ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 10:30:42 pm »

 :45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม น่าทานมากครับ

(มาแก้คำว่าอาหาน เป็นอาหารแล้วครับผม) ^^ ขอโทษนะครับผมเบลอ แต่อนุโมทนาด้วยใจครับผม

รักษาสุขภาพนะครับพี่หนุ่ม
ธรรมะอวยพรครับ^^
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 12:48:11 pm »

การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ
ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืน ผู้ที่ต้องการกินเจอย่างครบถ้วยสมบูรณ์ตามประเพณีการกินเจ จะต้องปฏิบัติดังนี้

งดเว้นเนื้อสัตว์หรือทำอันตรายต่อสัตว์
งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์
งดอาหารรสจัด ซึ่งหมายถึงอาหารเผ็ด หวานมาก เปรี้ยวมาก เค็มมาก
งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ สิ่งเสพติดและของมึนเมาต่างๆ
รักษาศีลห้า
รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์
ทำบุญทำทาน
นุ่งขาวห่มขาว
สำหรับ ผู้ที่เคร่งครัดเพื่อการกินเจให้เป็นไปอย่างบริสุทธ์โดยแท้ จะเพิ่มการปฏิบัติโดยการกินอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงเท่านั้น รวมถึงจะล้างหม้อไหจนสะอาดเอี่ยมแยกภาชนะสำหรับการปรุงอาหารเจไว้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังจุดตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับเพื่อเป็นพุทธบูชาและรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้อง ตลอดจนผู้
ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด


ธงที่ใช้ประดับหน้า ร้านอาหารเจต้องมีตัวอักษรจีนสีแดงด้วย 齋 เจ็ดวันอันควรงดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่ยังคง เข่นฆ่ากินเ
ลือดกินเนื้อสัตว์ทุกวัน แต่อย่างน้อยที่สุดควรหยุดคิดสักนิดให้เห็นถึงความสำคัญของวันทั้ง 7 ที่ควรงดเว้นเนื้อสัตว์เพื่อเป็นมงคลชีวิตสู่ความสำเร็จของตนเองและครอบครัว ถือเป็นมหากุศลและเมตตาธรรมสูงสุด

กินเจในวันเกิดของตนเอง
วัน ที่เราได้เกิดมามีชีวิตไม่ควรทำลายผู้อื่น สัตว์ทั้งหลายเมื่อถือกำเนิดมาบนโลกต่างก็อยากมีชีวิตอยู่ยืนยาว เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่ไปฆ่าผู้อื่นแล้วกินเลือดกินเนื้อเขาเพื่อฉลอง วันเกิดขอ
งตนเองซึ่งเป็นการตัดทอนอายุขัยของผู้อื่นให้สั้นลงแล้วจะหวังให้ตนเองมีอายุยืนยาวได
้อย่างไร

กินเจในวันเกิดของลูกหลาน
ในวันเกิดของลูกหลานวันที่ชีวิตใหม่ถือกำเนิดผู้เป็นพ่อแม่ต่างชื่นชมยินดีเป็นที่สุ
ด ลูกของเราเรารักดังแก้วตาดวงใจยามลูกนอนก็คอยปัดเป่าพัดวีแม้แต่ยุง เหลือบ ริ้น ไร มิยอมให้ขบกัด สัตว์ทุกตัวก็รักลูกของเขาเช่นเดียวกับมนุษย์ ดวงใจของผู้เป็นพ่อแม่ ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ลูกของใครใครก็รักเพราะฉะนั้นวันที่เราได้ลูกต่างสุดแสนดีใจแล้วทำไมจึงต้อง ทำให้ผู้
อื่นเสียใจที่ลูกต้องตายจากไป

กินเจในวันแต่งงานหรือวันมงคลสมรส
วัน แต่งงานหรือวันมงคลสมรสเป็นวันที่มีความหมายอย่างยิ่งในชีวิต ในชั่วชีวิตของแต่ละคนจะมีงานมงคลนี้เพียงครั้งเดียว ทุกคนเมื่อแต่งงานกันแล้วต่างก็อยากมีชีวิตที่ยั่งยืนได้ครองรักกันไปจนแก่ เฒ่า คู่รักของใครต่างก็รักและหวงแหนไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำอันตราย สัตว์ก็มีคู่ชีวิตรู้จักรักและหวงแหนเช่นกัน หากวันที่เราได้คู่ชีวิตมาเคียงข้างกลับเป็นวันที่เราพรากชีวิตคู่ของผู้ อื่นมานั้นม
ันช่างไม่ยุติธรรมเลย ดังนั้นวันที่เราแต่งงานได้คู่ครองจึงไม่ควรพราดชีวิตสัตว์อื่น

กินเจในวันงานเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร
ในโอกาสจัดงานเลี้ยงสังสรรค์รับรองเพื่อนฝูงญาติมิตรทุกคนที่มาร่วมชุมนุมต่างปลื้มป
ีติที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง โอกาสที่น่ายินดีเช่นนี้เราไม่ควรใช้ชีวิตเลือดเนื้อของผู้อื่นมาเลี้ยงฉลองเพราะขณะ
ที่ เราดีใจที่ฉลองด้วยเลือดเนื้อผู้อื่น แต่สัตว์ทั้งหลายต่างโศกเศร้าเสียใจที่ต้องตายจากกันไป หากจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงด้วยอาหารพืชผักและผลไม้ถือได้ว่าเป็นบุญกุศลยิ่งใหญ่ ที่บังเก
ิดขึ้นแก่เพื่อนฝูงผู้มาร่วมงานซึ่งถือว่าเป็นความปีติยินดีให้แก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริ


กินเจในวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ผู้ที่มีความกตัญญูที่แท้จริงไม่พึงกระทำอย่างยิ่งในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่
เรา เคารพรัก ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป ฉะนั้นในงานศพจึงไม่ควรทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายตามไปด้วย ดวงวิญญาณของคนที่เขาเคารพรักเหล่านั้นย่อมจะจากไปโดยไม่มีความสงบสุขแน่หาก รู้ว่างา
นศพของตนเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้อื่นต้องล้มตายลงอย่างมากมาย

กินเจในงานทำบุญสร้างกุศลทุกโอกาส
คน เรามีโอกาสประสบสิ่งดีๆ ในชีวิตมีโอกาสที่ได้สร้างบุญกุศลอยู่เสมอ เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันทำบุญอื่นๆ การจัดงานทำบุญในวันเหล่านี้ทุกคนต่างก็มุ่งหวังให้ตนมีความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าย
ิ่ง ให้มีชีวิตที่ดีได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป ฉะนั้นในงานสร้างบุญกุศลทุกงานจึงไม่สมควรเลี้ยงพระ เณร แขกเหรื่อและเพื่อนฝูงด้วยชีวิตและความตายของสัตว์ เพราะเหตุนี้ในโอกาลงานบุญงานกุศลที่เราทุกคนปรารถนาแต่ความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าอ
ยู่เย็นเป็นสุขจึงไม่ควรสร้างบาปซึ่งเป็นเหตุให้ชีวิตผู้อื่นต้องตาย

กินเจในโอกาสขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ใน โอกาสที่ไปกราบไหว้สักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าพระองค์ใดก็ตาม ทุกคนควรชำระล้างปาก ลิ้น ให้สะอาดด้วยการกินเจ กระทำตนให้สะอาดทั้งกายวาจาและจิตใจ เมื่อนั้นก็จะบังเกิดความสุขความเจริญเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเอง การถวายเครื่องสักการะอื่นใดแม้จะมีราคาแพงสักเท่าไรมันก็เป็นเพียงวัตถุ สิ่งของเท่า
นั้น ขอให้ทุกคนจงนำเอา “จิตใจอันดีงาม” ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของทุกๆ คนออกมาถวายเป็นเครื่องสักการะต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์เบื้องบน จิตใจที่มีแต่ความบริสุทธิ์ดีงามของมนุษย์นี่แหละเป็นเครื่องสักการะอันล้ำ ค่าที่สุด

เบ็ดเตล็ด
การ ปฏิบัติตัวช่วงเทศกาลกินเจ -งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์ -งด นม เนย หรือน้ำมันจากสัตว์ -งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก -งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน รักษาศีล 5 -รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่ -ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว

"อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปน และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5

ตามความเชื่อทางการแพทย์จีน ของผักเหล่านี้มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ

สำหรับ คนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ "ถือศีล-กินเจ" แล้ว ยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ "อาหารเจ" นั้นบริสุทธิ์จริงๆ

บางคนจะคัดแยกภาชนะบรรจุหรือปรุงอาหาร จากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด

และ ในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวงไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลากินเจ เพื่อรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา

การกินเจทำได้ 2 แบบ คือ 1.กินเป็นกิจวัตร คือ ละเว้นการกินเนื้อสัตว์ทั้ง 3 มื้อทุกวัน 2.กินเฉพาะช่วงกินเจ คือ กินเจช่วงวันขึ้น 1 ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ส่วนจะปฏิบัติที่เคร่งครัดกว่า หรือเกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น ลุยไฟ ใช้เหล็กเสียบแทงตนเอง หรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต หรือตรัง นั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปได้เสมอ



สี
ทำไมต้องใช้ธงสีเหลือง ตัวหนังสือสีแดง แต่งกายสีขาว?

สีแดง เป็นสีที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นสีศิริมงคล ดังจะเห็นได้ว่าในงานมงคลต่างๆ ของคนจีนไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง วันตรุษจีน

สี เหลือง เป็นสีสำหรับใช้ในราชวงศ์ซึ่งอนุญาตให้ใช้ได้เพียงคนสองกลุ่มเท่านั้น กลุ่มแรกคือกษัตริย์ซึ่งเห็นได้จากหนังจีน เครื่องแต่งกายและภาชนะต่างๆ เป็นสีเหลืองหรือทองซึ่งคนสามัญห้ามใช้เด็ดขาด กลุ่มที่สองคืออาจารย์ปราบผีถ้าท่านสังเกตในหนังผีจีนจะเห็นว่าเขาแต่งกาย และมียันต์
สีเหลือง

สีขาว ตามธรรมเนียมจีนสีขาวคือสีสำหรับการไว้ทุกข์ สีดำที่เราเห็นกันอยู่ในขณะนี้เป็นการรับวัฒนธรรมตะวันตก ถ้าท่านสังเกตในพิธีงานศพของจีนจะเห็นลูกหลานแต่งชุดสีขาวอยู่

สีซึ่งกล่าวมาทั้งหมดนี้สามารถนำไปเชื่อมโยงในตำนานข้างต้นที่กล่าวมาได้ทั้งหมด

เพื่อนเจ
เพื่อนเจเราจะเรียกว่า แจอิ๊ว หมายถึงเพื่อนที่กินเจเวลาร้านค้าเรียกลูกค้าในวันนั้นจะเหมารวมคนที่ใส่ชุดขาวว่า แจอิ๊ว ทั้งหมด


ถ้วยชาม
หากเป็นสมัยก่อนถ้วยชามที่ใช้ในเทศกาลกินเจก็จะมีชุดใหม่ซึ่งไม่ปนกับชุดที่ใช้อยู่ท
ุกวัน บางบ้านจะทำความสะอาดบ้านเพื่อต้อนรับเทศกาลกินเจ

http://www.isothai.com/forums/index.php?showtopic=3544&st=0&

.



.



.



.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 12:47:47 pm »

ตำนานกินเจ


ตำนานที่ 1
ชาว จีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า “หงี่หั่วท้วง” ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูอย่างกล้าหาญถึงแม้จะแพ้ก็ตาม ชาวบ้านได้พากันถือศีลกินเจนุ่งขาวห่มขาวเพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะ ช่วยชำระจ
ิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจ

ตำนานที่ 2
เพื่อ เป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ดาวนพเคราะห์” ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อ สัตว์และ
แต่งกายด้วยชุดขาว

ตำนานที่ 3
ผู้ ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนใน ประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีลกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวร โพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์(หรือ “เก้าอ๊อง”)ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาติดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ

ตำนานที่ 4
กิน เจเพื่อเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง “กษัตริย์เป๊ง” เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาต กรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการ เมือง การที่เผยแผ่มาสู่เมืองไทยได้นั้นเพราะชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมา เผยแผ่อี
กทอดหนึ่ง

ตำนานที่ 5
1500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็งและมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัว โอบล้อมก
องทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับจนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดควา
มแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วยแต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก
็ต่อ เมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณเห็นว่าควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจ บุญ ลีฮั้วก่าย คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบเศรษฐี จึงมอบเงิน
จำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืนผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตามจนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็น มหรสพในช่ว
งกินเจด้วย เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไสจึงได้ศึกษาตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้
วก่าย ที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)

ตำนานที่ 6
ชาย ขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมากเพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อ ซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็ง จึงขอตามนา
งไป เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ จึงเข้าไ
ปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกิน เจอยู่เน
ืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็ สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูก ชายแล้วประ
พฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น

ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต
จังหวัดภูเก็ตไม่มีประเพณีกินเจเหมือนที่อื่นแต่จะเรียกว่าประเพณีถือศีลกินผักตามภา
ษาถิ่นฮกเกี้ยนที่ว่าเจี๊ยะฉ่าย(食菜)ตามตำนานกล่าวว่าเมื่อประมาณ180ปีก่อนมีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่
กะทู้นานเป็นแรมปี แล้วบังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้นคณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินผักและสร้างศาลเจ้าขึ
้นเพื่อ เป็นการสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็หายสิ้น ชาวกะทู้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงปฏิบัติตาม และหลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินผักที่สมบูรณ์ตามแบบประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) ในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินผักในปัจจุบัน

ความหมายของ เจ
คำ ว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า อุโบสถ ดังนั้นการกินเจก็คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่ถืออุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 โดยไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่ากินเจ กลายเป็นการถือศีลกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ ฉะนั้นความหมายก็คือคนกินเจมิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์

แต่ยัง ต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ แจมิได้แปลว่า อุโบสถ ในภาษาจีนมี(กลุ่ม)คำหรือวลีที่ใช้อักษร

แจ(เจ , 齋 / 斋 )เป็นตัวประกอบร่วมด้วยหลายคำ แต่คำว่าโป๊ยกวนแจไก่ (八關齋戒 ) ซึ่งเป็นศัพท์ของทางพุทธศาสนา ดูจะเป็นคำที่นิยมหยิบยกมาใช้อธิบายความหมายของอักษรแจเสมอมา

โป๊ยกวนแจไก่ (八關齋戒 ) แปลว่า ศีลบริสุทธิ์แปดประการ ซึ่งก็คือ “ศีลแปด”ที่เรารูจักกันดี

คนไทยในรุ่นปู่ย่าตายายที่เคร่งในศีลวัตรจะไปอาราธนาศีลแปดจากพระสงฆ์ในวันธรรมสวนะภ
ายใน พระอุโบสถ ศีลแปดจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ อุโบสถศีล ”ผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องกินเจที่ไม่เข้าใจภาษาและที่มาของคำจึงแปลอักษรแจ ผิดว่า “อุโบสถ” ซึ่งคำแปลนี้ก็ฮิตติดตลาดและถูกคัดลอกไปใช้บ่อยอย่างน่ารำคาญใจ เพราะหากจะเอาตามความในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานแล้ว

อุโบสถ เป็นคำนาม หมายถึง สถานที่ที่พระสงฆ์ประชุมกันทำสังฆกรรมต่างๆ เรียกย่อว่า โบสถ์

การแปลและเข้าใจคลาดเคลื่อนดังกล่าวยังถูกใช้เป็นบรรทัดฐานในการอธิบายวัตรปฏิบัติขอ
งการ กินเจผิดตามไปด้วยว่า “การกินเจต้องถือศีลข้อวิกาลโภชน์” หรือการงดกินของขบเคี้ยวหลังเที่ยงวันไปแล้ว ซึ่งเป็นศีลข้อหนึ่งในศีลแปด ทั้งๆที่โรงครัวของศาลเจ้าหรือโรงเจที่เปิดเลี้ยงผู้คนในช่วงเทศกาลกินเจ ล้วนแต่มีอา
หารมื้อเย็นให้กับผู้เข้าไปกิน ยิ่งวันที่มีการประกอบพิธีกรรมในตอนค่ำยังมีอาหารมื้อค่ำบริการเสริมให้เป็นพิเศษด้ว
ย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในช่วงเทศกาลกินเจนั้นเขาถือเพียงศีลห้าที่เป็นนิจศีล ไม่ได้ครองศีลแปดอย่างที่หลายคนเข้าใจ (เว้นแต่ผู้ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะครองศีลแปดเป็นการส่วนตัวเท่านั้น)

ใน ทางอักษรศาสตร์จีน อักษรตัว “แจ” มีพัฒนาการมาจาก ตัวอักษร ฉี “ 齊 ” ซึ่งแปลว่าบริบูรณ์ , เรียบร้อย อักษรแจเกิดจากการเพิ่มเส้นตั้งและสองจุด ( 小 ) เข้าไปกลางอักษรฉี ทำให้เกิดตัว ซื ( 示 ) ซึ่งแปลว่าการสักการะ อยู่ในแก่นกลางของตัวฉี

แจ( 齋 ) จึงมีความหมายว่า การรักษาความบริสุทธิ์(ทั้งกายและใจ)เพื่อการสักการะ หรือ การปฏิบัติบูชาถวายเทพยดา

ซึ่ง การอธิบายในแนวทางนี้จะสอดคล้องกับ คำว่า “ 齋醮 ” ในลัทธิเต๋า ซึ่งย่อมาจากคำว่า 供齋醮神 ที่แปลว่าการบำเพ็ญกายใจให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นสักการะบูชาเทพยดา

ความหมายของแจในศาสนาอิสลาม

ศัพท์ คำว่า ศีลแจ / 齋戒 ในภาษาจีน นอกจากใช้ในลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธแล้ว ยังหมายถึง “ศีลอด” ที่ถือปฏิบัติในเดือนถือศีลอดของชาวจีนอิสลาม สาระของศีลก็คือการห้ามรับประทานอาหารใดๆในระหว่างเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นจวบ จนลับขอบ
ฟ้า ตลอดเดือนถือศีลอด

แจในวัฒนธรรมดั่งเดิมของจีน

ศัพท์ แจ พบในเอกสารจีนเก่าที่มีอายุกว่าสองพันปีหลายฉบับ เช่น 禮記 , 周易 , 易經 , 孟子 , 逸周書 (เอกสารที่อ้างนี้ปัจจุบันถือว่าเป็นคัมภีร์ในลัทธิหยู) เอกสารเหล่านั้นยังใช้อักษรตัวฉี(齊 )แต่เวลาอ่านออกเสียงกลับต้องอ่านออกเสียงว่า ไจ เช่น คำว่า ไจเจี๋ย / 齊潔 หรือ ไจเจี้ย / 齊戒 ซึ่งก็คือการออกเสียงแจในสำเนียงแต้จิ๋วนั่นเอง อักษรฉีในเอกสารนั้นนักอักษรศาสตร์ตีความว่าแท้จริงแล้วก็คืออักษรตัวแจหรือ ใช้แทนตั
วแจ แจที่ว่านี้หาได้หมายถึงการงดกินของสดคาว หรือ การงดรับประทานอาหารหลังเที่ยง หากหมายถึงการชำระล้างร่างกาย สงบจิตใจ และสวมใส่เสื้อผ้าใหม่สะอาด เป็นการเตรียมกายและใจให้บริสุทธิ์เพื่อประกอบพิธีกรรมสักการะบูชา ขอพร หรือแสดงความขอบคุณต่อเทพยดาแห่งสรวงสวรรค์

แจเพื่อการจำแนกความเคร่งครัดของภิกษุฝ่ายมหายาน

ศีลของภิกษุฝ่ายมหายาน ในส่วนเกี่ยวกับการฉันของภิกษุแตกต่างจากฝ่ายเถรวาททั้งมีการจำแนกเป็นสองลักษณะตามส
ำนักศึกษาได้แก่

1.เหล่าที่ถือมั่นในศีลวิกาลโภชน์และฉันอาหารเจ จะไม่ฉันอาหารหลังอาทิตย์เที่ยงวัน เรียก ถี่แจ /持齋

2.เหล่าที่ถือมั่นแต่การฉันอาหารเจ เรียกถี่สู่ /持素

เจียะแจ

ความหมาย

เจี ยะแจ (食齋 ) เป็นการออกเสียงตามสำเนียงถิ่นแต้จิ๋ว ศัพท์คำนี้ใช้และเป็นที่เข้าใจแต่ทางตอนใต้ของจีนโดยเฉพาะแถบลุ่มอารยะธรรม หลิ่งหนาน (領南)ในมณฑลกวางตุ้ง อันเป็นแหล่งอาศัยดั่งเดิมของคนแคะ แต้จิ๋ว กวางตุ้งและไหหนำ ซึ่งเป็นชาวจีนกลุ่มใหญ่ในประเทศไทย เจียะแจตรงกับคำว่า ชือซู ( 吃素 )ในภาษาจีนกลาง (สำเนียงปักกิ่ง)

เจียะ ( 食 ) ในภาษาถิ่นใต้ หากใช้ในความหมายของคำกิริยา แปลว่า กิน

แจ ( 齋 ) แปลว่า บริสุทธิ์ ( 清淨 ) ( อ้างตามปทานุกรมพุทธศาสนาฉบับ วัดฝอกวงซัน ,ไต้หวัน )

เจี ยะแจ หรือ ตรงกับคำไทยที่นิยมใช้กันว่า กินเจ จึงแปลว่า การกินอาหารที่บริสุทธิ์ตามความเชื่อ(ในลัทธิกินเจ) ซึ่งหมายความถึงอาหารที่ไม่คาวหรือไม่เจือปนซากผลิตภัณฑ์ของสัตว์ รวมทั้งไม่ปรุงใส่พืชผักต้องห้าม

คำว่าเจียะแจนี้ชาวจีนฮกเกี้ยนทาง ปักษ์ใต้แถบจังหวัดภูเก็ตเรียกต่างออกไปว่า เจียะไฉ่ (食菜) ที่แปลตามตัวอักษรได้ว่า “กินผัก” แต่มีนิยามหรือความหมายตรงกับคำว่าเจียะแจที่กล่าวข้างต้น

กินเจเพื่ออะไร?ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

กิน เพื่อสุขภาพ อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ใน สภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้น ซึ่งมีเลือ
ดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา กินเพื่อเว้นกรรม ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือด เนื้อผู้
อื่นมาเป็นองเราเป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามา ขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเรา สั้นลงเป็นบ
่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหาร เจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

พืชผักผลไม้ถือว่าเป็นยาดีๆ นี่เอง ประโยชน์
การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลและรักษาประเพณีแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้

ร่าง กายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็น ปกติ เมื่อรับประทานเป็นประจำโลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลงทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใสไม่พร่ามัวร่างกายแข็งแรงรู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด มีสุขภาพพลานามัยดี อวัยวะหลักสำคัญภายใน ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาอาหาร ถุงน้ำดี แข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์ ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้แก่ สารเคมี ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง สารดีดีที มลภาวะและก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ซึ่งแพร่กระจายปะปนไปในอากาศที่เราหายใจอยู่เป็นประจำและยังพบ ว่ามีปะปนอ
ยู่ในแหล่งน้ำดื่มด้วย กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และในการทำสงคราม สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดาสารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ในบรรดาผู้ที่กินอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฏโดยเฉพาะโรค ที่รุนแรงห
รือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ไขข้ออักเสบ โรคเก๊าส์ โรคเบาหวานฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ

หลักธรรมในการกินเจ
ใน ทัศนะของคนกินเจ การกินที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นต้องเดือดร้อนล้มตายนั้น “มันมากเกินไป” ทั้งๆ ที่มนุษย์กินแต่อาหารพืชผักก็สามรถมีชีวิตอยู่ได้

การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการคือ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเองและดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเ
บียนผู้อื่น กล่าวคือ

ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน
ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน
ไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตน
การ รับประทานสิ่งใดก็ตามที่ทำลายสุขภาพร่างกายของตนให้ทรุดโทรม คือ การเบียดเบียนตนเอง ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าได้พิสูจน์ยืนยันว่าเลือดและเนื้อของสัตว์ที่ ถูกฆ่าตา
ยเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย

ดังนั้นการกินเจจึงไม่ใช่เพื่อให้เกิดผลดีต่อจิตใจเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงการมี
สุขภาพพลานามัยที่ดีอีกด้วย ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กันมีความสัมพันธ์ส่งผลถึงกันคนเราย่อมไม่อาจจะรู้สึกเบิก
บานสดชื่นร่าเริงได้ในขณะที่ร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมย่ำแย่

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 12:42:19 pm »

ไขขาน “ตำนานกินเจ”

สืบสารจากจีนแผ่นดินใหญ่

 

 

กำเนิด จากจีนแต่ยิ่งใหญ่สุดในแดนสยามตัวเลขของคนกินเจในเทศกาลเจเพิ่มพูนขึ้นทุกปี ยกให้เป็นขนบประเพณีอันยิ่งใหญ่ของชาวไทยไปเสียแล้ว แม้วัฒนธรรมนี้จะมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ก็ตามที ยืนยันได้นาทีนี้ไม่มีเทศกาลกินเจที่ไหนในโลกที่ยิ่งใหญ่เท่าเมืองไทย เมื่อลองไปตามหารากแห่งการกินเจในแผ่นดินต้นกำเนิดผ่านคำบอกเล่าของนัก ประวัติศาสตร์จีน อย่าง อ.ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี ที่ปรึกษาและผู้ช่วยอธิการบดี ม.หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ถ่ายทอดให้ฟังว่า ความเชื่อในเทศกาลกินเจในเมืองจีนเป็นเรื่องคล้ายกับเป็นตำนานเสียมากกว่า ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อ้างอิงว่าเริ่มต้นในยุคไหน มีทั้งหมด 2 ตำนาน

 

