ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: Plusz
« เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 01:30:43 pm »

ยาบางชนิดรับประทานเวลาใดก็ได้ แต่บางชนิดก็ห้ามรับประทานเพิ่มขนาดเมื่อลืมรับประทานยาก่อนหน้านั้นหรือยาบางชนิดก็ไม่ควรบดก่อนรับประทาน  ดาราหนุ่มชาวออสซี่ ฮีธ เลดเจอร์ เสียชีวิตอันเนื่องมาจากผลข้างเคียงของยาประมาณ 6 ชนิด ที่เขารับประทานในคราวเดียวกัน เช่น ยาแก้ปวด ยานอนหลับ ยาต้านความหวาดกลัว ฯลฯ กรณีนี้จึงเป้นอุทาหรณ์ให้แก่บุคคลทั่วไปในการใส่ใจตอบคำถามแพทย์หรือเภสัชกร และอ่านฉลากยาให้ถูกต้องก่อนรับประทานยาเพื่อความปลอดภัยของชีวิตโดนเภสัชกรได้ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการรับประทานยาให้ถูกต้องดังนี้ค่ะ


Q:การรับประทานยาวันละครั้ง สามารถสับเปลี่ยนเวลาในการรับประทานอาหารได้มั้ยคะ
A: ขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่รับประทานว่าเป็นชนิดใดเนื่องจากยาแต่ละชนิดจะแตก ต่างกัน เช่น หากเป็นยาแก้ปวด แก้แพ้ ที่รับประทานแล้ววันละครั้งแล้วสามารถควบคุมอาการได้ ก็สามารถเปลี่ยนเวลารับประทานได้โดยขึ้นอยู่กับความสะดวกของคนไข้แต่ยาบาง ชนิด เช่น ยาลดคอเลสเตอรอล กลุ่ม statin บางชนิดควรรับประทานเวลาเย็นหรือก่อนนอนเพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในการออก ฤทธิ์ของยาดีกว่าช่วงอื่น เนื่องจากยาจะไปยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เรานอน หลับส่งผลให้ยาที่รับประทานมีประสิทธิภาพสูงสุด

Q:ควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้งมั้ยหรือทิ้งช่วงเวลาห่างกันได้มากน้อยแค่ไหน
A:ยาที่ต้องรับประทานต่อเนื่องส่วนใหญ่ควรรับประทานให้ตรงเวลาเพื่อรักษาระดับยาในกระแสเลือดให้คงที่ โดยเฉพาะกลุ่มยาฆ่าเชื้อต่างๆ หากรับประทานยาไม่ตรงเวลาอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรือเชื้ออาจดื้อยาตัวนั้น ทำให้ต้องเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นๆ หรือหากลืมรับประทานยาก็ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าใกล้ถึงมื้อที่จะต้องรับประทานแล้ว ก็ไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่าเพราะอาจทำให้ได้รับยาในขนาดที่มากเกินไปจนเป็นอันตรายได้

Q:บดหรือหักยาให้เล็กลงก่อนรับประทานได้มั้ย
A:โดยส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้หักยาหรือบดยาโดยเฉพาะในกรณีที่เม็ดยาอยู่ในรูปแบบออกฤทธิ์นานหรือค่อยๆปลกปล่อยตัวยา(Retard) ข้อสังเกตของยากลุ่มนี้ก็คือ มักจะมีสัญลักษณ์เป้นตัวอักษร MR,SR,CR ด้านหลังชื่อยา ซึ่งเป้นลักษณะในการผลิตเม็ดยาประเภทนี้ ยากลุ่มนี้ได้รับการผลิตขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการรับประทานยาของคนไข้จากที่ต้องรับประทาน 3 มื้อ ก็ลดลงเหลือแค่มื้อเดียวต่อวัน แต่ให้ผลการรักษาเทียบเท่ากันดังนั้น หากบดหรือหักยาอาจทำให้การปลดปล่อยยาเปลี่ยนแปลง คนไข้อาจได้รับยามากเกินไปซึ่งส่งผลกระทบต่อการรักษาและเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม ยาในรูปแบบนี้บางตัวก็สามารถหักแบ่งได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับกระบวนการในการผลิตยาแต่ละตัว ดังนั้น จึงควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อน

