คำถามสามข้อ
พระจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง บริหารบ้านเมืองอย่างเต็มพระปรีชาสามารถ
แต่พระองค์ก็รู้สึกว่าตัวเองงานผิดพลาดอยู่บ่อยๆ....
พระองค์ตระหนักว่า หากทรงรู้คำตอบปัญหา 3 ประการ ดังต่อไปนี้แล้ว
จะทำให้พระองค์ทรงทำอะไร ไม่ผิดพลาดเลย คำถาม 3 ประการนี้คือ
1. เวลาไหนที่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง
2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย
3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา
พระจักรพรรดิสั่งให้ประกาศว่าใครก็ตามที่สามารถจะตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้
จะได้รับรางวัลมหาศาล ปัญหาข้อที่ 1 มีผู้ตอบแตกต่างกัน....
คนที่ 1 แนะนำให้พระจักรพรรดิทำราตางเวลาที่แน่นอน
สำหรับภารกิจแต่ละอย่าง ทุกๆชั่วโมง ทุกๆวัน ทุกๆ ปี
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถทำกิจได้ถูกต้องตามกาลที่เหมาะสม....
คนที่ 2 บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะวางแผนล่วงหน้าเช่นนั้น
แล้วแนะนำว่าพระจักรพรรดิควรจะเลิกความสนุกสนานไร้สาระทั้งหมด
แล้วเอาใจใส่ต่อกิจกรรมต่างๆ โดยพระองค์เองทุกอย่าง
จึงจะทราบได้ว่าเวลาไหนเหมาะสมที่จะทำอะไร....
คนที่ 3 ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระจักรพรรดิหวังจะเลือกเวลาทำกิจ ต่างๆ
ที่อยู่ในอำนาจความรับผิดชอบได้เหมาะสมทุกอย่าง....
สิ่งที่จำเป็น ก็คือต้องมี "สภาแห่งคนฉลาด" และทำตามคำแนะนำของสภานั้น
แต่ก็มีคนแย้งว่าสิ่งต่างๆ จำเป็นต้องตัดสินใจทันที ไม่อาจรอการปรึกษาได้
ฉะนั้นหากต้องการจะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรเกิดขึ้น....
พระจักรพรรดิ์ควรจะปรึกษาผู้วิเศษและหมอเวทมนต์
ปัญหาข้อที่สองคำตอบก็แตกต่างกันออกไป
คนที่ 1 เสนอว่าพระจักรพรรดิจะต้องไว้วางในคณะขุนนางข้าราชการ อย่างเต็มที่
คนที่ 2 บอกว่า ต้องไว้วางใจพระและนักบวช
คนที่ 3 เสนอนักวิทยาศาสตร์ แถมยังมีบางคนเสนอให้ไว้วางใจต่อนักรบ
คำตอบต่อคำถามที่สามก็ต่างกันไปเช่นกัน
คนที่ 1 บอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่จะต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา
คนที่ 2 ว่าต้องเรื่องศาสนาต่างหาก
คนที่ 3 ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะการทำสงคราม
พระจักรพรรดิ์ไม่พอพระทัย คำตอบไหนเลย จึงตัดสินพระทัยไปหาฤาษีตนหนึ่ง
ผู้อาศัยอยู่บนเขา ซึ่งตรัสรู้เห็นแจ้ง....
ทั้งๆ ที่รู้ว่าฤาษีนั้นจะต้อนรับเฉพาะคนยากจน เท่านั้น ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวย
หรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ จึงต้องปลอมตัว เป็นชาวนา
และสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา โดยที่ทรงไต่เนินเขา
ขึ้นไปพบฤาษีตามลำพัง
พอมาถึงที่อยู่ของ "ผู้รู้" ที่ว่านั้น....
ทรงพบว่าฤาษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อม
เมื่อฤาษีเห็นผู้แปลกหน้าก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป....
เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนักเพราะฤาษีนั้นชรามากแล้ว
แต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมาท่านจะต้องหอบแรงๆ.. ทุกครั้งไป
พระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า
"ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน
ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3 ข้อของผม คือ
1. เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง
2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย
3. อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา
ฤาษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่
่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่จักรพรรดิเบาๆ และก็ขุดดินต่อไป
จักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ"....
ฤาษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้จักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้น
หลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง จักรพรรดิก็หยุด
และหันมาถามหัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง....
ฤาษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบ
และบอกว่า "หยุดพักได้แล้วละ....ฉันทำต่อไปได้แล้ว"....
แต่จักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไป
ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขา
จักรพรรดิทรงวางจอบลง และหันมาตรัสกับฤาษีว่า
"ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผม
หากท่านไม่สามารถตอบได้โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม"
ฤาษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า
"เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า" จักรพรรดิหันไปทอดพระเนตร
ทันใดนั้นทั้งสองก็เห็น ชาย มีเคราขาวคนหนึ่งเตลิด
ออกมามือทั้งสองกุมบาดแผล โชกเลือดที่ท้อง
เขาวิ่งตรงมายังจักรพรรดิก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไป....
ตรงหน้า พอเปิดเสื้อผ้าออกทั้งจัรกรพรรดิ
และฤาษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น....
จักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผล
แล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้ เพียงประเดี๋ยวเดียว....
เสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุด
จักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผล อีกเป็นครั้งที่สอง
และทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งเลือดหยุดไหล....
เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ
จักรพรรดิรีบไปที่ลำธารตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่ง
ขณะนั้น ดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว
และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว....
ฤาษีช่วยจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อม
และให้นอนบนเตียงของตนชายนั้นปิดตาลงและนอนหลับไป
จักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกัน....
ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีน เขาและการขุดดินทั้งวัน
และมาตื่นบรรทมขึ้นเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า....
แล้วจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่าพระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหน
และมาทำอะไร ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที...
และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมาองมายังตนอย่างฉงนฉงาย
พอเห็นจัรกรพรรดิ์ ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
"ได้โปรดประทานอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วย"
"แต่เธอทำผิดอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย" จักรพรรดิตรัสถามกลับ
"ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี
พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้
และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด ข้าพระองค์จึงถือว่าท่านคือศัตรูคู่อาฆาต
ข้าปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้
เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤาษีตามลำพัง
ข้าพระองค์จึงตั้งไจที่จะดักฆ่าท่าน เสียตอนท่านเสด็จกลับ....
แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหา
แต่แทนที่จะพบท่านข้าพระองค์กลับไปเจอะเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้า
พวกนั้นจำข้าพระองค์ได้และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บ
แต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่
ถ้าไม่ได้พบท่านป่านนี้ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว
ข้าพระองค์ละอายใจและสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก....
หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไป
และจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย....
ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด" จักรพรรดิดีพระทัยยิ่งนัก
ที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย....
นอกจากจะประทานอภัยแล้วยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติ
ที่ริบมาจากชายผู้นั้น ตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล....
จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย
พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้ว
จักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤาษีอีกครั้ง
เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้ายและพบว่า
ฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงบนดินที่ขุดไว้
ฤาษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางจักรพรรดิ
"คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่"
"อย่างไรกัน" พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง....
"เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉันและลงมือช่วยฉันขุดดิน
ท่านก็คงถูกทำร้าย โดยชายผู้นั้นตอนขากลับ
และคงต้องโทมนัสใจอย่างมากที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน
ดังนั้นเวลาสำคัญที่สุดตอนนั้น
ก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน....
และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การช่วยฉันขุดดิน"
"จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุด....
ก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป
และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น
ภารกิจสำคัญที่สุด ก็คือการรักษาพยาบาลเขา"....
จงจำไว้ว้า เวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน"
ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่
คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่
และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข
เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"....
http://www.dhammathai.org/dhammastory/view.php?No=335