ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 10:34:41 pm »

 :45:
  ขอบคุณครับพี่มด
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2010, 10:11:35 pm »

ดอนฮวนแทบจะเป็นใบ้ไปเลย แต่ต่อมาแกมองมาทางผมแล้วหัวเราะออกมาอย่างดัง
            "ความคิดเห็นของคุณเป็นความจริงสุดท้ายละสิถ้า" แกพูดด้วยเสียงแดกดัน "มันเป็นข้อสรุปสุดท้ายใช่ไหมล่ะ อย่างไรก็ตามเถอะ สำหรับพรานนั้น ความเห็นของคุณเป็นเรื่องเหลวไหล มันไม่ทำให้เกิดความแตกต่างอะไรเลย ไม่ว่าความกดนั้นจะเป็นหนึ่ง เป็นสอง หรือเป็นสิบ เพราะถ้าคุณออกไปอยู่ตามป่าเขาแล้วละก็ คุณควรจะรู้ว่าเวลาผีตากผ้าอ้อมนั้นลมคือพลัง พรานผู้มีค่าควรแก่การเป็นพรานจะต้องรู้ในเรื่องนี้และปฏิบัติลงไปตามความเหมาะสม"
            "พรานปฏิบัติอย่างไรล่ะ"
            "พรานจะใช้เวลาเข้าไต้เข้าไฟและใช้พลังที่ซ่อนตัวอยู่ในนั่นแหละ"
            "ใช้อย่างไร"
            "ถ้าหากพิจารณาเห็นแล้วว่าเหมาะ พรานจะซ่อนตัวจากพลังด้วยการคลุมตัวเอาไว้แล้วอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งเวลาหัวค่ำผ่านไป และพลังผนึกตัวของพรานไว้ในความปกป้องคุ้มครองของมัน"
ดอนฮวนทำท่าทางเหมือนกับจะโอบอุ้มอะไรไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

            "การปกป้องคุ้มครองของพลังนั้นเหมือนกับ…"
            แกหยุดเพื่อหาคำพูด ผมเสนอคำว่า "รังไหม"
            "ถูกแล้ว" แกพูด "การปกป้องของพลังผนึกคุณไว้เหมือนกับรังไหม พรานอาจพักอยู่ในที่โล่งและไม่มีตัวเสือปูม่า หมาป่าไคโอติ หรือแมลงตัวเล็ก ๆ มากวนเขาได้ สิงโตภูเขาอาจมาที่ตัวของพรานและดมตัวเขา ถ้าหากพรานไม่กระดุกกระดิกตัว มันก็จะเดินหนีไป ผมรับประกันคุณได้ในเรื่องนี้"
            "อีกประการหนึ่ง หากพรานคนนั้นต้องการให้เป็นที่ถูกสังเกต สิ่งที่พรานทำก็คือยืนอยู่บนยอดเนินในเวลาเข้าไต้เข้าไฟ พลังก็จะมาแหย่และเสาะแสวงหาเขาตลอดคืน ดังนั้นหากว่าพรานต้องการที่จะเดินทางในเวลากลางคืน หรืออยากจะตื่นอยู่ตลอดทั้งคืน เขาต้องทำตัวให้ลมเสาะหาได้ง่าย"
            "นี่คือความลับของพรานผู้ยิ่งใหญ่ นั่นคือเป็นผู้ที่เสาะหาได้หรือเสาะหาไม่ได้ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนที่จะกระทำอะไรลงไป"
            ผมรู้สึกสับสนอยู่บ้างเล็กน้อย จึงขอให้แกกล่าวย้ำในสิ่งที่พูด
            ดอนฮวนอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า แกได้ใช้เวลาเข้าไต้เข้าไฟและใช้ลมเพื่อแสดงถึงความสำคัญอย่างยิ่งที่เกี่ยวเนื่องระหว่างการซ่อนตัวและการเปิดเผยตัวเอง"
            "คุณต้องเรียนรู้ถึงการที่จะเป็นผู้ที่มีเจตนาให้เสาะหาได้ง่าย หรือเสาะหาไม่ได้เลย" แกบอก "ชีวิตคุณเท่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ คุณไม่ฉลาดเฉลียว ทำตัวให้เสาะหาได้ง่าย ๆ อยู่ตลอดเวลา"
            ผมค้าน ตามความรู้สึกของผมนั้น ชีวิตของผมเป็นชีวิตที่หลบซ่อนยิ่งขึ้นทุกที
            แกบอกว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่แกพูด การเป็นผู้ที่เสาะหาไม่ได้นั้นไม่ได้หมายถึงการหลบซ่อนตัวหรือทำตัวให้ลึกลับ แต่หมายถึงการเป็นผู้ที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ต่างหาก
            "ผมขอพูดในอีกลักษณะหนึ่ง" แกอธิบายต่ออย่างอดทน " มันไม่มีความหมายอะไรเลยที่จะหลบซ่อน ในเมื่อทุกคนรู้ว่าคุณกำลังซ่อนตัวอยู่ "
            "ปัญหาของคุณในตอนนี้งอกเงยออกมาจากสิ่งนี้เอง เมื่อคุณซ่อนตัวทุกคนก็ทราบดีว่าคุณซ่อนตัว และเมื่อคุณไม่ได้ซ่อนตัวคุณก็เป็นผู้ที่ใครต่อใครเสาะหาได้ว่าย ๆ เพื่อจะทำความเดือดร้อนให้"

