ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 10:58:16 pm »

 :45: ขอบคุณครับพี่มด               
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 04:08:37 pm »


๒.๙
ข้อจำกัดของวิธีการทางวิทยาศาสตร์


                ก่อนที่นักวิจัยจะเป็นนักวิจัย เขาควรเป็นนักปรัชญาเสียก่อน เขาควรจะได้พิจารณาว่า อะไรคือเป้าหมายของมนุษย์ อะไรคือสิ่งที่มนุษยชาติควรสร้างสรรค์ขึ้นมา แพทย์ก็ควรตัดสินใจในระดับพื้นฐานให้ได้เสียก่อนว่า อะไรที่เป็นปัจจัยให้แก่การดำรงชีวิตของมนุษย์

           ในการประยุกต์ทฤษฎีของผมเข้ากับการทำเกษตรกรรม ผมได้ทดลองปลูกพืชอยู่หลายวิธี ซึ่งล้วนอิงกับความคิดที่จะพัฒนาวิธีการที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ผมได้ทำโดยการลดทอนวิธีการทางการเกษตรที่ไม่จำเป็นลงเสีย

           ในด้านหนึ่งเกษตรกรรมวิทยาศาสตร์แผนใหม่ไม่มีทัศนวิสัยเช่นนี้ การวิจัยเคลื่อนไปอย่างไร้เป้าหมาย นักวิจัยแต่ละคนจะมองเพียงเหตุปัจจัยเดียวของกระบวนแห่งเหตุปัจจัยของธรรมชาติอันไม่สิ้นสุด ที่มีผลกระทบต่อปริมาณผลผลิต ยิ่งกว่านั้น เหตุปัจจัยของธรรมชาติยังมีความเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด

           แม้ว่าจะเป็นที่นาแปลงเดิม เกษตรกรก็จะปลูกพืชในแต่ละปีต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงด้านอากาศ ประชากรของแมลง สภาพของดินและเหตุปัจจัยทางธรรมชาติอื่น ๆ ธรรมชาติในทุกหนแห่งจะมีความเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งเสมอ เงื่อนไขต่าง ๆ ไม่มีลักษณะคงที่หรือเหมือนกันเลย ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างปีใด

           การวิจัยแบบสมัยใหม่จะแบ่งแยกธรรมชาติออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อย แล้วทำการทดลองซึ่งไม่มีความละม้ายเหมือนทั้งในแง่ของกฎธรรมชาติ หรือประสบการณ์ทางการปฏิบัติเลย ผลของมันถูกกำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกของการวิจัย มากกว่าจะเป็นไปตามความจำเป็นของเกษตรกร และการคิดว่าข้อสรุปดังกล่าวสามารถนำไปใช้ไนท้องนาอย่างมีความสำเร็จเป็นนิจสินนั้น ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง

           เมื่อเร็ว ๆ นี้ศาสตราจารย์ ทซึโนะ แห่งมหาวิทยาลัยอิไฮมิ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างระบบเมตาบอลิซึม* ของพืชกับผลผลิตของข้าวไว้อย่างยืดยาว ศาสตราจารย์ผู้นี้มักจะแวะมาเยี่ยมที่นาของผม ท่านจะขุดดินลึกลงไปสัก ๒-๓ ฟุตเพื่อตรวจดูดิน บางที่ก็พานักศึกษามาวัดมุมที่แสงอาทิตย์ตกลง และร่มเงา และอะไรต่ออะไรอีกมาก นอกจากนี้ก็เก็บตัวอย่างพืชกลับไปยังห้องทดลองเพื่อจำแนกแยกแยะดู ผมมักจะถามท่านว่า เมื่อท่านกลับไป ท่านจะทดลองการหว่านเมล็ดโดยตรงลงไปในที่นาที่ไม่ไถพรวนหรือเปล่า" ท่านจะตอบหัวเราะ ๆ ว่า "ไม่หรอก ผมปล่อยการปฏิบัติเป็นหน้าที่ของคุณ ส่วนผมจะทุ่มเทให้กับการวิจัย"

           ดังนั้นทุกอย่างก็จึงเป็นเช่นนี้ คุณศึกษาถึงหน้าที่ของระบบเมตาบอลิซึมของพืช และความสามารถในการดูดซึมสารอาหารจากดิน แล้วเขียนเป็นตำราจากนั้นก็จะได้รับปริญญาเอกในสาขาวิทยาศาสตร์ทางการเกษตร แต่อย่าถามว่าทฤษฎีเกี่ยวกับการดูดซึมนั้นสอดคล้องกับผลผลิตหรือไม่

           แม้คุณจะสามารถอธิบายได้ว่าระบบเมตาบอลิซึมมีผลต่อการออกรวงของใบบนสุดได้อย่างไร เมื่ออุณหภูมิโดยเฉลี่ยเท่ากับ ๘๔ องศาฟาเรนไฮต์ แต่มันก็ยังมีสถานที่หลายแห่งซึ่งอุณหภูมิไม่ถึง ๘๔ องศา และถ้าอุณหภูมิในปีนี้ที่อิไฮมิเป็น ๘๔ องศา ปีหน้าอุณหภูมิอาจจะเหลือเพียง ๗๕ องศาเท่านั้นก็ได้ การกล่าวถึงการเพิ่มเมตาบอลิซึมอย่างโดด ๆ ว่าจะช่วยเพิ่มคาร์โบไฮเดรทและทำให้ผลผลิตสูงขึ้นนั้นเป็นความเข้าใจผิด ภูมิศาสตร์และผังภูมิของที่ดิน สภาพของที่ดิน โครงสร้างของดิน เนื้อดิน การระบายน้ำ การรับแสง ความสัมพันธ์ของแมลง ชนิดของเมล็ดพันธุ์พืชที่ใช้ วิธีการในการเพาะปลูก ซึ่งล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดความแตกต่างกันอย่างไม่สิ้นสุด ทั้งหมดนี้ล้วนต้องนำมาพิจารณาทั้งสิ้น วิธีการทดลองแบบวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถนำเหตุปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดเหล่านี้มาร่วมพิจารณาได้

           ทุกวันนี้คุณคงจะได้ยินการพูดถึงผลประโยชน์จาก "ขบวนการข้าวพันธุ์ดีและ "การปฏิวัติเขียว" อยู่บ่อย ๆ เพราะวิธีการเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับพันธุ์ข้าว "ปรับปรุง" ที่อ่อนแอ จึงจำเป็นที่เกษตรกรต้องใช้สารเคมี และยาฆ่าแมลง ๘-๑๐ ครั้งในระหว่างฤดูเพาะปลูก เพียงชั่วเวลาอันสั้น อินทรีย์วัตถุและจุลินทรีย์ในดินจะถูกทำลายหมดเกลี้ยง อายุของดินก็ถูกบั่นทอนไปด้วย และพืชผลก็ต้องพึ่งพิงสารอาหารจากภายนอกในรูปของปุ๋ยเคมี

           ดูเหมือนว่าทุกอย่างดีขึ้นตั้งแต่เกษตรกรเริ่มหันมาใช้เทคนิคแบบ "วิทยาศาสตร์" แต่นี่มิได้หมายความว่าความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติโดยตัวมันเองไม่เพียงพอ จึงต้องอาศัยวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย แต่หมายความว่าการช่วยเหลือจากวิทยาศาสตร์กลายเป็นสิ่งจำเป็นก็เพราะว่าความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติได้ถูกทำลายไปต่างหาก

           การใช้ฟางคลุมพื้นที่ ปลูกพืชคลุมดิน และนำอินทรีย์วัตถุที่เหลือใช้ใส่ลงในดิน จะช่วยให้ที่นาค่อย ๆ มีสารอาหารที่จำเป็นต่อการปลูกข้าวและธัญพืชฤดูหนาวปีแล้วปีเล่าในผืนนาผืนเดิม และเกษตรกรรมธรรมชาติจะช่วยให้ที่นาที่เสียหายจากการเพาะปลูก หรือสารเคมีทางการเกษตรสามารถฟื้นตัวขึ้นใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ

 

--------------------------------------------------------------------------------

* เมตาบอลิซึม (metabolism) มาจากคำกรีกว่า metabole แปลว่า "การเปลี่ยนแปลง" ซึ่งหมายกึงผลรวมของการเปลี่ยนแปลงทางเคมีต่าง ๆ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นภายในหน่วยชีวิต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในเซลซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เหล่านี้จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ได้

http://olddreamz.com/bookshelf/onestraw/onestraw.html
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 04:07:01 pm »




๒.๘

เวลาแห่งการละเลิกสารเคมี


                ทุกวันนี้การปลูกข้าวเจ้าญี่ปุ่นกำลังอยู่ ณ ทางแยกที่สำคัญ ทั้งเกษตรกรและผู้เชี่ยวชาญล้วนอยู่ในความสับสนว่าควรจะเดินไปบนเส้นทางใด จะใช้วิธีปักดำหรือเปลี่ยนไปใช้วิธีหว่านเมล็ดโดยตรง และถ้าเป็นวิธีหลัง จะเลือกการไถพรวนดินหรือไม่ไถพรวนดิน ผมได้พูดมาเป็นเวลา ๒๐ ปีแล้วว่า การหว่านเมล็ดโดยตรงลงไปในดินที่ไม่ไถพรวน จะค่อย ๆ พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ความแพร่หลายอย่างรวดเร็วของวิธีหว่านเมล็ดโดยตรง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในจังหวัดโอคายาม่าเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดี

           อย่างไรก็ตาม ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่กล่าวว่าการเปลี่ยนไปทำการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมี เพื่อสนองตอบความจำเป็นทางอาหารในระดับชาตินั้น เป็นเรื่องเหลือเชื่อ พวกเขากล่าวว่า การใช้สารเคมีเป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุมโรคข้าวที่สำคัญ ๓ ชนิด คือ โรคลำต้นเน่า (stem rot) โรคใบไหม้และโรคขอบใบแห้ง (bacterial leaf blight) แต่ถ้าเกษตรกรเลิกใช้พันธุ์ข้าว "ปรับปรุง" ที่อ่อนแอพวกนั้น ไม่ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไปในดิน และลดปริมาณน้ำขังเพื่อให้รากสามารถเติบโตแข็งแรงขึ้น โรคเหล่านี้จะหมดไป และยาพ่นสารเคมีเหล่านี้ก็จะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น

