะให้กัน ถ้า เรารับของเขาแล้วเราไม่ให้บ้าง มันก็จะกลายเป็นความน่าเกลียด
แต่หลวงปู่ไม่ค่อยชอบให้คนไทยหรอก มันขี้เหนียวเพราะว่าเวลาเอากล้วยไปให้มัน มันก็ให้อ้อย เรา มันเสียเวลาเคี้ยวแต่ก็ให้ เจ๊กนี่มันให้ไก่เรามันไม่ต้องเสียเวาลาเคี้ยว เคี้ยวแล้วมันกลืน อ้อย นี่เคี้ยวแล้วกลืนไม่ได้กินแต่น้ำเสียกำลังก็เลยไม่ให้คนไทย ส่วนใหญ่แล้วย่าเขาจะเป็นคนไปให้ บ้านคนไทยแต่กูจะไปให้บ้านเจ๊กถ้าเจ๊กมันรู้ว่าหลวงปู่เอาไปให้มันก็จะชอบ เพราะมันรู้ว่าเราเลี้ยง เจ๊ก เราเอากล้วยไปให้เขา เขาก็จะให้ไก่เรามา กะมาตัวหนึ่ง
ช่วงนั้นอนาถาลำบากแต่ก็มีความสุขอยู่กันระหว่างแม่ ๆ ลูก ๆ มันมาแย่เอาตอนที่ถึงเกณฑ์จะ เข้าโรงเรียนเนี่ย ย่าก็จะพาไปสมัครเรียนโรงเรียนวัด ไม่มีปัญญาจะไปซื้อหนังสือ เผอิญตาแป๊ะ ที่ย่าเลี้ยงไว้ลูกแกรู้เข้าก็มารับแกกลับแล้วให้ทองไว้ ย่าเอาทองไปขายเอาตังไปซ้อหนังสือ เสื้อ ผ้าก็ยังไม่มี รองเท้าก็ใส่ไม่เป็น ไอ้ที่แย่กว่าใส่รองเท้าไม่เป็นก็ตรงที่นั่งรถไม่เป็น นั่งรถไม่ได้มัน อ๊วก
สมัยก่อนรถเมล์นายเลิศไอ้ชนิดเหล็กทิ่มหน้า แล้วก็หมุน ๆ สุดท้ายก็ต้องเดินเอา เรียนวัดธาตุ ทอง บ้านอยู่คลองเตย เช้าออกจากบ้าน ตี ๕ ลุกขึ้นมาหุงข้าว หุงปลา แล้วก็ไป มีข้าวให้หุงก็วาสนา บางวันไม่มีข้าวให้หุงก็ต้องไป ไปโรงเรียนก็โดนตีเกือบทุกวัน ไม่ได้มีความคิดที่จะเรียนคิดแต่ว่า เย็นนี้กูจะกินอะไร รวมความแล้วสมองตอนนั้นมีแต่ความรู้สึกว่า มื้อต่อไปกูจะกินอะไร กลับไปนี่ กูจะต้องไปพับถุงอีกกี่ร้อย กว่าจะได้ข้าวมา ๑ ลิตรบางทีเลิกเรียนตอน ๓ โมงเย็น ก็ต้องรีบไปช้อน ลูกน้ำ ชีวิตกูนี่บาปที่สุดรู้สึกจะจมกับลูกน้ำ กะยุงเนี่ย
ไม่สตางค์นะลูก ป.๑ นี่ยังไม่เห็นสตางค์ ป.๒ ยังไม่เจอสตางค์ ป.๓ เพิ่งจะเห็นสตางค์ วันใหนไม่ มีข้าวไปกินโรงเรียนก็หลบเข้าวัด เพราะไอ้ความหยิ่งทรนงไม่ขอเขากิน ไม่บอกใคร ก็ไปนั่งซุก อยู่ตามโบสถ์ ใต้ต้นพิกุลบ้าง ในป่าช้าบ้าง พระมาเจอเข้าเขาก็ถาม บางทีก็โกหกเขาว่ากินแล้ว เพราะความอายไม่อยากให้เขามาเดือดร้อนด้วย บางวันไม่ไหว ท่ามันไม่ค่อยดี ก็บอกว่ายังครับ เขาก็เรียกไปซักผ้าบ้าง ถูกุฏิบ้าง แต่ไอ้ชนิดเรียกกูไปกินเลย กูไม่กิน กูจะบอกว่ากินแล้วแต่ถ้ามี งานให้กูทำล่ะกูจะกิน
มันไม่ใช่แย่แค่นั้น แต่ย่าดันไปรับเอาเด็กมาเลี้ยงอีก ก็ที่บ้านแถว ๆ นั้นเนี่ยมันจะมีพวกผู้หญิง หากิน พอมีลูกมันจะมาจ้างให้เลี้ยง ย่าก็ไปรับมาเลี้ยง เลี้ยงแล้วนึกว่าจะได้เงินที่ใหนได้ทุนหาย กำไรหด พวกก็หนีหมด ทิ้งเด็กไว้อีก ซวยกูล่ะ ๔ คน ๕ คน โอ้โห ! มึงเอ๊ย ! ทีนี้เลี้ยงไปเถอะ คน แก่ก็ตาย หมดรุ่นไปแล้วมาเลี้ยงเด็กอีกหนักหนาสาหัส ชีวิตมันลำบากอย่างนี้แหละลูก กว่าจะ มาเป็นตัวกูเนี่ย ยังไม่จบ ป. ๓ ด้วยนะ พอแล้วมั๊ง เหนื่อยแล้วล่ะ โปรดติดตามตอนต่อไปเหอะ "
เป็นอย่างไรบ้างล่ะชีวิตของหลวงปู่ ฟังแล้วเพลินจนอ้าปาก น้ำลายยืดไปเลยสิ ทั้งเศร้าเคล้าเสียง หัวเราะแห้ง ๆ ยังไงก็ไม่รู้ เฮ้อ ! ชีวิตของพระโพธิสัตว์ช่างยากแค้นแสนเข็ญอย่างนี้เชียวหรือ ถ้า เป็นอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ จะต้องคิดว่าเรื่องอะไรล่ะที่เราจะต้องมานั่งเอื้ออาทรใครต่อใครก็ไม่รู้ ไม่ ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย ลำพังเอาตัวให้รอดก็แทบแย่อยู่แล้ว แต่วิถีทางพระโพธิสัตว์จะต้องมี ความเตตาอย่างสุดหัวใจอย่างประมาณมิได้ จะมีจิตผิดกับปุถุชนราวฟ้ากับเหว แม้แต่ครอบครัว ที่พระโพธิสัตว์จะมาเกิดก็ต้องเป็นครอบครัวที่มีคุณธรรมสูงกว่าสามัญชนทั่วไป วันใดหลวงปู่เอื้อ อาอาทรเล่าเกร็ดชีวิต ของท่านในภาค ๒ จะนำมาเสนออีก
หลวงปู่พักอยู่ที่ใหน ......แผ่นดินคือพื้นห้อง ภูเขาคือเสาเรือน ฟ้าคือหลังคา นั่นคือที่อยู่ของข้า
ลูกรัก....ความยากลำบาก ทำให้คนอยากฉลาด
ลูกรัก ....การทุกอย่าง ไม่ว่ายากหรือง่าย ทุกข์ทรมาณเพียงใด ขอเพียงมีความจริงใจ มีจิตคิดจะให้ เจ้าจักทำมันได้อย่าง ง่ายดายและเป็นสุขที่ได้ทำโดย นารีรัตน์ นาคะเวช