ตำนานแรกมีความเชื่อว่าในสมัยโบราณมีเทพหรือพระราชาที่ปกครองมนุษย์ เรียกกันว่าเป็น “ราชามนุษย์” และ พระองค์ท่านมีพระโอรส 9 องค์เกิดในวันเดียวกันคือ 9 ค่ำเดือน 9 ประเพณีกินเจ 9 วันในเดือน 9 ตามปฏิทินจีนก็คงเริ่มมาจากความเชื่อนี้

 

ส่วน ตำนานที่ 2 ระบุว่าในปี พ.ศ. 2187 อันเป็นปีแห่งการสิ้นราชวงศ์หมิง มีจักรพรรดิฉงเจิงเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายที่ประชาชนรักใคร่ เมื่อตอนที่จะแพ้สงครามครั้งที่ข้าศึกมาประชิดที่กรุงปักกิ่ง ฉงเจิงชิงผูกคอตาย ณ ด้านหลังภูเขาเหมยซังก่อนที่จะให้ข้าศึกจะมาประชิดตัว ต่อมาหลังจากสิ้นราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นกลุ่มแมนจูเข้ามาปกครอง กลุ่มแมนจูจะประกาศห้ามชาวจีนไหว้เจ้า และไหว้บรรพบุรุษหรือแม้ กระทั่งการทำบุญให้กับจักรพรรดิองค์ก่อน เมื่อถูกทางการห้ามชาวจีนที่ปฏิพัทธ์รักใคร่ในจักรพรรดิองค์ก่อน จึงกำหนดให้มีการ กินเจ แต่มีจุดประสงค์เพื่อที่จะทำบุญให้กับจักรพรรดิองค์ก่อน ขณะเดียวกันคนจีนที่อพยพไปอยู่ต่างถิ่นก็นำวัฒนธรรมนี้ตามติดตัวไปด้วย

 

สอด คล้องกับการศึกษาของรองศาสตราจารย์พรพรรณ จันทโร นานนท์ อาจารย์ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง กล่าวว่า ชาวจีนนำเรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จีน จนมีเรื่องเล่าขานแตกต่างกัน ชาวจีนเชื่อว่าการที่ชนกลุ่มน้อยอย่างแมนจูมีอำนาจเหนือชาวฮั่น ในปลายสมัยราชวงศ์หมิง ถือเป็นความทุกข์โศกอันยิ่งใหญ่ จนมีคำพูดติดปากว่า “ฝั่นชิงฝูหมิง” คือล้มราชวงศ์ชิงฟื้นฟูราชวงศ์หมิง

 

เมื่อ ครั้งราชวงศ์ชิงยึดราชวงศ์หมิง ข้าราชการที่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิงต่างหนีการจับกุม โดยตั้งกลุ่มศาสนาเป็นการบังหน้าตามหัวเมืองต่าง ๆ และบางกลุ่มย้ายมาทาง   เอเชีย อาคเนย์ กลุ่มเหล่านี้หวังฟื้นฟูราชวงศ์หมิง จึงจัดเทศกาลทางศาสนาตามที่ตนนับถือ โดยเลือกวันที่ 9 เดือน 9 เป็นวันทำพิธี ขณะเดียวกันในประเทศจีนเองก็มีเทศกาลวันที่ 9 เดือน 9 เรียกว่า “ฉงหยางเจี๋ย” แปลว่าวันที่เป็นหยางซ้อนกัน 2 วัน

 

อ.ประพฤทธิ์ เสริมต่อว่าพิธีกรรมในประเพณีกินเจมีการผสมผสานทั้งวิถีของพุทธและลัทธิเต๋า เข้าไว้ด้วยกัน ดังแสดงออกมาจากการสวดมนต์ในศาลเจ้าตลอดในช่วงเทศกาลกินเจของพระสงฆ์ในฝ่าย มหายาน ขณะที่ศาลเจ้าเป็นความเชื่อของลัทธิเต๋า ตลอดจนการแสดงอิทธิฤทธิ์เช่นการลุยไฟ แทงลิ้นในงานเทศกาลถือศีลกินผักใน จ.ภูเก็ตได้รับอิทธิพลจากลัทธิต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ซึ่งสามารถเข้ากันได้อย่างสนิทแนบแน่นกับหลักศาสนาแบบพุทธมหายาน อีกทั้งพระในนิกายพุทธมหายานยังต้องกินเจด้วย

 

แม้ ประเพณีกินเจจะเกิดขึ้นมาเกือบ 500 ปีที่ผ่านมา แต่กลับไม่ใช่ประเพณีหลักของชาวจีนแผ่นดินใหญ่เสียแล้วในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเพราะการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นคอมมิวนิสต์ของจีน ทำให้ประเพณีกินเจห่างหายไปด้วย

 

นัก ประวัติศาสตร์จีนจาก ม.หัวเฉียว กล่าวว่า ในสมัยที่จีน ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ มองว่าเรื่องกินเจเป็นเรื่องงมงาย แม้แต่การไหว้เคารพบรรพบุรุษเป็นการกระทำอันต้องห้ามในสมัยนั้น ชาวบ้านต้องปิดประตูหน้าต่างเพื่อไหว้บรรพบุรุษ แต่หลังจากปี พ.ศ. 2522 ทุกอย่างเปลี่ยนไปแนวคิดของเติ้งเสี่ยวผิงพยายามจะเปิดประเทศให้กว้างขึ้น หันมาติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ มีการส่งเสริม ฟื้นฟูวัฒนธรรมเดิม แต่คนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ถูกหล่อหลอมกับวัฒนธรรมดั้งเดิม จึงไม่ค่อยใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับเทศกาลกินเจเท่าไรนัก

 

 ...เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่เทศกาลกินเจไม่เบ่งบานในแผ่นดินมังกร…

 

รอง ศาสตราจารย์พรพรรณ ระบุว่า เวลานี้ประเพณีกินเจที่จัดยิ่งใหญ่มีขึ้นที่ประเทศไทยเท่านั้น ประเทศสิงคโปร์ หรือมาเลเซียที่มีคนเชื้อสายจีนอยู่อย่างหนาแน่นไม่มีการกินเจ 9 วัน และจัดได้ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเมืองไทยและถือว่าเป็นประเพณีหนึ่งที่ผสมผสาน ทางวัฒนธรรมอย่างดีเข้ากับคนไทยและคนไทยเชื้อสายจีนด้วยกัน อีกทั้งเป็นประเพณีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว เห็นได้ชัดใน จ.ภูเก็ตที่มีการจัดงานกินเจมีนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านมาร่วมงาน จำนวนมาก

 

กลายเป็นอีกหนึ่งเทศกาลกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างดี.



ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.thaihealth.or.th/node/11843
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 12:36:39 pm »

4 ข้อควรระวัง ระหว่างกินเจ



เทศกาล ‘กินเจ’ ได้เริ่มขึ้นแล้ว วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีคำแนะนำสำหรับการกินเจให้ถูกวิธีมาเล่าสู่กันฟัง

- อย่าเลือกรับประทานแต่ผัก เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบ ควรเสริมด้วยธัญพืชหรือพืชตระกูลถั่ว เช่น เต้าหู้ เผือก มัน กลอย เมล็ดงา ลูกเดือย และลูกบัว ร่วมด้วย

- ไม่ควรบริโภคแป้งในรูปแบบต่าง ๆ มากเกินไป รวมถึงอาหารที่ผัดและทอด ทางที่ดีควรเลือกอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยการต้ม ย่าง อบ หรือยำ

- ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด จากการใช้ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว หรือเกลือแทนน้ำปลา เพราะอาจส่งผลต่อไตและเป็นความดันโลหิตสูง

- ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัด เพราะส่งผลต่ออวัยวะภายใน เช่น รสขมจัดส่งผลต่อหัวใจ เค็มจัดส่งผลต่อไต หวานจัดส่งผลต่อม้าม เปรี้ยวจัดส่งผลต่อตับ และเผ็ดจัดส่งผลต่อปอด

รู้อย่างนี้แล้วปรุงรสชาติอาหารในปริมาณพอเหมาะดีที่สุด






.



Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > 4 ข้อควรระวัง ระหว่างกินเจ
.

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 12:35:38 pm »

เลือกพืชผัก กินต้านมะเร็งชนิดต่างๆ



คุย กับคนรักสุขภาพ ถามไถ่ถึงความเจ็บป่วยที่ไม่อยากเจอ ทุกคนก็ตอบว่า ไม่อยากเป็นมะเร็งกันทั้งนั้น แต่ถ้าจะพูดไม่อย่างเดียวคงไม่ช่วยอะไร ยิ่งถ้ากินไม่รู้จักเรื่องกินล่ะก็ เสี่ยงเป็นมะเร็งแน่

‘มุมสุขภาพ-กินดี’ สรรหาสูตรสุขภาพ รู้จักเลือกกินพืชผักเพื่อต้านมะเร็งร้ายที่อาจเกาะกินอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

เริ่มจาก ‘มะเร็งเต้านม’ ที่สามารถลดความเสี่ยงได้ถ้ากิน วอเตอร์เครส บร็อคโคลี่ และน้ำสกัดจากแครนเบอร์รี่ โดยเฉพาะบร็อคโคลี่ อุดมด้วยสารซัลโฟราเฟน ส่วนแครนเบอร์รี่ มีเปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ชนิด EGCG ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ชาเขียว นอกจากเลือกกินพืชผักตามคำแนะนำแล้ว ยังต้องเลี่ยงอาหารหวาน ของอ้วน ๆ อาทิ อาหารขยะ และแอลกอฮอล์ คุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

ใครไม่อยากเป็น ‘มะเร็งปอด’ ต้องกินฟักทอง แอปเปิ้ล แครอท มันเทศ แอปริคอท มะเขือเทศ จมูกข้าวสาลี เพราะมีผลการวิจัยพบว่า อาหารเหล่านี้มีฟลาโวนอยด์ เบต้าแคโรทีน วิตามินอี ช่วยป้องกันมะเร็งปอด ยิ่งคนไหนมีปัญหาความดัน ยิ่งต้องกินมะเขือเทศให้มาก ขณะที่อาหารเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งปอด คือ อาหารเสริมที่มีเบต้าแคโรทีนล้วน ๆ และมากเกินไป

หลีกไกล ‘มะเร็งลำไส้’ ได้ด้วยข้าวโอ๊ต ธัญพืชขัดสีน้อย ถั่วและผลไม้ชนิดแห้ง ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง เพราะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายอุจจาระ ให้ลำไส้ได้กำจัดของเสียออกมาได้อย่างหมดจด และต้องเลี่ยงการกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์แปรรูป อย่าง แฮม เบคอน เนื้อปั้นก้อนหรือเบอร์เกอร์ เพราะขั้นตอนการผลิตมีการเติมสารประกอบไนเตรทหรือดินประสิว

ขณะที่ ‘มะเร็งกระเพาะอาหาร’ จะไม่มาเยือนหากกินหอมใหญ่ กระเทียม หอมแดง และใบกุยช่ายเป็นประจำ เพราะฉะนั้นซื้อหาพืชผักดังกล่าวมาติดครัวไว้ใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหาร กินกันมะเร็งกระเพาะได้ชัวร์ แต่ก็ต้องหยุดกินเค็ม หรือกินเกลือมากกว่า 1.5 กรัม ต่ออาหาร 100 กรัม เลี่ยงมันฝรั่งทอดกรอบ ขนมปังขาว อาหารดองเค็ม

แค่รู้จักเลือกกินพืชผักและลดเลี่ยงอาหารให้โทษอย่างที่กล่าวไว้ เซลล์ในร่างกายไม่เปลี่ยนสภาพเป็นเซลล์มะเร็งร้ายแน่นอน.

takecareDD@gmail.com



Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > เลือกพืชผัก กินต้านมะเร็งชนิดต่างๆ







.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 12:32:46 pm »

เปิดตำนานกินเจ , ถือศีล กินเจ
http://www.chiangraifocus.com/knowledge.php?id=41

ตำนานเทศกาลกินเจ

เทศกาล เจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี

ในสมัยนั้น มี คนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้

เมื่อถึง วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น


ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่งของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล 2 ประการ คือ

1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน


สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ

บรรยากาศเทศกาลกินเจของเมืองไทยในปัจจุบัน คนทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งหนุ่มสาวยุคใหม่ต่างก็หันมากินเจกันมากขึ้นทั้ง นี้ อาจจะมาจากกระแสเรื่องห่วงใยสุขภาพมากกว่าความเชื่อโบราณ เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดและหันมาบริโภคแต่ผัก ผลไม้นั้นจะช่วยชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย หรือคนยุคนี้เรียกว่า "การล้างพิษ" ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

ความหมายของ "เจ"

"เจ" ในภาษาจีนมีความหมายว่า "อุโบสถ" เป็นคำแปลทางพุทธสาสนา นิกายมหายาน

การกินเจนั้นแต่เดิมหมายความถึง "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นตัวอย่างชาวพุทธรักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ด้วยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงไปแล้วเช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับการกินเจ จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ยังคงเรียกว่า "กินเจ"

ความหมายของการกินเจ จึง หมายถึงการรักษาศีล ปฏิบัติธรรมทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่หมายความเพียงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น การปฏิบัติธรรมร่วมไปด้วยจึงจะครบเป็น "การถือศีล-กินเจ" อย่างแท้จริง

