ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 04:48:21 pm »

 :13:   อนุโมทนาสาธุครับ ขอบคุณครับพี่มด^^
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 11:03:35 am »


 
 
ความสามารถในการละทิ้ง และความสามารถในการค้นพบ
 
ความเป็นจริงถูกแปรสภาพไปทันทีที่เรามองดู เพราะว่าเราจะเข้าถึงความเป็นจริงนั้น ๆ ด้วยบัญญัติและความคิดทั้งหลายทั้งปวง ของเราหนึ่งกระบุงโกย นักฟิสกส์สมัยใหม่ตระหนักรู้ในสิ่งนี้เป็นอย่างดี พวกเขาบางคนได้ละทิ้งบัญญัติบางประการที่ไม่เคยเป็น พื้นฐานให้แก่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลานานเสียแล้วด้วยซ้ำ ยกตัวอย่าง เช่น ความคิดเรื่องเหตุและผลแบบวิทยาศาสตร์ และบัญญัติแห่งกาลเวลาที่ว่าด้วยอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นต้น แต่การละทิ้งบัญญัติต่าง ๆ นั้น มิใช่เรื่องที่ง่ายเลย เราจะรู้สึกว่า การเข้าหาความจริงโดยไม่ได้ติดอาวุธแห่งบัญญัติและความคิดทั้งหลาย ก็เหมือนกับการเข้าสงครามโดยปราศจากอาวุธติดมือเลย อาวุธของนักวิทยาศาสตร์นั้นก็ได้แก่ ระบบความคิดที่เขาแสวงหารวบรวมเข้ามาได้นั่นเอง จะไม่ง่ายเลยที่จะละทิ้งระบบคิดดังกล่าว ข้าพเจ้าเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถที่จะละทิ้ง " การติดอาวุธ " นี้มากที่สุด ก็คือนักวิทยาศาสตร์ที่จะมีความสามารถ ในการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากที่สุด
 
ผู้แสวงหาความเข้าใจทางศาสนธรรม มักจะได้รับการเตือนให้ระลึกถึงอยู่เสมอว่า พวกเขาจะต้องละวางบัญญัติทั้งหลายทั้งปวง ก่อนพวกเขาจึงจะสามารถเข้าไปที่การณ์โดยตรงต่อความเป็นจริงได้ เช่น บัญญัติแห่งตนเอง-ผู้อื่น เกิด-ตาย นิจจะ - อนิจจา ดำรงอยู่ - ไม่ดำรงอยู่ เป็นต้น ถ้าหากความเป็นจริงถูกพรรณาว่าเป็นสิ่งที่มิอาจจินตนาการได้แล้วไซร้ เครื่องมือประการเดียวที่จะ มีประสบการณ์โดยตรงต่อความเป็นจริงได้ก็คือ จิตจะต้องละวางบัญญัติทั้งปวง กล่าวคือจิตจะต้องปราศจากบัญญัติทั้งหลายทั้งปวง โดยสิ้นเชิง
 

- คัดจาก ดวงตะวันในใจฉัน บทที่ ๓ จักรวาลในฝุ่นผง หน้า ๔๗ -๗๖ -
- ผลงานของ พระเดชพระคุณ องค์หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ -


http://www.sookjai.com/index.php?topic=2986.0
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 11:02:42 am »