Q:ผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้น "บ่อย" หมายถึงอะไร
A:ผลข้างเคียงคืออาการที่ไม่พึงประสงค์ นอกเหนือจากจุดประสงค์ในการรักษา ซี่งสามารถทำนายได้ก่อนที่จะรับประทานยาดังนั้น เราสามารถป้องกันอาการต่างๆได้ เช่น ให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดอาการข้างเคียงคู่กับยาฆ่าเชื้อที่มักมีผลเคียงข้างและอาการข้างเคียงส่วนใหญ่จะหายไปได้เองเมื่อยาที่รับประทานหมดฤทธิ์ ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเป็นอันตราย เช่น เมโทรนิดาโซล เป็นยาฆ่าเชื้อที่มักมีผลข้างเคียงทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งสามารถลดอาการข้างเคียงได้โดยรับประทานยานี้ทันทีหลังอาหาร ทั้งนี้ ยาแต่ละกลุ่มจะมีผลข้างเคียงแตกต่างกันออกไป เช่น
1.ยาฆ่าเชื้อ(Antibiotic) มักทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
2.ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ มักทำให้มีอาการง่วงซึม ปากแห้ง คอแห้ง
3.ยาต้านการอักเสบและแก้ปวด มักทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่เยื่อบุกระเพาะอาหาร
4.ยาแก้คัดจมูกและยาขยายหลอดลม มักทำให้เกิดอาการใจสั่น

Q:การรับประทานยาก่อนอาหารหมายความว่าอย่างไร
A:ยาที่ให้รับประทานก่อนอาหารควรรับประทานก่อนอาหาร 30 นาที ถึง 1 ชม.เพราะยาจะดูดซึมได้ดีในขณะที่ท้องว่างหรืออาหารอาจะขัดขวางการดูดซึมของยาหากนำยาก่อนอาหารไปรับประทานหลังอาหารหรือรับประทานใกล้กับมื้ออาหารมากเกินไปอาจทำให้ระดับยาในเลือดน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการรักษาลดลง

Q:ทำไมจึงไม่ควรดื่มนมเมื่อรับประทานยาปฏิชีวนะ

A:จริงๆแล้วไม่ใช่ยาปฏิชีวนะทุกตัวที่ห้ามรับประทานร่วมกับนม มีเฉพาะยาบางกลุ่มเท่านั้น เช่น กลุ่ม tetracycline และกลุ่ม Fluoroquinolone บางชนิด เป็นต้น เนื่องจากยาอาจไปจับกับแคลเซียมซึ่งเป็นส่วนประกอบในนม ส่งผลให้ยาไม่ดูดซึมก็จะทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง

Q:หากรับประทานปฏิชีวนะ สามารถรับประทานยาอื่นร่วมด้วยได้มั้ย
A:ยาส่วนใหญ่มักรับประทานร่วมกับยาปฏิชีวนะได้เพื่อรักษาอาการอื่น แต่ก็มียาบางประเภทที่ไม่แนะนำให้รับประทานร่วมกับยาปฏิชีวนะ เช่น ยาเม็ดเพื่อคุมกำเนิด เนื่องจากยาปฏิชีวนะจะส่งผลต่อการลดประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยานั้น หากมีความจำเป็นต้องรับประทานควบคู่กัน ขอแนะนำให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย

Q:เมื่อไหร่ควรเลิกรับประทานยา
A:ระยะเวลาในการใช้ยาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการรักษา แต่ที่พบบ่อยๆ มีดังนี้
1. ใช้เมื่อมีอาการเท่านั้น จะเป็นยาที่ใช้ตามอาการซึ่งเมื่ออาการดีขึ้นแล้วให้หยุดยาได้เลยไม่ต้องใช้ยาติดต่อกันจนหมด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ
2.ใช้ติดต่อกันจนหมด คือการใช้ยาแบบนี้จะพบมากในการรักษาโรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย เชื้อรา หรือเชื้ออื่นๆซึ่งหากยาชนิดนั้นเป็นยาที่ดีได้ผล ต้านเชื้อได้ดีจำนวนเชื้อก็จะค่อยๆลดลง จนถึงจุดที่การแสดงอาการต่างๆเริ่มลดลง เช่น ถ้าเป็นโรคคออักเสบอาการเจ็บคอก็จะลดลง แต่ก็ยังคงมีเชื้อบางส่วนหลงเหลืออยู่ หากเราหยุดรับประทานยา เชื้อเหล่านั้นก็อาจเพิ่มจำนวนอีก ซึ่งเชื้อเหล่านั้นอาจมีการปรับตัวและดื้อต่อยาตัวเดิม ดังนั้น ในการใช้ยาฆ่าเชื้อจึงต้องรับประทานติดต่อจนครบกำหนดตามที่แพทย์สั่งจ่ายโดยเฉลี่ยประมาณ 5-7 วัน แต่ในโรคติดเชื้อบางชนิดอาจใช้ระยะเวลาสั้นกว่านี้ เช่น โรคติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ หรือบางโรคอาจต้องใช้เวลาในการรักษานานเช่น วัณโรค
3.ใช้อย่างต่อเนื่องติดต่อกัน ห้ามหยุดยาเอง คือยาชนิดนี้จะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ยารักษาโรคเหล่านี้ต้องรับประทานต่อเนื่อง เพราะมันจะออกฤทธิ์ควบคุมอาการผิดปกติของร่างกายให้ลงมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัย พร้อมทั้งต้องไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการใช้ยา เพราะอาจมีการปรับเพิ่มหรือลดขนาดยา หรือเปลี่ยนชนิดยา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาวะคนไข้ในตอนนั้น

Q:เวลากลืนยาควรนั่งหรือยืน
A:การรับประทานยาเราสามารถนั่งหรือยืนก็ได้แต่ควรให้ลำตัวอยู่ในท่าตั้งตรงตั้งฉากกับพื้น นอกจากนี้การรับประทานยาบางชนิดจะมีคำแนะนำพิเศษหลังรับประทานยาบางชนิดจะมีคำแนะนำพิเศษหลังรับประทานยา เช่น ยากลุ่ม Bisphosphonate ที่รักษาภาวะกระดูกพรุน หลังรับประทานยาควรให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือยืนประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชม. เนื่องจากหากผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหรือเอนหลังจะทำให้ยาไหลย้อนกลับมายังบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งอาจจะระคายเคืองทำให้เป็นแผลหรือแสบร้อนได้

Q:ทำไมจึงควรดื่มน้ำเมื่อรับประทานยา
A:เมื่อเรารับประทานยาเข้าไป ยาจะต้องละลายแตกตัวออกจากรูปแบบเม็ดที่กลืนเข้าไป และดูดซึมไปสู่กระแสเลือดเพื่อออกฤทธิ์ ซึ่งในการละลายของยาก็ต้องอาศัยน้ำเป็นตัวทำละลายและแตกตัวจากเม็ดหากต้องดื่มน้ำน้อยเกินไปจะทำให้การออกฤทธิ์ของยาเปลี่ยนแปลงไป ระยะเวลาเริ่มออกฤทธิ์จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ระดับยาในกระแสเลือดอาจจะน้อยกว่าปกติทำให้มีประสิทธิภาพในการรักษาน้อยลง ดังนั้นจึงควรรับประทานพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้วเต็มๆและไม่ควรรับประทานยาร่วมกับเครื่องดื่มอื่นๆ เนื่องจากอาจทำให้การออกฤทธิ์ของยาเปลี่ยนไป
 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท