ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 08:30:24 pm »




  善男子,當知虛空非是暫有,亦非暫無,況復如來圓覺隨順,而為虛空平等本性
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร พึงทราบเถิดว่าความว่างนั้นหาใช่เพิ่งมี ทั้งมิใช่เพิ่งปราศจาก แล้วจักประสา ใดกับตถาคตปูรณโพธิ ที่อนุโลมตามอากาศสมตามูลภาวะ คือภาวะเดิมของความว่างเปล่าที่เสมอ ภาค ๒ พระองค์ตรัสเรื่องวัฏฏะ คือความหมุนเวียนไป ทั้งด้านสังสารวัฏ และโลกุตรวัฏ ว่ามิต่างกันในแง่ของการไร้ทวิบัญญัติเรื่องสังสารวัฏ และพระนิรวาณ หากยังไม่รู้แจ้ง จิตจักยิ่งปรุงแต่งไปตามเวทนา ๓ คือการเสวยอารมณ์ ความรู้สึกของอารมณ์ คือ

๑)สุขเวทนา ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายหรือทางใจ
๒)ทุกขเวทนา ความรู้สึกทุกข์ ทางกายหรือทางใจ
๓)อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุข และไม่ทุกข์ เรียกอีกอย่างว่า อุเบกขาเวทนา

ซึ่งสภาวะแห่งสมปูรณโพธิ คือการปราศจากซึ่งบัญญัติทั้งปวง ๓ ประโยคนี้คือ เมื่อมายาที่ปกคลุมไว้ถูกกำจัดแล้ว ย่อมไม่มีการปรุงแต่งใดๆ อีก เช่นปรุงแต่งว่ามายายังอยู่ หรือมายาสิ้นไป หากยังมี บัญญัติว่าอยู่หรือสิ้นก็จักเป็นมายาทันที ในพระธรรมสูตรนี้ สอนเชิงปฏิเสธทวิบัญญัติ เพื่อละอุปาทานจิต หยั่งเห็นเอกภาพของ สังสารวัฏและพระนิรวาณ โดยอุปมาสิ่งอันปกคลุมเป็นมายา และอุปาทานเป็นอากาศบุปผา หรือดอกไม้ที่มีอยู่ในอากาศ

   
   善男子,如銷金礦,金非銷有,既巳成金,不重為礦,經無窮時,金性不壞,不應說言本非成就,如來圓覺,亦復如是

   。 ดูก่อนกุลบุตร ดุจการถลุงแร่ออกจากทองคำ อันทองก็หาต้องถลุงด้วยไม่ ก็เมื่อสำเร็จแต่ สุวรรณบริสุทธิ์แล้ว จึงมิต้องถลุงอีก เมื่อผ่านเพลาไปจิรกาล สภาวะแห่งทองนั้นก็หาได้เสื่อมไปไม่ อันมิพึงกล่าวว่ามูลภาวะมิได้สำเร็จมาก่อนแล้ว ตถาคตสมปูรณโพธิ ก็ดุจฉะนี้แล

   
   善男子,一切如來妙圓覺心本無菩提及與涅槃,亦無成佛及不成佛,無妄輪迴及非輪迴

   。 ดูก่อนกุลบุตร มูลภาวะเดิมของสมปูรณโพธิจิตอันประเสริฐของพระตถาคตทั้งปวงนั้น ไร้ซึ่ง โพธิแลนิรวาณ ทั้งไร้ซึ่งการสำเร็จพุทธะแลการมิสำเร็จพุทธะ ปราศจากซึ่งการลวงหลอกว่าสังสารจักรแลมิใช่สังสารจักร

   
   善男子,但諸聲聞所圓境界,身心語言皆悉斷滅,終不能至彼之親證,所現涅槃,何況能以有思惟心,測度如來圓覺境界,如取螢火燒須彌山終不能著,以輪迴心生輪迴見,入於如來大寂滅海,終不能至。是故我說一切菩薩及末世眾生,先斷無始輪迴根本

   。 ดูก่อนกุลบุตร แต่วิสัยของบรรดาสาวกนั้น มีกายจิตและวาจาที่ล้วนเป็นสมุทเฉท ที่สุดก็มิ อาจเข้าถึงวิสัยนั้นโดยใกล้ชิด อันที่สำแดงเป็นพระนิรวาณ แล้วจักประสาใดกับการสามารถมีจิต คิดจินตนา หยั่งวัดสมปูรณโพธิวิสัยของพระตถาคตได้อีกเล่า อุปมาดั่งการนำไฟของตัวหิ่งห้อยมา เผาผลาญสุเนรุบรรพต อันมิสามารถแม้นที่สุด เมื่อใช้จิตแห่งวัฏจักรจึงเกิดวัฏจักรทัศนะ เมื่อจัก เข้าสู่มหานิโรธสาครของพระตถาคต ที่สุดก็มิอาจเข้าถึง เหตุดั่งฉะนี้แล ตถาคตจึงกล่าวว่าโพธิสัตว์ และสรรพสัตว์ในอนาคตทั้งปวง พึงต้องปหานมูลฐานแห่งวัฏจักรอันหาจุดเริ่มมิได้เสียประการ แรก

   
   善男子,有作思惟從有心起,皆是六塵妄想緣氣,非實心體,已如空華,用此思惟辯於佛境,猶如空華復結空果,輾轉妄相,無有是處
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เมื่อมีการนึกคิดอันเกิดจากภวจิต ซึ่งล้วนคือความหมายรู้ที่ลวงหลอก ของสฬายตนะ หาใช่จิตสังขารที่จริงแท้ไม่ ดุจอากาศบุปผา เมื่อใช้การนึกคิดประการนี้ตรึกตรอง พุทธวิสัยแล้วไซร้ ย่อมดุจบุปผาแห่งความว่างเปล่าเกิดเป็นผลไม้แห่งความว่างเปล่า เป็นมุสา ลักษณะที่สับสน ซึ่งมิใช่ในสถานนี้

   
   善男子,虛妄浮心,多諸巧見,不能成就圓覺方便,如是分別,非為正問

   。 ดูก่อนกุลบุตร ก็มุสาจิตอันไร้สาระ แม้นจักมีอุปายทัศนะอยู่มากประการ ก็มิอาจสำเร็จซึ่ง สมปูรณโพธิอุปายะ ด้วยการจำแนกเช่นนี้ จึงมิใช่การปุจฉาที่ถูกต้อง.



   
   爾時世尊欲重宣此義,而說偈言
   : ในครั้งนั้น สมเด็จพระโลกนาถเจ้าทรงปรารถนาจักย้ำในอรรถนี้   
   จึงตรัสเป็นโศลกว่า...
   
   金剛藏當知,如來寂滅性
   。 วัชรครรภ์พึงทราบเถิด อันนิโรธสภาวะของตถาคต
   
   未曾有始終,若以輪迴心   
   。 มิเคยมีซึ่งการเริ่มต้นแลอวสาน หากใช้จิตแห่งวัฏจักร
   
   思惟即旋復,但至輪迴際   
   。 ตรึกคิดย่อมวกวน จนลุถึงวัฏจักรอาณา
   
   不能入佛海,譬如銷金礦   
   。 มิอาจเข้าสู่พุทธสาคร อุปมาการถลุงแร่จากทองคำ
   
   金非銷故有,雖復本來金   
   。 อันทองนั้นเล่าเมื่อมิได้ถลุงก็มีอยู่ แม้เป็นทองอันมีแต่เดิม
   
   終以銷成就,一成真金體   
   。 ที่สุดเมื่อถลุงแล้วจึงปรากฏ สำเร็จเป็นบริสุทธิสุวรรณ
   
   不復重為礦,生死與涅槃   
   。 อันมิต้องถลุงอีก ก็สังสารวัฏและนิรวาณ
   
   凡夫及諸佛,同為空華相   
   。 บุถุชนแลพุทธะทั้งปวง ล้วนคือลักษณะแห่งอากาศบุปผา


   思惟猶幻化,何況詰虛妄   
   。 การจินตนาก็อุปมามายาการ แล้วจักเกิดเป็นความโป้ปดอีกได้เช่นไร
   
   若能了此心,然後求圓覺   
   。 หากสามารถแจ้งซึ่งจิตนี้แล้วไซร้ จากนี้จงปรารถนาซึ่งสมปูรณโพธิเถิด.
   
                               จบวรรคที่ ๔






Credit by : http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=201.0
Pics by : Google

กราบขอบพระคุณ คุณ miracle of love ผู้นำมาแบ่งปัน..
   อนุโมทนาสาธุ.. ที่มาทั้งหมดมากมาย..


พุทธะบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
   ถวายอานิสงส์ใดๆที่พึงมี.. กราบบูชาพระคุณผู้มีพระคุณทุกๆท่านค่ะ...
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 06:37:48 pm »




พระมหาไวปุลยสมปูรณโพธิอรรถสูตร (วรรคที่ ๔)  

    大方廣圓覺修多羅了義經
    พระมหาไวปุลยสมปูรณโพธิอรรถสูตร    
    The Grand Sutra of Perfect Enlightenment       
    พระพุทธตาระมหาเถระ
   
    唐:佛陀多羅譯     
   ในสมัยราชวงศ์ถัง ประเทศจีน แปลจากสันสกฤตพากย์สู่จีนพากย์ ภิกษุจีนวิศวภัทร   
    (沙門聖傑)     
    แห่งวัดเทพพุทธาราม   
    (仙佛寺)   
    แปลจากจีนพากย์สู่ไทยพากย์ เมื่อพระพุทธายุกาลล่วงแล้ว ๒๕๕๐ ปี ๑๑ เดือน ๑๑ วัน



   於是金剛藏菩薩在大眾中,即從座起,頂禮佛足,右繞三匝,長跪叉手。而白佛言:大悲世尊,善為一切諸菩薩眾,宣揚如來圓覺清淨大陀羅尼,因地法行漸次方便,與諸眾生,開發蒙昧,在會法眾,承佛慈誨,幻翳朗然,慧目清淨
   
   。 ในเพลานั้น พระวัชรครรภ์โพธิสัตว์ก็ประทับร่วมอยู่ในมหาชน ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำ ศิราภิวาทเบื้องพระพุทธยุคลบาทด้วยเศียรเกล้า ประทักษิณาวัตรสามรอบ คุกเข่าประนมกรแล้ว ทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระมหากรุณาโลกนาถเจ้า เพื่อหมู่โพธิสัตว์ทั้งปวง ขอพระองค์ทรง แสดงซึ่งวิศุทธิสมปูรณโพธิมหาธารณี และอุปายะที่สืบไปเป็นลำดับของเหตุภูมิธรรมจริยา เพื่อ เปิดออกซึ่งสิ่งปิดกั้นของสรรพสัตว์ทั้งปวง เพื่อธรรมาชนที่ประชุมในสภาแห่งนี้ จักน้อมพระพุทโธวาท ยังตนให้แจ่มแจ้งเปิดออกซึ่งมายาที่ปกคลุม มีปัญญาจักษุที่บริสุทธิ์ด้วยเถิด

   
   世尊,若諸眾生本來成佛,何故復有一切無明,若諸無明眾生本有,何因緣故,如來復說本來成佛,十方眾生本成佛道,後起無明,一切如來,何時復生一切煩惱,惟願不捨無遮大慈,為諸菩薩開秘密藏,及為末世一切眾生,得聞如是修多羅教,了義法門,永斷疑悔。作是語已,五體投地,如是三請,終而復始
   
   ข้าแต่พระโลกนาถ หากหมู่สรรพสัตว์มีมูลภาวะที่สำเร็จพุทธะมาแล้ว ด้วยเหตุไรหนอจึงยัง มีอวิชชาทั้งปวงอยู่ ก็หากหมู่สรรพสัตว์ผู้มีอวิชชานั้นมีมูลภาวะ(แห่งพุทธะ)แล้วไซร้ ด้วยเหตุ ปัจจัยเช่นไร พระตถาคตยังตรัสว่ามีมูลภาวะที่สำเร็จพุทธะมาก่อนนั้นอีกเล่า อันสรรพสัตว์ใน ทศทิศล้วนมีมูลภาวะที่สำเร็จพุทธมรรคมาแล้ว แต่ภายหลังกลับมีอวิชชา ก็แลพระตถาคตเจ้าทั้ง ปวงนั้นเล่า กาลใดหนอที่จักเกิดกิเลสทั้งปวงขึ้นอีก ขอพระองค์อย่าเผิกเฉยซึ่งมหาเมตตา เปิด ออกซึ่งคุหยครรภ์ของโพธิสัตว์ทั้งปวง และเพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคต ผู้ได้สดับพระสูตรคำสอนนี้ จักเข้าใจแจ่มแจ้งในอรรถะ ยังวิจิกิจฉาให้สิ้นด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า เมื่อทูลเช่นนี้แล้วจึง กระทำเบญจางคประดิษฐ์ อยู่เช่นนี้สามคำรบ

   
   爾時世尊告金剛藏菩薩言:善哉善哉,善男子,汝等乃能為諸菩薩及末世眾生,問於如來甚深秘密究竟方便,是諸菩薩最上教誨,了義大乘,能使十方修學菩薩,及諸末世一切眾生,得決定信,永斷疑悔,汝今諦聽,當為汝說。時金剛藏菩薩奉教歡喜,及諸大眾默然而聽
   
   。 ในกาลบัดนั้นแล สมเด็จพระโลกนาถเจ้าตรัสกับพระวัชรครรภ์โพธิสัตว์ว่า สาธุๆ กุลบุตร พวกเธอสามารถปุจฉาซึ่งอุปายะที่คัมภีรภาพและคุหยภาพอันเป็นที่สุดของพระตถาคต เพื่อหมู่ โพธิสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคต นี้คือวิชยอนุศาสน์ที่ประเสริฐสุดของโพธิสัตว์ทั้งปวง อันเป็นอรรถะแห่งมหายาน สามารถยังให้โพธิสัตว์ผู้ศึกษาทั่วทศทิศ และสรรพสัตว์ทั้งหลายใน อนาคต ได้บรรลุถึงศรัทธาตั้งมั่น ยังวิจิกิจฉาให้ขาดสิ้นไป เธอพึงสดับเถิด ตถาคตจักกล่าวแก่เธอ ครั้งนั้น พระวัชรครรภ์โพธิสัตว์เมื่อรับสนองพระอนุศาสนีย์แล้วจึงปีติยินดี อยู่พร้อมกับบรรดา มหาชนที่ดุษณียภาพอยู่เพื่อคอยสดับพระเทศนา

   
   善男子,一切世界,始終生滅,前後有無,聚散起止,念念相續,循環往復,種種取捨,皆是輪迴,未出輪迴,而辯圓覺,彼圓覺性即同流轉,若免輪迴,無有是處,譬如動目,能搖湛水,又如定眼,由回轉火,雲駛月運,舟行岸移,亦復如是
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร โลกธาตุทั้งปวง อันมีการเริ่มต้นแลการอวสาน การเกิดแลการดับ เบื้อง ก่อนแลเบื้องหลัง ความมีแลความไร้ ความประชุมกันแลความแตกออก ความเจริญขึ้นแลความ ระงับนั้น ย่อมสันตติสืบเนื่องกันอยู่ทุกขณะแห่งจิต สลับหมุนเวียนไปมา ๑ เป็นอุปาทานแล อุเบกขาต่างๆ อันล้วนเป็นวัฏจักร เมื่อยังมิออกจากวัฏจักร จึงมีการโต้อภิปรายอยู่ซึ่งสมปูรณโพธิ อันสมปูรณโพธิภาวะ คือสภาวะรู้แจ้งที่สมบูรณ์รอบนั้น ก็จักไหลเวียนอยู่ดุจกัน หากมิเวียนเป็นวัฏจักรแล้ว ย่อมมิใช่การณ์นี้ อุปมานัยเนตรที่แส่ส่าย ยังน้ำนิ่งให้กระเพื่อม ฤๅดั่งจักษุที่จับจ้อง ยังให้ เปลี่ยนเป็นอัคคี ดั่งว่าเมฆาขับเคลื่อนจันทราให้โคจร ให้นาวาชนเห็นฟากฝั่งว่าเคลื่อนไป ฉะนี้แล ๑ การสลับเปลี่ยนหมุนเวียน คือไตรลักษณ์ ตามใดที่ยังไม่พ้นจากวัฏฏะ จิตย่อมเกิดดับหมุนเวียนเรื่อยไป แม้นสมปูรณโพธิ คือการการรู้แจ้งที่สมบูรณ์รอบ อันพ้นจากการกล่าวอภิปรายหรือบัญญัติด้วยวาจาก็ยังถูกนำมาบัญญัติ จึงทำให้สมปูรณโพธิ ต้องไหลเวียนเปลี่ยนผัน อยู่เช่นเดียวกับสังสารวัฏ

   
   善男子,諸旋未息,彼物先住,尚不可得,何況輪轉生死垢心,曾未清淨,觀佛圓覺而不旋復,是故汝等,便生三惑
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เมื่อการเวียนผันทั้งหลายยังมิยุติ สิ่งนั้นอันมีอยู่แต่เดิม ย่อมมิอาจเข้าถึง แล้ว จักประสาใดกับจิตมลทินแห่งสังสารวัฏที่มิเคยบริสุทธิ์ เมื่อจักพิจารณาพุทธสมปูรณโพธิด้วยความ มิเวียนผันแล้วไซร้ เหตุนี้เธอทั้งหลาย จักยิ่งเกิดเวทนาสาม

 
   善男子,譬如幻翳,妄見空華,幻翳若除,不可說言此翳已滅,何時更起一切諸翳。何以故,翳華二法,非相待故,亦如空華滅於空時,不可說言虛空何時更起空華。何以故,空本無華,非起滅故,生死涅槃,同於起滅,妙覺圓照,離於華翳

   。 ดูก่อนกุลบุตร ดั่งมายาที่ปกคลุมไว้ ให้หลงทัศนาบุปผาในอากาศ ก็แลเมื่อมายาที่ปก คลุมไว้ถูกกำจัด ก็ยังมิอาจกล่าวว่าสิ่งอันปกคลุมนี้ได้ดับลงแล้ว แล้วกาลใดเล่าที่จะเกิดสิ่งอันปกคลุมทั้งปวงอีก ด้วยเหตุไฉนฤๅ เพราะธรรมสองประการคือสิ่งอันปกคลุมและ(อากาศ)บุปผานั้น หาใช่ลักษณะอันกระทำต่อกัน ก็ประดุจอากาศบุปผาที่ดับลงในกาลแห่งความว่าง จึงมิอาจกล่าวว่า ความว่างนั้นจักเกิดอากาศบุปผาอีกเมื่อใด ด้วยเหตุไฉนฤๅ เพราะเดิมศูนยตาภาวะปราศจากซึ่ง บุปผา แลมิได้เกิดขึ้นหรือดับไป ชาติมรณะและพระนิรวาณ ล้วนแต่เกิดขึ้นและดับไปพร้อมกัน ความรู้แจ้งรอบทั่วอันประเสริฐนั้น ห่างไกลจากบุปผาและสิ่งอันปกคลุม
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 05:23:29 pm »




   . 爾時世尊欲重宣此義,而說偈言   
   : ในครั้งนั้น สมเด็จพระโลกนาถเจ้าทรงปรารถนาจักย้ำในอรรถนี้ จึงตรัสเป็นโศลกว่า
   
   ... 普眼汝當知,一切諸眾生   
   。 สมันตเนตรเธอพึงทราบเถิด อันสรรพสัตว์ทั้งปวง
   
   身心皆如幻,身相屬四大   
   。 กายแลจิตล้วนดุจมายา กายลักษณะก็เป็นเครื่องเกี่ยวอยู่ด้วยมหาภูติสี่
   
   心性歸六塵,四大體各離   
   。 จิตภาวะก็สงเคราะห์ที่สฬายตนะ สังขารวิภาคได้เป็นมหาภูติสี่
   
   誰為和合者,如是漸修行   
   。 ผู้ใดกันเล่าที่ประกอบมีขึ้น พึงบำเพ็ญจริยาเป็นลำดับเช่นนี้
   
   一切悉清淨,不動遍法界   
   。 สรรพสิ่งทั้งมวลจักวิศุทธิ์ อจลาและพร้อมในธรรมธาตุ
   
   無作止任滅,亦無能證者   
   。 ไร้ผู้กระทำ ผู้ยุติ ผู้ตั้งอยู่ ผู้ดับไป ทั้งไร้ผู้สามารถบรรลุ
   
   一切佛世界,猶如虛空華   
   。 พุทธโลกธาตุทั้งหลาย อุปมาอากาศบุปผา
   
   三世悉平等,畢竟無來去   
   。 ตรีกาลล้วนสมตา ที่สุดแล้วปราศจากซึ่งการมาแลการไป
   
   初發心菩薩,及末世眾生   
   。 ผู้เริ่มบังเกิดจิตโพธิสัตว์ และสรรพสัตว์ในโลกอนาคต
   
   欲求入佛道,應如是修習
      。 เมื่อปรารถนาเข้าสู่พุทธมรรคแล้วไซร้ พึงปฏิบัติบำเพ็ญเช่นนี้เถิด.
   
                                                 จบวรรคที่ ๓



ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 04:58:16 pm »



   善男子,虛空如是平等不動,當知覺性平等不動,四大不動故,當知覺性平等不動,如是乃至八萬四千陀羅尼門平等不動,當知覺性平等不動
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร อันอากาศมีความสมตาและอจลา๑๑อยู่เช่นนี้ เธอพึงทราบเถิดว่า โพธิภาวะ ก็สมตาและอจลาด้วย เพราะเหตุที่มหาภูติรูปสี่นั้นก็อจลา เธอพึงทราบเถิดว่า โพธิภาวะก็สมตา และอจลาเช่นกัน เยี่ยงนี้ไปจนถึงธารณีทวารจำนวนแปดหมื่นสี่พันที่สมตาและอจลา อันพึงทราบ เถิดว่า โพธิภาวะก็สมตาและอจลา ฉะนี้แล
   
   善男子,覺性圓滿清淨不動圓無際故,當知六根遍滿法界,根遍滿故,當知六塵遍滿法界。塵遍滿故,當知四大遍滿法界,如是乃至陀羅尼門遍滿法界
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่โพธิภาวะนั้นบริบูรณ์ วิศุทธิ อจลาอยู่โดยรอบอันไร้ขอบเขต เช่นนั้นพึงทราบเถิดว่า อินทรีย์ทั้งหกก็มีเต็มอยู่ในธรรมธาตุ เพราะเหตุที่อินทรีย์มีอยู่เต็มเปี่ยม เธอพึงทราบเถิดว่าสฬายตนะก็มีเต็มอยู่ในธรรมธาตุ และเหตุที่มีสฬายตนะอยู่เต็มเปี่ยม ก็จง ทราบเถิดว่ามหาภูติสี่ก็มีเต็มอยู่ในธรรมธาตุ เช่นนี้เรื่อยไปจนถึงธารณีทวาร(ธรรมขันธ์)ที่มีอยู่ ทั่วไปในธรรมธาตุ
   
   善男子,由彼妙覺性遍滿故,根性塵性無壞無雜,根塵無壞故,如是乃至陀羅尼門無壞無雜,如百千燈光照一室,其光遍滿無壞無雜
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่โพธิภาวะอันประเสริฐมีเต็มอยู่ ภาวะแห่งอินทรีย์ สฬายตนะจึง มิเสื่อมสลายและสุทธิ ก็เพราะด้วยอินทรีย์และสฬายตนะมิเสื่อมเป็นเหตุ เรื่อยไปจนถึงธารณีทวาร ที่มิเสื่อมสลายและสุทธิ ประดุจโอภาสแห่งประทีปร้อยพันดวงที่สว่างอยู่ในห้องเดียว ก็อันรัศมีนั้น แลจักสว่างอยู่ทั่วไปมิเสื่อมสลายและสุทธิ ๑๑ สมตา คือ ความเสมอเท่าเทียมกัน ไม่สูงหรือต่ำกว่ากัน ไม่ดีหรือชั่วกว่ากัน และอจลา คือ ความไม่หวั่นคลอน หวั่นไหว คงสภาวะ เดิมอยู่เป็นนิตย์
   
   善男子,覺成就故,當知菩薩不與法縛,不求法脫,不厭生死,不愛涅槃,不敬持戒,不憎毀禁,不重久習,不輕初學。何以故,一切覺故,譬如眼光曉了前境,其光圓滿,得無憎愛。何以故,光體無二,無憎愛故
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่สำเร็จซึ่งโพธิ พึงทราบเถิดว่าโพธิสัตว์มิข้องด้วยธรรมพันธะ คือมิถูกผูกมัดไว้ด้วยธรรม แลมิปรารถนาหลุดพ้นจากธรรม มิเบื่อหน่ายสังสารวัฏ มิรักใคร่พระ นิรวาณ มิสำรวมศีลสมาทาน มิรังเกียจการละเมิดพรต มิคารวะอาวุโส มิดูเบาผู้เริ่มศึกษา ด้วย เหตุไฉนนั่นฤๅ เพราะความรู้แจ้งทั้งปวงนั้น อุปมาทัศนบถที่ประจักษย์ ังวิสัยเบื้องหน้า อันปรากฏ อย่างแจ่มชัดสมบูรณ์ บรรลุถึงความมิรังเกียจแลรักใคร่ ด้วยเหตุไฉนนั่นฤๅ เพราะภาพสังขารที่ ปรากฏนั้นมิเป็นสอง ปราศจากซึ่งความเกลียดและความรัก
   
   善男子,此菩薩及末世眾生,修習此心得成就者,於此無修亦無成就,圓覺普照,寂滅無二,於中百千萬億阿僧祇不可說恒河沙諸佛世界,猶如空華,亂起亂滅,不即不離,無縛無脫,始知眾生本來成佛,生死涅槃,猶如昨夢
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร โพธิสัตว์และสรรพสัตว์ในอนาคตนี้ เมื่อประพฤติบำเพ็ญซึ่งจิตประการนี้ ย่อมบรรลุซึ่งสิทธิ ด้วย(จิต)ประการนี้ปราศจากการบำเพ็ญแลปราศจากการสำเร็จ รู้แจ้งชัดรอบ ทั่วอยู่ มีความดับสนิทมิเป็นสอง ในพุทธเกษตรโลกธาตุจำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิอสงไขยอันมิอาจ กล่าวประมาณ(อุปมา)ทรายแห่งคงคานที ก็อุปมาดั่งอากาศบุปผา ที่เกิดขึ้นด้วยความผันผวนและ ดับไปด้วยความผันผวน อันมิใช่ที่นี้และมิใช่ห่างไกล มิถูกพันผูกและมิหลุดพ้น จึงทราบว่าแต่เดิม นั้นสรรพสัตว์ได้บรรลุพุทธะมาแล้ว อันชาติมรณะ และพระนิรวาณนั้นเล่า ก็อุปมาด้วยความฝัน
   
   善男子,如昨夢故,當知生死及與涅槃,無起無滅,無來無去,其所證者,無得無失,無取無捨,其能證者,無作無止,無任無滅,於此證中,無能無所,畢竟無證,亦無證者,一切法性平等不壞
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เพราะดั่งด้วยความฝัน จึงพึงทราบเถิดว่า สังสารวัฏและพระนิรวาณ มิได้ เกิดขึ้นแลมิได้ดับไป มิได้มาแลมิได้ไป อันผู้ได้ถึงแล้ว ย่อมมิบรรลุแลมิเสื่อมไป มิมั่นไว้แลมิ เพิกเฉย อันผู้สามารถถึงแล้ว ย่อมปราศจากการกระทำแลปราศจากการยุติ ปราศจากการตั้งอยู่แล ปราศจากการดับไป อันการบรรลุนี้ มิอาจเข้าถึงแลมิอาจตั้งอยู่ ที่สุดนั้นแล้วก็หาได้บรรลุไม่ ก็แล อันการมิได้บรรลุนั้น คือภาวะแห่งสรรพธรรมที่สมตาและมิเสื่อมสลาย
   