           ในตอนแรก ดินสีแดงในที่นาของผมขาดความอุดมและไม่เหมาะที่จะปลูกข้าว โรคใบจุดสีน้ำตาล (brown spot) ก็มักจะเกิดขึ้น แต่เมื่อที่นาค่อย ๆอุดมสมบูรณ์ขึ้น โรคใบจุดสีน้ำตาลก็ลดน้อยลง หลังจากนั้นก็ไม่เคยปรากฏว่ามีโรคระบาดเลย

           ปัญหาการรบกวนจากแมลงก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องไม่ฆ่าศัตรูตามธรรมชาติของแมลง การปล่อยให้ที่นาจมอยู่ในน้ำขังที่นิ่งและเน่าเสียทำให้เกิดปัญหาทางด้านแมลงด้วยเป็นกัน แมลงศัตรูพืชที่ก่อความยุ่งยากที่สุดคือ เพลี้ยจักจั่นในหน้าร้อนกับฤดูใบไม้ร่วงพวกนั้น สามารถควบคุมได้ถ้าไม่ปล่อยให้น้ำขังในนาข้าว

           เพลี้ยจักจั่นสีเขียว (Green rice leaf-hoppers) ที่อาศัยอยู่กับวัชพืชตลอดฤดูหนาวอาจกลายเป็นพาหะของไวรัส ถ้าหากสิ่งนี้เกิดขึ้น ผลคือเราต้องสูญเสียข้าวไปราวร้อยละ ๑๐-๒๐ จากโรคใบไหม้ของข้าว ถ้าเราไม่พ่นสารเคมี จะมีแมงมุมเกิดขึ้นมากมายในที่นา และเราก็สามารถปล่อยให้แมงมุมเหล่านี้จัดการกับปัญหาดังกล่าว แต่แมงมุมนั้นอ่อนไหวมาก การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลร้ายต่อมันได้ ดังนั้น จึงควรระมัดระวังอยู่เสมอในแง่นี้

           คนส่วนใหญ่คิดว่า ถ้าไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง ปริมาณผลผลิตทางเกษตรกรรมจะตกต่ำลงจากระดับปัจจุบันมาก ผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงประมาณความสูญเสียในปีแรกหลังจากเลิกใช้ยาฆ่าแมลงว่า จะตกประมาณร้อยละ ๕ และการเลิกใช้ปุ๋ยเคมีก็จะเพิ่มความสูญเสียอีกราวร้อยละ ๕ อย่างไม่ต้องสงสัย

           นั่นคือถ้ามีการลดปริมาณน้ำขังในนาข้าว และเลิกใช้ปุ๋ยเคมีตลอดจนยาฆ่าแมลง ซึ่งสนับสนุนให้ใช้โดยสหกรณ์การเกษตรแล้วละก็ ความสูญเสีย โดยเฉลี่ยในในปีแรกจะตกประมาณร้อยละ ๑๐ พลังแห่งการฟื้นตัวของธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ และหลังจากการสูญเสียในระยะเริ่มแรกนี้ ผมเชื่อว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้น และค่อย ๆ ก้าวหน้าพ้นระดับเดิมเสียอีก

           เมื่อผมทำงานอยู่ที่สถานีวิจัยในจังหวัดโคชิ ผมได้ทดลองวิธีการป้องกันหนอนกอข้าว (stem borers) แมลงเหล่านี้เจาะลำต้นข้าวและอยู่อาศัยในนั้น ทำให้ลำต้นกลายเป็นสีขาวและเฉาตาย วิธีประเมินความเสียหายนั้นทำได้ง่าย ๆ คุณนับจำนวนต้นข้าวที่กลายเป็นสีขาวว่ามีอยู่เท่าไหร่ ในจำนวนข้าว ๑๐๐ ต้นประมาณร้อยละ ๑๐-๒๐ ของมันจะกลายเป็นสีขาว ในกรณีที่รุนแรง มองดูเหมือนว่าต้นข้าวจะเสียหายหมดทั้งแปลง แต่ความเสียหายที่แท้จริงจะประมาณร้อยละ ๓๐

           ความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความสูญเสียเช่นนี้ ผมใช้วิธีพ่นยาฆ่าแมลงเพื่อฆ่าหนอนกอข้าวในที่นาแปลงหนึ่ง ส่วนนาอีกแปลงจะปล่อยไว้เช่นนั้น เมือมาคำนวณผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ปรากฏว่านาแปลงที่ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงที่มีลำต้นเฉาอยู่เป็นจำนวนมากกลับมีผลผลิตสูงกว่า ครั้งแรกผมแทบไม่เชื่อตัวเอง และคิดว่ามันเป็นความผิดพลาดของการทดลอง แต่ข้อมูลที่เก็บได้นั้นถูกต้องแน่นอน ดังนั้นผมจึงทำการทดลองต่อ

           สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อหนอนกอข้าวทำลายต้นข้าวที่อ่อนแอ ทำให้ความหนาแน่นของต้นข้าวลดน้อยลง การเฉาตายของต้นข้าวทำให้เกิดที่ว่างมากขึ้นสำหรับข้าวที่เหลือ ด้วยเหตุนี้ แสงแดดจึงสามารถส่องลงไปจนถึงใบที่อยู่ต่ำสุด ผลก็คือต้นข้าวที่เหลือเติบโตแข็งแรงกว่าเก่า แตกต่างมากขึ้น และให้เมล็ดข้าวมากกว่าตอนที่ต้นข้าวยังหนาแน่น เมื่อต้นข้าวขึ้นอย่างหนาแน่นมาก และแมลงไม่ได้รบกวนทำให้ต้นข้าวดูอุดมสมบูรณ์ดี แต่ในหลายกรณีการเก็บเกี่ยวจะให้ผลต่ำกว่า

           ถ้าอ่านรายงานการวิจัยหลาย ๆ ชิ้นของสถานีวิจัยทางการเกษตร คุณจะได้เห็นบันทึกผลการใช้ยาพ่นสารเคมีแต่ละชนิด แต่โดยทั่วไปมักไม่รู้กันว่า รายงานดังกล่าวจะบันทึกผลการใช้ไว้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แน่นอนล่ะ ไม่ใช่ความจงใจที่จะปิดบังอะไรไว้ แต่เมื่อผลการใช้เหล่านี้ได้รับการตีพิมพ์เพอการโฆษณาโดยบริษัทผลิตสารเคมีเหล่านั้น ก็ดูเหมือนว่าข้อมูลที่ขัดแย้งกันจะถูกปิดบังไม่เปิดเผยออกมา ผลลัพธ์ที่แสดงปริมาณผลผลิตต่ำดังที่เกิดขึ้นในการทดลองเกี่ยวกับหนอนกอข้าวนั้น ถูกคัดออกไปด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการทดลองที่ให้ผลขัดแย้งกัน และไม่ได้รับความใส่ใจ แน่นอนที่ย่อมจะมีกรณีที่แมลงถูกกำจัดแล้วผลผลิตมีปริมาณสูงขึ้น แต่ก็มีกรณีที่ผลผลิตลดต่ำลงด้วยเช่นกัน รายงานเกี่ยวกับผลทดลองประการหลังมักจะไม่ค่อยได้ปรากฏออกมาทางสิ่งตีพิมพ์

           ในบรรดาสารเคมีเกี่ยวกับการเกษตร ยาปราบวัชพืชดูจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะยับยั้งเกษตรกรไม่ให้ใช้ นับตั้งแต่อดีตมาเกษตรกรต้องประสบความยุ่งยากกับสิ่งที่เรียกว่า "การทำสงครามกับวัชพืช" การไถ การพรวน และแบบแผนในการปักดำนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อกำจัดวัชพืช ก่อนที่จะมีการคิดค้นยาปราบวัชพืช เกษตรกรต้องเดินเป็นระยะทางหลายไมล์ตามที่นาที่มีน้ำท่วมขังในแต่ละฤดูกาล เข็นเครื่องมือตัดหญ้าขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามแนวร่อง หรือใช้วิธีถอนวัชพืชด้วยมือ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ง่ายว่า เหตุใดสารเคมีเหล่านี้จึงได้รับการยอมรับราวกับของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้ จากการใช้ฟาง และพืชคลุมดิน ตลอดจนการปล่อยให้น้ำขังในนาข้าวเพียงชั่วคราว ผมได้พบวิธีง่าย ๆ ในการควบคุมวัชพืช โดยไม่ต้องทนตรากตรำถอนวัชพืชหรือใช้สารเคมีเลย

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 04:05:00 pm »

๒.๗
ปลูกผักบ้านแบบผักป่า


                เรามาพูดถึงการปลูกพืชผักสักหน่อย เราอาจจะใช้สวนหลังบ้านเป็นที่ปลูกผักสวนครัว เพื่อเลี้ยงดูคนในครอบครัว หรือมิฉะนั้นก็อาจจะปลูกบนที่ดินว่าง ๆ ที่ไม่ใช้ประโยชน์ก็ได้

           สำหรับสวนหลังบ้าน ขอแนะนำว่าคุณควรปลูกผักสวนครัวชนิดที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะเจาะ ในแปลงที่เตรียมด้วยปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกตามธรรมชาติ วิธีการปลูกพืชผักตามตารางสวนครัวแบบเก่าของญี่ปุ่นนั้นสอดคล้องเป็นอย่างดีกับแบบแผนตามธรรมชาติของชีวิต เด็ก ๆ จะเล่นกันใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้าน ส่วนหมูก็กินเศษอาหารที่เหลือจากครัวและรากไม้ตามดิน หมาจะเล่นและส่งเสียงเห่า ในขณะที่เกษตรกรจะหว่านเมล็ดพืชในดินอันอุดม ตัวหนอนและแมลงเติบโตขึ้นพร้อมกับพืชผัก ไก่จิกหนอนและวางไข่ไว้ไห้เด็ก ๆ ได้กิน