ความหมายของ "ธงเจ"

อักษร แดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะ เวลา 9 วัน 9 คืน

การปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลกินเจ

เมื่อ ตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืนนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้

    * งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
    * งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์
    * งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
    * งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
    * รักษาศีล 5
    * รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่
    * ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว


สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ "ถือศีล-กินเจ" แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ "อาหารเจ" นั้นบริสุทธิ์จริงๆ บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวง ไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลาการกินเจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา

อาหารเจ
ปัจจุบัน มีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ "อาหารเจ" เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์ ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยากจาก แหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย

หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ

คน ที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้ จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ

"เจ" กับมังสวิรัติ
อาหาร มังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

การ กินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย

กิน "เจ" ที่ภูเก็ต
"เจ" ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน

ความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจที่ชาวภูเก็ตเล่าสืบต่อ กันมาว่า มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้ แล้วบังเอิญเกิดโรคระบาด คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้น ปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปสิ้น ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสจึงปฏิบัติตาม นับเนื่องจากนั้นมีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวกระทู้จึงอยากให้พิธี "กินเจ" ของตนสมบูรณ์แบบ ตามแบบพิธีในมณฑลกังไส จึงได้ส่งตัวแทนไปนำเอาควันธูปกลับมา โดยการตั้งมั่นที่แรงกล้า เพราะพิธีการนำควันธูปกลับมานั้น ต้องจุดธูปต่อกันมิให้มอดดับได้ ศาลเจ้ากระทู้จึงเป็นศูนย์กลางของเทศกาลการกินเจที่ภูเก็ตเรื่อยมา จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

9 วันแห่งพิธีกรรมของการกินเจที่ภูเก็ต
กลางคืนวันที่หนึ่ง จะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า มาประทับ เช้าวันรุ่งขึ้นมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม

หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่าน ไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น

ในวันที่เจ็ด เริ่มพิธี บูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ

สองวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอด เส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด

วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่ายร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลงดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต

กินเจ ที่ภูเก็ต ออกไปในแนวสนุกสนาน ตื่นเต้น ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แต่หลายคนที่ไปดูด้วยตาตนเอง ยังพกความตื่นตาตื่นใจ เป็นประสบการณ์มาถึงปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินเจอีกรูปแบบหนึ่ง

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ

    * ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย

    * ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร

    * หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด

    * ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้

    * อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
      อวัยวะเสริมทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
      ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่
      ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆ
      อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
      มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม

    * กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้
      ในทางการแพทย์ การกินเจ มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า ประโยชน์ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมอง เห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา

 

*** "เจ" ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน **

ขอบคุณข้อมูล gotoknow.org
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 12:26:57 pm »

กินเจเยาวราชคึกจัด"ผัดหมี่ทองคำมงคล 8"



เทศกาลกินเจเริ่มแล้ว เยาวราชสุดคึก จัด "ผัดหมี่ทองคำมงคล 8" ต่างจังหวัดไม่แพ้คนล้น ราคาผักขึ้น
เริ่ม แล้วเทศกาลกินเจ โดยเมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 8 ต.ค. ที่ถนนเยาวราช ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่ากทม ได้มาเป็นประธานพิธีเปิดเทศกาลงานเจเยาวราช ประจำปี 2553 "รวมพลังสร้างสามัคคี พระมหาบารมีล้นแผ่นดิน" ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 8-16 ต.ค. โดยภายในงานจะมีขบวนแห่รถบุปผาชาติเจ้าแม่กวนอิม จากศาลเจ้าเล่าปุนเถ้ากง ส่วนไฮไลต์ของงานคือการปรุงเมนูมหามงคล "ผัดหมี่ทองคำมงคล 8" จากนั้นตักแจกจ่ายให้กับคนที่มาร่วมงาน อีกทั้งยังมีการแข่งขันศึกยุทธการกระทะเหล็กเจ จากเชฟ 8 ภัตตาคารชื่อดังในเยาวราช โดยภายในงานมีประชาชนมาจับจ่ายซื้อของกินกันจนมืดฟ้ามัวดิน เนื่องจาก 2 ฝั่งถนนมีร้านอาหารเจมาออกร้านกว่า 100 ร้าน

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า เทศกาลงานเจเยาวราชถือเป็นประเพณีประจำปีของชาวสัมพันธวงศ์ ที่ได้มีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาทุกปีเป็นประเพณีที่ดีงามที่จะได้ใช้ โอกาสในการทำบุญงดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยปีนี้ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยร่วมลงนามถวายพระพรและลงนามปฏิญาณตน ถือศีลกินเจตลอด 9 วัน 9 คืน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมภายในงานเทศกาลกินเจปีนี้ จะมีกิจกรรมหลักจัดขึ้นในแต่ละวันแตกต่างกันไป อาทิ การสวดมนต์ถวายกิวอ๋องอุกโจ้ว และขอพรจากพระเจ้าทั้ง 9 องค์, พิธีรัวกลองเพื่อปลุกฟื้นมังกรให้ปกปักรักษาองค์เจ้าแม่กวนอิม และประชาชนที่มาร่วมงาน การประกวดสุดยอดอาหารเจเพื่อสุขภาพ การออกแบบโต๊ะอาหารจากนักศึกษาชิงถ้วยรางวัลผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และการจำหน่ายอาหารเจเลิศรสจากผู้ประกอบการ การจำหน่ายอาหารเจเลิศรสตลอดแนวถนนเยาวราช พร้อมกับร่วมลุ้นโชคเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ฮอนด้า 2 คัน และตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ–ภูเก็ต จำนวน 2 ที่นั่ง และรับของรางวัลเป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทผู้สนับสนุนการจัดงาน

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวต่อว่า โดยผู้ร่วมงานที่ซื้อสินค้าภายในงาน จะได้รับคูปองลุ้นโชค 1 ใบ ต่อการจับจ่ายสินค้าครบ 100 บาท โดยให้นำคูปองดังกล่าวหย่อนลงในกล่อง ที่ตั้งไว้บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯเพื่อร่วมลุ้นรางวัล คาดว่างานเทศกาลกินเจเยาวราชในปีนี้ จะมีเม็ดเงินสะพัดวันละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังมีการจัดงานเทศกาลอาหารเจ ที่ตลาดสวนหลวง เขตปทุมวัน ซึ่งเป็นอีกย่านหนึ่งที่มีชาวไทยเชื้อสายจีน ได้มีการสืบสานประเพณีกินเจมาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยประชาชนสามารถเลือกซื้ออาหารเจจากร้านอาหารดังในพื้นที่ได้จนถึงวันที่ 17 ต.ค.นี้
ด้านนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เดินทางไปเป็นประธานเปิดงาน "หนูด่วนชวนกินเจ" ครั้งที่ 4 ประจำปี 2553 บริเวณทางเดินเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งทางบีทีเอสได้จัดให้มีบริการอาหารเจให้กับประชาชนฟรี 1,000 คนต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.ถึงวันที่ 10 ต.ค.นี้ระหว่าง เวลา 10.00 น.ถึง 16.00 น.