            ผมเริ่มรู้สึกว่าถูกคุกคาม จึงพยายามที่จะปกป้องตัวเองอย่างรีบด่วน
            "อย่าป้องกันตัวเองเลย" ดอนฮวนพูดอย่างไม่มีหางเสียง " ไม่เห็นจำเป็นที่จะป้องกันตัวเอง พวกเราคือไอ้โง่ เราทุกคนนั่นแหละ และคุณเองก็ไม่ได้ต่างไปกว่าใคร ๆ ครั้งหนึ่งชีวิตของผมก็เหมือนกับคุณ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมทำตัวให้เป็นที่เสาะหาได้อย่างง่าย ๆ จนกระทั่งว่าผมไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกเลย นอกจาก บางทีนะ ที่เหลืออยู่คือน้ำตา และนั่นผมร้องไห้ ร้องไห้เหมือนกับคุณ "
            ดอนฮวนจับตัวผมไว้ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างดัง
            "ถึงอย่างไร ตอนนั้นผมก็อายุน้อยกว่าคุณ" แกพูดต่อไป " แต่แล้วในวันหนึ่งผมสำนึกขึ้นมาว่า พอกันทีและผมเปลี่ยนแปลง พูดได้ว่า วันหนึ่งผมเริ่มเป็นพราน ผมเรียนรู้ถึงความลึกลับของการเป็นผู้เสาะหาได้ง่ายและเสาะหาไม่ได้เลย "

            ผมบอกแกว่าความคิดของแกผมเข้าไม่ถึงหรอก ผมไม่เข้าใจเรื่องการเป็นผู้ที่เสาะหาได้ที่แกพูดถึงเอาเลย ดอนฮวนใช้สำนวนภาษาสเปนว่า "ponerse al alcance" และ "ponerse en el medio del camino" หมายถึง การให้ตัวเองเป็นที่เข้าถึงได้ และการไปยืนอยู่กลางถนน
            "คุณต้องเดินออกมาจากกลางถนน" แกอธิบาย "คุณต้องออกจากกลางถนนอันจอแจ ตัวของคุณยืนโด่อยู่ที่นั่น ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปหลบซ่อนตัว คุณอาจจินตนาการเอาเองว่า คุณกำลังซ่อนตัวอยู่ แต่การยืนอยู่กลางถนนหมายถึงทุกคนที่ผ่านมาเห็นคุณเดินไปเดินมาที่นั่น"

            ข้ออุปมาของแกน่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังคลุมเครือ
            "คุณพูดเป็นปริศนา" ผมพูด
            แกจ้องเขม็งดูผมอยู่นานแล้วฮัมเพลงออกมา ผมยืดหลังให้ตรงและระวังตัวเต็มที่ ผมรู้ดีว่า เมื่อใดที่ดอนฮวนฮัมเพลงเม็กซิกันแล้วแกกำลังจะเล่นงานผม
            "นี่แน่ะ" แกพูดยิ้ม ๆ แล้วจ้องดูผม "มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่สาวผมบรอนซ์ของคุณ หญิงสาวที่คุณชอบมากคนนั้น"

            หน้าตาของผมต้องดูเป็นหน้าตาของไอ้โง่ระยำอย่างที่สุด ดอนฮวนหัวเราะอย่างพอใจมาก
            ผมไม่ทราบว่าจะพูดอะไรออกมา
            "คุณเคยบอกผมเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้" แกพูดเพื่อแสดงว่ามั่นใจ
            ผมจำไม่ได้ว่าเคยเล่าให้แกฟังถึงเรื่องของคนอื่น โดยเฉพาะเรื่องหญิงสาวผมสีบรอนซ์นี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
            "ผมไม่เคยเล่าเรื่องชนิดนี้กับคุณเลย" ผมบอก
            "แน่นอน คุณเคยพูดเรื่องนี้จริง ๆ" แกพูดเหมือนกับจะปัดข้อโต้แย้งในเรื่องนี้ออกไปเสีย

            ผมอยากจะค้าน แต่แกยั้งผมไว้แล้วบอกว่า ไม่สำคัญหรอกว่าแกรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่สำคัญที่ผมรักเธอ
ผมรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังในตัวของดอนฮวนเอ่อท้นขึ้นมาข้างใน
            "อย่าชักช้า" แกพูดออกมาอย่างไม่มีน้ำเสียง             "ตอนนี้เป็นตอนที่คุณควรจะขจัดความรู้สึกที่เห็นว่าตัวเองมีความสำคัญออกไปเสีย"
            "ครั้งหนึ่งคุณเคยมีหญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่คุณรักมาก และแล้วในวันหนึ่งเธอผละคุณไป"