ภาพ เวลาที่หลอมเหลว โดย Dali : The Persistence of Memory, 1931
 
 
แพข้ามแม่น้ำ
 
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ ทำให้ความคิดเก่า ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการอธิบายความเป็นจริงในโลกต้องล่มสลายลงไป คุณประโยชน์หนึ่งของทฤษฎีสัมพัทธภาพนั้นก็คือการล้มล้างความคิดเรื่อง กาละ - เทศะแบบเก่าลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยความ คิดใหม่ของการเกี่ยวเนื่องอยู่ของกาละ-เทศะตามทฤษฎีนี้ ทุกสิ่งจะมีโครงสร้างจาก ๔ มิติ เป็น ๔ มิติของกาละเทศะนี้แสดง ให้ปรากฏได้ด้วยกราฟเส้นโค้งในความสัมพันธ์ ๔ มิติ ของกาละ-เทศะ ไอน์สไตน์ทิ้งแบบจำลองจักรวาลแบบ ๓ มิติซึ่งเป็น เส้นตรงแบบยูคลิ ( คือแบบเรขาคณิตที่เราร่ำเรียนกันมา ) เขาได้จินตนาการและจำลองจักรวาลที่ประกอบขึ้นด้วยเส้นโค้ง ด้วยกาละ-เทศะจะเกี่ยวเนื่องกันเป็น ๔ มิติ ในปี ๑๙๑๗ เขาได้นำเสนอแบบจำลอง ๔ มิติ ซึ่งมีกาลเวลาเป็นแกน ในแต่ละ นาที รูปทรงของแต่ละเนื้อที่จะไม่ใช่รูปทรงเดียวกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้แยกขาดออกจากกัน เปรียบประดุจแผ่นฟิล์มที่จะให้ ภาพต่อเนื่องกันไป จักรวาลของไอน์สไตน์เป็นทั้งจักรวาลที่สิ้นสุดและไม่สิ้นสุด ในขณะเดียวกัน มดที่เดินอยู่บนผลส้มก็ สามารถเดินตรงไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมดเดินอยู่บนผิวโค้ง แต่มดก็เดินอยู่บนผลส้มนั่นเอง ซึ่งนั่นก็คือข้อจำกัดของมัน ไอน์สไตน์ขยายมิติของเส้นตรงขึ้นมาเป็นเส้นโค้ง และได้พบจุดผสานระหว่างความสิ้นสุดและความไม่สิ้นสุด


 
แต่ถ้ากาละและเทศะอันไม่สิ้นสุดเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการรับรู้แห่งจิตแล้วไซร้ แบบจำลองเส้นโค้ง ๔ มิติ แห่งกาละและ เทศะ ถึงแม้จะเข้าไปไกล้ความเป็นจริงมากขึ้นก็ตาม ก็ยังจะคงเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการรับรู้เท่านั้น ถ้าหากการมองดูยัง ไปไม่พ้นการปรากฏของ " สิ่งของ " ๔ มิติแห่งกาละและเทศะนี้ก็ยังไปไม่พ้นรูปแบบทางความคิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้น ด้วยความ คิดที่ว่าด้วย " สิ่งของ " และ " ความเคลื่อนไหว " เส้นโค้งในมิติแห่งกาละและเทศะที่ควรจัดอยู่ในความคิดหนึ่งที่เข้ามาแทนที่ ความคิดที่มองจักรวาลเป็น ๓ มิติแห่งเทศะ ที่ดำรงอยู่ในกาละอันไม่สิ้นสุด และที่ใช้แบบจำลองแบบเส้นตรง เราจะต้องทิ้ง ความคิดนี้ไว้เบื้องหลัง เช่นเดียวกับที่เมื่อถึงฝั่งเราจะต้องทิ้งแพ เราจึงจะสามารถข้ามฟากได้
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 11:02:03 am »


 
 
