ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 11:12:56 pm »

 ขอบคุณครับพี่มด แตกต่างโดยมุมมอง อาจเพราะมันมีมิตินั่นเอง 55 :06:
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 09:16:32 pm »



ที่ยกมาตั้งเป็นหัวข้อเรื่องของบทความในวันนี้ เป็นเรื่องของปรัชญาและเป็นจิตวิทยาด้วย แถมยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับประสาทวิทยาศาสตร์ (neuroscience) อีกต่างหาก ที่กล่าวมานั้น ผู้เขียนพูดกันตามหลักวิชาการที่สุดจะน่าแปลกประหลาดใจที่เรื่องทั้งหมดนี้ รวมทั้งที่ยกมาเป็นหัวเรื่องของวันนี้ จ้างให้-นักวิชาการเมืองไทยส่วนใหญ่มากๆ ก็ไม่สนใจ ก็อยากจะให้ท่านผู้อ่านช่วยเป็นพยานด้วยตรงนี้ว่า เรื่องอะไรก็ตาม ถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจิตและสมองแล้ว นักวิชาการของประเทศไทยแทบจะทุกคนเลยก็ว่าได้ จะพากันไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้แต่น้อยจริงๆ เพราะอะไร-รู้มั้ย? เพราะว่านักวิชาการพวกนี้ตั้งแต่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัย หรือจบจากนอกมา ยกเว้นบางคนที่สุดแสนจะน้อยเต็มทีที่ทำงานวิจัย “จริงๆ” บ้าง แต่ส่วนมากล้วนแล้วแต่จำขี้ปากอาจารย์ ไม่ว่าอาจารย์คนนั้นจะเป็นฝรั่ง ญี่ปุ่น  หรือคนไทย ฯลฯ จะคร่ำเคร่งหมกมุ่นอยู่กับค่านิยมเก่าๆ หรือปรัชญาดึกดำบรรพ์ จมปลักนอนแช่อยู่กับหลักการวัตถุนิยมและรูปธรรมกายภาพ (materialism) หลักการแยกส่วน (reductionism) หลักการที่มองอะไรๆ เป็นเส้นตรงไปทั้งหมด (linear) รวมทั้งให้เหตุที่ก่อผลได้ จะต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น (forward  causation) ไม่รู้ว่าคนพวกนี้คิดว่าใน 24 ชั่วโมงมีแต่กลางวันเท่านั้น เพราะเห็นได้ชัดดี ส่วนกลางคืน “ไม่มีหรอก” เพราะมองไม่เห็น จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรที่เดินเป็นเส้นตรง เพราะพุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนที่เป็นวงกลมหรือเป็นวัฏจักร และสอนต่อไปว่าเหตุที่ก่อผลไม่ใช่จะต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น แต่เดินถอยหลังหรือเดินไปข้างล่าง (downward causation) ก็มี แถมยังบอกด้วยว่า ถึงไม่มีเหตุ มีแต่ผลก็มีเยอะแยะไป (มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง หรือตถาตา) วิทยาศาสตร์ใหม่บอกกับเราว่า ความเสถียรคงที่ หรือความสามัคคีสมานฉันท์แม้แต่นาทีเดียวก็ไม่มีหรอก จะมีแต่ความวุ่นวายไร้ระเบียบ  (atropy ที่ตามมาด้วย chaos theory) ที่เดินเป็นวัฏจักร ปัจเจกหรือไมโครก็เป็นเช่นนั้น สังคมโดยรวมหรือแม็คโครก็เป็นเช่นนั้น พูดถึงแม็คโครแล้ว อดคิดเป็นห่วงคนที่ทำไม่ดี คอรัปชั่นโกงหลวงกับสังคมโลกภายหลังปี 2012 หรือผลของโลกร้อนไม่ได้