            ผมสงสัยขึ้นมาว่า ผมเคยพูดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้จริงหรือ ผมได้ข้อสรุปว่าผมไม่มีโอกาสพูดเรื่องนี้เลย แต่ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน เพราะทุกครั้งที่ดอนฮวนนั่งรถไปกับผม เรามักจะคุยกันเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ผมจำทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ เพราะขณะที่ขับรถอยู่นั้นผมไม่สามรถจดบันทึก อย่างไรก็ตาม เหตุผลดังกล่าวทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้บ้าง ผมบอกกับดอนฮวนว่าแกพูดถูกแล้ว ผมเคยรู้จักกับผู้หญิงสาวผมสีทองที่มีความสำคัญมากในชีวิตของผม
            "ทำไมเธอจึงไม่อยู่กับคุณ" แกถาม
            "เธอผละหนีไปเฉย ๆ"
            "เพราะสาเหตุอะไรล่ะ"
            "มันมีหลายสาเหตุ"
            "ไม่ใช่มีหลายสาเหตุหรอก มันมีสาเหตุเดียวเท่านั้นแหละ คุณทำตัวของคุณเองให้เป็นที่เสาะหาได้ง่ายเกินไป"

            ผมอยากจะทราบจริง ๆ ขึ้นมาว่าแกหมายถึงอะไร ดอนฮวนทำให้ผมสะเทือนใจอีกแล้ว ดูแกจะทราบดีถึงผลที่แกพูดกระทบ แกย่นริมฝีปากขึ้นไปเพื่อซ่อนยิ้มที่ซุกซน
            "ใคร ๆ ก็ทราบดีในเรื่องของคุณและเธอ" แกพูดออกมาด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่
            "มีอะไรผิดอย่างนั้นหรือ"
            "ผิดมากทีเดียวแหละ เธอเป็นคนดีมากทีเดียว"

            ผมบอกความรู้สึกอันจริงใจกับแกว่า การที่แกล้วงเดาสุ่มเข้าไปในความมืดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผมรังเกียจมาก โดยเฉพาะการที่แกพูดออกมาด้วยความมั่นใจว่าถูกต้องราวกับว่าเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ "
            "แต่มันก็เป็นความจริงนี่นา" แกเปิดเผยออกมาตรง ๆ "ผม เห็น เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เธอเป็นคนดีทีเดียว"

            ผมทราบดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงอีกต่อไป แต่ผมโกรธที่ดอนฮวนสัมผัสจุดที่ปวดร้าวในชีวิตของผม ผมบอกแกว่า หญิงสาวคนนั้นไม่ได้เป็นคนดีเด่อะไรนักหนาหรอก ตามความเห็นของผม เธอออกจะอ่อนแอเสียด้วยซ้ำไป
            "คุณก็เหมือนเธอนั่นแหละ" แกพูดอย่างสงบ "แต่นั่นไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญก็คือว่า คุณเสาะหาเธอแทบทุกหนทุกแห่ง นั่นทำให้เธอเป็นบุคคลพิเศษในโลกของคุณ และสำหรับบุคคลพิเศษคุณต้องมีถ้อยคำที่อ่อนหวานมามอบให้เธอเพียงอย่างเดียว"
            ผมรู้สึกอาย ความเศร้าอย่างรุนแรงจู่โจมเข้ามา
            "คุณทำอะไรกับผมอีก ดอนฮวน" ผมถาม "คุณทำให้ผมเศร้าได้สำเร็จทุกครั้ง ทำไมหรือ"
            "คุณกำลังปล่อยตัวให้ตกอยู่ในอารมณ์เพ้อ ๆ ฝัน ๆ เสียแล้วละ" แกพูดออกมาอย่างตำหนิ
            "อะไรคือจุดสำคัญของเรื่องทั้งหมดนี้ ดอนฮวน"

            "การเป็นผู้ไม่มีใครอาจหยั่งถึงได้คือจุดสำคัญ" แกประกาศออกมา             "ผมรื้อฟื้นความทรงจำของคุณในเรื่องของหญิงสาวคนนี้เพื่อให้เป็นสื่อแสดงกับคุณตรง ๆ ในสิ่งที่ผมไม่สามารถบอกกับคุณได้ในเรื่องของลมนั่น"
            "คุณสูญเสียผู้หญิงคนนี้ไปเพราะ คุณเป็นคนที่หยั่งรู้ได้ง่าย ๆ คุณอยู่แค่เอื้อมของเธอเสมอไป และชีวิตของคุณจำเจเสียเหลือเกิน"
            "ไม่จริงหรอก!" ผมพูดออกมา "คุณพูดผิด ชีวิตของผมไม่เคยซ้ำซากจำเจอย่างที่คุณพูด"
            "ชีวิตของคุณซ้ำซากจำเจ และเดี๋ยวนี้ก็ซ้ำซากจำเจ" แกพูดออกมาตรงๆ  "มันซ้ำซากอย่างผิดธรรมดาจนทำให้คุณไมู่รู้สึกจำเจ ผมยืนยันกับคุณได้เลยว่า มันจำเจอย่างที่สุด"