           ครอบครัวชนบทที่เป็นแบบฉบับของญี่ปุ่นจะปลูกพืชผักในลักษณะเช่นนี้จนเมื่อราวไม่เกิน ๒๐ ปีให้หลังมานี้เอง

           โรคพิษจะป้องกันได้ด้วยการปลูกผักพื้นบ้านในเวลาที่เหมาะสม รักษาดินให้อุดมด้วยการนำของเหลือที่เป็นอินทรีย์สารใส่กลับไปในดิน และปลูกพืชหมุนเวียน แมลงที่ทำอันตรายต่อพืชจะถูกจับทิ้งบ้าง โดนไก่จิกกินไปบ้าง ในภาคใต้ของเกาะชิโกกุ มีไก่พันธุ์หนึ่งที่จะกินเฉพาะตัวหนอนและแมลงที่อยู่บนพืชผัก โดยไม่คุ้ยเขี่ยทำลายต้นผักและรากของมัน

           ชาวบ้านบางส่วนอาจจะวิพากษ์วิจารณ์ในตอนแรกเกี่ยวกับการใช้มูลสัตว์และมูลคนว่าเป็นวิธีการโบร่ำโบราณและสกปรก ปัจจุบันผู้คนนิยมพืชผักที่ "สะอาด" ด้วยเหตุนี้เกษตรกรจึงปลูกพืชผักในเรือนกระจกโดยไม่ต้องอาศัยดินเลย การปลูกพืชผักในกรวด ในทราย และในน้ำโดยไม่อาศัยดินเลยกลายเป็นสิ่งที่ทันสมัยกว่า พืชผักเหล่านี้ปลูกโดยอาศัยสารเคมีเป็นธาตุอาหาร และอาศัยแสงซึ่งส่องผ่านผ้าคลุมเส้นใยสงเคราะห์ เป็นสิ่งที่น่าประหลาดที่ประชาชนมองพืชผักเหล่านี้ว่าเป็นของ "สะอาด" และปลอดภัยที่จะนำมากิน อาหารที่ปลูกในดินที่มีความสมดุลระหว่างการทำงานของไส้เดือน จุลินทรีย์ และการเน่าเปื่อยของมูลสัตว์นั้น เป็นสิ่งที่สะอาดที่สุด และมีความอุดมสมบูรณ์ในตัวมันเองที่สุดยิ่งกว่าสิ่งอื่น ๆ

           การปลูกพืชผักในลักษณะ "กึ่งผักป่า" จะทำให้ที่ว่างที่มีอยู่มากมายริมฝั่งแม่น้ำ หรือที่ดินโล่ง ๆ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์นั้นเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นมา ในความคิดของผม วิธีปลูกพืชชนิดนี้ก็คือ เพียงแต่โยนเมล็ดผักไปตามที่เหล่านี้และปล่อยให้มันโตขึ้นพร้อมกับวัชพืช ตัวผมเองปลูกผักอยู่ข้างภูเขาในที่ว่างระหว่างต้นส้ม

           สิ่งที่สำคัญคือต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะปลูก สำหรับพืชผักในฤดูใบไม้ผลิเวลาที่ควรปลูกคือ เมื่อวัชพืชฤดูหนาวเริ่มเหี่ยวเฉาตายไป และก่อนที่วัชพืชในฤดูร้อนจะทันงอก* ออกมา การหว่านเมล็ดในฤดูใบไม้ร่วงควรหว่านเมื่อหญ้าในฤดูร้อนกำลังเฉาตาย และวัชพืชฤดูหนาวยังไม่งอกออกมา

           เป็นการดีที่สุดที่จะรอฝนซึ่งจะตกติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ตัดวัชพืชที่คลุมอยู่ออกและหว่านเมล็ดพันธุ์ผัก ไม่จำเป็นต้องใช้ดินกลบ เพียงแต่เอาวัชพืชที่ตัดแล้วคลุมลงไปบนเมล็ดผักเหล่านั้นเหมือนกับคลุมด้วยฟาง วิธีนี้จะซ่อนเมล็ดผักเหล่านั้นจากนกและไก่ จนกว่ามันจะงอกเป็นต้นอ่อน ปกติแล้วควรตัดวัชพืชออกสัก ๒-๓ ครั้ง นี่เป็นการเปิดทางให้ต้นอ่อนของพืชผักได้งอกแต่บางครั้งการตัดหนเดียวก็เพียงพอแล้ว

           ที่ที่วัชพืชและพืชคลุมดินจำพวกถั่วไม่ขึ้นหนาแน่นเกินไป คุณสามารถหว่านเมล็ดพันธุ์ผักลงไป ไก่จะจิกกินไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะงอกเป็นต้นอ่อน แต่ถ้าคุณปลูกเป็นแนว หรือยกคันร่อง ก็มีโอกาสที่แมลงปีกแข็งและแมลงชนิดต่าง ๆ จะพากันมากินเมล็ดผักเหล่านั้นเสียเป็นจำนวนมาก เพราะแมลงพวกนี้เดินเป็นเส้นตรง ไก่ก็จะจดจำพื้นที่หย่อมที่เราได้ถางไว้ แล้วก็จะมาคุ้ยเขี่ยหาอาหารบริเวณนั้น มันเป็นประสบการณ์ของผมที่พบว่า จะเป็นการดีที่สุดที่จะหว่านเมล็ดไว้ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง

           พืชผักที่เติบโตในลักษณะนี้จะแข็งแรงเกินกว่าที่เราคิด หากว่ามันงอกเป็นต้นอ่อนก่อนวัชพืช มันก็จะไม่ถูกวัชพืชขึ้นปกคลุมในภายหลัง มีผักบางชนิดเช่น ผักป๋วยเล้ง และแครอท ซึ่งจะงอกได้ไม่เร็วนัก ควรเอาเมล็ดแช่น้ำไว้ ๑-๒ วัน แล้วเอาดินเหนียวหุ้มเมล็ดไว้ วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้

           ถ้าหว่านเมล็ดหัวไชเท้า ผักกาดหัว และผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ ที่ขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง ให้มากสักหน่อย ก็จะสามารถสู้กับวัชพืชฤดูหนาวและต้นฤดูใบไม้ผลิ จะมีบางส่วนที่ไม่ถูกเก็บเกี่ยว และจะแตกหน่อใหม่ด้วยตัวมันเองปีแล้วปีเล่า พวกนี้จะมีรสชาติแปลกออกไป และกินอร่อยเป็นพิเศษ

           เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นพืชผักที่ไม่คุ้นเคยหลายชนิด เติบโตงอกงามขึ้นที่โน่นบ้างที่นี่บ้างบนภูเขา หัวไชเท้าและผักกาดหัวจะงอกพ้นดินครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในดิน แครอทและเบอร์ด๊อกส์ จะมีลักษณะอ้วน เตี้ย และมีรากมากมาย ผมเชื่อว่ารสฝาดและขมเล็กน้อยของมัน คือลักษณะเดิมของมันเมื่อครั้งยังเป็นผักป่า กระเทียม หอมเล็ก และกระเทียมต้นเมื่อปลูกแล้วครั้งหนึ่ง มันก็จะสามารถขยายพันธุ์ด้วยตัวมันเองปีแล้วปีเล่า

           พืชจำพวกถั่วที่ใช้บริโภคฝักหรือเมล็ด เหมาะที่จะหว่านในฤดูใบไม้ผลิ ถั่วฝักยาว และถั่วแดงหลวง เป็นพืชที่ปลูกง่ายและให้ผลผลิตสูง การปลูกถั่วจำพวกถั่วแดงอาซูกิ ถั่วเหลือง ถั่วลาย และถั่วแดงหลวง การงอกเป็นต้นอ่อนได้เร็วเป็นสิ่งที่จำเป็น มันจะงอกได้ยากถ้าขาดน้ำฝน และคุณก็ต้องคอยดูแลมันให้พ้นจากนกและแมลง

           มะเขือเทศและมะเขือยาว ไม่แข็งแรงพอที่จะสู้กับวัชพืชเมื่อมันยังเป็นต้นอ่อนอยู่ ดังนั้นจึงควรปลูกในแปลงเพาะก่อนจนโตพอจึงค่อยย้ายลงดิน มะเขือเทศควรปล่อยให้เลื้อยตามดินแทนที่จะทำร้านให้ รากจะงอกออกจากตาตามแนวลำต้นใหญ่ ส่วนยอดอ่อนก็จะงอกออกมาและให้ผล

           สำหรับแตงกวาพันธุ์ที่งอกเลื้อยตามดินจะดีที่สุด คุณจะต้องดูแลตอนที่ยังเป็นต้นอ่อนอยู่ โดยการตัดวัชพืชให้เป็นครั้งคราว แต่หลังจากนั้นมันจะแข็งแรง เอาไม้ไผ่หรือกิ่งไม้ปักไว้ให้มันเลื้อยพัน วิธีนี้จะช่วยให้ลูกของมันอยู่พ้นดินเป็นการปัองกันไม่ให้ลูกเน่าเปื่อย

           วิธีปลูกแตงกวานี้ก็ใช้กับการปลูกแตงเทศและน้ำเต้าด้วย

           มันและเผือกเป็นพืชที่แข็งแรงมาก ปลูกเพียงครั้งเดียวมันก็จะขึ้นในที่เดิมทุกปีและไม่เคยถูกวัชพืชขึ้นปกคลุม เวลาที่คุณเก็บเกี่ยวให้ทิ้งบางส่วนไว้ในดิน ถ้าดินแข็งควรปลูกหัวไชเท้าก่อน เพราะเมื่อรากของมันโต มันจะช่วยพรวนดินและทำให้ดินอ่อนนุ่มขึ้น และเพียงไม่กี่ฤดูก็สามารถปลูกมันแทนได้