อดีต ปัจจุบัน และอนาคตบนปลายเส้นผม
 
ข้อสังเกตุของชโรดินเจอร์เกี่ยวกับเรื่องของกาลเวลาช่วยให้ เราเกิดความกล้าขึ้นมาอีก ที่จะก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่ง ของการทำสมาธิพิจารณาการอิงอาศัยกันและกันของสรรพสิ่ง บัญญัติแห่งในหรือนอก หนึ่งหรือหลากหลาย กำลังล่มสลายไป เมื่อเราเพ่งพินิจธรรมชาติของการต่างเป็นและต่างอยู่อาศัยซึ่งกันและกันของสรรพสิ่ง แต่ความ คิดเหล่านี้จะไม่ล่มสลายไปโดยสมบูรณ์แบบ ตราบใดที่เรายังเชื่อเทศะและกาละในแนวความคิดแบบสมบูรณ์ ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการก่อเกิดของปรากฏการณ์ทั้งหลาย ในกาลก่อนที่มีนิกายทางพุทธศาสนา ชื่อว่า ธรรมลักษณะ ( การทำสมาธิพิจารณาปรากฏการณ์ ) ถูกมองว่าเป็นความจริงอันสมบูรณ์ ซึ่งอยู่นอกเหนือการเกิดและการตาย แต่เมื่อได้เกิดมี มัธยมิกนิกาย กาละเทศะจะถูกมองว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะกาละและเทศะจะดำรงอยู่ได้ต้องอิงอาศัยกัน และกันอยู่ เมื่อหลักการของการต่างเป็นต่างอยู่อาศัยซึ่งกันและกันของอวตังสกสูตรปฏิเสธที่จะยอมรับ บัญญัติ ใน-นอก ใหญ่-เล็ก หนึ่ง-หลากหลาย ว่าเป็นจริง มันก็ได้ปฏิเสธบัญญัติที่ว่าเทศะเป็นความจริงอันสมบูรณ์ลงเสียด้วย เมื่อกล่าวถึง กาละ บัญญัติที่แบ่งแยกชัดระหว่างอดีต ปัจจุบัน อนาคตก็ได้ถูกทำลายลงเสียด้วย อวตังสกสูตรกล่าวว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคตนั้น สามารถนำมาใส่ลงในปัจจุบันได้ และปัจจุบันก็สามารถนำใส่ลงไปในอนาคต และปัจจุบัน อนาคตก็สามรถ ใส่ลงไปในอดีตได้ ในที่สุดกาลเวลาชั่วนิรันดร์ก็จะสามารถใส่ลงไปในชั่วขณะหนึ่งได้ ซึ่งเป็นช่วงแห่งเวลาสั้นที่สุด ก็จะถูกประทับตราแห่งการต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ชั่วขณะหนึ่งจึงบรรจุลงไว้ด้วยอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

อดีตอยู่ในกาลปัจจุบันและอนาคต อนาคตอยู่ในกาลปัจจุบันและอดีต กาลทั้งสามตลอดจนกาลเวลานับหลาย ๆ อสงไขย แม้ที่จริงแล้วเป็นเวลาชั่วขณะ ไม่สั้น ไม่ยาว นั่นคืออิสรภาพ ฉันสามารถล่วงล้ำอนาคต รวบรวมกาลนิรันดร์ลงสู่ชั่วขณะหนึ่งเดียว

อวตังสกสูตร ขยายความต่อไปว่า " ไม่เพียงแต่อณูหนึ่งของฝุ่นผงจะบรรจุไว้ด้วยเทศะ( เนื้อที่ ) อันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น หากมันยังบรรจุไว้ซึ่งกาลเวลาอันไม่มีที่สิ้นสุดด้วย และในชั่วขณะหนึ่งของกาลเวลา เราจะพบ กาลเวลา เราจะพบทั้งกาลเวลาอันไม่มีที่สิ้นสุด และเทศะอันกว้างไหญ่ไพศาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด "
อดีต ปัจจุบัน อนาคต อยู่ที่ปลายผม พร้อมทั้งพุทธโลกธาตุอันเอนกอนันต์ เข้าสู่โลกของการอิงอาศัยกันและกัน ด้วยทฤษฎีสัมพันธภาพ

อวตังสกสูตรกล่าวไว้ว่า กาละและเทศะจะมีกันและกันอยู่ ต่างอิงอาศัยกันและกัน จึงสามารถดำรงความมีอยู่เป็นอยู่ได้ มิอาจแยกออกจากกันได้ ทฤษฎีสัมพันธภาพ ของ ไอน์สไตน์ ที่ค้นคิดขึ้นหลังจากพระสูตรนี้ ๒, ooo ปี ได้ย้ำความรู้ ความสัมพันธ์อันไม่สามารถแยกออกจากกันได้ของกาละและเทศะ เวลาได้กลายมาเป็นมิติที่สี่ของเทศะซึ่งมีอยู่ ๓ มิติ ทฤษฎีนี้ได้ปฏิเสธเทศะในฐานะที่เป็นกรอบอ้างอิงสมบูรณ์ จักรวาลจะสถิตอยู่ในกรอบอ้างอิงสมบูรณ์นี้ ความคิดเรื่อง กาละอันสมบูรณ์อันเป็นสากลก็พลอยถูกลบล้างลงด้วย ทฤษฎีสัมพันธภาพกล่าวว่า เทศะเป็นเพียงความสัมพันธ์หนึ่งของ สิ่งต่าง ๆ ในกรอบอ้างอิงอันหนึ่งเท่านั้น และเวลาก็เป็นเพียงลำดับก่อนหลังของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในกรอบอ้างอิงหนึ่ง ๆ