            ผมอยากจะทำโกรธไม่พูดไม่จาแล้วหลบตัวอยู่ในอารมณ์อันบูดเบี้ยวนั้น แต่สายตาของดอนฮวนทำให้ผมกระวนกระวาย ดูมันจะผลักผมออกไปเรื่อย ๆ
            "ศิลปะของพรานคือ การเป็นผู้ที่ไม่มีใครหยั่งถึงได้" แกพูดออกมา "ในกรณีของหญิงสาวผมบรอนซ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นว่า คุณเป็นพราน และพบปะกับเธอเป็นครั้งคราว ไม่ใช่ในลักษณะที่คุณทำ คุณอยู่กับเธอวันแล้ววันเล่าจนกระทั่งว่า มีความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่ คือ ความเบื่อหน่าย ใช่ไหมล่ะ"
            ผมไม่ตอบ ผมรู้ว่าผมไม่จำเป็นต้องตอบ ดอนฮวนพูดถูกแล้ว
            "การเป็นผู้ที่ไม่มีใครหยั่งถึงได้หมายความว่า คุณสัมผัสโลกรอบตัวของคุณเบา ๆ คุณไม่กินนกกระทาทั้งห้าตัว คุณกินเพียงตัวเดียวก็พอแล้ว คุณไม่ทำร้ายต้นไม้เพียงเพื่อจะทำหลุมอบ คุณไม่แส่ออกไปเผชิญกับพลังของลม นอกจากว่าคุณจำเป็นต้องพบกับมัน คุณไม่ใช้ ไม่บีบคั้นผู้คนจนเขาไม่เป็นผู้เป็นคน โดยเฉพาะคนที่คุณรัก "
            "ผมไม่เคยใช้คนอื่นเลย" ผมพูดออกมาอย่างจริงใจ

            ดอนฮวนยืนยันว่าผมเคย และดังนั้นผมจึงพูดออกมาได้อย่างทื่อ ๆ ว่า ผมเหนื่อยหน่ายและเบื่อคนอื่นมาก
            "การเป็นผู้ที่เสาะหาไม่ได้ หมายถึงการที่คุณจงใจหลีกเลี่ยงที่จะทำให้ตัวเองและผู้อื่นสิ้นเนื้อประดาตัว" แกพูดต่อไป "มันหมายถึงว่า คุณไม่หิวโหยและเข้าตาจนเหมือนกับไอ้บ้าบัดซบน่าสงสารคนนั้น ผู้มีความรู้สึกว่าเขาจะไม่มีอะไรกินอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงเขมือบอาหารเข้าไปเท่าที่จะกระเดือกเข้าไปได้ นกกระทาตั้งห้าตัวแน่ะ!"
            ดอนฮวนต่อยผมเข้าใต้เข็มขัดเสียแล้ว ผมหัวเราะ นั่นดูจะทำให้แกพอใจมาก แกลูบหลังผมเบา ๆ

            "นายพรานรู้ดีว่า เขาจะล่อสัตว์ให้เข้ามาติดกับของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลใจ ความกังวลคือการเป็นผู้ที่หยั่งรู้ได้ง่าย ๆ ชนิดที่ไม่เฉลียวฉลาดเอาเลย และคราวใดที่คุณกังวลใจ คุณจะยึดเกาะสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ด้วยความสิ้นหวัง และเมื่อคุณยึดสิ่งใดไว้คุณจะหมดกำลัง หรือทำให้สิ่งอื่นหรือผู้อื่นที่คุณเกาะอยู่นั้นหมดพลังลงไปด้วย "

            ผมบอกกับดอนฮวนว่า ชีวิตในแต่ละวันของผมนั้น การทำตัวให้เป็นผู้ที่ไม่มีใครหยั่งถึงได้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิบัติได้จริง ผมมีเหตุผลมาอ้างว่า ในการทำงานประจำวัน ผมต้องให้ทุกคนที่ผมเกี่ยวข้องเข้ามาถึงตัวได้"


            "ผมบอกกับคุณแล้วว่า การเป็นผู้ที่ไม่มีใครหยั่งถึงได้นั้น ไม่ได้หมายถึงการหลบซ่อนตัว หรือทำตัวให้ลึกลับ " แกพูดอย่างสงบ " มันไม่ได้หมายความว่า คุณจะไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น พรานใช้โลกของเขาอย่างประหยัด และใช้มันอย่างอ่อนโยน ไม่ว่าโลกที่กล่าวถึงนี้จะเป็นสิ่งของ เป็นพืช สัตว์ ผู้คน หรือเป็นพลัง พรานจัดการโลกของเขาอย่างคุ้นเคย แต่กระนั้นก็เป็นผู้ที่ไม่อาจหยั่งถึงได้เลยต่อโลกชนิดเดียวกันนั้น "

            "นั่นเป็นความขัดแย้ง" ผมพูด "พรานไม่อาจเป็นผู้ที่ไม่มีใครหยั่งรู้ได้หากว่าเขาอยู่ในโลกชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า วันแล้ววันเล่า"
           
  "คุณไม่เข้าใจ" ดอนฮวนพูดอย่างอดทน

            " นายพรานเป็นผู้ที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้เพราะเขาไม่บีบโลกของของเขาให้บุบเบี้ยวผิดรูปร่าง เขายื่นมือออกมาแตะโลกนี้เบา ๆ ให้อยู่นานเท่าที่เขาต้องการ และหลังจากนั้นเขาออกจากโลกนี้ไปอย่างว่องไว เกือบจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย "



--------------------------------------------------------------------------------


http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2010, 10:11:17 pm »






