ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 12:04:55 pm »

 :45: ขอบคุณครับพี่มด^^
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 08:28:25 am »




วันนี้เราต้องมีจิตสำนึกใหม่-ฉุกเฉินด่วนจี๋ที่สุด


ชมรมจิตวิวัฒน์ตั้งมาร่วม 7 ปีแล้ว แต่สาธารณชนคนไทยโดยทั่วไปแม้แต่สมาชิกของชมรมเองบางคนก็ยังไม่เข้าใจว่าชมรมจิตวิวัฒน์นี้มีความสำคัญต่อคนไทยอย่างไร? จริงๆ แล้วชมรมนี้มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง นั่น-ผู้เขียนอาจจะพูดน้อยไปหน่อย ความจริงต้องพูดว่าชมรมจิตวิวัฒน์ - การวิวัฒนาการทางจิตของคนไทยกับมวลมนุษย์ทั้งโลก - มีคามสำคัญและจำเป็น อย่างที่สุด นั่น-โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันวันนี้และเดี๋ยวนี้ เพราะอะไรหรือ? ที่วิวัฒนาการทางจิตมีความสำคัญและจำเป็นต่อมนุษยชาติในวันนี้และเดี๋ยวนี้ถึงขนาดนั้น? นั่น-ก็อาจจะตอบคร่าวๆ ได้ว่า เพราะเป็นฝีมือของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยตัณหาราคะผู้ยิ่งใหญ่เอง ที่ไม่รู้แล้วทำเป็นรู้ มัวเมาอยู่กับเทคโนโลยีที่ทำร้ายและทำลายธรรมชาติ และระบบที่ผิดๆ แล้วไม่ยอมรับกัน ว่าไปแล้วมนุษยชาติกำลังเผชิญกับวิกฤติที่สุดจะยิ่งใหญ่เกินกว่าความรู้ที่ตั้งบนวัตถุกายภาพสถานเดียว ซึ่งเราคนไทยส่วนใหญ่มองเห็น แล้วเอามาตั้งเป็นระบบที่ผิดๆ ที่ว่ามาข้างบนนั้น วิกฤติที่จะทำให้ประชากรของโลกถึงร่วม 4.5 พันล้านคน ในประเทศด้อยพัฒนาสุดๆ ต่างๆ หรือประมาณ 85% ของประชากรของโลก ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้มีสภาวะภัยธรรมชาติ  เช่น น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่มหรือพายุร้าย ฯลฯ เพิ่มขึ้นมากจาก 120 ต่อปีในช่วงต้นๆ ของทศวรรษที่  1980 เป็นเกือบๆ 500 ครั้งต่อปีในปัจจุบัน (Oxfam report, 2007) นักวิชาการและนักคิดนักเขียนทั่วๆ ไปคิดว่านิยายเก่าและความเชื่อของเราเก่าๆ รู้สึกว่าเรามีไม่พอที่จะอธิบายธรรมชาติโลกหรืออะไรๆ ที่เราเชื่อและใช้อยู่เสียแล้ว มนุษย์ทั่วทั้งโลกจะต้องมีนิยายใหม่และระบบความเชื่อใหม่ๆ มาใช้แทน ทั้งคิดว่ามนุษยชาติจำต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยด่วน (global shift หรือ global transformation of   consciousness) โดยหันไปหาจิตที่ภายในหรือมีโลกทัศน์ใหม่ นั่นคือ เราต้องมีจิตสำนึกใหม่โดยเร็วอย่างฉุกเฉินด่วนจี๋เลย (เคยบอกมาแล้วว่าจิตไม่ใช่สมองและสมองไม่ใช่จิต สมองมีหน้าที่บริหารจิตไร้สำนึกร่วมจักรวาลให้เป็นจิตสำนึกใหม่ของปัจเจกแค่นั้น) มนุษยชาติถึงได้มีจิตสำนึกใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ

ในตอนนี้ช่วงต้นๆ ของศตวรรษที่ 21stนี้ เพราะอะไรและมีเหตุผลหรือข้อมีพิสูจน์อย่างไรหรือ? ที่นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ รวมทั้งนักคิดนักเขียนที่กล่าวมานั้นต้องมีระบบความเชื่อใหม่ และต้องมีการเปลี่ยนแปลงจิตใจหรือจิตสำนึกของเรา-ของมนุษยชาติด้วยเล่า? เหตุผลและข้อพิสูจน์มีมากมาย ซึ่งถ้าหากเราจะคิดสักนิดด้วยใจที่เปิดกว้างและไม่คิดถึง “ตัวกูของกู” มากเกินไป หรือไม่คิดเข้าข้างมนุษย์ว่าทำอะไรไม่ผิด (anthropocentric) มัวเมาอยู่กับการปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพ-ผิวกระจ่างใสของมนุษย์ - ไม่อินังขังขอบกับมหาวิกฤติภัยธรรมชาติสารพัดสารเพที่เห็นจะจะอยู่โทนโท่ของชาวบ้านต่างจังหวัดหรือทั่วๆ ไปทั่วทั้งโลก ซึ่งแสดงว่ามหันตภัยต่างๆ ขยับขยายมาใกล้ตัวอย่างไร? และระบบ - ไม่ว่าระบบการเมือง สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเศรษฐกิจที่สนับสนุนกิเลสตัณหาอย่างรุนแรง ซึ่งระบบทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่า ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่บนนิยายเก่าๆ และระบบความเชื่อเก่าๆ ทั้งนั้น ต่อไปนี้เราต้องเลือกเพียงอย่างเดียว คือ ระหว่างความตายการสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ หรือการเปลี่ยนแปลงทั้งปัจเจกกับโดยรวม การเปลี่ยนแปลง (transform) หรือวิวัฒนาการทางจิตหรือจิตวิวัฒน์  อันจะให้ระบบความเชื่อใหม่แก่เรา เรา-มนุษย์ทั้งหลายจะต้องรู้ว่า เราต้องพอกันทีที่จะปรับปรุงแก้ไขคุณภาพและประสิทธิภาพของมนุษย์เฉพาะแต่ทางกายภาพเสียที เลิกเชื่อนิยายเก่าความรู้เก่า “วัตถุเท่านั้น” เสียที เลิกรังแกธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเสียที ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์โดยรวมทั่วทั้งโลกจะมีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ (spiritual evolution) ตามที่ทุกศาสนาบอกไว้เสียที


 จริงๆ แล้วการแสวงหาโลกทัศน์ใหม่ การแสวงหาจิตวิวัฒนาการนั้นเริ่มต้นขึ้นในประเทศตะวันตกที่พัฒนามากๆ ก่อนแล้วจึงรวมกันยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อช่วงปลายๆ ศตวรรษที่แล้ว ยี่สิบปีมานี่เอง  แต่มาเพิ่มทวีในระยะหลังๆ โดยสึนามิจากแผ่นดินไหวที่สุมาตราที่ประเทศไทยก็มีผลกระทบอย่างแรง  โดยเฮอริเคนแคทรีนาที่ถล่มนครนิวออลีนส์ โดยมหาไต้ฝุ่นที่ทำลายพม่าไปบางส่วน หรือโดยแผ่นดินไหวที่เสฉวน ฯลฯ นั่น-ไม่นับวิกฤติที่ขนาดย่อมในที่อื่นๆ ซึ่งเมื่อไล่เรียงไปจริงๆ แล้วก็จะพบว่าจิตวิวัฒน์หรือวิวัฒนาการทางจิต (นาม) นั้นมีมาตั้ง 2,600 ปีมาแล้ว โดยเจ้าชายโคตะมะ สิทธัตถะ รัชทายาทของราชวงศ์สักกะที่อินเดีย หรือพระพุทธเจ้า ซึ่งเอ็กฮาร์ต ทอลเล ครูสอนสภาวะจิตวิญญาณ (spiritual  teacher) ที่ไม่ธรรมดาเอามากๆ ถึงกับพูดว่า “น่าจะเป็นคนแรกของโลกเลยที่มองเห็น “ความไม่รู้ของมนุษยชาติ” อย่างแจ่มกระจ่างและสมบูรณ์ (absolute clarity)” เขาพูดอีกว่า “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวล มนุษยชาติไม่ได้อยู่ที่ศิลปวรรณคดี ไม่ได้อยู่ที่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี แต่อยู่ที่ การรู้ว่าเรา-มนุษย์มีความเห็นผิด - อย่างไร (Eckhart Tolle : New Earth, 2006) นั่นคือ ความบ้าของเรา ...อนิจจา...มนุษย์หนอมนุษย์