           ผมพบว่าพืชคลุมดินจำพวกถั่วเช่นไวท์ โคลเวอร์ มีประโยชน์ในการยับยั้งการเติบโตของวัชพืช มันจะขึ้นอย่างหนาแน่น และสามารถกำจัดวัชพืชที่แข็งแรง เช่น มักเวิร์ท และหญ้าตีนกา ถ้าหว่านเมล็ดโคลเวอร์คลุกเคล้ากับเมล็ดพันธุ์ผัก มันจะทำหน้าที่เป็นวัตถุคลุมดินที่มีชีวิต ที่ช่วยให้ดินอุดมสมบูรณ์และรักษาความชื้นในดิน ทั้งช่วยให้การระบายอากาศเป็นไปได้ดี

           การหว่านเมล็ดโคลเวอร์ก็เช่นเดียวกับพืชผัก กล่าวคือสิ่งสำคัญอยู่ที่การเลือกเวลาที่เหมาะสม การหว่านในปลายฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ร่วงจะดีที่สุด รากจะค่อยเติบโตในระหว่างเดือนที่หนาวเย็น จนในที่สุดลำต้นจะโผล่ขึ้นมาสู้กับวัชพืชในฤดูใบไม้ผลิ พืชคลุมดินจะทำงานได้ดีเช่นกันถ้าหว่านตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ จะใช้วิธีหว่านหรือปลูกเป็นแถวห่างกันช่วงละ ๑๒ นิ้วก็ได้ เมื่อพืชคลุมดินสามารถขึ้นปกคลุมพื้นที่ คุณก็ไม่จำเป็นต้องหว่านเมล็ดเพิ่มอีกเป็นเวลาถึง ๕-๖ ปี

           จุดประสงค์หลักในการปลูกผักในลักษณะกึ่งผักป่าเช่นนี้ ก็เพื่อให้การปลูกผักเป็นธรรมชาติมากเท่าที่จะเป็นได้ในที่ดินซึ่งถูกทิ้งไว้ไม่ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ถ้าคุณพยายามใช้วิธีการที่พัฒนามากกว่านี้ หรือเพื่อจะเพิ่มผลผลิต คุณจะพบกับความล้มเหลว ความล้มเหลวส่วนใหญ่จะเกิดจากแมลงและโรค ถ้าสมุนไพรและพันธุ์ผักหลายชนิดถูกนำมาคลุกเคล้ากัน และปลูกท่ามกลางพืชพันธุ์ธรรมชาติอื่น ๆ ความเสียหายจากแมลงและโรคพืชจะมีน้อย และไม่จำเป็นต้องใช้ยาพ่นหรือจับแมลงเจาะกินพืชผัก

           คุณสามารถปลูกผักที่ไหนก็ได้ที่มีวัชพืชหลายชนิดขึ้นอยู่มากมาย ความสำคัญอยู่ที่ต้องคุ้นเคยกับวงจรในแต่ละปี และแบบแผนการเติบโตของวัชพืชและหญ้าจากการดูความหลากหลายและขนาดของวัชพืชในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง คุณก็จะสามารถรู้ชนิดของดิน และสภาพว่ามีความอุดมสมบูรณ์หรือไม่

           ในสวนของผม ผมปลูกเบอร้ด๊อกซ์ กะหล่ำปลี มะเขือเทศ แคร็อท ผักโสภณ ถั่ว ผักกาดหัว และสมุนไพรหลายชนิด รวมทั้งพืชผักจำนวนมากในลักษณะกึ่งผักป่าเช่นนี้

 

--------------------------------------------------------------------------------

* วิธีปลูกผักเช่นนี้ได้พัฒนามาโดยอาศัยการทดลองของฟูกูโอกะ ซึ่งสัมพันธ์กับเงื่อนไขของท้องถิ่น ที่ที่เขาอยู่อาศัยจะมีฝนในฤดูใบไม้ผลิซึ่งเป็นเรืองแน่นอน และอากาศอุ่นพอที่จะปลูกผักได้ทุกฤดูกาล อาศัยการทดลองเป็นเวลาหลายปี เขาเรียนรู้วามีผักชนิดไหนทีสามารถขึ้นพร้อมกับวัชพืชชนิดใด และต้องการดูแลแบบไหน
           วิธีการเฉพาะของฟูกูโอกะในการปลูกพืชผักนี้ ไม่เหมาะสมกับพื้นที่ส่วนใหญ่ทางอเมริกาเหนือ การปลูกผักในลักษณะกึ่งผักป่าเช่นนี้ต้องขึ้นอยู่กับเกษตรกรแต่ละคน ที่จะพัฒนาวิธีการให้เหมาะสมกับที่ดินและพืชผักตามธรรมชาติในท้องถิ่นของตน

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 04:03:43 pm »

๒.๖
ดินสวน


                การปรับปรุงดินถือเป็นเรื่องพื้นฐานของการจัดการเกี่ยวกับสวน หากว่าคุณใช้ปุ๋ยเคมีต้นไม้จะโตขึ้นก็จริงอยู่ แต่ปีแล้วปีเล่าดินจะจืดลงตามลำดับ ปุ๋ยเคมีจะสูบเอาความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินไปจนหมด และด้วยการทำเพียงเท่านั้นแค่ชั่วรุ่นเดียว ดินจะเสียหายอย่างเห็นได้ชัด

           ไม่มีวิธีการในการทำเกษตรที่สุขุมรอบคอบยิ่งกว่าหนทางที่ช่วยให้เกิดการฟื้นฟูสภาพดินอย่างสมบูรณ์ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว โฉมหน้าของภูเขาลูกนี้เป็นเขาหัวโล้นดินเป็นสีแดง แข็งกระด้างจนคุณไม่สามารถใช้จอบหรือเสียมลงบนดินได้เลย ที่ดินรอบ ๆ บริเวณนี้ก็มีลักษณะเดียวกัน ชาวบ้านแถบนี้ปลูกมัน จนกระทั่งดินหมดสภาพอุดมสมบูรณ์ และหลังจากนั้นที่ดินแถบนี้ก็ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า อาจพูดได้ว่า ผมช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดินที่นี้ขึ้นมาอีกครั้งยิ่งกว่าจะพูดว่าผมมาปลูกส้มและพืชผักที่นี่

           เรามาพูดกันถึงวิธีที่ผมได้ฟื้นสภาพอ้นแห้งแล้งของที่ลาดเชิงเขาแห่งนี้กันสักหน่อย หลังสงครามโลก เทคนิคในการไถพลิกดินขนาดลึกเพื่อทำสวนส้มและขุดหลุมเพื่อเติมปุ๋ยอินทรีย์เป็นเทคนิคที่ได้ร้บการสนับสนุน เมื่อผมออกจากศูนย์วิจัย ผมได้ลองใช้วิธีนี้กับสวนของผมเอง หลายปีต่อมา ผมได้ข้อสรุปว่าวิธีการเช่นนี้ นอกจากจะทำลายสภาพทางกายภาพแล้ว ยังไม่มีส่วนในการช่วยฟื้นฟูสภาพดินเอาเสียเลย

           ตอนแรกผมเอาฟางและต้นเฟิร์น ซึ่งผมนำลงมาจากหลังเขามาใส่หลุมฝังไว้ การขนของหนักถึง ๙๐ ปอนด์ (๔๐.๙ กิโลกรัม) หรือกว่านั้นเป็นงานใหญ่มาก แต่หลังจากนั้น ๒-๓ ปี ก็ไม่มีแม้เพียงฮิวมัสสักฝ่ามือหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น หลุมที่ผมขุดไว้ใส่อินทรีย์วัตถุก็พังยุบไป กลายเป็นเพียงหลุมโล่ง ๆ

           ต่อมาผมพยายามใหม่ด้วยการฝังเศษไม้ ดูเหมือนว่าฟางจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูสภาพดิน แต่ถ้าพิจารณาจากปริมาณขององค์ประกอบของดิน เศษไม้จะดีกว่า วิธีนี้จะดีตราบเท่าที่ยังมีไม้ไห้ตัด แต่สำหรับบางคนที่ไม่มีต้นไม้ใกล้ ๆ ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะปลูกต้นไม้ในสวนโดยตรง ยิ่งกว่าจะไปขนไม้มาจากที่ไกล ๆ

           ในสวนของผมมีต้นซีดาร์ ต้นสน ต้นสาลี่อยู่ ๒-๓ ต้น ตนพลับ ปี่แปั ต้นเชอริ่ญี่ปุ่น และไม้ผลพื้นบ้านอีกหลายชนิดขึ้นปะปนอยู่กับต้นสน ต้นไม้ที่น่าสนใจที่สุดต้นหนึ่งซึ่งแม้จะไม่ใช่ไม้พื้นบ้าน คือต้นโมริชิม่า อะคาเซีย เป็นต้นเดียวกับที่ผมกล่าวถึงก่อนหน้านี้ ที่มีส่วนสัมพันธ์กับการสงวนรักษาศัตรูตามธรรมชาติของแมลงรวมทั้งแมลงเต่าลาย ต้นไม้ชนิดนี้เป็นไม้เนื้อแข็ง ดอกของมันจะดึงดูดผึ้งมาหาน้ำหวาน ใบของมันเหมาะสำหรับเลี้ยงสัตว์ ทั้งยังช่วยป้องกันแมลงในสวนและช่วยกันลม นอกจากนี้บักเตรีที่อาศัยอยู่ในรากยังช่วยทำให้ดินอุดมสมบูรณ์