๗. การเป็นผู้ที่ไม่มีใครอาจหยั่งถึงได้


พฤหัสที่ ๒๙ มิถุนายน ๑๙๖๑

              ด อนฮวนทำให้ผมทึ่งมากในความรู้ แม้รายละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์ที่ล่า ดังที่แกอธิบายทุกวันเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา แกจะอธิบายก่อนเป็นลำดับแรก แล้วขยายความถึงยุทธวิธีในการล่าซึ่งใช้สิ่งที่แกเรียกว่า "เสียงร้องของนกกระทา" ผมจดจ่ออยู่กับคำอธิบายของแกจนวันนั้นทั้งวันผ่านไปโดยไม่ได้สังเกตถึงเวลาที่ล่วงเลยไป ผมลืมแม้แต่การรับประทานอาหารกลางวัน ดอนฮวนล้อเลียนว่าเป็นเรื่องผิดปกติเอามาก ๆ สำหรับผมที่จะพลาดอาหารกลางวัน

            เย็นวันนั้น ด้วยการใช้กับดักง่าย ๆ ที่แกสอนให้ผมทำและวางดักไว้ ดอนฮวนจับนกกระทาได้ห้าตัว
            "สองตัวก็พอแล้วสำหรับเรา" แกพูดแล้วก็ปล่อยอีกสามตัวไป
แกสอนผมว่าจะย่างนกกระทาอย่างไร ผมอยากจะหักกิ่งไม้มาทำหลุมย่างชนิดที่ปู่ของผมเคยสอน คือเอากิ่งไม้สดมาปักเรียงไว้แล้วโปะด้วยโคลน แต่ดอนฮวนบอกว่าไม่จำเป็นเลยที่จะไปทำร้ายต้นไม้อีกในเมื่อเราทำร้ายนกกระทามาแล้ว

            หลังจากที่ได้รับประทานเสร็จแล้วเราเดินตามสบายไปยังบริเวณที่มีก้อนหิน เรานั่งลงตรงเนินเขาหินทราย ผมพูดออกมาอย่างติดตลกว่า หากดอนฮวนมอบหน้าที่พ่อครัวให้ผมแล้วละก็ ผมจะจัดการกับนกกระทาทั้งห้าตัว และการอบนกกระทาตามแบบของผมจะต้องเลิศรสกว่าการย่างของดอนฮวนอย่างแน่นอน
            "นั่นไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ" แกพูด "แต่ถ้าหากว่าคุณทำเช่นนั้น เราอาจจะออกจากที่นี่ไม่ได้เลยด้วยร่างกายที่มีอวัยวะครบบริบูรณ์"
            "คุณหมายความว่าอย่างไร ดอนฮวน" ผมถาม "อะไรล่ะที่มากั้นไม่ให้เราไป"
            "พุ่มไม้ นกกระทา หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบของเรานี่แหละที่จะมาขวางเราไว้"
            "ผมไม่ทราบว่าเมื่อไหร่คุณถึงจะพูดเอาจริงเอาจังเสียที"
            แกทำท่าทางราวกับว่าทนไม่ได้แล้วจุ๊ปาก
            "คุณมีความเห็นพิลึกมากในสิ่งที่เรียกว่า พูดอย่างเอาจริงเอาจัง" แกพูด "ผมหัวเราะไม่ใช่น้อยเพราะผมชอบหัวเราะ แม้กระนั้นก็ตาม สิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องจริงจังเอาเป็นเอาตายทีเดียว แม้ว่าคุณจะไม่เข้าใจคำพูดเหล่านั้นก็ตามที ทำไมโลกจึงเป็นอยู่เท่าที่คุณคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นเท่านั้น ใครจะมาให้คำยืนยันกับคุณจนคุณบอกอย่างแน่ใจว่าโลกเป็นอย่างที่คุณพูดออกมา"
            "แต่ก็ไม่มีข้อพิสูจน์อื่นเลยนี่นาว่าโลกเป็นอย่างอื่น" ผมบอก ความมืดกำลังคืบคลานเข้ามา

            ผมสงสัยว่าจะถึงเวลาเดินกลับแล้วหรือยัง แต่ดอนฮวนดูจะไม่เร่งรีบอะไร และผมก็พอใจที่จะอยู่ต่อไป
ลมที่พัดมาหนาวเย็น ทันใดนั้นดอนฮวนผลุดลุกขึ้นแล้วบอกว่า เราต้องปีนขึ้นไปบนยอดเนินแล้วยืนอยู่บริเวณที่ไม่มีต้นไม้
            "อย่ากลับ" แกพูด "ผมเป็นเพื่อนของคุณ ผมจะระวังไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณได้"
            "คุณหมายถึงอะไร ดอนฮวน" ผมถามด้วยความตกใจ
            ดอนฮวนมีความว่องไวชนิดที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของจากความตกใจไปสู่ความหวาดกลัวได้ในทันที
            "โลกแปลกมากในช่วงเวลานี้ของวัน" แกพูด "นี่คือสิ่งที่ผมพูดถึง ไม่ว่าคุณจะเห็นอะไรก็แล้วแต่ อย่ากลัว"
            "ผมจะเห็นอะไรล่ะ"
            "ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน" แกตอบพร้อมกับจ้องมองไกลออกไปทางทิศใต้ แกไม่มีท่าทีวิตกกังวลอะไรทั้งสิ้น
            ผมพยายามมองไปทางเดียวกับแกเหมือนกัน