เวลาจึงเป็นเรื่องเฉพาะส่วน และมิใช่เป็นสากล ด้วยเหตุนี้บัญญัติ " บัดนี้ " จึงใช้ได้เฉพาะ " ที่นี่ " เท่านั้น มิใช่ว่าจะใช้ กับที่ไหนก็ได้ในจักรวาลในทำนองเดียวกัน " ที่นี่ " ก็สามารถใช้กับ " บัดนี้ " เท่านั้น และไม่สามารถใช้กับอดีตหรืออนาคต ทั้งนี้เพราะกาละและเทศะที่จะต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกันในการดำรงอยู่ ทั้งสองต่างไม่สามารถดำรงอยู่เป็นอิสระต่างหาก ออกจากกัน ทฤษฎีนี้ทำให้เราสามารถล้มล้างบัญญัติที่ว่าด้วยเทศะอันไม่มีขอบเขตสิ้นสุด และกาละที่ไม่มีจุดจบได้ เราจะ เห็นคู่ของบัญญัติที่เป็นสองขั้ว อันเราจะต้องแยกสลายบัญญัตินั้น ๆ ลงเสีย คู่เหล่านั้นได้แก่ มีที่สิ้นสุด - ไม่มีที่สิ้นสุด นอก-ใน ก่อน-หลัง เป็นต้น ถ้าเรามองดูท้องฟ้า แล้วเกิดความสงสัยว่า มีอะไรอยู่ ณ สุดขอบจักรวาล นั่นก็แสดงให้เห็น ว่าเรายังไม่เข้าใจทฤษฎีสัมพันธภาพและยังไม่ได้ล้มล้างบัญญัติแห่งเทศะอันสมบูรณ์ ซึ่งเป็นบัญญัติที่ทำให้เราเข้าใจว่า เทศะดำรงอยู่ต่างหากจากสิ่งอื่น ๆ โดยไม่ขึ้นต่อสิ่งอื่น ๆ และถ้าเรากำลังตั้งคำถามว่า จักรวาลของเรากำลังวิ่งไปสู่ทิศทางใด นี่ก็หมายความว่าเราเชื่อในกาลเวลา นี่เป็นสากล กาลเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทฤษฎีสัมพันธภาพได้นำความก้าวหน้ามาสู่ทั้ง สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และปรัชญา เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ไอน์สไตน์มิได้นำความคิดอันวิเศษของเรานี้ ซึ่งเปรียบได้กับ ยานอวกาศ โคจรเข้ามาสู่เรื่องราวของความเป็นจริงในโลกที่เห็นและเป็นอยู่
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 11:00:59 am »




ความไม่กลัวในท่ามกลางการเกิดและการตาย
 
เมื่อปฏิบัติสมาธิด้วยการพิจารณา การอิงอาศัยซึ่งกันและกันของสรรพสิ่งต่อไปอีกสักหน่อย เธอจะเห็น ได้ว่ามุมมองของเธอกว้างขึ้น และเธอจะเห็นว่าเธอมีความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิตมากยิ่งขึ้น ความขุ่นข้อง และความเกลียดซึ่งความคิดไม่สามารถแทรกแซงเข้าไปถึง จะค่อย ๆ สลายตัวและเธอจะมีความรู้สึกเอาใจ ใส่แต่ละชีวิตและชีวิตทุก ๆ ชีวิตมากยิ่งขึ้นและที่สำคัญยิ่ง เธอไม่กลัวการเกิดและการตายอีกต่อไป

บางทีเธออาจจะเคยได้ยินชื่อ เออวิน ชโรดิงเจอร์ ผู้คนพบกลไกกระแสคลื่น เมื่อใคร่ครวญถึงตัวตน ชีวิต ความตาย จักรวาล เอกภาพ และความหลากหลาย เขาได้เขียนบันทึกไว้ว่า