เราคงไม่ชอบ หรือบางคนอาจจะโกรธเสียด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าถูกดูถูก-หากใครมาพูดใส่หน้าตรงๆ  ว่า “คุณเป็นคนที่ไม่มีความหมายอะไรสำหรับใครๆ เลย-รู้มั้ย?” เพราะเราคิดว่า เรา-และจริงๆ แล้วทุกคนในโลกเลย ต้องมีความหมายไม่อะไร-ก็อะไรซักอย่างกับคนที่รักเรา เช่น แม่ของเราคนนั้นๆ ความหมายจึงเหมือนเป็นคู่กับความรักในกรณีนี้ แต่ในกรณีทั่วๆ ไป ทั้งความหมายกับความรักเป็นเรื่องของจิตคนละอย่างและคนละส่วนของวิวัฒนาการกัน ความหมายจึงเป็นจุดมุ่งหมาย (purpose)


ทีนี้เรากลับมาพิจารณาเรื่องของสมองกันบ้าง ที่จริงเรื่องของสมองนี่ก็พูดมาหลายหนแล้ว แม้ว่าไม่ใช่ในชื่อของบทความนี้ก็เคยพูดมาแล้ว และคิดว่าบทความที่เขียนลงในไทยโพสต์นั้น ปกติคนที่อ่านก็มักเป็นคนเก่าๆ ที่เคยอ่านบทความของผู้เขียนประจำอยู่แล้วจึงมักไม่ชอบอ่านซ้ำๆ แต่เนื่องจากตอนนี้มันใกล้ๆ การเปลี่ยนของโลกครั้งใหญ่ที่สุดและไม่เคยมีมาก่อน แม้ในครั้งที่มีกาฬโรคระบาดเมื่อ 500 ปีก่อน จึงมีหน้าใหม่ๆ มาอ่านบทความของผู้เขียนมากขึ้น ในโลกนี้มันไม่ใช่มีแต่เมืองไทยกับเรื่องนักการเมือง คน-เด็กไทยตบตีกันหรือทหารออกมายุ่งจนสังคมวุ่นวายกับเรื่องธุรกิจการหาเงินกันแค่นั้นเสียเมื่อไหร่? ที่ไหนๆ - เมื่อมีคนมากขึ้นอย่างเร็วมากๆๆ จริงๆ - ก็ต้องมี คนจึงอ่านหนังสือหรือบทความต่างๆ  มากขึ้นเพื่อหาทางไม่ให้สังคมวุ่นวาย บางคนจึงหันเข้าหาธรรมชาติทั้ง 2 ระดับ หรือหันไปหาวัดหา  “ภายใน” ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยสนใจมากก่อน และสมองก็เกี่ยวข้องกับภายในหรือจิตนั้น ทั้งๆ ที่สมองไม่ใช่จิต