            ทันใดนั้นแกเหยียดตัวขึ้นแล้วชี้มือซ้ายไปยังบริเวณดำมืดแห่งหนึ่งแถวพุ่มไม้เตี้ย ๆ ในทะเลทราย
            "นั่น มันอยู่ที่นั่น" แกบอกเหมือนกับว่าแกคอยสิ่งหนึ่งอยู่แล้วมันก็โผล่ออกมาในทันที
            "มันคืออะไรล่ะ" ผมถาม
            "มันอยู่ที่นั่น" แกพูดซ้ำ "ดู! ดูสิ!"
            ผมไม่เห็นอะไรเลย ก็มีแต่พุ่มไม้เท่านั้นเอง
            "ตอนนี้มันมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะ" แกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน "มันอยู่ที่นี่"

            ลมวูบหนึ่งพัดมาปะทะตัวผมทำให้ตาของผมร้อนผ่าว ผมจ้องไปยังบริเวณดังกล่าว ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติไปแม้แต่นิดเดียว
            "ผมไม่เห็นอะไรเลย" ผมบอก
            "ผมรู้สึกถึงการปรากฏตัวของมันแล้วนี่นะ" แกบอก "รู้สึกอยู่เดี๋ยวนี้ไง มันเข้าไปในสายตาของคุณแล้วทำให้คุณมองเห็นไม่ถนัด"
            "คุณกำลังพูดถึงอะไร ดอนฮวน"
            "ผมมีเจตนาที่จะพาคุณมาที่ยอดเนินนี่" แกพูด "เรามองเห็นได้ง่ายจากที่นี่ และสิ่งหนึ่งกำลังตามเรามา"
            "อะไรล่ะ ลมอย่างนั้นรึ"
            "มันไม่เพียงแต่เป็นลมหรอก" แกพูดอย่างขึงขัง "มันอาจจะดูเหมือนเป็นลมสำหรับคุณ เพราะลมเป็นสิ่งเดียวที่คุณรู้"

            ผมเพ่งสายตาไปที่พุ่มไม้ ดอนฮวนยืนอยู่ข้างตัวผมเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ต่อมาแกเดินไปที่พุ่มไม้ใกล้ ๆ แล้วหักเอากิ่งไม้แถวนั้นมาแปดกิ่งแล้วมัดรวมกัน แกสั่งให้ผมทำอย่างเดียวกัน และขณะผมหักกิ่งไม้ แกบอกให้ผมขอโทษต้นไม้ด้วยเสียงอันดังที่มาทำให้มันเจ็บปวด

            เมื่อเราได้กิ่งไม้สองมัดแล้ว แกบอกให้ผมวิ่งพร้อมกับกิ่งไม้ทั้งสองมัดไปยังยอดเนินแล้วนอนราบลงไปในระหว่างก้อนหินใหญ่สองก้อน ดอนฮวนแผ่กิ่งไม้จากมัดของผมออกคลุมตัวผมอย่างรวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อ แล้วแกก็เอามัดของแกออกคลุมตัวแกเช่นกัน แกกระซิบผ่านใบไม้ออกมาว่าผมควรจะสังเกตในสิ่งที่ผมเรียกว่าลมนั้นจะหยุดพัดเมื่อเราไม่ปรากฏตัว
            ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งยวด ครู่ต่อมานั้นเองลมหยุดพัดขึ้นมาจริง ๆ ดังที่ดอนฮวนบอก มันค่อย ๆ หยุดพัด ซึ่งผมคงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หากไม่ตั้งใจเฝ้าดูอยู่จริง ๆ ครู่หนึ่งที่มันพัดฟู่ ๆ ผ่านลอดเข้ามาตามใบไม้ปะทะที่หน้าของผม ต่อมามันเงียบลงไปโดยรอบตามลำดับ

            ผมกระซิบบอกกับดอนฮวนว่าลมหยุดพัดแล้ว แกกระซิบตอบว่าอย่าทำเสียงดังหรือไหวตัว เพราะสิ่งที่ผมเรียกว่าลมนั้นไม่ใช่ลมหรอก แต่มันเป็นอะไรบางอย่างที่มีเจตนาและจำเราได้ด้วย
ผมหัวเราะออกมาด้วยความหวาดกลัว
            ด้วยเสียงที่ระงับเอาไว้ ดอนฮวนให้ผมใส่ใจสังเกตความเงียบที่ปรากฎอยู่รอบ ๆ แล้วกระซิบว่า แกกำลังจะยืนขึ้นและให้ผมทำตามโดยกวาดเอากิ่งไม้ออกไปข้างลำตัวด้วยแขนซ้าย
            เรายืนขึ้นพร้อมกัน ดอนฮวนจ้องมองไปทางทิศใต้อยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับมาทางทิศตะวันตกในทันที
            "ขี้โกง ขี้โกงจริง ๆ " แกพึมพัมออกมาแล้วชี้ไปยังบริเวณทางทิศใต้
            "ดู ! ดูที่นั่น!" แกเร่งเร้า