           ต้นไม้พันธุ์นี้นำเข้ามายังญี่ปุ่นจากประเทศออสเตรเลียเมื่อหลายปีก่อนและเป็นไม้โตเร็วกว่าต้นไม้ชนิดใดที่ผมเคยพบมา รากของมันจะหยั่งลึกลงในดินเพียงชั่วเวลาไม่กี่เดือน และเพียง ๖-๗ ปีให้หลังลำตัวของมันจะสูงเท่า ๆ กับเสาโทรศัพท์ทีเดียว นอกจากนี้ ต้นไม้พันธุ์นี้ยังเป็นตัวตรึงไนโตรเจน ดังนั้นหากปลูกต้นไม้ชนิดนี้สัก ๖-๑๐ ต้นในพื้นที่ ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) มันจะช่วยให้เกิดการฟื้นฟูสภาพดินจนถึงชั้นดินที่อยู่ลึกลงไป และก็ไม่มีความจำเป็นต้องทนหลังขดหลังแข็งในการขนลากไม้จากภูเขาเพื่อมาทำปุ๋ย

           สำหรับการบำรุงหน้าดิน ผมจะหว่านเมล็ดไวท์ โคลเวอร์ และหญ้าอัลฟัลฟ่าบนพื้นดินที่แห้งแล้ง เป็นเวลาหลายปีกว่าพืชคลุมดินเหล่านี้จะสามารถเกาะหน้าดินได้ แต่ในที่สุดมันก็สามารถขึ้นครอบคลุมพื้นที่ในสวนบริเวณเชิงเขาแห่งนี้ ผมปลูกหัวไชเท้าญี่ปุ่นที่เรียกว่าไดกอนไว้ด้วย รากของมันจะชอนไชลึกลงไปในดิน นำเอาอินทรีย์สารลงไปในดิน และเปิดทางให้การหมุนเวียนของอากาศและน้ำดีขึ้น มันขยายพันธุ์ได้ง่าย และหลังจากหว่านไปแล้วครั้งหนึ่งคุณก็แทบจะลืมมันไปได้เลย

           เมื่อดินมีความอุดมสมบูรณขึ้น วัชพืชก็เริ่มจะกลับมาอีกครั้ง ๗-๘ ปีให้หลัง พืชจำพวกถั่วที่ปลูกไว้คลุมดินก็แทบจะกลืนหายไปท่ามกลางวัชพืช ผมจึงหว่านเมล็ดโคลเวอร์เพิ่มลงไปอีกเล็กน้อย ในตอนปลายฤดูร้อนหลังจากตัดวัชพืชออกไป* ผลจากพืชคลุมดินจำพวกถั่วและวัชพืชที่ขึ้นหนาแน่นเป็นเวลากว่า ๒๕ ปีทำให้หน้าดินในสวนแห่งนี้ที่เคยแข็งกระด้างและมีสีแดงค่อย ๆ อ่อนตัวลงและมีสีดำ ทั้งยังอุดมไปด้วยไส้เดือนและอินทรีย์วัตถุ

           เมื่อพืชคลุมดินได้ช่วยฟื้นสภาพหน้าดิน ในขณะเดียวกันรากของต้นโมริชิมา อะคาเซีย ก็ช่วยฟื้นฟูสภาพดินที่อยู่ลึกลงไป คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยและไถพลิกดินระหว่างไม้ผลในสวนอีก สภาพในสวนผลไม้จะมีต้นไม้สูง ๆ สำหรับกันลม ต้นส้มอยู่ตรงกลาง และพืชคลุมดินอยู่เบื้องล่าง ผมได้พบวิธีที่จะอยู่อย่างสบาย ๆ และปล่อยให้สวนจัดการทุกอย่างด้วยตัวมันเอง

 

--------------------------------------------------------------------------------

* ระหว่างฤดูร้อน ฟูกูโอกะจะตัดวัชพืช ไม้หนาม และต้นอ่อนของพืชที่ขึ้นอยู่ใต้ไม้ผลในสวนโดยใช้เคียว

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 04:01:57 pm »




๒.๕

ไม้สวน


                ผมปลูกส้มไว้หลายพันธุ์แถบเชิงเขาใกล้บ้าน เมื่อผมกลับมาทำเกษตรอีกครั้งหลังสงครามโลก ผมเริ่มทำสวนส้มในที่ดิน ๑ ๓/๔ เอเคอร์ (๓.๙ ไร่) และทำนาในพื้นที่ ๓/๘ เอเคอร์ (๐.๘ ไร่) แต่ปัจจุบันเฉพาะสวนส้มกินเนื้อที่ถึง ๑๒ ๑/๒ เอเคอร์ (๓๑.๒ ไร่) ผมเป็นเจ้าของที่ดินแถบนี้โดยการจับจองที่ดินข้างเขาซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่า หลังจากนั้นผมก็เริ่มถากถางมันด้วยมือของผมเอง

           ต้นสนตามที่ลาดเชิงเขาทั้งหลายถูกโค่นลงหลายปีก่อนหน้านี้ สิ่งที่ผมทำก็คือการขุดหลุมตามแนวสันเขา และปลูกชำต้นส้ม เมื่อเวลาผ่านไปกิ่งก้านก็เริ่มแตกออกจากตอต้นสน และหญ้าตระกูลแขมและเลา รวมทั้งหญ้าคาและผักกูดก็เติบโตขึ้น ต้นอ่อนของส้มก็ถูกกลืนหายไปท่ามกลางพงพฤกษชาติ

           ผมตัดต้นอ่อนของสนออกไปเป็นส่วนใหญ่ แต่เหลือบางส่วนไว้เป็นแนวกันลมทางด้านหลัง จากนั้นผมก็ตัดพุ่มไม้หนาแน่นออกบ้าง และถางหญ้าคลุมดินออกพร้อมกับปลูกพืชจำพวกถั่วเช่นโคลเวอร์แทน

           ๖-๗ ปีให้หลังต้นส้มก็เริ่มออกผล ผมขุดดินด้านหลังของต้นไม้ออก เพื่อทำให้เป็นขั้นบันได และสวนในตอนนี้ก็เริ่มดูแปลกตากว่าของผู้อื่นไปบ้าง

           ผมยังคงรักษาหลักการที่ว่าไม่มีการไถพรวนดิน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง และไม่กำจัดวัชพืช สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งก็คือ เมื่อต้นอ่อนเติบโตขึ้นภายใต้ไม้ป่าที่เริ่มแตกยอดใหม่ ไม่ปรากฏว่ามีแมลงศัตรูพืชอย่างเพลี้ยหอยหัวธนู (arrowhead scale) ต่อเมือพุ่มไม้ที่หนาแน่นและต้นไม้ที่แตกยอดใหม่นั้นถูกถางออก จึงทำให้ที่ดินรกเรื้อน้อยลงและดูเป็นสวนมากขึ้น เมื่อนั้นแหละที่แมลงเหล่านั้นจะปรากฏขึ้น

           การปล่อยให้ไม้ผลเติบโตตามลักษณะธรรมชาติของมันตั้งแต่ต้นจะเป็นการดีที่สุด ต้นไม้จะให้ผลทุกปี และไม่มีความจำเป็นที่ต้องตัดแต่งกิ่งใบ ต้นส้มจะเติบโตในลักษณะเดียวกับต้นซีดาร์และต้นสน กล่าวคือ มีลำต้นกลางสูงตรงและมีกิ่งก้านงอกสลับสับหว่างกัน แน่นอน ส้มทุกพันธุ์ไม่ได้มีขนาดหรือรูปทรงแบบเดียวกันทั้งหมด อย่างเช่นส้มฮาซากุ และส้มโอ จะมีลำต้นสูงมาก ส้มอุนซูพันธุ์ฤดูหนาวจะมีลักษณะเตี้ยป้อม ส่วนส้มพันธุ์ซัทซูม่า ต้นเล็กแม้เมื่อโตเต็มที่แล้ว แต่ส้มทุกพันธุ์จะมีลำต้นกลางแบบเดียวกัน

อย่าฆ่าสัตว์กินแมลงตามธรรมชาติ

           ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้วา แมลงศัตรูพืชที่พบทั่วไปในสวน เช่นเพลี้ยหอยแดง(Ruby scale) และเพลี้ยหอยขี้ผึ้งมีเขา (horned wax scale) มีศัตรูตามธรรมชาติของมันอยู่จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงเพื่อควบคุมศัตรูพืชเหล่านี้ เมื่อยาฆ่าแมลงเช่นฟูโซล (Fusol) ถูกนำมาใช้ในญี่ปุ่นสัตว์กินแมลงตามธรรมชาติจะถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง และปัญหาจากผลลัพธ์ดังกล่าวยังคงมีอยู่ในหลายแห่ง จากประสบการณ์นี้ ผมคิดว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เริ่มจะตระหนักว่า การกำจัดศัตรูตามธรรมชาติของแมลงเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา เพราะว่าในระยะยาวแล้วความเสียหายจากแมลงจะเพิ่มมากขึ้น

           สำหรับตัวไรและเพลี้ยหอยที่เกิดขึ้น หากใช้น้ำมันเครื่องที่เจือจางประมาณ ๒๐๐-๔๐๐ เท่า ซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่มีอันตรายต่อศัตรูตามธรรมชาติของเเมลงเมื่อเทียบกับชนิดอื่น ฉีดพ่นบาง ๆ ในกลางฤดูร้อน และปล่อยให้ชุมชนแมลงปรับสมดุลตามธรรมชาติ หลังจากนั้นปัญหาต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ แก้ไขได้ด้วยตัวมันเอง แต่นี่จะไม่ได้ผล หากใช้อินทรีย์สารพวกฟอสฟอรัส* เป็นยาฆ่าแมลงในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม เพราะว่าศัตรูตามธรรมชาติของแมลงจะพลอยถูกฆ่าไปด้วย