ดังนั้น คุณจึงนอนจนเหยียดยาวลงแม่พระธรณี ด้วยความเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าคุณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับเธอ และเธอก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวคุณ คุณมีความมั่นคงและไม่เปราะบางดุจเดียวกับเธอ อันที่จริง คุณจะรู้สึกมั่นคงและไม่เปราะบางยิ่งกว่าเธอพันเท่า แน่นอน เธอจะโอบอุ้มคุณในวันพรุ่งนี้ และเธอก็จะ ให้กำเนิดแก่คุณใหม่ เพื่อความทะยานอยากอย่างใหม่และความทุกข์อย่างใหม่ ปรากฏการณ์เช่นนี้ มิใช่เพียง แต่จะเกิดขึ้นเป็นบางวันเท่านั้น หากจะเกิดขึ้น ณ ขณะนี้วันนี้และทุก ๆ วัน เธอจะให้กำเนิดแก่คุณ และไม่ เพียงครั้งหนึ่งเท่านั้น หากนับเป็นพัน ๆ ครั้ง เช่นเดียวกับที่เธอจะกลืนกินคุณเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเธอ นับพัน ๆ ครั้งเช่นกัน ตลอดไปชั่วนิรันดร์ จะมีแต่ชั่วขณะนี้ ชั่วขณะแห่งปัจจุบันที่เป็นหนึ่งเดียวและเป็น ชั่วขณะนี้ อันเดิมอันเดียวกันนั้นเอง ปัจจุบันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ไม่มีจุดจบ

ถ้าหากทัศนะของชโรดินเจอร์หยั่งรากลงในวิถีชีวิตประจำวันของเรา เราจะไม่ไหวติงแม้ต่อหน้าการเกิด และการตาย
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 10:55:00 am »




ห้องเล็ก ๆ สำหรับความกรุณา
 
ในอารยธรรมที่เทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จ จะมีที่ทางสำหรับความกรุณาน้อยมาก แต่เมื่อเรา พิจารณาดูชีวิตอย่างลุ่มลึก เราจะเห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้กระทั่งมดและหนอนแก้ว ถ้าเรา เป็นชาวไร่ชาวนา เราก็อาจจะล้มเหลวหากเราไม่ใช้ยาฆ่าแมลงที่จะใช้กำจัดแมลงต่าง ๆ และถ้าเราไม่มี กะจิตกะใจจะเข่นฆ่าสัตว์ แล้วเราจะยกปืนจ้องไปที่มนุษย์ได้อย่างไร ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าเราเป็นเจ้าหน้าที่ ในกระทรวงกลาโหม เราก็อาจจะส่งเสริมให้ผู้คนพากันหนีทหารกระนั้นหรือ หรือถ้าเราเป็นผู้ว่าการรัฐ เราก็จะต่อต้านการมีเตาปฏิกรณ์ปรามาณู เพื่อผลิตไฟฟ้าขึ้นในรัฐของเรา ถ้าเป็นเช่นนี้เราก็จะถูกผู้คนขับ ออกมานอกระบบ พวกเราหลายต่อหลายคนก็มีความรู้สึกเช่นนี้ เรารู้สึกไม่สบายใจต่อสภาพหลายสิ่ง หลายอย่างในสังคมนี้ และก็พากันแสดงออกซึ่งความคิดต่อต้านในหลาย ๆ หนทางด้วยกัน

 
เดวิด โบห์ม ศาสตราจารย์ฟิสิกส์ แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอนกล่าวว่า " ถ้าหากเราต้องการให้สังคมเปลี่ยน แปลง ความเปลี่ยนแปลงระดับปัจเจกบุคคลที่ฉาบฉวยหหรือความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจนั้น มิอาจส่ง ผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจริง ๆ จัง ๆ ได้ หากจะต้องเปลี่ยนจิตสำนึก ( การเปลี่ยนแปลงในระดับ การรับรู้ของมนุษย์ ) เลยทีเดียว เรายังไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นในตัวมนุษย์ได้อย่างไร แต่ผมเองอาจคิดว่า ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด " การเปลี่ยนแปลงจิต สำนึกนี้จะเกิดขึ้นได้โดยการมองเห็นธรรมชาติของการอิงอาศัยซึ่งกันและกันของสรรพสิ่ง การประจักษ์แจ้ง นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะตน การประจักษ์แจ้งดังกล่าวไม่ใช่อุดมการณ์หรือระบบความคิด หากเป็นผลมาจากการ รับรู้ประสบการณ์โดยตรง ในความเป็นจริงที่มีมุมของความสัมพันธ์อันหลากหลายความจริงข้อนี้จะเข้าถึงได้ ก็ต่อเมื่อเราได้ละทิ้งความคิดตามปกตินิสัย ซึ่งมักจะมองความเป็นจริงเพียงแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียง เสี้ยวส่วนหนึ่งของความเป็นจริงเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงนั้นมิอาจถูกตัดทอนหรือแยกขาดออกเป็นเสี้ยว ส่วนได้เลย
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 10:53:33 am »