            ผมจ้องดูด้วยความตั้งใจ ผมอยากเห็นสิ่งที่แกพูดถึง แต่ผมก็ไม่เห็นอะไรเลย หรือน่าจะพูดว่าผมไม่เห็นอะไรผิดปกติออกไปจากสิ่งที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ ก็มีเพียงพุ่มไม้เตี้ย ๆ ซึ่งไหวไปมาเมื่อลมพัด มันไหวเป็นระลอก
            "มันมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว" ดอนฮวนบอก
            ขณะนั้นผมรู้สึกถึงแรงของลมที่ปะทะใบหน้า ดูเหมือนลมจะเริ่มพัดเมื่อเราลุกยืนขึ้นมา ผมไม่อยากจะเชื่อ มันน่าจะมีคำอธิบายที่มีเหตุผลบ้างในเรื่องนี้
            ดอนฮวนหัวเราะหึ ๆ ออกมาค่อย ๆ แล้วบอกผมว่าอย่าใช้มันสมองเพื่อหาเหตุผลเลย
            "ไปเอากิ่งไม้อีกครั้ง" แกสั่ง "ผมเกลียดการทำเช่นนี้กับพืชต้นเล็ก ๆ เหล่านั้น แต่เราต้อง หยุด คุณ"
            แกรวบรวมเอากิ่งไม้ที่เราใช้คลุมตัวก่อนหน้านี้แล้วเอาก้อนหินเล็ก ๆ และดินกลบมันเสีย ต่อมาเราทำอย่างเดิมคือ หักเอากิ่งไม้มาคนละแปดกิ่ง ขณะที่เราหักกิ่งไม้อยู่นั้นลมก็พัดมาไม่หยุด มันเป่าที่ผมและแถบใบหูของผม ดอนฮวนกระซิบว่าเมื่อแกคลุมตัวผมไว้แล้ว ผมไม่ควรไหวตัวหรือทำเสียงดัง แกเอากิ่งไม้คลุมที่ร่างผมอย่างรวดเร็ว แล้วแกนอนลงเอากิ่งไม้คลุมเช่นเดียวกัน

            เรานอนนิ่งอยู่อย่างนั้นประมาณ ๒๐ นาที และตลอดเวลา ๒๐ นาทีนั้น ปรากฏการณ์ประหลาดอย่างที่สุดเกิดขึ้น ลมที่พัดกรรโชกอยู่ตลอดเวลานั้นเปลี่ยนเป็นพัดแผ่ว ๆ
ผมกลั้นลมหายใจรอคอยสัญญาณจากดอนฮวน เมื่อถึงเวลา แกปัดกิ่งไม้ออกอย่างระมัดระวัง ผมก็ทำอย่างเดียวกันแล้วเราลุกขึ้น
            บรรยากาศบนยอดเนินเงียบสงัด มีเพียงการสั่นเบา ๆ ของใบไม้ที่อยู่รอบ ๆ ดอนฮวนจ้องเขม็งไปยังบริเวณพุ่มไม้ที่อยู่ทางทิศใต้
            "มันอยู่ที่นั่นอีกแล้ว!" แกร้องออกมาอย่างดัง
            ผมกระโดดโหยงอย่างไม่ตั้งใจจนเกือบจะเสียการทรงตัว แกบอกผมด้วยน้ำเสียงเชิงบังคับให้มองดู
            "ผมน่าจะเห็นอะไรล่ะ" ผมถามอย่างสิ้นหวัง
            แกบอกว่า มัน จะเป็นลมหรืออะไรก็แล้วแต่-มันเหมือนกับเมฆ เหมือนกับกลุ่มของอะไรบางอย่างที่ลอยอยู่เหนือพุ่มไม้กำลังหมุนมาทางยอดเนินที่เรายืนอยู่
ผมแลเห็นพุ่มไม้ที่ไหวเป็นระลอกไกลออกไป

            "นั่นไง มันมาที่นี่อีกแล้ว" ดอนฮวนพูดที่หูของผม "ดูก็แล้วกันว่ามันควานหาตัวของเราอย่างไร"
            ขณะนั้นลมพัดกรรโชกเข้ามาปะทะที่ใบหน้าของผมเหมือนกับที่เป็นมาแล้ว แต่คราวนี้ปฏิกริยาที่ผมแสดงออกมานั้นต่างออกไป ผมตกใจมาก ผมมองไม่เห็นสิ่งที่ดอนฮวนบอก แต่ผมมองเห็นคลื่นต้นไม้ที่ไหวตัวไปมาน่าขนลุก ผมไม่อยากให้ความกลัวริบเอาตัวของผมไป ผมจึงพยายามตั้งใจเสาะหาคำอธิบายชนิดไหนก็ได้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมพูดกับตัวเองว่า จะต้องมีกระแสลมที่พัดต่อเนื่องในบริเวณนั้น และตัวดอนฮวนไม่เพียงแต่รู้จักลมชนิดนี้ดี แต่อาจกำหนดเวลาพัดของมันด้วย เพราะแกคุ้นเคยอยู่กับท้องถิ่นนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นสิ่งที่แกทำก็คือ นอนลงไป นับกะเวลาแล้วคอยว่าเมื่อไหร่มันจะพัดผ่านไป และเมื่อแกลุกขึ้น แกก็ทำเพียงรอคอยอีกครั้งว่าจะพัดมาอีกเมื่อไร