   善男子,彼諸菩薩如是修行,如是漸次,如是思惟,如是住持,如是方便,如是開悟,求如是法,亦不迷悶
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร โพธิสัตว์เหล่านั้นจงบำเพ็ญจริยาเช่นนี้ เป็นลำดับอยู่เช่นนี้ จินตนาอยู่เช่นนี้ ธำรงอยู่เช่นนี้ มีอุปายะเช่นนี้ รู้ชัดเช่นนี้ ปรารถนาธรรมเช่นนี้ ด้วยมิลุ่มหลงขัดข้องด้วยประการ เช่นนี้เถิด
   
   爾時世尊欲重宣此義,而說偈言
   : ในครั้งนั้น สมเด็จพระโลกนาถเจ้าทรงปรารถนาจักย้ำในอรรถนี้ จึงตรัสเป็นโศลกว่า
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 04:19:14 pm »




   善男子,一切實相性清淨故,一身清淨,一身清淨故,多身清淨,多身清淨故,如是乃至十方眾生圓覺清淨
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่ภาวะแห่งสัตยลักษณะทั้งปวงบริสุทธิ์ เอกกายจึงบริสุทธิ์ เพราะ เหตุที่กายเดียวบริสุทธิ์ พหุกายจึงบริสุทธิ์ ก็แลเมื่อหลายกายบริสุทธิ์ เช่นนี้ต่อไปจนถึงสรรพสัตว์ ในทศทิศจึงมีสมปูรณโพธิที่บริสุทธิ์ ๓ อายตนะ ๑๒ หรือ ทฺวาทศยตนานิ คือ อายตนะภายในและภายนอก มี ตาและรูป หูและเสียง จมูกและกลิ่น ลิ้นและรส กายและ สัมผัส ใจและธรรมารมณ์ ๔ ธาตุ ๑๘ คือ

อษฺฏาทศ ธาตว: คือสิ่งที่ทรงสภาวะของตนเองอยู่ ตามที่เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เป็นไปตามนิยามคือกำหนดแห่ง ธรรมดา ไม่มีผู้สร้างผู้บันดาล และมีรูปลักษณะกิจอาการเป็นแบบจำเพาะตัว อันพึงกำหนดเอาเป็นหลักได้แต่ละอย่าง ๆ มี ๑.จักษุธาตุ ๒.รูปธาตุ ๓.จักขุวิญญาณธาตุ ๔.โสตธาตุ ๕.สัททธาตุ ๖.โสตวิญญาณธาตุ ๗.ฆานธาตุ ๘.คันธธาตุ ๙.ฆานวิญญาณธาตุ ๑๐.ชิวหาธาตุ ๑๑.รสธาตุ ๑๒.ชิวหาวิญญาณธาตุ ๑๓.กายธาตุ ๑๔.โผฏฐัพพธาตุ ๑๕.กายวิญญาณธาตุ ๑๖.มโนธาตุ ๑๗.ธรรมธาตุ ๑๘.มโนวิญญาณ ธาตุ

๕ การแบ่งภพ ๓ เป็นภพย่อยๆ คือ

๑)กามภพ มี ๑๔ ภพย่อย คืออบายภูมิ ๔ ทวีป ๔ กามวจรเทวภูมิ ๖
๒)รูปภพมี ๗ ภพ คือจตุถ ฌานพรหมทั้ง ๔ มหาพรหมภพ ๑ สุทธาวาสภูมิ ๑และอวิหาภูมิ ๑
๓)อรูปภพ มี ๔ ภพ คืออรูปพรหมทั้ง ๔

๖ กำลังของพระพุทธเจ้า ๑๐ ประการ มี

๑)ฐานาฐานญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ
๒)กรรมวิปากญาณพละ ปรีชา กำหนดรู้ผลแห่งกรรม
๓)นานาธิมุตติญารพละ ปรีชากำหนดรู้อัธยาศัยต่างๆของสัตว์ทั้งหลาย
๔)นานาธาตุญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ ธาตุต่างๆ
๕)อินทริยปโรปริยัตตญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ความหย่อนและยิ่งแห่งอินทรีย์ ๕ ของสรรพสัตว์

๖)สัพพัตถคามินี ปฏิปทาญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ทางไปสู่ภูมิทั้งปวงของสรรพสัตว์
๗)ฌานาทิสังกิเลสาญาณพละ ปรีชากำหนดรู้อาการมีความเศร้า หมองแห่งธรรมมีฌานเป็นต้น
๘)ปุพเพนิวาสานุสสติญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ระลึกชาติหนหลังได้
๙)จุตูปปาตญาณพละ ปรีชา กำหนดรู้การจุติและการเกิดของสรรพสัตว์
๑๐)อาสวักขยญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ในการทำอาสวะให้สิ้นไป

๗ คือพระปรีชาญาณ อันทำให้พระพุทธเจ้าทรงมีความแกล้วกล้าไม่ครั่นคร้าม ด้วยไม่ทรงเห็นว่าจะมีใครท้วงพระองค์ได้โดยชอบธรรมใน ฐานะทั้ง ๔ มี

๑)ประกาศความเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ
๒)ประกาศธรรมที่ทำให้สิ้นอาสวะ
๓)ประกาศธรรมที่เป็นอันตราย
๔)ประกาศ ธรรมที่เป็นประโยชน์ในการหลุดพ้นจากทุกข์

๘ คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาแห่งทีฆนิกาย จำแนกพุทธธรรมว่ามี ๑๘ อย่าง คือ

๑. พระตถาคตไม่ทรงมีกายทุจริต
๒.ไม่ทรงมีวจี ทุจริต
๓.ไม่ทรงมีมโนทุจริต
๔.ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดในอดีต
๕.ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดในอนาคต

๖.ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดใน ปัจจุบัน
๗.ทรงมีกายกรรมทุกอย่างเป็นไปตามพระญาณ
๘.ทรงมีวจีกรรมทุกอย่างเป็นไปตามพระญาณ
๙.ทรงมีมโนกรรมทุกอย่าง เป็นไปตามพระญาณ
๑๐.ไม่มีความเสื่อมฉันทะ (ฉันทะไม่ลดถอย)

๑๑.ไม่มีความเสื่อมวิริยะ (ความเพียรไม่ลดถอย)
๑๒.ไม่มีความ เสื่อมสติ (สติไม่ลดถอย)
๑๓.ไม่มีการเล่น
๑๔.ไม่มีการพูดพลาด
๑๕.ไม่มีการทำพลาด

๑๖.ไม่มีความผลุนผลัน
๑๗.ไม่มีพระทัยที่ไม่ ขวนขวาย
๑๘.ไม่มีอกุศลจิต

๙ โพธิปักขิยธรรม คือ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ หมายถึงธรรมที่ทำให้ปุถุชนหลุดพ้นจากกิเลสเป็นพระอริยบุคคล เป็นธรรม หมู่ซึ่งเป็นปัจจัยเกี่ยวเนื่องแก่กัน มี ๓๗ ประการ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ ซึ่งทั้งหมดเป็นธรรมแก่นสารของพุทธศาสนา เรียกอีกอย่างว่า อริยัปปเวทิตธรรม คือ ธรรมที่พระอริยะ คือพระชินพุทธะทรง ประกาศสั่งสอนไว้แล้ว ๑๐ หมายถึงพระธรรม ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์

   
   善男子,一世界清淨故,多世界清淨,多世界清淨故,如是乃至盡於虛空,圓裹三世,一切平等清淨不動   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่เอกโลกธาตุบริสุทธิ์ พหุโลกธาตุจึงบริสุทธิ์ ก็เหตุที่พหุโลกธาตุ บริสุทธิ์ เช่นนี้เรื่อยไปสิ้นทั้งอากาศ ตลอดทั่วตรีกาล สรรพสิ่งทั้งปวงจึงสมตาและบริสุทธิ์เสมอกัน มิได้สั่นคลอน
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 03:17:10 pm »


พระมหาไวปุลยสมปูรณโพธิอรรถสูตร (วรรคที่ ๓)  

    大方廣圓覺修多羅了義經
    พระมหาไวปุลยสมปูรณโพธิอรรถสูตร    
    The Grand Sutra of Perfect Enlightenment       
    พระพุทธตาระมหาเถระ
   
    唐:佛陀多羅譯     
   ในสมัยราชวงศ์ถัง ประเทศจีน แปลจากสันสกฤตพากย์สู่จีนพากย์ ภิกษุจีนวิศวภัทร   
    (沙門聖傑)     
    แห่งวัดเทพพุทธาราม   
    (仙佛寺)   
    แปลจากจีนพากย์สู่ไทยพากย์ เมื่อพระพุทธายุกาลล่วงแล้ว ๒๕๕๐ ปี ๑๑ เดือน ๑๑ วัน



      於是普眼菩薩在大眾中,即從座起,頂禮佛足,右繞三匝,長跪叉手而白佛言:大悲世尊,願為此會諸菩薩眾,及為末世一切眾生,演說菩薩修行漸次,云何思惟,云何住持,眾生未悟,作何方便普令開悟
   
   ในเพลานั้น พระสมันตเนตรโพธิสัตว์ก็ประทับร่วมอยู่ในมหาชน ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำศิราภิวาทเบื้องพระพุทธยุคลบาทด้วยเศียรเกล้า ประทักษิณาวัตรสามรอบ คุกเข่าประนม กรแล้วทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระมหากรุณาโลกนาถเจ้า เพื่อเหล่าโพธิสัตว์ในสภาแห่งนี้และ สรรพสัตว์ในอนาคต โปรดตรัสแสดงซึ่งการบำเพ็ญอันสืบไปเป็นลำดับของโพธิสัตว์ ว่าเช่นไรคือ จินตนา เช่นไรคือการทรงไว้ สรรพสัตว์ผู้ยังมิรู้ตื่น จักกระทำด้วยอุปายะเช่นไรถึงจักยังให้รู้ตื่น