ผู้เขียนรู้สึกว่า ชีวิตต่างๆ รวมทั้งมนุษย์เราด้วยมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับน้ำอย่างที่จะแยกออกจากกันไม่ได้ น้ำจึงจำเป็นต่อชีวิตที่สุด น้ำประกอบเป็นสัดส่วนถึงกว่า 70% ของร่างกาย นั่นคือชีวิตทั้งหมดทั้งสิ้นที่มีชีววิวัฒนาการหรือการอุบัติขึ้น ดำรงอยู่ สืบเนื่องเปลี่ยนแปลงในขั้นแรกสุดที่ในน้ำก่อน พื้นดินที่มนุษย์และสัตว์ที่เรียกว่าสัตว์บกทั้งหลายล้วนมีบรรพบุรุษดึกดำบรรพ์อยู่ในน้ำทั้งหมดเลย โดยไม่มีอะไรยกเว้น รวมทั้งพืชพรรณต้นไม้ทั้งหลาย และน่าแปลกที่หากว่ามนุษย์ทั้งหมดทั้งสิ้น - ตัวแทนสุดท้ายของมวลชีวิตทั้งหลาย - สิ่งที่อยู่ภายในหรือจิตของตัวเองนั้น เราคิดว่าไม่มีและไม่เคยรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการได้เหมือนกับรูปกายที่มองเห็นและหลงใหลชนิดที่ใครจะแตะต้องหรือตำหนิไม่ได้ รูปกายวัตถุเราเรียกว่า แม็ตทีเรียลิซึ่ม (materialism) ที่อยู่กับเรามาตั้งแต่ยุคแห่งเหตุผล ไล่มาถึงยุคโคเปอร์นิกัส เคปเลอร์ และที่สำคัญคือ ทอมัส ฮอปส์ ก่อนที่ไอแซค นิวตัน อธิบายการเคลื่อนที่ของมวลวัตถุ และแรงดึงดูดของโลกที่นำมาซึ่งหลักการแม็ตทีเรียลิซึ่มอย่างว่าที่มีอยู่กระทั่งทุกวันนี้ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เช่น ในประเทศไทยเราและประเทศที่เพิ่งจะได้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมมาใหม่ๆ ของทวีปเอเชีย

เมื่อมนุษย์เราพบกับวิกฤตการณ์ที่เลวร้ายอย่างหมดปัญญาที่จะช่วยตัวเองได้อย่างซ้ำๆ ซากๆ  แถมยังเพิ่มทวีขึ้นทุกๆ ปี เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม และผลทางเกษตรเสียหายไปปีละมากๆ อย่างที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ นั่นคือเมื่อการอยู่รอดและปลอดภัยของชีวิตที่ถูกท้าทายและบั่นทอน จนกระทั่งใครที่อยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ แม้แต่รัฐบาลหรือองค์การสหประชาชาติก็หมดทางช่วย - วันนี้อาจจะช่วยได้ แต่วันหนึ่งเงินจะต้องหมดลง เพราะเก็บภาษีไม่ได้และไม่มีใครให้ - จะคิดโกงกินหรือเอาชนะกันไปถึงไหน? เวลามันหมดแล้วครับ! อนิจจา...มนุษย์หนอมนุษย์

แต่สภาพเช่นนั้นเอง เมื่อโลกมีการสูญเสียประชาโลกไปเพราะภัยธรรมชาติและการทะเลาะกัน  ส่วนหนึ่งจากแย่งธรรมชาติที่เหลือน้อย โดยเฉพาะคนหรือประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่มีอยู่แล้วก็จะทำให้มีความลำบากและมีการสูญเสียมากขึ้น ที่ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ค่อยๆ หายไป หรือที่ใหญ่ครั้งเดียวเช่นในปี 2012 - ที่ผู้เขียนเชื่อว่าอาจเป็นไปได้หากว่าเชื่อในทางจิตในทางศาสนาที่เชื่อเช่นนั้น - การสูญเสียประชากรโลกทั้งนั้น นี่ - คือความจำเป็นที่สุดจำเป็น เพราะว่าโลกและจักรวาลนี้จะขาดมนุษย์โดยสิ้นเชิง  - ตัวแทนของชีวิตและที่สำคัญกว่า คือชีวิตที่ได้มีวิวัฒนาการทั้งสองด้าน ทั้งในด้านของกายและด้านของจิต - ไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ดังที่เคยได้บอกมาแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกปรากฏการณ์ในจักรวาลอันนี้ ต่างล้วนมีหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งสิ้นเลย และจักรวาลก็มีหน้าที่สำคัญเพียงอย่างเดียว นั่นคือเพื่อให้สรรพสิ่งที่อุบัติขึ้นในจักรวาลนี้ “จะต้อง” มีวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจตาไปตลอดกาล  แต่ทว่าจักรวาลนี้ก็ “จะขาดหรือไม่มี” มนุษย์เลยก็ไม่ได้อย่างเด็ดขาดอีกเหมือนกัน (cosmological  anthropic principle) นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่าโลกเรานี้อย่างดีที่สุดจะสามารถเลี้ยงดูประชากรโลกอย่างทั่วถึงประมาณ 2,500-3,000 ล้านคนเท่านั้น แต่โลกเรามีประชากรในปัจจุบันกว่า 2 เท่าตัว ในขณะที่สิ่งแวดล้อมธรรมชาติกับโลกนั้นไม่มีทางขยายตัวได้อีก ขณะนี้มนุษย์เราได้ใช้ธรรมชาติโลกติดลบไปแล้วถึง -30% นั่น - หมายความว่ามนุษย์ได้ใช้เกินทุนที่โลกจัดหามาให้โดยที่มันงอกเงยหรือทดแทนไม่ทันมากขึ้นทุกๆ วัน และนั่นก็ไม่เคยคิดจะเฉลี่ยให้เท่าๆ กันเสียด้วย จึงก่อให้เกิดปัญหาของสังคมและการเมืองตามมา เพราะเรานำมาใช้แต่ระบบที่ผิดๆ ทั้งนั้นเลย และสิ่งใดที่ผิดธรรมชาติแล้วธรรมชาติเองจะต้องจัดการทำให้มันถูกเสีย ปัญหามันอยู่ที่ว่าโลกจะพังไปก่อนที่มนุษย์จะรู้สึกตัวแล้วถึงได้คิดจะแก้ไขหรือไม่? คิดให้รอบว่าจักรวาลที่มีทั้งกายและจิต เราจะคิดแต่กายแต่วัตถุเท่านั้นหรือ?