            เสียงพูดของดอนฮวนปลุกขึ้นมาจากความคิดดังกล่าว แกบอกว่าถึงเวลาที่เราจะต้องออกจากที่นี่แล้ว ผมอยากอยู่ต่อเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อไหร่ลมจะพัดอ่อนลงอีก
            "ผมไม่เห็นอะไรเลย ดอนฮวน" ผมพูด
            "ถึงจะไม่เห็นก็เถอะ คุณสังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกตินี่นา"
            "บางทีคุณน่าจะบอกกับผมอีกครั้งว่าผมน่าจะเห็นอะไร"
            "ผมก็บอกกับคุณแล้ว" แกพูด "มีอะไรอย่างหนึ่งซ่อนอยู่ในลมนั่น มันมีรูปร่างเหมือนกับก้อนกลม ๆ เหมือนก้อนเมฆ เหมือนกลุ่มหมอก เหมือนกับใบหน้าที่พุ่งไปรอบ ๆ "
            แกทำท่าทางด้วยมือเพื่อแสดงความเคลื่อนไหวทั้งทางด้านตั้งและแนวนอน
             "มันเคลื่อนไหวไปตามทิศทางที่แน่นอน" แกพูดต่อ "ถ้ามันไม่พุ่งไปข้างหน้าก็จะหมุนเป็นวง พรานต้องรู้ในเรื่องนี้เพื่อที่จะเคลื่อนไปได้อย่างถูกต้อง"

            ผมอยากจะล้อแกเล่น แต่ดูเหมือนว่าแกได้พยายามอย่างหนักที่จะอธิบายในเรื่องนี้จนผมไม่กล้าพูดเล่น แกมองมาทางผมครู่หนึ่ง ผมหลบสายตาไปทางอื่น
            "การเชื่อเพียงว่า โลกเป็นสิ่งที่คุณคิดว่ารู้เห็นเป็นอย่างนี้เท่านั้นเป็นเรื่องโง่มาก" แกพูด "โลกเป็นดินแดนที่ลึกลับมหัศจรรย์โดยเฉพาะในเวลาที่เข้าไต้เข้าไฟ" แกทำท่าชี้ไปที่ลมนั้นด้วยปลายคาง
            "สิ่งนั้นสามารถติดตามเราไปได้" แกบอก "มันจะทำให้เราเหนื่อย หรืออาจฆ่าเราเสียก็ได้"
            "ลมนั่นนะรึ"
            "ในช่วงเวลานี้ของวัน ยามผีตากผ้าอ้อมนั้นไม่มีลมหรอก เวลาช่วงนี้ก็มีแต่พลังเท่านั้น"
            เรานั่งอยู่บนยอดเนินประมาณหนึ่งชั่วโมง ลมนั้นยังพัดกล้าและพัดต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา


ศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๑๙๖๑

            เวลาบ่ายคล้อย เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ผมกับดอนฮวนย้ายออกมานั่งแถวบริเวณหน้าประตูบ้าน ผมนั่งที่"จุด"ของผมแล้วจดบันทึก ส่วนดอนฮวนนอนราบลงไปเอามือประสานไว้ที่ท้อง เราต้องอยู่ในบริเวณบ้านทั้งวันเพราะปัญหาอันเกิดจากเจ้า "ลม" ดังกล่าว

            ดอนฮวนอธิบายว่า เราไปรบกวนมันโดยเจตนาและทางที่ดีที่สุดคือไม่เซซังออกไปรบกวนมันอีก ผมเองถึงกับต้องนอนห่มใบไม้ ลมพัดมาวูบหนึ่ง ดอนฮวนลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างว่องไว
            "บ้าจริง"แกพูด "เจ้าลมนั่นความหาตัวคุณอยู่"
            "ผมจะทำอย่างไรกับมันล่ะดอนฮวน" ผมพูดแล้วหัวเราะ "ผมทำอะไรกับมันไม่ได้จริง ๆ "

            ผมไม่ใช่คนหัวรั้น ผมเพียงแต่เห็นว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นพ้องกับความคิดที่ว่า ลมมีเจตนาของมันเองและมันกำลังเสาะหาตัวผมอยู่เสียด้วย หรือไม่ก็กำหนดรู้จุดที่เราพักและพัดพรูขึ้นไปหาเราที่ยอดเนิน
            ผมพูดออกมาว่าความคิดที่ว่า "ลมมีเจตนา" นั้น เป็นทัศนะที่มีต่อโลกในลักษณะที่ออกจะเซ่อซ่าล้าสมัย
            "แล้วลมนั่นคืออะไรล่ะ ถ้าอย่างนั้น" แกถามออกมาด้วยน้ำเสียงท้าทาย

            ผมอธิบายให้แกฟังอย่างอดทนว่า อากาศส่วนที่ร้อนและส่วนที่เย็นทำให้เกิดความกดในระดับที่ต่างกัน และความกดนั่นเองทำให้อากาศเคลื่อนไปในแนวนอนหรือในแนวตั้ง ผมใช้เวลาอยู่นานในการอธิบายถึงรายละเอียดทั้งหมดในวิชาอุตุนิยมวิทยาเบื้องต้น
            "คุณหมายความว่าทั้งหมดที่เกี่ยวกับลมคืออากาศที่ร้อนกับอากาศที่เย็นเท่านั้นเองหรือ" แกถามด้วยน้ำเสียงงงงวย
            "ก็อย่างนั้นซี่" ผมตอบ และพอใจกับชัยชนะของผมอยู่เงียบ ๆ