   
   世尊 若彼眾生無正方便,及正思惟,聞佛如來說此三昧,心生迷悶,即於圓覺不能悟入,願與慈悲,為我等輩及末世眾生,假說方便。作是語已,五體投地,如是三請,終而復始
   
   。 ข้าแต่พระโลกนาถ หากสรรพสัตว์เหล่านั้นปราศจากซึ่งอุปายะและจินตนาที่ถูกต้อง เมื่อ ได้สดับพระพุทธตถาคตเจ้าตรัสถึงสมาธิประการนี้ ในจิตย่อมเกิดความฉงนสนเท่ห์ มิอาจเข้าสู่สม ปูรณโพธิ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายและบรรดาสรรพสัตว์ในอนาคต ขอพระองค์ทรงเมตตากรุณา แกล้งตรัสแสดงซึ่งอุปายะด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า ๑ เมื่อทูลเช่นนี้แล้วจึงกระทำเบญจางคประดิษฐ์ อยู่เช่นนี้สามคำรบ
   
   
   爾時,世尊告普眼菩薩言:善哉善哉,善男子,汝等乃能為諸菩薩及末世眾生,問於如來修行漸次,思惟住持,乃至假說種種方便,汝今諦聽,當為汝說。時普眼菩薩奉教歡喜,及諸大眾默然而聽
   
   。 ๑ ในประโยคนี้พระสมันตเนตร ทูลให้พระพุทธองค์แกล้งตรัส เพราะในวรรคที่ ๒ พระองค์ได้ตรัสกับพระสมันตภัทรถึงเรื่องมายาต่างๆ ไว้ว่ามิต้องใช้อุปายะใดๆ ในการรู้แจ้ง ดังนั้น ในวรรคที่ ๓ พระสมันตเนตรจึงทูลให้ตรัสถึงอุปายะอีก เพื่อประโยชน์ของสัตว์ผู้ไม่มี ปัญญาและความเห็นถูก โดยใช้คำว่าแกล้งตรัส หรือแสร้งตรัสให้เป็นมายา
   
   ในกาลบัดนั้นแล สมเด็จพระโลกนาถเจ้าตรัสกับพระสมันตเนตรโพธิสัตว์ว่า สาธุๆ กุลบุตร พวกเธอสามารถเอ่ยปุจฉาถึงการบำเพ็ญจริยาอันเป็นลำดับของพระตถาคต การจินตนา แลการทรงไว้ ตราบถึงการแกล้งกล่าวด้วยนานาอุปายะ เธอพึงสดับเถิด ตถาคตจักกล่าวแก่เธอ ครั้งนั้นพระสมันตเนตรโพธิสัตว์เมื่อรับสนองพระอนุศาสนีย์แล้วจึงปีติยินดี อยู่พร้อมกับบรรดา มหาชนที่ดุษณียภาพอยู่เพื่อคอยสดับพระเทศนา

   
   善男子,彼新學菩薩,及末世眾生,欲求如來淨圓覺心,應當正念遠離諸幻,先依如來奢摩他行,堅持禁戒,安處徒眾,宴坐靜室,恒作是念,我今此身,四大和合,所謂髮毛爪齒,皮肉筋骨,髓腦垢色,皆歸於地,唾涕膿血,津液涎沫,痰淚精氣,大小便利,皆歸於水,暖氣歸火,動轉當風,四大各離,今者妄身,當在何處,即知此身,畢竟無體,和合為相,實同幻化,四緣假合,妄有六根,六根四大,中外合成,妄有緣氣,於中積聚,似有緣相,假名為心
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร อันโพธิสัตว์ผู้เพิ่งศึกษาและสรรพสัตว์ในอนาคตนั้น เมื่อปรารถนาตถาคต ศุทธิสมปูรณโพธิจิตแล้วไซร้ พึงมีสัมมาสติตั้งไว้ชอบ ห่างไกลจากมายาทั้งปวง ต้องดำเนินตาม สมถจริยา ธำรงมั่นในศีลสังวร อาศัยในหมู่สัทธาวิหาริก แล้วนั่งพักในเรือนสงบ พึงมีมนสิการเป็น นิตย์เช่นนี้ว่า “อันกายเรานี้ มีมหาภูติรูปสี่ประกอบขึ้นมี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก สมองอันมีรูปลักษณะหยาบแข็ง ล้วนกลับสู่ปฐวีธาตุ อันว่าเขฬะ น้ำตา หนอง เลือด เสลด อันมีลักษณะเอิบอาบ กรีส มูตร ล้วนกลับสู่อาโปธาตุ ความอุ่นร้อนกลับสู่เตโชธาตุ อาการผัดผันคือวาโยธาตุ เมื่อแยกมหาภูติรูปสี่จากกัน แล้วกายอันลวงหลอกนี้ จักตั้งอยู่ที่แห่งใด อินทรีย์หก มหาภูติรูปสี่ ทั้งภายในและภายนอกเมื่อประกอบกันสำเร็จขึ้น จึงลวงว่ามีปัจจัยประชุม กันอยู่” ก็ด้วยเพราะมีปัจจัยลักษณะเช่นนี้แล จึงชื่อสมมุติชื่อว่า จิต

   
   善男子,此虛妄心,若無六塵,則不能有,四大分解,無塵可得,於中緣塵,各歸散滅,畢竟無有緣心可見
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร อันมุสาจิตนี้แล หากปราศจากซึ่งสฬายตนะแล้วไซร้ ย่อมมิอาจเกิดมีขึ้น ก็ เมื่อจำแนกซึ่งมหาภูติสี่ ย่อมจักบรรลุถึงความปราศจากสฬายตนะ อันปัจจัยแห่งสฬายตนะนั่นแล จักย้อนกลับแตกดับไป จนถึงที่สุดก็ปราศจากซึ่งปัจจัยแห่งจิตให้พบเห็นอีก

   
   善男子,彼之眾生幻身滅故,幻心亦滅,幻心滅故,幻塵亦滅,幻塵滅故,幻滅亦滅,幻滅滅故,非幻不滅,譬如磨鏡,垢盡明現
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่กายนั้นอันเป็นมายาของสรรพสัตว์ดับลง มายาจิตจึงดับลงด้วย เพราะเหตุที่จิตอันเป็นมายาดับลง มายาสฬายตนะจึงดับด้วย เพราะเหตุที่สฬายตนะอันเป็นมายา ดับ ความดับของมายาจึงดับลงด้วย ก็เหตุเมื่อความดับของมายาดับสิ้นลง สิ่งอันมิใช่มายาจึงมิดับ อุปมาการขัดถูกระจก เมื่อสิ้นมลทินความใสจึงปรากฏ

   
   善男子,當知身心,皆為幻垢,垢相永滅,十方清淨   
   。 ดูก่อนกุลบุตร พึงทราบเถิดว่ากายแลจิต ล้วนแปดเปื้อนด้วยมายา ก็แลเมื่อมลทินลักษณะ ดับสิ้น ทศทิศจึงบริสุทธิ์

   
   善男譬如清淨摩尼寶珠,映於五色,隨方各現,諸愚癡者,見彼摩尼,實有五色   
   。 ดูก่อนกุลบุตร ครุวนาแก้วมณีบริสุทธิ์ ที่ประกายแสงเบญจรงค์ปรากฏในด้านต่างๆ บรรดาโมหบุรุษ ย่อมจักทัศนาแก้วมณีนั้นว่ามีห้าสีอย่างแท้จริง

   
   善男子,圓覺淨性,現於身心,隨類各應,彼愚癡者,說淨圓覺,實有如是身心自相,亦復如是,由此不能遠於幻化,是故我說身心幻垢,對離幻垢,說名菩薩,垢盡對除,即無對垢及說名者
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร อันวิศุทธิสมปูรณโพธิภาวะ ย่อมปรากฏที่กายแลจิต ตามแต่ประเภทที่ เหมาะควร ก็โมหบุรุษนั้น แม้นจักกล่าวซึ่งวิศุทธิสมปูรณโพธิก็ตาม แต่โดยแท้แล้วก็ยังมีลักษณะ แห่งกายและจิตของตนอยู่เช่นนี้ ก็อีกทั้งเช่นนี้แล เป็นเหตุให้มิอาจไกลจากสิ่งมายา ด้วยเหตุนี้ ตถาคตจึงกล่าวว่ากายและจิตเป็นมลทินแห่งมายา เมื่อไกลจากความแปดเปื้อนของมายาแล้วไซร้ จึ่งได้ชื่อว่า โพธิสัตว์ เมื่อมลทินสิ้นและสิ่งอันสัมผัสถูกกำจัดแล้ว ย่อมปราศจากสิ่งอันแปดเปื้อน และไร้ซึ่งผู้ที่ได้ชื่อ(ว่าโพธิสัตว์)นั้นด้วย