           ผมไม่ได้หมายความว่าจะสนับสนุนให้ใช้สิ่งที่เรียกว่ายาพ่นแบบ "อินทรีย์สาร" ที่ปราศจากอันตรายเป็นสารละลายเกลือกระเทียม หรือ น้ำมันขี้โล้ หรือมีความพอใจที่จะนำศัตรูธรรมชาติของแมลงพันธุ์ต่างประเทศเข้ามาในสวนผลไม้เพื่อควบคุมพวกแมลงน่ารำคาญเหล่านั้นแต่อย่างใด การที่ต้นไม้เกิดอ่อนแอและถูกรบกวนจากแมลง เพราะมันได้เบี่ยงเบนออกจากลักษณะตามธรรมชาติของมัน หากต้นไม้เติบโตในลักษณะที่ผิดธรรมชาติ แล้วถูกปล่อยปละละเลยในสภาพนั้นกิ่งก้านของมันจะงอกไขว้ซ้อนกันไปมา และผลก็คือแมลงจะรุมทำลาย ผมได้เล่าให้ฟังแล้วว่าผมได้ทำให้ต้นส้มตายไปหลายเอเคอร์เพราะการทำเช่นนี้

           แต่ถ้าเราค่อย ๆ แก้ไขให้ต้นไม้ได้เติบโตอย่างถูกต้องแล้ว มันก็จะกลับไปสู่ลักษณะตามธรรมชาติของมัน ต้นไม้จะแข็งแรงขึ้น และวิธีการควบคุมแมลงก็จะเป็นสิ่งไม่จำเป็น หากเราปลูกต้นไม้อย่างระมัดระวัง และปล่อยให้มันเป็นไปตามลักษณะธรรมชาติของมันตั้งแต่ต้น ไม่มีความจำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งใบหรือพ่นยาชนิดใดเลย ต้นอ่อนส่วนใหญ่จะได้รับการตัดแต่งกิ่ง หรือมิฉะนั้นรากของมันก็จะถูกทำให้เสียหายตั้งแต่อยู่ในเรือนเพาะก่อนที่จะนำมาปักชำในสวน ซึ่งทำให้การตัดแต่งกิ่งเป็นสิ่งจำเป็นตั้งแต่เริ่มต้น

           ผมพยายามปลูกพืชหลายชนิดเพื่อปรับปรุงดินในสวน ในบรรดาพืชเหล่านี้ผมปลูกต้นโมริชิม่า อะคาเซีย ต้นไม้ชนิดนี้เติบโตตลอดทั้งปี แตกตาใหม่ทุกฤดูกาล เพลี้ยอ่อนชนิดต่าง ๆ (aphids) ที่กินตาอ่อนของต้นไม้ก็เริ่มขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว แมลงเต่าลาย (lady bug) ที่อาศัยกินเพลี้ยอ่อนเหล่านี้ ในไม่ช้าไม่นานก็แพร่ขยายพันธุ์เพิ่มขึ้น เมื่อมันกินเพลี้ยอ่อนจนหมด มันจะไต่ลงมาหาต้นส้มและเริ่มกินแมลงชนิดอืน เช่น ไร เพลี้ยหอยหัวธนู และเพลี้ยหอยนวมสาย (cottony - cusion scale)

           การปลูกไม้ผลโดยไม่ตัดแต่งกิ่งใบ ไม่ใช้ปุ๋ย และไม่ใช้ยาพ่นจำพวกสารเคมีจะเป็นไปได้ก็แต่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติเท่านั้น

 

--------------------------------------------------------------------------------

* สารพวก organs-phosphate เช่น พาราไธออน มาลาไธออน ฯลฯ : ผู้แปล

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 04:01:07 pm »

๒.๔
ปลูกข้าวในนาแห้ง


                เมื่อถึงต้นเดือนสิงหาคม ต้นข้าวในที่นาของเพื่อนบ้านจะสูงขนาดเอวในขณะที่ข้าวในนาของผมจะสูงเพียงครึ่งหนึ่งของเพื่อนบ้านเท่านั้น คนที่มาดีเยี่ยมในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมมักจะเกิดความสงสัย และถามว่า "คุณฟูกูโอกะข้าวพวกนี้จะออกรวงได้แน่หรือครับ" "แน่นอน" ผมตอบ "ไม่ต้องเป็นกังวลเลย ครับ "

           ผมไม่พยายามที่จะปลูกข้าวที่ต้นโตเร็วและใบใหญ่ แต่พยายามให้ต้นมีขนาดย่อมและแข็งแรงมากที่สุดที่จะเป็นไปได้ พยายามให้ช่วงบนเล็ก ไม่บำรุงต้นข้าวมากเกินไป และปล่อยให้มันเติบโตตามลักษณะที่เป็นธรรมชาติของต้นข้าว

           โดยทั่วไปต้นข้าวสูงประมาณ ๓-๔ ฟุต จะให้ใบงามอุดมสมบูรณ์ และให้ความรู้สึกว่าจะให้เมล็ดมาก แต่ที่จริงแล้วมันเพียงแต่ให้ใบและลำต้นที่แข็งแรงเท่านั้น ผลผลิตของแป้งจะมีสูงแต่ประสิทธิภาพต่ำ พลังงานส่วนใหญ่จะหมดไปกับการบำรุงให้ต้นเจริญเติบโต จึงไม่มีเหลือพอให้เก็บกักไว้ในเมล็ด ตัวอย่างเช่น ต้นข้าวที่สูงเกินขนาดจะให้ฟางได้หนัก 2,000 ปอนด์ (๙๐๙.๑ กิโลกรัม) ส่วนผลผลิตข้าวจะได้เพียง ๑,๐๐๐-๑,๒๐๐ ปอนด์ (๔๕๗-๕๔๕.๔ กิโลกรัม) ส่วนข้าวต้นเตี้ยที่ปลูกในนาของผม จะได้ฟางหนัก ๒,๐๐๐ ปอนด์ (๙๐๙.๑ กิโลกรัม)และผลผลิตข้าว 2,000 ปอนด์เช่นกัน ในบางปีที่การเพาะปลูกได้ผลดี ผลผลิตข้าวจากนาของผมจะได้ถึง ๒,๔๐๐ ปอนด์ (๑.๐๙๐.๙ กิโลกรัม) ซึ่งแสดงว่าผลผลิตข้าวที่ได้มีน้ำหนักมากกว่าฟางถึงร้อยละ ๒๐

           ต้นข้าวที่ปลูกในนาแห้งจะไม่สูงมากนัก แสงอาทิตย์จะส่องถึงโคนต้นและใบที่อยู่ต่ำสุด ขนาดใบกว้าง ๑ ตารางนิ้วก็เพียงพอที่จะให้เมล็ดข้าว ๖ เมล็ด ใบเล็ก ๆ เพียง ๓-๔ ใบก็เพียงพอทีจะให้เมล็ดข้าวเป็นร้อยเมล็ด ผมหว่านเมล็ดข้าวค่อนข้างหนา ซึ่งให้ผลผลิตราวต้นละ ๒๕๐-๓๐๐ เมล็ด (๒๐-๒๕ ต้น) ต่อพื้นที่ ๑ ตารางหลาถ้าคุณมีต้นข้าวมากและไม่พยายามปลูกให้ต้นใหญ่ คุณจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากขึ้น การปลูกข้าวสาลี ข้าวไรย์ ข้าวบั๊ควีท ข้าวโอ๊ตและข้าวมิลเล็ท รวมทั้งธัญพืชอื่น ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน

           วิธีโดยทั่วไป มักจะเก็บกักน้ำไว้ในนาข้าวสูงหลายนิ้วตลอดฤดูการเพาะปลูก เกษตรกรปลูกข้าวในที่น้ำท่วมขังเป็นเวลาหลายศตวรรษ จนกระทั่งคนส่วนใหญ่เชื่อว่าไม่มีการปลูกข้าวด้วยวิธีอื่นอีกแล้ว ข้าวนาลุ่มนานาพันธุ์จะแข็งแรงเมื่อปลูกในที่นาที่น้ำท่วมขัง แต่การปลูกวิธีนี้ไม่เป็นผลดีต่อต้นข้าว ต้นข้าวจะเติบโตได้ดีที่สุด เมื่อมีน้ำอยู่ในดินในระหว่างร้อยละ ๖๐-๘๐ ของจุดอิ่มตัวของดินในการรับน้ำ เมื่อไม่ปล่อยให้น้ำท่วมขัง ต้นข้าวจะมีรากแข็งแรง และจะสามารถสู้กับการรุกรานของเชื้อโรคและแมลง

           เหตุผลหลักในการปลูกข้าวในที่น้ำท่วมขัง ก็เพื่อควบคุมวัชพืชโดยการจัดสภาพแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้วัชพืชเพียงไม่กี่ชนิดสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ แต่กระนั้นก็ยังต้องอาศัยการถอนด้วยมือ หรือเครื่องมือในการไถกลบ วิธีแบบพื้นบ้านเป็นนี้เป็นงานที่กินเวลาและทำให้ปวดหลัง ซึ่งเป็นงานที่ต้องทำแล้วทำเล่าหลายครั้งหลายหนในทุกฤดูกาลเพาะปลูก

           ในเดือนมิถุนายนอันเป็นหน้ามรสุม ผมจะปล่อยให้น้ำท่วมขังในนาประมาณ ๑ อาทิตย์ มีวัชพืชเพียงไม่กี่ขนิดที่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้แม้ไม่มีออกซิเจนในช่วงเวลาสั้น ๆ พืชคลุมดินก็พลอยเหี่ยวเฉาและกลายเป็นสีเหลืองไปด้วย นี่ไม่ใช่ความคิดที่จะกำจัดพืชคลุมดิน เพียงแต่ทำให้มันอ่อนแอลง และเปิดโอกาสให้ต้นกล้าเติบโตหยั่งรากมั่นคง เมื่อปล่อยน้ำออก (เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้) พืชคลุมดินพวกนี้จะฟื้นตัวขึ้นใหม่ และแพร่ขยายไปคลุมพื้นที่นาอีกครั้งภายใต้ต้นข้าวที่โตขึ้น หลังจากนั้นผมก็แทบไม่ทำอะไรเลยเกี่ยวกับระบบน้ำ ช่วงครึ่งแรกของฤดูผมจะไม่ให้น้ำเลยแม้ในปีที่มีฝนตกน้อยมาก เพราะดินที่อยู่ใต้ชั้นฟางและพืชคลุมดินก็ยังคงมีความชุ่มชื้น พอถึงเดือนสิงหาคม ผมจะปล่อยน้ำเข้านาเล็กน้อยเป็นครั้งคราว แต่ไม่ปล่อยให้น้ำท่วมขัง

