กำเนิด”ชีวกโกมารภัจจ์” (ชี-วะ-กะ-โก-มา-ระ-พัด) ผู้ที่เรียนแพทย์แผนโบราณ คงจะคุ้นเคยกับชื่อนี้เป็นอย่างดี ด้วยถือว่าเป็น “ครูทางการแพทย์แผนโบราณ” ปัจจุบันหากเราไปตามสถานที่นวดแผนโบราณ เรามักจะเห็นรูปภาพหรือรูปปั้นที่มีหน้าตาคล้ายฤาษีนั่งสมาธิที่เขาตั้งไว้บูชา นั่นคือ รูปของหมอชีวกโกมารภัจจ์นั่นเอง ตามประวัติหมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นบุตรของ นางสาลวดี หญิงงามเมืองในกรุงราชคฤห์ ซึ่งมีความงามและเสน่ห์ยิ่ง ซึ่งเมื่อนางท้องและกลัวจะมีผลต่ออาชีพ จึงได้แกล้งป่วย และเมื่อคลอดบุตรออกมาก็ให้ทาสนำทารกใส่กระด้งไปทิ้งกองขยะ รุ่งเช้าเจ้าชายอภัยผ่านมาเห็นทารกถูกฝูงกาห้อมล้อม ก็ตรัสถามว่า “ยังมีชีวิตอยูหรือ” (ชีวกะ) ครั้นได้ทรงรับคำยืนยันว่า”ยังมีชีวิตอยู่” จึงได้นำทารกนั้นมาเลี้ยง และพระราชทานนามว่า “ชีวก” และให้นามสกุลว่า “โกมารภัจจ์”
เมื่อเติบโตขึ้น ชีวกโกมารภัจจ์ได้ถามหาบิดามารดา พระองค์ก็ตอบว่าไม่ทราบว่าใครเป็นพ่อแม่แท้ๆ แต่พระองค์เป็นบิดาเพราะชุบเลี้ยงมา ชีวกโกมารภัจจ์ก็ได้คิดว่า ตามธรรมดาในราชสำนัก หากไม่มีศิลปะ(ไร้การศึกษา) คงจะพึ่งพาบารมียาก จึงหนีไปเรียนวิชาแพทย์กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ณ สำนักตักกศิลา เรียนอยู่ ๗ ปีเรียนได้เร็ว และจำได้มาก ความรู้แตกฉาน แต่ก็สงสัยว่าทำไมอาจารย์ไม่ให้จบสักที เมื่อสอบถามอาจารย์ๆเลยให้ลองไปหาพืชที่มิใช่สมุนไพรมาให้ดูสักตัว ปรากฏว่าหาไม่ได้ มีแต่พืชที่ทำยาได้ทั้งนั้น ไปบอกอาจารย์ๆเลยบอกว่าสำเร็จการศึกษาแล้วระดับหนึ่ง พอจะทำมาหาเลี้ยงชีพได้ และมอบเสบียงกรังให้เดินทางกลับบ้านได้ ซึ่งหลังจากนั้นชีวกโกมารภัจจ์ก็ได้ใช้วิชาแพทย์รักษาคนเรื่อยมา ต่อมาได้รักษาริดสีดวงให้พระเจ้าพิมพิสาร พระองค์จึงมีพระราชานุญาตให้หมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นหมอประจำพระองค์ ตลอดจนพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ทำอย่างไรสามี-ภริยาจะพบกันทุกชาติ มีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปรับบิณฑบาตที่บ้านคฤหบดีผู้หนึ่ง คฤหบดีและคฤหปตานี สามีภริยาได้ถวายบังคมและทูลถึงความจริงใจและความซื่อสัตย์ที่ทั้งสองมีต่อกันให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ ว่าตั้งแต่อยู่กินกันมาทั้งคู่ไม่เคยคิดนอกใจกันเลยไม่ว่าด้วยกายหรือใจ และทูลต่อว่าหากทั้งสองปรารถนาจะพบและเป็นสามี-ภริยากันอีกในทุกๆชาติจะเป็นไปได้หรือไม่ พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ถ้าสามีภริยาปรารถนาจะพบกันอีกในภายหน้าย่อมเป็นไปได้ หากคนทั้งสองนั้นมีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีการบริจาคเสมอกัน และมีปัญญาเสมอกัน
ทั้งหมดนี้คือ เนื้อหาสาระบางส่วนที่ปรากฏใน พระไตรปิฎก ซึ่งหลายๆเรื่องเราอาจจะคาดไม่ถึงว่าพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้ด้วยหรือ เช่น เหตุที่ทำให้สตรีสวยงาม วิธีแก้ง่วง การป้องกันงูกัด เสน่ห์หญิงเสน่ห์ชาย เป็นต้น ท่านที่สนใจไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะพระไตรปิฎกสำหรับเยาวชนอ่านได้ง่าย สนุก และได้เรียนรู้หลักธรรมในระดับหนึ่ง
http://www.watnachuak.org/index.php/สาระน่ารู้/บทความต่างๆ/เล่าเรื่องน่ารู้จาก-พระไตรปิฏก.html