   
   善男子,此菩薩及末世眾生,證得諸幻滅影像故,爾時便得無方清淨,無邊虛空覺所顯發,覺圓明故,顯心清淨,心清淨故,見塵清淨,見清淨故,眼根清淨,根清淨故,眼識清淨,識清淨故,聞塵清淨,聞清淨故,耳根清
   淨,根清淨故,耳識清淨,識清淨故,覺塵清淨,如是乃至鼻舌身意,亦復如是
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร โพธิสัตว์และสรรพสัตว์ในอนาคตกาลนี้ ด้วยเหตุที่บรรลุถึงความดับแห่ง มายาและรูปนิมิตที่ปรากฏทั้งปวง ในเพลานั้นจักได้บรรลุถึงความบริสุทธิ์มิอาจประมาณ รู้แจ้งชัด ทั่วไปในอนันตอากาศ ด้วยเหตุที่มีปัญญารู้แจ้งรอบทั่วเช่นนี้ ดวงจิตจึงแจ่มใสบริสุทธิ์ เมื่อดวงจิต บริสุทธิ์เป็นเหตุ อายตนะคือตาจึงบริสุทธิ์ เหตุที่เครื่องรับรู้คือตาบริสุทธิ์ อินทรีย์คือจักษุจึงบริสุทธิ์ เหตุที่การ เห็นบริสุทธิ์ จักษุวิญญาณจึงบริสุทธิ์ เมื่อความรู้ทางตาบริสุทธิ์เป็นเหตุ อายตนะคือหูจึงบริสุทธิ์ เหตุที่เครื่องรับรู้คือหูบริสุทธิ์ อินทรีย์คือโสตจึงบริสุทธิ์ เหตุที่การได้ ยินบริสุทธิ์ โสตวิญญาณจึงบริสุทธิ์ เมื่อความรู้ทางหูบริสุทธิ์เป็นเหตุ๒ ความรู้แจ้งจึงบริสุทธิ์ เช่นนี้ เรื่อยไปจนถึงอายตนะคือจมูก ลิ้น กายและใจ ก็เป็นฉะนี้แล

   
   善男子,根清淨故,色塵清淨,色清淨故,聲塵清淨,香味觸法,亦復如是   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เมื่ออินทรีย์คือตาบริสุทธิ์เป็นเหตุ รูปจึงบริสุทธิ์ เมื่อรูปบริสุทธิ์เป็นเหตุ เสียงจึงบริสุทธิ์ อันกลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์ ก็เป็นฉะนี้

   
   善男子,六塵清淨故,地大清淨,地清淨故,水大清淨,火大風大,亦復如是   
   。 ดูก่อนกุลบุตร ด้วยเหตุที่สฬายตนะบริสุทธิ์ ปฐวีธาตุจึงบริสุทธิ์ เหตุที่ปฐวีธาตุบริสุทธิ์ อาโปธาตุจึงบริสุทธิ์ อันเตโชธาตุและวาโยธาตุ ก็เป็นฉะนี้

   
   善男子,四大清淨故,十二處十八界,二十五有清淨,彼清淨故,十力,四無所畏,四無礙智,佛十八不共法,三十七助道品清淨,如是乃至八萬四千陀羅尼門,一切清淨
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร เมื่อมหาภูติรูปสี่บริสุทธิ์เป็นเหตุให้ อายตนะสิบสอง๓ ธาตุสิบแปด๔ ภพ ยี่สิบห้า ๕ ล้วนแต่บริสุทธิ์ เพราะเหตุที่สิ่งเหล่านั้นบริสุทธิ์ ทศพละ ๖ เวสารัชชะ ๗ อาเวณิกพุทธ ๒ ธรรม ๓ ประการของสฬายตนะ(อายตนะ ๖) ที่ว่าคือ อินทรีย์ วิสัย วิญญาณ ความหมายคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คืออินทรีย์ ได้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้โผฏฐัพพะ ได้ธรรมารมณ์ คือวิสัย จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ คือวิญญาณ กล่าวอีกแบบหนึ่งคือ เพราะด้วยอาศัย ตา ด้วย รูป ทั้งหลายด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณ การประจวบแห่งธรรม ๓ ประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ และหากเกิดความรู้สึกขึ้นเมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า เวทนา  ธรรม๘โพธิปักขิยธรรมสามสิบเจ็ดประการ๙จึงบริสุทธิ์ เช่นนี้ไปจนถึงธารณีทวารทั้งแปดหมื่นสี่ พัน ๑๐ก็ล้วนแต่บริสุทธิ์ทั้งสิ้น



ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 10:46:41 pm »

 :13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม^^
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 12:35:09 pm »



  พระมหาไวปุลยสมปูรณโพธิอรรถสูตร (วรรคที่ ๒)
   

   大方廣圓覺修多羅了義經
  พระมหาไวปุลยสมปูรณโพธิอรรถสูตร 
   The Grand Sutra of Perfect Enlightenment    
   วรรคที่ ๒


   
   於是普賢菩薩在大眾中,即從座起,頂禮佛足,右繞三匝,長跪叉手而白佛言:大悲世尊,願為此會諸菩薩眾,及為末世一切眾生,修大乘者,聞此圓覺清淨境界,云何修行   
   。 ในเพลานั้น พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ก็ประทับร่วมอยู่ในมหาชน ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำศิราภิวาทเบื้องพระพุทธยุคลบาทด้วยเศียรเกล้า ประทักษิณาวัตรสามรอบ คุกเข่าประนมกรแล้วทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระมหากรุณาโลกนาถเจ้า เพื่อเหล่าโพธิสัตว์ในสภาแห่งนี้และ สรรพสัตว์ในอนาคต ผู้ประพฤติซึ่งมหายานจริยา เมื่อได้สดับซึ่งวิศุทธิสมปูรณโพธิวิสัยนี้แล้ว พึง กระทำจริยาด้วยประการเช่นไรหนอ

   
   世尊,若彼眾生知如幻者,身心亦幻,云何以幻還修於幻,若諸幻性一切盡滅,則無有心,誰為修行,云何復說修行如幻。若諸眾生,本不修行,於生死中常居幻化,曾不了知如幻境界,令妄想心云何解脫,願為末世一切眾生,作何方便漸次修習,令諸眾生永離諸幻。作是語已,五體投地,如是三請,終而復始   
   。ข้าแต่พระโลกนาถ หากสรรพสัตว์นั้นได้รู้ว่าประดุจการมายา กายแลจิตก็ดุจมายา แล้วจัก ใช้มายาบำเพ็ญซึ่งมายาด้วยประการเช่นไร หากบรรดามายาภาวะอันคือสิ่งทั้งปวงดับสิ้นลง ย่อม ปราศจากจิต แล้วใครเล่าเป็นผู้บำเพ็ญจริยา เช่นไรหนอจึงยังกล่าวว่าการบำเพ็ญจริยาเป็นดั่งมายา หากสรรพสัตว์ทั้งปวง มีมูลฐานที่มิบำเพ็ญจริยา ในท่ามกลางชาติแลมรณะนี้จึงมีมายาเป็นเครื่อง อยู่โดยเนืองนิตย์ อันมิเคยล่วงรู้ว่าคือมายาวิสัย ยังให้เกิดจิตตสัญญาลวงหลอก แล้วจักถึงแก่ พระวิมุตติได้อย่างไร เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคต ขอพระองค์โปรดประทานอุปายะในการ ประพฤติบำเพ็ญโดยลำดับ ยังให้เหล่าสรรพสัตว์ได้ไกลห่างจากมายาทั้งปวงด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า เมื่อทูลเช่นนี้แล้วจึงกระทำเบญจางคประดิษฐ์ อยู่เช่นนี้สามคำรบ


   爾時世尊告普賢菩薩言:善哉善哉,善男子,汝等乃能為諸菩薩及末世眾生,修習菩薩如幻三昧,方便漸次,令 諸眾生得離諸幻,汝今諦聽,當為汝說。時普賢菩薩奉教歡喜,及諸大眾默然而聽。   
   ในกาลบัดนั้นแล สมเด็จพระโลกนาถเจ้าตรัสกับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ว่า สาธุๆ กุลบุตร พวกเธอสามารถยังให้บรรดาโพธิสัตว์ และสรรพสัตว์ในอนาคต ประพฤติบำเพ็ญซึ่งโพธิสัตต์มายา สมาธิ มีอุปายะสืบไปเป็นลำดับ ยังให้หมู่สรรพสัตว์ไกลจากมายาทั้งปวง เธอพึงสดับเถิด ตถาคต จักกล่าวแก่เธอ ครั้งนั้นพระสมันตภัทรโพธิสัตว์เมื่อรับสนองพระอนุศาสนีย์แล้วจึงปีติยินดี อยู่ พร้อมกับบรรดามหาชนที่ดุษณียภาพอยู่เพื่อคอยสดับพระเทศนา

     
   善男子,一切眾生,種種幻化,皆生如來圓覺妙心,猶如空華,從空而有,幻華雖滅,空性不壞,眾生幻心,還依幻滅,諸幻盡滅,覺心不動,依幻說覺,亦名為幻,若說有覺,猶未離幻,說無覺者,亦復如是,是故幻滅,名為不動
      。 ดูก่อนกุลบุตร สรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบด้วยการมายานานัปการ ซึ่งล้วนอุบัติแต่ตถาคต สมปูรณโพธิจิต อุปมาอากาศบุปผา ที่อาศัยอากาศจึงเกิดมี ก็อันมายาบุปผาแม้นจักดับ แต่อากาศ ภาวะมิได้เสื่อมสูญ มายาจิตของสรรพสัตว์ ยังอาศัยการดับไปของมายา สรรพมายาแม้นดับจนสิ้น พุทธิจิตก็มิได้สั่นคลอน ด้วยอาศัยมายากล่าวแสดงความรู้แจ้ง จึงได้ชื่อว่ามายา หากกล่าวว่ารู้แจ้ง จึงดั่งว่ายังมิไกลจากมายา แม้นกล่าวว่ามิรู้แจ้ง ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ เหตุฉะนี้แลเมื่อมายาดับ จึงได้ชื่อว่ามิหวั่นไหว