การคืนดีที่เกิดขึ้นในหัวใจแห่งความกรุณา
 
คนนับล้านติดตามรายการกีฬา ถ้าคุณชอบฟุตบอล คุณอาจจะเลือกทีมที่ชื่นชอบทีมใดทีมหนึ่ง และรู้สึกร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทีมนั้น คุณจะดูรายการฟุตบอลนั้นด้วยความรู้สึกสมหวัง และผิดหวังบางทีคุณอาจจะออกท่าออกทางเพื่อให้ฟุตบอลกลิ้งไปอีกหน่อยด้วยซ้ำ ถ้าคุณไม่ ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การดูฟุตบอลก็คงไม่สนุก ในสงครามเราก็จะเลือกข้างเช่นเดียวกัน โดย มากเรามักจะเลือกฝ่ายถูกคุกคาม ขบวนการเพื่อสันติภาพมักจะเกิดขึ้นเพราะความรู้สึกเช่นนี้ เรารู้สึกโกรธ เราตะโกน แต่เราไม่เคยพยายามไปให้พ้นความรู้สึกเช่นนี้และกลับมามองปัญหา ความขัดแย้งอีกครั้ง ดุจเดียวกับที่มารดามองดูลูกสอนคนของตนเองทะเลาะกัน เพราะเธอหวัง แต่จะให้ลูกทั้งสองคืนดีกันเท่านั้น ความพยายามอย่างแท้จริงเพื่อการคืนดีจะต้องมาจากหัวใจ แห่งความกรุณา ซึ่งจะเกิดจากการใช้สมาธิพิจารณา ธรรมชาติของสภาวะต่างเป็น และอยู่อาศัย กันและกันของสรรพสิ่ง

ในชีวิตของเรา เราอาจจะโชคดีที่ได้พบคนบางคนที่ขยายความรักออกสู่สัตว์และพืชด้วย และอาจ จะได้รู้จักคนบางคนด้วย ที่แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในสภาวะที่ปลอดภัย หากพวกเขายังได้ตระหนัก ถึงว่ามีมนุษย์อยู่เป็นจำนวนมากที่อดอยาก เจ็บไข้ได้ป่วย และถูกกดขี่เบียดเบียน พวกเขาได้แสวงหา หนทางช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้น พวกเขาไม่สมควรลืมผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้นได้ แม้ว่าพวกเขาจะประสบกับสภาวะกดดันใด ๆ ก็ตาม อย่างน้อยคนที่มีสำนึกเช่นนั้น ถือได้ว่าพวกเขา ได้ประจักษ์แจ้งในธรรมชาติที่อิงอาศัยกันและกันของชีวิต พวกเขารู้ดีว่าความอยู่รอดของประเทศ ด้อยพัฒนาทั้งหลายมีความเกี่ยวกันกันอยู่อย่างแยกไม่ออกกับประเทศร่ำรวยซึ่งมีเทคโนโลยีที่พัฒนาแล้ว ความยากจนและการกดขี่ทำให้เกิดสงครามในยุคสมัยของเรา สงครามทุกสงครามเกี่ยวข้องอยู่กับประเทศ ต่าง ๆ ทั้งมวล ชะตากรรมของประเทศหนึ่ง ๆ เกี่ยวโยงอยู่ในชะตากรรมของประเทศอื่น ๆ ด้วยเช่นเดียว กัน
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 10:45:33 am »