ส่วนบรรยากาศตามต่างจังหวัดก็คึกคักไม่น้อยกว่ากรุงเทพและบางจังหวัดจัดได้ ยิ่งใหญ่ อาทิ จ.เชียงใหม่ ตอนเช้ามีขบวนแห่เจ้าแม่กวนอิม มังกร สิงโต การแสดงต่อตัว และต่อตัวบนไม้สูง ท่ามกลางความตื่นเต้นของนักท่องเที่ยวทั้งชายไทยและต่างชาติ โดยจะจัดงาน 9 วัน 9 คืนถึงวันที่ 16 ต.ค. ที่ จ.กาฬสินธุ์ ที่บริเวณลำน้ำปาว อ.กมลาไสย ได้มีพิธีปล่อยกระทงเชิญเจ้าที่ บูชาพระแม่คงคา และส่งสิ่งไม่ดีไปกับสายน้ำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลกินเจของจังหวัด มีประชาชนทั้งในพื้นที่และใกล้เคียง ต่างมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก

ที่ จ.พิษณุโลก ชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก ได้แต่งชุดขาวมาร่วมกินอาหารเจกันที่โรงเจไซทีฮุกตึ้ง บนเขาสมอแคลง ต.วังทอง อ.วังทอง จากนั้นพากันไปไหว้ขอพรกับเทพเจ้า โดยทางจังหวัดจะจัดงานถึงวันที่ 16 ต.ค.เหมือนกับจังหวัดอื่น เช่นเดียวกับที่ จ.พระนครศรีอยุธยา สกลนคร นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ สุพรรณบุรี ตรัง นครปฐม ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี ได้จัดงานคึกคักเช่นกัน ขณะที่ จ.เพชรบูรณ์ ที่ริมแม่น้ำป่าสัก หน้าวัดไตรภูมิ นายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงษ์ ผวจ.เป็นประธานพิธีประเพณีอุ้มพระดำน้ำ โดยได้อัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาจากวัดไตรภูมิ ล่องไปตามลำน้ำป่าสักจนถึงบริเวณวังมะขามแฟบ หน้าวัดโบสถ์ชนะมาร โดยมีประชาชนมาร่วมงานเต็ม 2 ฝั่งริมน้ำ

สำหรับราคาพืชผักในปีนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทุกจังหวัดพืชผักมีราคาแพงขึ้น และอาหารเจสำเร็จรูปก็มีราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ หันมากินเจกันเพื่อรักษาสุขภาพกันมากขึ้น.


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=354&contentID=96919
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 12:26:10 pm »

อร่อย 8 เมนูเด็ดอาหารเจ "กินหนึ่งมื้อ หมื่นชีวิตรอดตาย"



เป็น อีกเทศกาลหนึ่งที่คนไทยทั้งไทยแท้และเชื้อสายจีน ต่างให้ความสนใจไม่น้อย เพราะ "กินเจหนึ่งมื้อ หมื่นชีวิตรอดตาย" เป็นคำจำกัดความในช่วง "เทศกาลถือศีลกินเจ" ที่เริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม เช่นเดียวกับชาวจังหวัดจันทบุรี ที่ได้นำสูตรเด็ดอาหารเจ 8 เมนู มานำเสนอ

ใน ช่วงเทศกาลถือศีลกินเจของชาวจันทบุรีนั้น จะเริ่มต้นขบวนแห่ของชาวจันทบุรีกว่า 1,000 คน ด้วยศิลปะของชาวไทยเชื้อสายจีน มีการแสดงสิงโต โชว์มังกรทอง และงิ้วพันหน้า ร่วมบวงสรวงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ ศาลาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในเขตเทศบาลเมืองจันทบุรี



สำหรับเมนูเด็ดนั้น "ต่อ" อุกฤษฏ์ วงษ์ทองสาลี เจ้าของร้านอาหารจันทรโภชนา และเป็นตัวแทนผู้รวบรวมสูตรอาหารเจทั้ง 8 เมนู จากโรงเจและร้านอาหารดังในจังหวัด บอกว่า อาหารเจในปีนี้ มีทั้งสำรองน้ำแดง เป็นซุปร้อนๆ ลักษณะคล้ายวุ้น เหมือนรังนกปรุงด้วยเห็ดหอม เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งทานเจ ที่อาจจะหิวบ่อย เพราะลูกสำรองเป็นผลไม้ที่ให้ไฟเบอร์สูงทานแล้วอยู่ท้อง

ต่อด้วยเต้าหู้พล่า ราดน้ำปรุงรสกลมกล่อม,
เต้าหู้กะเพรากรอบ,
เส้นจันท์ทรงเครื่อง ราดด้วยน้ำปรุงจากกะทิ พริกแกงเจ เต้าหู้เจ เห็ดหูหนูขาว ทานกับถั่วงอก,
บะหมี่รวยรื่น บะหมี่เหลืองผัด,
เต้าเจี้ยวหลน เครื่องจิ้มสำหรับทานผักสดสมุนไพร เช่น ใบขลู่ ใบแต้ว ใบเสม็ด,เห็ดตะไคร้ทอง, เห็ดปรุงรสสมุนไพร รับประทานพร้อมตะไคร้กรอบสามารถทานเล่นหรือรับประทานกับข้าวต้ม
เส้นทองแผ่นเงิน สำหรับขนมมงคลทานได้ทั้งแบบร้อนและเย็น ทำจากแป้งหมี่เจ หาทานได้เฉพาะช่วงเทศกาลถือศีล กินเจเท่านั้น


สัมผัสบรรยากาศเทศกาลกินเจในแบบจังหวัดจันทบุรี ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 16 ตุลาคม


---------------------------------

หนังสือพิมพ์ มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 08 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 01:55:20 am »

:45: ไม่นึกว่าอาหานเจมีคุณประโยชน์มากมายขนาดนี้ อนุโมทนาและขอบคุณครับพี่หนุ่ม^^


:07: อนุโมทนา และ ขอบคุณ :19: มากมายด้วยนะคะพี่หนุ่ม..^^ :13:




ส่วนเจ้าบอล แบมือให้ตีซะดีๆ + ๒๐๐จบ เหมือนเดิม โอโจ้ด้วยน๊าคะ อย่าลืม! :12: ..