   
   善男子,一切菩薩,及末世眾生,應當遠離一切幻化虛妄境界,由堅執持遠離心故,心如幻者,亦復遠離,遠離為幻,亦復遠離,離遠離幻,亦復遠離,得無所離,即除諸幻,譬如鑽火,兩木相因,火出木盡,灰飛煙滅,以幻修幻,亦復如是,諸幻雖盡,不入斷滅   
   。 ดูก่อนกุลบุตร โพธิสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งปวงในอนาคต พึงนิราศห่างไกล1 จากมายาวิสัย อันลวงหลอกทั้งปวง ก็เพราะการยึดมั่นในนิราศจิตเป็นเหตุ จิตจึงดุจมายา ทั้งยังห่างไกลอันความ ห่างไกลนั่นแลก็คือมายา ทั้งยังห่างไกลก็อันความห่างไกลนั่นแลที่ห่างจากมายา ทั้งยังห่างไกล แล้วจึงบรรลุถึงความมิห่าง จึงกำจัดมายาทั้งปวง ครุวนาไฟที่เกิดจากการสีของไม้ เมื่อไฟปรากฏ ไม้จึงสิ้น เมื่อเถ้าฟุ้งควันจึงสูญ ใช้มายาบำเพ็ญมายา ก็ดุจฉะนี้ แม้นสรรพมายาจักสิ้นแล้วแต่ยังมิ เข้าสู่สมุทเฉทนิโรธ 1 ห่างไกล หรือไกลจากกิเลส ในพระสูตรนี้ สันสกฤตว่า หรฺมิต

   
   善男子,知幻即離不作方便,離幻即覺,亦無漸次,一切菩薩及末世眾生,依此修行,如是乃能永離諸幻,   
   ดูก่อนกุลบุตร เมื่อรู้มายาจึงไกลห่าง(จากมายา) มิต้องกระทำอุปายะใด เมื่อไกลมายาจึงรู้ แจ้ง ทั้งมิต้องสืบไปเป็นลำดับ บรรดาโพธิสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งปวงในอนาคต ด้วยอาศัยการ บำเพ็ญจริยาเช่นนี้ จึงสามารถไกลจากสรรพมายาเป็นนิตย์ ด้วยประการฉะนี้.
   
   爾時世尊欲重宣此義,而說偈言:   
   ในครั้งนั้น สมเด็จพระโลกนาถเจ้าทรงปรารถนาจักย้ำในอรรถนี้ จึงตรัสเป็นโศลกว่า...
   
   普賢汝當知,一切諸眾生
   。 สมันตภัทรเธอพึงทราบเถิด อันสรรพสัตว์ทั้งปวง
   
   無始幻無明,皆從諸如來   
   。 มายาแลอวิชชาอันหาจุดเริ่มมิได้ ล้วนเกิดแต่พระตถาคตทั้งปวง
   
   圓覺心建立,猶如虛空華   
   。 อันมีสมปูรณจิตตั้งขึ้น อุปมาอากาศบุปผา
   
   依空而有相,空華若復滅   
   。 เพราะอาศัยความว่างจึงมีลักษณะ ศูนยตาบุปผาจึงดับไป
   
   虛空本不動,幻從諸覺生   
   。 อากาศมีมูลเดิมมิหวั่นไหว มายาก็กำเนิดจากความรู้แจ้งทั้งปวง

 幻滅覺圓滿,心不動故   
   。 มายาดับโพธิยังสมบูรณ์ เหตุเพราะพุทธิจิตนั้นอจลา
   
   若彼諸菩薩,及末世眾生   
   。 หากหมู่โพธิสัตว์เหล่านั้น และสรรพสัตว์ในอนาคต
   
   常應遠離幻,諸幻悉皆離   
   。 จักพึงไกลจากมายา เมื่อปวงมายาล้วนไกลห่าง
   
   如木中生火,木盡火還滅   
   。 ดุจไม้กำเนิดไฟ เมื่อไม้สิ้นไฟย่อมดับ
   
   覺則無漸次,方便亦如是   
   。 ความรู้แจ้งมิต้องเป็นลำดับ อุปายะก็เช่นนี้แล.

   
   จบวรรคที่ ๒
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 09:51:24 am »


ให้แทงตลอดซึ่งอวิชชา ล่วงรู้ว่าดุจอากาศบุปผา
(ต่อค่ะ)
   

   即能免流轉,又如夢中人   
  。จึงสามารถระงับซึ่งวัฏฏะ อีกประดุจบุคคลในความฝัน

               
   醒時不可得,覺者如虛空   
   。เมื่อตื่นคืนย่อมมิอาจเข้าถึง ผู้รู้แจ้งนั้นเล่าก็ดุจอากาศ

   
   平等不動轉,覺遍十方界
   。มีความสมภาพมิผันแปร รู้แจ้งทั่วทศทิศโลกธาตุ

   
   即得成佛道,眾幻滅無處   
   。 จึงบรรลุซึ่งพุทธมรรค บรรดามายาดับโดยไร้สถาน

   
   成道亦無得,本性圓滿故
   。 อันการสำเร็จมรรคก็หาได้บรรลุถึงไม่ เหตุที่มูลภาวะบริบูรณ์อยู่เดิม

   
   菩薩於此中,能發菩提心
   。 โพธิสัตว์ผู้ดำรง(ซึ่งธรรมนี้) จึงสามารถบังเกิดโพธิจิต

   
   末世諸眾生,修此免邪見
   。 บรรดาสรรพสัตว์ในอนาคต เมื่อประพฤติ(ธรรมนี้)ย่อมระงับซึ่งมิจฉาทัศนแล.



จบวรรคที่ ๑


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 08:43:51 am »




พระมหาไวปุลยสมปูรณโพธิอรรถสูตร


พระมหาไวปุลยสมปูรณโพธิอรรถสูตร (วรรคที่ ๑)  
ข้อมูลจาก : www.mahaparamita.com 1

    大方廣圓覺修多羅了義經
    พระมหาไวปุลยสมปูรณโพธิอรรถสูตร    
    The Grand Sutra of Perfect Enlightenment       
    พระพุทธตาระมหาเถระ     

    唐:佛陀多羅譯     
   ในสมัยราชวงศ์ถัง ประเทศจีน แปลจากสันสกฤตพากย์สู่จีนพากย์ ภิกษุจีนวิศวภัทร   
    (沙門聖傑)     
    แห่งวัดเทพพุทธาราม
   
    (仙佛寺)   
    แปลจากจีนพากย์สู่ไทยพากย์ เมื่อพระพุทธายุกาลล่วงแล้ว ๒๕๕๐ ปี ๑๑ เดือน ๑๑ วัน
   

    如是我聞,一時婆伽婆,入於神通大光明藏,三昧正受,一切如來光嚴住持,是諸眾生,清淨覺地,身心寂滅平等本際,圓滿十方,不二隨順,於不二境,現諸淨土,與大菩薩摩訶薩十萬人俱,其名曰,文殊師利菩薩,普賢菩薩,普眼菩薩,金剛藏菩薩,彌勒菩薩,清淨慧菩薩,威德自在菩薩,辯音菩薩,淨諸業障菩薩,普覺菩薩,圓覺菩薩,賢善首菩薩等而為上首與諸眷屬,皆入三昧,同住如來平等法會
   
   。ดั่งที่ข้าพเจ้าได้สดับมา สมัยหนึ่งสมเด็จพระภควันต์ ทรงเข้าอภิญญามหาญาณครรภ์ อัน เป็นสมาธิตั้งอยู่โดยชอบ เป็นประการที่พระตถาคตเจ้าทั้งปวงทรงธำรงอยู่ มีบรรดาสรรพสัตว์ผู้ บริสุทธิ์บรรลุถึงโพธิภูมิ มีกายแลจิตที่ดับรอบและมีสมตาเป็นมูลฐาน สมบูรณ์ทั่วในทิศทั้งสิบ มิ คล้อยตามทวิบัญญัติ และมิตั้งอยู่ในทวิภาวะ ปรากฏอยู่ในวิศุทธิเกษตรทั้งปวง อันเป็นพระ โพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งแสน อันมีนามว่า มัญชุศรีโพธิสัตว์๑ สมันตภัทรโพธิสัตว์๑ สมันตเนตรโพธิสัตว์๑ วัชรครรภ์โพธิสัตว์๑ เมตไตรยโพธิสัตว์๑ วิศุทธิชญานโพธิสัตว์๑ เตชศวร โพธิสัตว์๑ ปรติภาณสวรโพธิสัตว์๑ ศุทธิสรวกรรมวิปากโพธิสัตว์๑ สมันตพุทธิโพธิสัตว์๑ สมปูรณ โพธิโพธิสัตว์๑ สุภัทรกูฏโพธิสัตว์๑ อันเป็นผู้นำพร้อมด้วยบริษัททั้งปวง ซึ่งล้วนแต่เข้าสมาธิ แล้ว ตั้งอยู่ในตถาคตสมตาธรรมสภา

   
   於是文殊師利菩薩在大眾中,即從座起,頂禮佛足,右繞三匝,長跪叉手而白佛言:大悲世尊,願為此會諸來法眾,說於如來本起清淨,因地法行,及說菩薩於大乘中發清淨心,遠離諸病,能使未來末世眾生求大乘者,不墮邪見。作是語已,五體投他,如是三請,終而復始
   