มนุษย์และสัตว์โลกทุกชนิดประเภทเลย ต่างก็มีสมองติดตัว ซึ่งอยู่ข้างในติดตัวมาตั้งแต่เกิดขึ้นมา  บนโลกนี้จักรวาลนี้ เช่นเดียวกับหัวใจ ตับ ไต ปอด ฯลฯ ที่เราเรียกว่า “อวัยวะ” - ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่ของตนไปตามนั้น โดยประสานงานกันเพื่อให้เราและสัตว์เหล่านั้นอยู่รอด บนโลกนี้จักรวาลนี้ เช่นกัน - โดยแต่ละอวัยวะก็มีหน้าที่ของตัวเองอย่างเป็นอิสระ แม้ว่าจะประสานกันและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกัน ผู้เขียนและนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งจึงคิดและเชื่อว่าสมองก็มีหน้าที่ที่เป็นอิสระเหมือนกับอวัยวะอื่นที่ยกมาเช่นเดียวกัน นั่นคือ สมองมีหน้าที่หลักในการบริหาร (carried out  order) จิตไร้สำนึกของจักรวาล ให้เป็นจิตสำนึกใหม่และใหม่ๆ ตลอดเวลาไปตามความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ส่วนคำถามที่บางคนอาจจะถามว่า “แล้วใครหรือสิ่งอะไรล่ะ? ที่เป็นผู้บัญชาให้จิตไร้สำนึกโดยรวมของจักรวาลเข้ามาอยู่ในสมองคนแต่ละคนเป็นปัจเจก แล้วสั่งให้สมองนั้นบริหารจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึก?” ศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาเต๋า อาจจะตอบว่า “มันก็เป็นเช่นนั้นของมันเอง” ซึ่งวิทยาศาสตร์ใหม่ของมาตาเรลลาจะบอกว่า มันคือระบบจัดองค์กรให้กับตนเอง (self-organizing system) แต่ศาสนาที่มีพระเจ้าทั้งหลายที่เชื่อตามความเคยชินของมนุษย์ว่า ถ้าไม่มีเหตุแล้วจะมีผลได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น จักรวาล โลกและทุกๆ อย่างจึงต้องมีผู้สร้างทั้งหมดนั้นขึ้นมา และผู้สร้างที่อยู่ข้างนอกการสรรค์สร้างนั้น ก็คือ พระเจ้านั่นเอง ดังนั้นสมองก็เป็นเช่นอวัยวะที่อยู่ในร่างกายทั้งหลาย นั่นคือ มันจะมีหน้าที่หลักเช่นเดียวกับหัวใจ ซึ่งมีหน้าที่ปั๊มเลือดไปเลี้ยงร่างกาย จิตไร้สำนึกจักรวาลจึงไม่ใช่สมองและไม่ใช่กาย แต่มาจากจักรวาลนอกรูปกายของตัวตนคนนั้นๆ ดังนั้นใคร่ขอบอกอีกครั้ง ไม่ว่าใครจะเชื่อเป็นตรงกันข้ามถ้าหากเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง และคิดอย่างมีเหตุผลบนหลักฐานของงานวิจัยแล้วไม่ใช่เชื่อแบบที่ไม่ฟังอะไร ทั้งไม่ยอมอ่านดูหลักฐานอะไรทั้งนั้น “ข้าจะเชื่อของข้าอย่างนี้ มีอะไรมั้ย? ถ้าพูดกันอย่างนั้นก็จนปัญญา จิตที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย เช่น จอห์น เอคเคิลส์ วิลลิส ฮาร์แมน จอร์จ วอลด์ ฯลฯ และแม้แต่นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงที่สุดของอังกฤษคนหนึ่ง เซอร์ คาร์ล ป๊อปเปอร์ ก็เชื่อว่าการวิจัยหลากหลายในปัจจุบัน ต่างล้วนแลัวแต่ชี้บ่งไปทางเดียวกัน นั่นคือ จิตไม่ใช่สมอง วิลเดอร์ เพ็นฟิลด์ ศัลยแพทย์สมองที่ฝีมือเยี่ยมที่สุดของแคนาดา ผู้ที่ทีแรกไม่เชื่อว่าจิตกับสมองแยกจากกันเป็นคนละเรื่องในทีแรก ดังที่ได้เคยเล่าไปแล้วที่นี่เมื่อวันก่อน วิลเดอร์ เพ็นฟีล์ดได้บอกกับจอร์จ วอลด์ - หลังจากเขาใช้เวลาผ่าตัดสมองผู้ป่วยจนแทบนับไม่ถ้วนเพื่อหาตำแหน่งของจิตในสมอง - ว่า “จะบอกอะไรให้ จิตมันไม่ได้อยู่ในสมองอย่างแน่นอน” แต่สมองมีความสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์  เพราะมันให้ตัวรู้ที่รู้ว่าฉันเป็นผู้ที่รู้นั้น