ผู้เขียนคิดว่า เมื่อจักรวาลแห่งนี้มีทั้งกายและจิตก็ย่อมจะมีวิวัฒนาการของทั้ง 2 อย่างนั้น  (conscious and cognized) มนุษย์เรานั้นฉลาดแล้วฉลาดอีกสมกับความหมายที่มีมาตั้งแต่โบราณยิ่งนัก  คำว่า มนุษย์แปลว่า ผู้ประเสริฐ และโฮโม ซาเปียนส์ ซาเปียนส์เองก็แปลว่า มนุษย์ที่ฉลาด ฉลาด) จะฉลาดได้ต้องมีสมอง มีสติปัญญา มีจิตสำนึกใหม่ - เพื่อจะบริหารเปลี่ยนจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาล (universe unconsciousness continuum) ให้เป็นจิตรู้ของปัจเจก จิตร่วมโดยรวมของจักรวาลมาจากจิตปฐมภูมิที่แยกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ และเป็นคุณสมบัติของที่ว่างนิรันดร (ultimate or  eternal space) ที่อยู่นอกจักรวาล-มีมาก่อนจักรวาลนี้กับจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุดทั้งหลาย พุทธศาสนาโดยองค์ทะไล ลามะ บอกเช่นนั้น และเอ็กฮาร์ต ทอลเล ก็บอกเช่นนั้น จิต (ไร้สำนึก) จึงมีมาก่อนจักรวาลในที่ว่างนั้น ซึ่งเอ็กฮาร์ต ทอลเล บอกว่าที่ว่างที่ไม่มีเวลา (timeless) หรือที่ว่างนิรันดรที่ว่านั้น ส่วนที่ว่างกับเวลาของไอน์สไตน์เป็นเรื่องของจักรวาลแห่งนี้ หลังจากที่มีบิ๊กแบ็งแล้ว มีจักรวาลอันนี้แล้ว มีสสารวัตถุแล้ว พูดง่ายๆ มีรูป (form) แล้ว และจิต (ไร้สำนึก) จะกลาย (หรือ identified ไปกับรูปนั้น) คือเป็นจิตสำนึกเมื่อมนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจกมีสมองแล้ว มีสติและรู้แล้วว่ากูคือผู้ที่รู้นั้น นั่นคือ ทันทีที่มีมนุษย์พร้อมกับสมองคนแรกเกิดขึ้นมาบนโลก เมื่อมนุษย์รู้สึกตัวและรู้ว่าตัวเองคือผู้ที่รู้สึกและคือผู้ที่รู้นั้น  (conscious and cognized) จักรวาลก็รู้สึกตัวและรู้ทันที พุทธศาสนาถึงได้บอกว่าจักรวาลอันนี้หรือแห่งนี้ มีแต่รูปกับนามเท่านั้น

 สมาชิกจิตวิวัฒน์ส่วนหนึ่งที่รวมผู้เขียนด้วยคิดว่าสภาวะจิตวิญญาณได้มาถึงแล้ว และสภาวธรรมจิตนั้นเองจะช่วยประชากรประเทศไทยและประชากรโลกไม่ให้ “สูญพันธุ์” ไปทั้งหมด จริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าดาวเคราะห์โลกจะเหลือประชากรเท่าไรในต้นศตวรรษหน้า แต่หลายๆ คนต้องสูญหายไปแน่ๆ ขอเพียงให้เรามี “สติ” แสวงหาสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) อันเป็นเป้าหมายของจักรวาล และที่สำคัญที่สุด ต้องทิ้งพฤติกรรมที่เกิดจากกายวัตถุอย่างเดียว โยนทิ้งระบบที่ผิดๆ เห็นแก่มนุษย์เท่านั้น ต่อไปนี้ เราต้องดูแลสิ่งแวดล้อมธรรมชาติทั้งหมดดุจดูแลตนเอง.


http://www.thaipost.net/sunday/241010/29109