           หากคุณเอาต้นข้าวจากนาของผมไปให้เกษตรกรดู เขาก็จะรู้ได้ทันทีว่ามันมีลักษณะของต้นข้าวอย่างที่ควรจะเป็น และยังมีรูปทรงที่เหมาะสมที่สุด เขารู้อีกว่าเมล็ดข้าวนั้นงอกขึ้นมาตามธรรมชาติ และไม่ใช่การปักดำ ต้นข้าวนั้นไม่ได้เติบโตขึ้นมาในที่ที่มีน้ำมาก อีกทั้งยังไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมี เกษตรกรคนไหนก็ได้สามารถบอกสิ่งเหล่านี้จากการมองดูรูปทรงโดยรวมของต้นข้าว รูปทรงของราก และระยะห่างของข้อที่ลำต้น หากคุณรู้จักรูปทรงที่เป็นเลิศ ก็มาถึงเรื่องว่าจะมีวิธีปลูกพืชให้มีรูปทรงเช่นนั้นภายใต้เงื่อนไขเฉพาะของที่นาของคุณได้อย่างไร

           ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดของศาสตราจารย์มัทซึชิม่าที่ว่า ต้นข้าวที่ดีที่สุดนั้นใบที่ ๔ นับจากยอดจะเป็นใบยาวที่สุด บางครั้งใบที่ ๒ หรือ ๓ ยาวที่สุดแต่ได้ผลที่ดีที่สุดเช่นกัน ถ้าควบคุมการเจริญเติบโตของต้นข้าวขณะที่ยังเล็กอยู่ใบบนสุดหรือใบที่ ๒ มักจะยาวที่สุด แต่ปริมาณผลผลิตก็ยังคงสูงอยู่เช่นเดิม

           ทฤษฎีของศาสตราจารย์มัทซึชิม่า มาจากการทดลองปลูกข้าวที่อ่อนแอในแปลงเพาะและใช้ปุ๋ยช่วย หลังจากนั้นก็นำมาปักดำ ในอีกด้านหนึ่ง ข้าวของผมปลูกตามวงจรชีวิตของต้นข้าวตามธรรมชาติ เหมือนกับว่ามันเติบโตของมันเอง ผมรอคอยอย่างอดทนให้ต้นข้าวเติบโต และสุกเต็มที่ตามวิถีทางของมันเอง

           หลายปีมานี้ ผมลองปลูกข้าวเหนียวพันธุ์เดิมจากทางภาคใต้ แต่ละเมล็ดที่หว่านในฤดูใบไม้ร่วง จะงอกเป็นต้นโดยเฉลี่ย ๑๒ ต้น และให้เมล็ดถึงรวงละ ๒๕๐ เมล็ด จากข้าวพันธุ์นี้ ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งผมจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ใกล้เคียงกับปริมาณ ซึ่งคำนวณกันว่าเป็นขีดสูงสุดเท่าที่พลังงานแสงอาทิตย์ในท้องนาจะสามารถผลิตได้ ที่นี่บางแปลงของผมได้ผลผลิตจากข้าวพันธุ์นี้ถึง ๒๗ ๑/๒ บูเชล (๗๕๐ กิโลกรัม) ต่อที่ดิน ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่)

           เมื่อมองจากสายตาที่ลังเลสงสัยของนักเทคนิค วิธีการปลูกข้าวของผมอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องระยะสั้น หรือผลชั่วคราว พวกเขาอาจจะพูดว่า "หากการทดลองนี้กินเวลาต่อเนื่องยาวนานขึ้น ปัญหาบางอย่างจะต้องปรากฏขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย" แต่ผมได้ปลูกข้าวด้วยวิธีเช่นนี้มากว่า ๒๐ ปีแล้ว ผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และดินก็อุดมสมบูรณ์ขึ้นทุกปี

 

--------------------------------------------------------------------------------
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 04:00:27 pm »


๒.๓
ทำการเกษตรด้วยฟาง


                การ โปรยฟางคลุมที่นาอาจจะดูไม่สลักสำคัญอะไร แต่มันเป็นพื้นฐานของวิธีปลูกข้าวและธัญพืชฤดูหนาวของผม มันเกี่ยวข้องกับทุกสิ่ง ตั้งแต่เรื่องความอุดมสมบูรณ์ การงอกของต้นอ่อน การควบคุมวัชพืชและป้องกันนกมาจิกกิน ทั้งยังเกี่ยวกับการจัดการระบบนาด้วย การใช้ฟางในการเกษตรเป็นเรื่องที่สำคัญมากทั้งในภาคปฏิบัติและทฤษฎี นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนผมจะไม่สามารถทำให้คนเข้าใจมันได้

โปรยฟางที่ไม่ได้สับ

           ศูนย์ทดลองการเกษตรที่โอคายาม่ากำลังทดลองปลูกข้าว โดยการหว่านเมล็ดโดยตรงถึงร้อยละ ๘๐ ของแปลงทดลอง เมื่อผมแนะให้เขาโปรยฟางที่ไม่ได้สับ พวกเขาก็ทำท่าในทำนองว่าเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง แล้วก็ยังคงทำการทดลองต่อไปโดยใช้ฟางที่สับโดยเครื่องจักร ผมแวะไปเยี่ยมศูนย์ทดลองนี้เมื่อหลายปีก่อน ผมได้พบว่า เขาแบ่งแปลงทดลองออกเป็นแปลงที่ใช้ฟางสับแล้ว แปลงที่ใช้ฟางไม่สับ และแปลงที่ไม่ใช้ฟางเลย นี่เป็นสิ่งเดียวกับที่ผมเคยทดลองทำมาก่อนหน้านี้นานแล้ว และเมื่อผมพบว่าการใช้ฟางที่ไม่ได้สับดีที่สุด ผมก็เลยใช้วิธีนี้ คุณฟูจิอิ อาจารย์ในวิทยาลัยเกษตรกรรมยาซูกิที่จังหวัดชิมาเนะ ต้องการทดลองการปลูกธัญพืชด้วยการหว่านเมล็ดโดยตรง ได้แวะมาเยี่ยมผมที่นา ผมแนะนำให้เขาโปรยฟางที่ไม่ได้สับคลุมพื้นที่นา เขากลับมาอีกครั้งในปีรุ่งขึ้นและบอกว่าผลการทดลองนั้นล้มเหลว หลังจากที่ผมฟังเขาอธิบายถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ผมก็รู้ว่าเขาได้วางฟางอย่างเป็นระเบียบประณีตเหมือนในแปลงสวนครัว ถ้าคุณทำเช่นนั้น เมล็ดข้าวจะงอกได้ไม่ดีเลย เช่นเดียวกับการโปรยฟางข้าวบาร์เลยหรือข้าวไรย์ ถ้าเราโปรยฟางอย่างเป็นระเบียบเกินไปต้นข้าวกล้าก็จะงอกได้ยากเช่นกัน วิธีที่ดีที่สุดคือการโปรยฟางไปทั่ว ๆ ให้เหมือนกับฟางนั้นตกลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ

           ฟางจากข้าวเจ้าเหมาะที่จะใช้คลุมพื้นที่ปลูกธัญพืชฤดูหนาว เช่นเดียวกันฟางจากธัญพืชฤดูหนาวก็เหมาะกับข้าวเจ้าด้วย ผมต้องการให้สิ่งนี้เป็นที่เข้าใจกันอย่างแจ่มชัด มีโรคหลายชนิดที่ทำอันตรายต่อต้นข้าวเจ้าถ้าใช้ฟางสดจากข้าวชนิดเดียวกันคลุมที่นา แต่โรคของข้าวเจ้าจะไม่ทำอันตรายธัญพืชฤดูหนาว และถ้านำฟางจากข้าวเจ้ามาแผ่คลุมที่นาตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง มันก็จะเปื่อยได้ที่ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นเวลาที่ข้าวกล้าเริ่มงอก ฟางสดของข้าวเจ้าจะปลอดภัยสำหรับธัญพืชชนิดอื่น เช่นเดียวกับฟางจากข้าวบั๊ควีท และธัญพืชพันธุ์อื่น ๆก็สามารถนำมาใช้คลุมข้าวเจ้าและข้าวบั๊ควีทด้วยเช่นกัน โดยทั่วไปฟางสดจากธัญพืชฤดูหนาว เช่น ข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลยไม่ควรนำมาใช้กับธัญพืชฤดูหนาวพันธุ์อื่น ๆ เพราะว่าจะเกิดโรคระบาดก่อความเสียหายขึ้นได้

           ฟางและแกลบทั้งหมดที่เหลือจากการนวดในการเก็บเกี่ยวที่เพิ่งผ่านพ้นไปควรนำกลับไปใส่ไว้ในที่นา

ฟางข้าวบำรุงดิน

           การโปรยฟางเป็นวิธีรักษาโครงสร้างของดินและบำรุงดิน ดังนั้นปุ๋ยที่เกิดจากการเตรียมจึงเป็นสิ่งไม่จำเป็น วิธีนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับการไม่ไถพรวนดินด้วย ที่นาของผมอาจจะเป็นที่แห่งเดียวในญี่ปุ่น ที่ไม่เคยไถพรวนเลยตลอดเวลากว่า ๒๐ ปีที่ผ่านมา และคุณภาพของดินดีขึ้นทุกฤดูกาล ผมคาดว่าหน้าดินที่อุดมด้วยฮิวมัสมีความหนามากกว่า ๔ นิ้วในระหว่างหลายปีนี้ นี่คือผลโดยตรงจากการที่นำสิ่งต่าง ๆ ที่ปลูกได้ในนาข้าว ยกเว้นธัญญาหารใส่กลับเข้าไปในที่นาอีกครั้งหนึ่ง