ทีนี้ลองหันไปดูเรื่องของความหมายบ้าง ความหมาย (meaning) ในที่นี้หมายความถึง “ความสำคัญของความหมายอันละเอียดที่สุดแสนละเอียดที่ซ่อนไว้จากสิ่งที่เรารู้ตามปกติ” จากที่กล่าวมานี้ ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่า สิ่งที่เรารู้ตามปกติจะต้องประกอบด้วย 3 อย่างคือ 1.เราต้องมีสติที่จะรับรู้ 2.การรู้ต่างๆ ของเรานั้นต้องอาศัยตัวรู้หรือจิตรู้หรือจิตสำนึก 3.แต่นี่เราไม่รู้ว่าสิ่งอันสำคัญนั้นคืออะไร? และเราไม่รู้ว่ามันมีความสำคัญอย่างไร? ที่เราสามารถจะทำได้คือ รอคอยให้สิ่งที่สุดแสนจะละเอียดนั้น-ออกมาจากที่ซ่อน เพื่อที่เราจะได้รู้ด้วยจิตรู้หรือจิตสำนึกปกติของเรา ถ้าหากมันไม่ออกมาจากที่ซ่อนและไม่มีทางที่จะให้มันออกมาได้ตามปกติธรรมดา เราก็ไม่มีทางรู้ ยกเว้น 2 กรณีอันไม่ปกติเลยคือ 1.เราเป็นผู้วิเศษ เป็นฤๅษี 2.เราอาจรู้ได้ด้วยจิตจักรวาลซึ่งเป็นจิตไร้สำนึก (unconsciousness continuum AS  consciousness) เช่น คนที่ตายไปแล้ว แต่ยังไม่เกิดใหม่ หรือ “ชีวิตระหว่างภพ” (Joel Whitton and  Joe Fisher : Life Between Life, 1986) แปลเป็นไทยโดยคุณอรทัย สำนักพิมพ์มติชน โดยตีพิมพ์ถึง 4  ครั้ง

ถ้าหากเราแปลคำว่าความหมาย (meaning) อย่างหนึ่งเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เดวิด โบห์ม นักควอนตัมฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ คนหนึ่งของโลก - เพื่อนต่างวัยกันของกฤษณามูรติ ปราชญ์แห่งพุทธศาสนาที่ตายไปไม่นานนัก ทั้ง 2 คน ก็เป็นไปได้ที่อาจจะถูก เพราะมันใกล้เคียงกับพุทธศาสนาในเรื่องที่มาของจักรวาล เดวิด โบห์ม บอกว่า จักรวาลเป็นองค์รวมที่เป็นทั้งหมด (wholeness) ซึ่งเป็นความจริงทางควอนตัมฟิสิกส์ โดยเดวิด โบห์ม บอกต่อไปว่าในรายละเอียดนั้น จักรวาลจะเคลื่อนตัวเองโดยการเคลื่อนที่เป็นวงจรอยู่ตลอดเวลา (holomovement) ด้วยลักษณะเหมือนกับหยดหมึกลงไปในถังน้ำเชื่อมที่เหนียวข้น ซึ่งเมื่อกวนน้ำที่เหนียวข้นนั้นไปทางหนึ่ง หยดหมึกนั้นจะละลายหายไปในน้ำเชื่อมนั้น แต่ถ้าเรากวนน้ำเชื่อมนั้นในทางกลับกัน หยดหมึกที่หายตัวไปโดยละลายในน้ำเชื่อมหรือ “เป็นองค์กรที่ซ่อนตัวเอง”  (enfold) อยู่ในน้ำเชื่อมนั้นก็จะโผล่ปรากฏออกมาเป็นหยดหมึกเหมือนเดิม คือเป็นเสมือน “องค์กรที่คลี่ออกมาจากที่เคยซ่อนตัวเองอยู่นั้น” (unfold หรือ implicate order ก็ได้) และหยดหมึกหรือองค์กรที่  “ซ่อนตนเอง” และ “คลี่ขยายตนเอง” (enfold and unfold) จะเคลื่อนตัวเองเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ แต่องค์กรที่จะแทนที่จะเป็นหยดหมึกที่อยูในน้ำเชื่อมที่ข้นเหนียวหนืดนั้นจะถูกแทนที่ด้วยสิ่ง 3 สิ่งที่จะกล่าวต่อไป  ซึ่งที่ว่าง อวกาศ (space) ของจักรวาลก็จะเป็นประหนึ่งน้ำเชื่อมที่ข้นนั้น ส่วน 3 สิ่งที่จะแทนหยดหมึกที่ค้างไว้นั้น หรือ 3 องค์กรคือ ความหมาย (meaning) ที่ผู้เขียนคิดว่าคือจิตไร้สำนึกนั้น หนึ่ง พลังงาน  (energy) หนึ่ง และสสารวัตถุ (matter) อีกหนึ่ง ทั้งหมดจะผลัดกันซ่อนเร้นตัวเองแล้วก็ผลัดกันคลี่ขยายตัวเองออกมาเรื่อยๆ