   。ในเพลานั้น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ก็ประทับร่วมอยู่ในมหาชน ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำ ศิราภิวาทเบื้องพระพุทธยุคลบาทด้วยเศียรเกล้า ประทักษิณาวัตรสามรอบ คุกเข่าประนมกรแล้ว
   
   ทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระมหากรุณาโลกนาถเจ้า เพื่อเหล่าธรรมนิกรทั้งปวงที่ได้มาร่วมอยู่ใน สภาแห่งนี้ ขอพระองค์ทรงแสดงมูลเหตุอันบริสุทธิ์ของพระตถาคตคือเหตุภูมิธรรมจริยา และ โปรดตรัสซึ่งการประกาศวิศุทธิจิตของโพธิสัตว์ผู้ดำรงในมหายาน อันห่างไกลจากสิ่งเสียดแทงทั้ง ปวง สามารถยังให้สรรพสัตว์ในอนาคตผู้ปรารถนามหายาน มิตกสู่มิจฉาทัศนะด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า เมื่อทูลเช่นนี้แล้วจึงกระทำเบญจางคประดิษฐ์ อยู่เช่นนี้สามคำรบ

   
   爾時世尊告文殊師利菩薩言:善哉善哉,善男子,汝等乃能為諸菩薩,諮詢如來因地法行,及為末世一切眾生求大乘者,得正住持,不墮邪見,汝今諦聽,當為汝說。時文殊師利菩薩奉教歡喜,及諸大眾默然而聽
   
   。ในกาลบัดนั้นแล สมเด็จพระโลกนาถเจ้าตรัสกับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า สาธุๆ กุลบุตร พวกเธอสามารถสากัจฉาซึ่งเหตุภูมิแห่งธรรมจริยาของพระตถาคตเพื่อโพธิสัตว์ทั้งหลาย และเพื่อ หมู่สรรพสัตว์ในอนาคตผู้ปรารถนามหายาน ให้ได้บรรลุถึงความตั้งมั่น มิตกสู่มิจฉาทัศนะ เธอพึง สดับเถิด ตถาคตจักกล่าวแก่เธอ ครั้งนั้นพระมัญชุศรีโพธิสัตว์เมื่อรับสนองพระอนุศาสนีย์แล้วจึง ปีติยินดี อยู่พร้อมกับบรรดามหาชนที่ดุษณียภาพอยู่เพื่อคอยสดับพระเทศนา

   
   善男子,無上法王,有大陀羅尼門,名為圓覺,流出一切清淨真如,菩提涅槃及波羅密,教授菩薩,一切如來本起因地,皆依圓照清淨覺相,永斷無明,方成佛道,云何無明
   
   。ดูก่อนกุลบุตร พระอนุตรธรรมราชา มีมหาธารณีทวารนามว่า สมปูรณโพธิ อันเป็นที่ หลั่งไหลซึ่งวิศุทธิตถตา พระโพธิ พระนิรวาณ และปารมิตาทั้งปวง เพื่อสั่งสอนโพธิสัตว์ และคือ ปฐมเหตุภูมิของพระตถาคตทั้งปวง ที่ล้วนต้องอาศัยเพื่อยังโพธิลักษณะให้บริสุทธิ์โดยรอบ เพื่อยัง อวิชชาให้ขาดสิ้นแล้วบรรลุพระพุทธมรรค ก็อวิชชานั้นเล่าเป็นไฉน

   
   善男子,一切眾生從無始來,種種顛倒,猶如迷人,四方易處,妄認四大為自身相,六塵緣影為自心相,譬彼病目,見空中華及第二月
   
   。ดูก่อนกุลบุตร บรรดาสรรพสัตว์นับแต่กาลอันหาจุดเริ่มต้นมิได้นั้น วิปลาสเห็นผิดเป็น ชอบ ดุจผู้ถูกลวงหลอกให้ลุ่มหลงไปในทิศทั้งสี่แต่โดยง่าย 1 โดยลวงให้ยึดเอามหาภูติรูปสี่ว่าเป็น กายตน และสฬายตนะ2เป็นปัจจัยให้เกิดภาพเห็นเป็นจิตตน อุปมาบุคคลผู้จักษุเป็นโรค เห็นบุปผาในอากาศ3 และจันทราดวงที่สอง

   
   善男子,空實無華,病者妄執,由妄執故,非唯惑此虛空自性,亦復迷彼實華生處,由此妄有輪轉生死,故名無明
   
   。 ดูก่อนกุลบุตร ที่แท้ในนภากาศปราศจากซึ่งบุปผา แต่เหตุเพราะผู้ป่วยนั้นอุปาทานมั่นเอา เอง จึงมิเพียงรู้สึกว่าอากาศคือภาวะแห่งตน ซ้ำยังหลงไปว่านั้นเป็นที่อุบัติแห่งบุปผชาติอย่าง แท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงลวงหลอกว่ามีสังสารวัฏชาติมรณะ เหตุฉะนี้แลจึงชื่อว่า อวิชชา

   
   善男子,此無明者,非實有體,如夢中人,夢時非無,及至於醒,了無所得。如眾空華,滅於虛空,不可說言有定滅處,何以故,無生處故。一切眾生於無生中,妄見生滅,是故說名輪轉生死
   
   。ดูก่อนกุลบุตร อันอวิชชาบุรุษนี้แล ที่แท้ก็หามีสังขารไม่ ดุจบุคคลผู้อยู่ในความฝัน ที่เพลา ฝันย่อมมีอยู่ ตราบเมื่อตื่นขึ้นจึงรู้ว่ามิใช่ความจริง ดุจบุปผาทั้งปวงในความว่าง ที่สิ้นไปในอากาศ นั้นแล อันมิอาจกล่าวกำหนดไปว่าดับสิ้นที่แห่งใด ด้วยเหตุไฉนนั่นหรือ ก็เหตุเพราะมิได้มีสถานที่ กำเนิดขึ้น สรรพสัตว์ทั้งปวงก็อาศัยความมิได้กำเนิดนี้ ลวงให้เห็นว่าเกิดดับ ฉะนี้แลจึงชื่อว่า สังสารวัฏชาติมรณะ

   
   善男子,如來因地修圓覺者,知是空華,即無輪轉,亦無身心受彼生死,非作故無,本性無故,彼知覺者,猶如虛空,知虛空者,即空華相,亦不可說無知覺性,有無俱遣,是則名為淨覺隨順,何以故,虛空性故,常不動故,如來藏中無起滅故,無知見故,如法界性,究竟圓滿遍十
   
   1 หมายถึง จตฺวาโร วิปรฺยาสา คือความเห็นคลาดเคลื่อน ๔ ประการ มี ๑.นิตย วิปัลลาส คือ สัญญาวิปัลลาส จิตตวิปัลลาส ทิฏฐิวิปัล ลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๒.สุข วิปัลลาส คือ สัญญาวิปัลลาส ฯลฯ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข ๓.ศุจิ วิปัลลาส คือ สัญญาวิปัลาส ฯลฯ ใน สิ่งที่ไม่งามว่างาม ๔.อาตม วิปัลลาส คือ สัญญาวิปัลลาส ฯลฯ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน
   
   2 หมายถึง อายตนะภายนอก ๖ มี ๑)รูป ๒)เสียง ๓)กลิ่น ๔)รส ๕)สัมผัส หรือโผฏฐัพพะ ๖)ธรรมารมณ์
   
   3 ขปุษฺป คือ ดอกฟ้า , ดอกไม้ในอากาศ

   
   方故,是則名為因地法行。菩薩因此於大乘中,發清淨心,末世眾生,依此修行,不墮邪見,   
   ดูก่อนกุลบุตร เพราะตถาคตมีเหตุภูมิที่บำเพ็ญซึ่งสมปูรณโพธิ จึงรู้ว่าคืออากาศบุปผา จึง ปราศจากสังสารวัฏ ทั้งปราศจากซึ่งกายและจิตผู้เสวยชาติและมรณะ เพราะมิได้กระทำจึงหามีไม่ เหตุที่รู้ว่ามูลภาวะนั้นหามีไม่ จึงได้รู้แจ้ง อุปมาอากาศนั่นแล ที่บุคคลผู้รู้อากาศ ว่าเป็นลักษณะ ของอากาศบุปผา ทั้งมิอาจกล่าวว่าปราศจากผู้รู้โพธิภาวะ แลไร้บุคคลผู้มีตนส่งไป จึงชื่อว่า อนุโลมตามความรู้แจ้งที่บริสุทธิ์ ด้วยประการฉะนี้.

   
    爾時世尊欲重宣此義,而說偈言:
   ในครั้งนั้น สมเด็จพระโลกนาถเจ้าทรงปรารถนาจักย้ำในอรรถนี้ จึงตรัสเป็นโศลกว่า...

   
    文殊汝當知,一切諸如來。   
   มัญชุศรีเธอพึงทราบเถิด อันพระตถาคตทั้งปวง

   
    從於本因地,皆以智慧覺。
   จากภูมิคือมูลเหตุนี้ไป ล้วนอาศัยโพธิปัญญาญาณ

   
    了達於無明,知彼如空華,
   ให้แทงตลอดซึ่งอวิชชา ล่วงรู้ว่าดุจอากาศบุปผา

   
     即能免流轉,又如夢中人,
   ให้แทงตลอดซึ่งอวิชชา ล่วงรู้ว่าดุจอากาศบุปผา