ความเจ็บปวดใจ
 
เธอเคยเห็นสารคดีชีวิตสัตว์ป่าที่นำออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ของภาครัฐบาลหรือไม่ เมื่อสัตว์กินเนื้อล่าสัตว์อื่น ๆ เป็นอาหารเสือล่ากวาง หรืองูเขมือบกบ ภาพยนต์สารคดี เหล่านี้ก่อให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นหวาดเสียว เราหวังว่ากวางจะเห็นเสือไปได้ และกบจะ รอดพ้นการถูกเขมือบ เป็นความเจ็บปวดเมื่อเราเห็นเสือขยุ้มกวางหรืองูเขมือบกบ ราย การเหล่านี้ไม่ใช่เป็นการตกแต่งเรื่องราวให้เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงเรื่องจริง เรามักรู้สึกหว่งใย กวางและกบ แต่เรามักจะไม่ได้ใคร่ครวญว่า อันที่จริงเสือและงูจะต้องกินอาหารเพื่อดำรง อยู่ มนุษย์เรากินไก่ หมู กุ้ง ปลา เนื้อวัว เช่นเดียวกับที่เสือและงูกินกวางและกบเช่นกัน แต่เนื่องจากมันเป็นสิ่งเจ็บปวดที่จะเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งเป็นเหยื่อของสัตว์อีกชนิดหนึ่ง เรา จึงเอาใจให้ไปอยู่ข้างผู้ที่เป็นเหยื่อและหวังว่ามันจะหนีรอดไปได้

ในสภาพการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ในฐานะของผู้ปฏิบัติสมาธิ เราจะต้องมีความกระจ่างชัดเอา ไว้ให้มาก เราไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะว่าเราจะอยู่ร่วมกันทั้งสองฝ่าย คนบางคนอาจ จะตื่นเต้นและสนุกสนานกับการได้ดูเสือฉีกเนื้อเหยื่อ แต่พวกเราส่วนใหญ่รู้สึกเจ็บปวดไป กับเหยื่อและการเอาใจเข้าข้างเหหยื่อ ถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์เราอาจจะหาทางช่วยกวางหรือ กบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ขอให้ระมัดระวังว่าที่จะทำไปเช่นนั้น เราควรจะเจ็บปวดไปกับ เสือและงูด้วย หากพวกเขาไม่สามารถมีอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตได้ สรรพชีวิตต่างก็ดิ้นรนเพื่อ ความอยู่รอด ยิ่งเราเข้าไปในชีวิตลึกเข้าไปเท่าใด เรายิ่งจะพบความมหัศจรรย์มากยิ่งขึ้น โดยที่พร้อม ๆ กันไปเราก็จะพบเรื่องราวที่ทำให้ปวดร้าวหัวใจและน่าหวาดหวั่นมากยิ่งขึ้น เท่านั้น คุณเคยเห็นชีวิตของแมงมุมหรือยัง คุณเคยมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสงครามไหม คุณเคย เห็นชีวิตของแมงมุมหรือยัง คุณเคยมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสงครามไหม คุณเคยเห็นโจรสลัด ข่มขืนเด็กสาวในทะเล ที่ไม่ได้อยู่ในเขตของประเทศใดประเทศหนึ่งไหม
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 10:43:20 am »


 
การเห็นและความรักไปด้วยกันเสมอ
 
มีบางเวลาที่เราเฝ้าดูเด็กที่กำลังเล่นอะไรอยู่ เราจะคิดเรื่องอนาคต เรารู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยความ วิตกกังวล ความกลัว ความหวัง และความผิดหวัง เราจะวิตกกังวลและคิดถึงความดิ้นรนขวน ขวายที่พวกเขาต้องเผชิญในอนาคต ณ ชั่วขณะหนึ่งนั้นนั่นเองที่เราเข้าไปในตัวเด็ก ๆ เป็นการ ง่ายที่จะเข้ากับพวกเขา เพราะเด็ก ๆ เหล่านี้ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา

การปฏิบัติสมาธิก็เป็นเช่นเดียวกันนี้เอง เมื่อเราพิจารณาความอิงอาศัยซึ่งกันและของสรรพสิ่ง เราสามารถเข้าถึงความเป็นจริงได้โดยง่าย เราสามารถมองเห็นความกลัว ความรวดร้าว ความหวัง และความสิ้นหวัง มองดูตัวหนอนแก้วบนใบไม้ เราสามารถเข้าใจความสำคัญของหนอนแก้ว ทั้งนี้ไม่ใช่จากมุมมองของมนุษย์ แต่ด้วยการเข้าถึงที่อิงอาศัยรากฐานของความอิงอาศัยซึ่งกันและ กันของสรรพสิ่งประจักษ์ในคุณภาพชีวิตของทุกชีวิต เราไม่สามารถพรากชีวิตหนอนแก้วตัวนี้ลง ได้ ถ้าวันหนึ่งวันใดเราจะต้องฆ่าหนอนแก้วตัวหนึ่ง เรารู้สึกประหนึ่งว่า เรากำลังฆ่าตัวเราเอง ที่บางสิ่งบางอย่างใกล้ชิดตัวเราได้ตายไปพร้อม ๆ กับหนอนแก้วตัวนั้น