ที่ผู้เขียนพูดว่ามีความใกล้เคียงกับพุทธศาสนาก็เป็นดังได้อธิบายไว้ในคอลัมน์นี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  คือพุทธศาสนาในระยะแรกๆ บอกว่า ที่ว่างหรืออวกาศนั้นเป็นต้นตอที่กำเนิดของจิตไร้สำนึกก่อนจะมีจักรวาล หรือก่อนมีบิกแบ็งเสียอีก นั่นคือก่อนมีจักรวาลจะมีที่ว่างหรืออวกาศ จิตไร้สำนึกที่แยกออกจากกันไม่ได้กับพลังงานจะปรากฏขึ้นมาจากที่ว่าง อวกาศนั้น ตอนนี้ก็คล้ายๆ องค์กรซ่อนตัวเองที่คลี่ขยายออกมาจากองค์กรที่ซ่อนเร้นตนเอง (unfold ออกมาจากที่มันซ่อนเร้นตัวอยู่ enfold or implicate order)  ในที่ว่างอวกาศ - นั่นคือ ความหมายที่ผู้เขียนว่าคือจิตไร้สำนึกนั้น พอมีจักรวาลขึ้นมาแล้ว จิตไร้สำนึกก็เข้าไปอยู่ในทุกๆ ที่ว่าง (infiltrate and permeate) เรียกว่าจิตร่วมจักรวาลตามนักควอนตัมฟิสิกส์และเซอร์อาร์เธอร์ เอดดิงตัน บอก ซึ่งตรงกับที่ชวนจื่ออธิบายเต๋าไว้ ซึ่งองค์กรซ่อนตัวเองของโบห์มนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาขององค์การสหประชาชาติ (Erwin Laszlo) เรียกว่าควอนตัมสุญญากาศ (quant um vacuum) - ที่เดี๋ยวนี้พิสูจน์ได้ว่ามีจริง (Casimir’s effect) นั่นคือความว่างเปล่าที่เป็นความเต็มที่พุทธศาสนาบอก ที่ผิดไปก็ตรงที่พุทธศาสนาบอกว่าจิตปฐมภูมิแยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้หนึ่ง กับสสารวัตถุรุปกายที่แยกออกมาจากที่ว่างอวกาศ “หลัง” ที่มีจักรวาลแล้ว ซึ่งเดวิด โบห์ม  ไม่ได้บอกเช่นนั้นอีกหนึ่ง
ไม่ว่าจะเชื่อเดวิด โบห์ม ตามนักควอนตัมฟิสิกส์มีชื่อหลายคนเชื่อ หรือเชื่อในพุทธศาสนาเรื่องจักรวาลหรือไม่? แต่ผู้เขียนเชื่อ ความหมายไม่ใช่เรื่องของสมองแน่ๆ.


http://www.thaipost.net/sunday/101010/28515