นับตั้งแต่โบราณกาล มนุษย์ออกล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีวิตตนเองและครอบครัว พวกเขาทำเช่นนี้ เพื่อความอยูรอด มิได้ทำไปเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทุกวันนี้คนบางล่าเพื่อความสนุก สนาน หลักแห่งการอิงอาศัยกันซึ่งกันและกันของทุก ๆ ปรากฏการณ์ ผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนาย่อม จะมองเห็นว่า " สรรพชีวิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน " เธอย่อมมีความกรุณาต่อสรรพชีวิตอย่าง ท่วมท้น เมื่อเธอรู้สึกถึงความรักเช่นนี้ เธอจะรู้ได้ทันทีว่า สมาธิของเธอเริ่มผลิดอกออกผล เห็นและรักย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความเข้าใจที่ตื้นเขิน ย่อมมีความกรุณาที่ตื้นเขินเป็น คู่เคียง ความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไปด้วยกันกับความกรุณาที่ยิ่งใหญ่
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 10:42:32 am »






ดวงตาที่เปิดออกในสมาธิ

 
สมาธิมิใช่สมาธิแต่เป็นงานสร้างสรรค์ นักปฏิบัติสมาธิที่เอาแต่เลียนแบบครูผู้สอนย่อมไปไม่ได้ไกล สิ่งนี้เป็นจริงด้วยในกิจกรรมอื่น ๆ เช่นการปรุงอาหาร เป็นต้น กุ๊กที่เก่งจะต้องมีจิตใจสร้างสรรค์ คุณสามารถเข้าถึงการพิจารณาว่าด้วยเรื่องการอิงอาศัยต่อกันและกันของปรากฏการณ์ทั้งมวลได้หลาย ทางด้วยกัน เช่นการพิจารณาอวัยวะภายในของคุณ อันได้แก่ เลือด หัวใจ ลำไส้ ปอด ตับ ไต และอื่น ๆ หรือจะพิจารณาเรื่องราวอื่น ๆ เช่น ความคิด ความรู้เสึก ภาพพจน์ กวีนิพนธ์ ความฝัน แม่น้ำ ดวงดาว ใบไม้ และอื่น ๆ
 
นักปฏิบัติสมาธิที่ดี จะน้อมนำสมาธิเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเขาในทุก ๆ ด้าน ไม่ยอมให้ โอกาสอันใดแม้หนึ่งเดียวผ่านไป ทั้งนี้เพื่อจะเห็นถึงธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ วันทั้งวันจะปฏิบัติด้วยสมาธิที่เต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา จะเปิดตาหรือปิดตาจิตก็เป็นสมาธิได้ ไม่ควรจะยึดติดในความคิดที่ว่า เราปิดตาเพื่อจะมองเข้าไปด้านในและเปิดตาเพื่อที่จะมองออกด้านนอก ต่างก็เป็นวัตถุแห่งความรู้สึกด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีอะไรอยู่ข้างนอกหรือข้างในสมาธิอันยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะเธอธำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างลึกซึ้ง กับความเป็นจริงที่มีชีวิตชีวา ณ ช่วงเวลาเช่นนั้นเองที่ความแตกต่างระหว่างประธานและกรรมสูญสลายตัวไป เธอเข้าถึงความเป็นจริงที่มีชีวิตนั้นได้โดยง่ายดาย และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะเธอ ได้ปล่อยวางลงเสียแล้ว ซึ่งเครื่องไม้เครื่องมือที่ไว้ใช้ตรวจสอบความรู้ อันเป็นความรู้ที่ทางพุทธศาสนา กล่าวว่าเป็น " ความรู้ที่ผิด "