ไม่จำเป็นต้องทำปุ๋ยหมัก

           ไม่มีความจำเป็นต้องทำปุ๋ยหมัก ผมไม่ได้พูดว่าคุณไม่ต้องใซ้ปุ๋ยหมักเพียงแต่ว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำงานมากขึ้นเพื่อการนี้ ถ้าปล่อยให้ฟางคลุมพื้นที่นาในระหว่างฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูใบไม้ร่วง และใส่ปุ๋ยมูลสัตว์จากขี้ไก่หรือขี้เป็ดเพียงเล็กน้อย ภายใน ๖ เดือนมันจะเปื่อยได้ที่

           ในการทำปุ๋ยหมักด้วยวิธีทั่วไปนั้น เกษตรกรจะต้องทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลังท่ามกลางแสงอาทิตย์อันร้อนระอุ ตั้งแต่สับฟางให้เป็นชิ้น ๆ เติมน้ำเติมปูนขาว พลิกชั้นปุ๋ยและลากเอาปุ๋ยที่หมักได้ที่แล้วมาใช้ในนา เขาทำตัวให้ลำบากเช่นนี้เพราะคิดว่ามันเป็น "วิธีที่ดีกว่า" ผมอยากเห็นเกษตรกรโปรยฟางหรือแกลบ หรือขี้เลื่อยบนที่นาของพวกเขามากกว่า

           ระหว่างที่เดินทางไปยังภาคตะวันตกของญี่ปุ่นโดยรถไฟสายฮ็อกไคโด ผมสังเกตเห็นว่าเริ่มมีการสับฟางอย่างหยาบ ๆ มากขึ้นกว่าเมื่อครั้งที่ผมเริ่มเสนอให้มีการโปรยฟางที่ไม่ต้องสับ ผมรู้สึกเลื่อมใสในเกษตรกรเหล่านั้น แต่ในปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญยังคงกล่าวว่า วิธีที่ดีที่สุดควรใช้ฟางหลายร้อยปอนด์ต่อที่ดิน ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) ทำไมเขาไม่บอกว่าให้เอาฟางทั้งหมดที่ได้จากการเก็บเกี่ยวใส่กลับเข้าไปในนาข้าว เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คุณจะเห็นเกษตรกรเอาฟางมาสับและโปรยฟางประมาณครึ่งหนึ่งลงไปในนา ส่วนที่เหลือก็ปล่อยทิ้งไว้ไห้มันผุพังไปเมื่อถูกฝนชะ

           ถ้าหากเกษตรกรทั้งหมดในญี่ปุ่นร่วมมือกัน และเริ่มเอาฟางทั้งหมดใส่กลับเข้าไปในที่นา ผลของมันก็คือปุ๋ยจำนวนมหาศาลจะกลับสู่พื้นโลก

การงอก

           เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่เกษตรกรต้องเตรียมแปลงเพาะกล้า เพื่อที่จะได้ต้นกล้าที่แข็งแรง แปลงเพราะเล็ก ๆ น่าจะได้รับการดูแลอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับเป็นแท่นบูชาของครอบครัวเลยทีเดียว ดินจะถูกไถพรวน ทรายและขี้เถ้าจากการเผาแกลบจะถูกนำมาโปรยไว้ทั่วแปลง มีการสวดมนตร์เพื่อให้ ต้นกล้า เจริญงอกงาม

           นี่มิใช่สิ่งไร้เหตุผลที่เพื่อนบ้านข้างเคียงจะคิดว่าผมสติไม่ดี ที่หว่านเมล็ดในขณะที่ธัญพืชฤดูหนาวยังอยู่ในนา ทั้งยังเต็มไปด้วยวัชพืช และเศษฟางที่กำลังเปื่อยกระจัดกระจายอยู่เต็มท้องนา

           เมล็ดจะงอกได้ดีเมื่อหว่านลงในที่นาทีมีการไถอย่างดีก็จริงอยู่ แต่ถ้าฝนตกและที่นากลายเป็นโคลน คุณก็จะลงไปเดินในที่นาไม่ได้ และการหว่านก็ต้องเลื่อนออกไป วิธีไม่ไถพรวนดินจึงได้เปรียบกว่าในแง่นี้ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็มีปัญหากับพวกสัตว์เล็ก ๆ เช่น ตัวตุ่น จิ้งหรีด หนู และทาก ซึ่งชอบกินเมล็ดพืช การใช้กระสุนดินเหนียวหุ้มเมล็ดไว้จึงช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้

           การหว่านเมล็ดธัญพืชฤดูหนาว วิธีการโดยทั่วไปมักจะใช้วิธีหว่านเมล็ดแล้วเอาดินกลบ แต่ถ้าหยอดเมล็ดไว้ลึกเกินไป มันก็จะเน่าเปื่อยไป ผมเคยทดลองหยอดเมล็ดลงในหลุมเล็ก ๆ หรือใช้วิธียกร่องเป็นคันดินขึ้นมาไม่เอาดินกลบ แต่ผมก็ประสบกับความล้มเหลวหลายครั้งทั้งสองวิธี

           ท้ายสุดผมเกิดความขี้เกียจ และแทนที่จะยกร่องหรือขุดหลุมปลูก ผมใช้วิธีหุ้มเมล็ดไว้ในกระสุนดินเหนียวและโยนเมล็ดเหล่านั้นลงไปยังที่นาโดยตรงเลย การงอกเป็นไปได้ดีบนผิวดิน เพราะได้ออกซิเจน ผมพบว่าบริเวณที่กระสุนเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกปกคลุมด้วยฟาง มันจะงอกได้ดีและไม่เน่าเปื่อยแม้ในปีที่มีฝนตกหนักมากก็ตาม

ฟางช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับวัชพืชและนก

           ที่ดิน ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) การจะได้ฟางจากข้าวบาร์เลย์ประมาณ ๙๐๐ ปอนด์ (๔๐๙.๑ กิโลกรัม) ซึ่งนับเป็นเกณฑ์ที่ดีที่สุด ถ้านำฟางทั้งหมดไปโปรยในนามันจะสามารถคลุมที่นาได้ทั้งหมด แม้แต่วัชพืชที่สร้างความยุ่งยากเช่นหญ้าตีนกาซึ่งเป็นปัญหาที่ลำบากมากสำหรับการเพาะปลูกด้วยวิธีหว่านเมล็ดโดยตรงและไม่ไถพรวนดิน ก็จะสามารถควบคุมได้

           นกกระจอกสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ผมมาก การหว่านเมล็ดโดยตรงจะไม่สำเร็จ ถ้าไม่มีวิธีทีวางใจได้ในการจัดการกับพวกนก และในหลาย ๆ ที่ที่การเพาะปลูกด้วยการหว่านเมล็ดโดยตรง ไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายก็เพราะสาเหตุเรื่องนี้ พวกคุณหลายคนก็คงประสบปัญหากับบรรดานกกระจอกแบบเดียวกัน และคุณก็คงเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร

           ผมยังจำได้ถึงตอนที่บรรดานกพวกนี้บินตามหลังผมและกินเมล็ดที่ผมเพิ่งหว่านไปหยก ๆ จนหมด ก่อนที่ผมจะทันหว่านให้เสร็จอีกฟากหนึ่งของที่นาด้วยซ้ำ ผมลองใช้ทั้งหุ่นไล่กา ตาข่าย และใช้เชือกผูกกระป๋องให้มันเกิดเสียงเวลากระทบกัน แต่ดูเหมือนไม่มีวิธีใดที่ใช้ได้ผลดี แม้ว่าบางวิธีจะใช้ได้ผลแต่ก็ได้ผลไม่นานกว่า ๑-๒ ปีเท่านั้น

           ประสบการณ์ส่วนตัวของผมได้แสดงให้เห็นว่า การหว่านเมล็ดในขณะที่พืชผลอีกชนิดก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว เป็นการฉวยให้เมล็ดเหล่านี้สามารถซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าและพืชคลุมดิน ทั้งการแผ่คลุมที่นาด้วยฟางข้าวทันทีที่การเก็บเกี่ยวสิ้นสุดลง ปัญหาเรื่องนกก็จะสามารถแก้ตกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

           ผมได้ทำผิดพลาดไว้มากขณะทำการทดลองระหว่างหลายปีที่ผ่านมาและก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับความล้มเหลวของวิธีการทั้งหลาย ผมอาจจะรู้ดีกว่าทุกคนในญี่ปุ่นด้วยซ้ำว่าวิธีการทำการเกษตรแบบใดที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม เมื่อผมประสบความสำเร็จในการปลูกข้าว และธัญพืชฤดูหนาวด้วยวิธีไม่ไถพรวนดินเป็นครั้งแรกนั้น ผมมีความเบิกบานใจเป็นที่สุด คงจะเหมือนกับที่โคลัมบัสรู้สึกเมื่อเขาค้นพบทวีปอเมริกา

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 03:59:48 pm »

๒.๒
เกษตรกรรมท่ามกลางวัชพืช


                วัชพืช หลายชนิดได้เติบโตขึ้นร่วมกับธัญพืช และพืชคลุมดินจำพวกถั่วในที่นาแห่งนี้ ฟางข้าวที่โปรยคลุมดินตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงที่แล้ว ได้สลายตัวกลายเป็นฮิวมัสอันอุดม ปริมาณผลผลิตที่ได้จะประมาณ ๒๒ บูเชล (๕๒๐.๙ กิโลกรัมต่อที่ดิน ๑ ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่)

           เมื่อวานนี้ศาสตราจารย์คาวาเอะ ซึ่งถือกันว่าเป็นผู้รู้ชั้นนำทางด้านทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ และศาสตราจารย์ ฮิโรเอะ นักวิจัยด้านพันธุ์พืชโบราณ แวะมาหาผมที่นา เมื่อทั้งสองท่านแลเห็นข้าวบาร์เลย์ และพืชคลุมดินแพร่ขยายอย่างงดงามในที่นาของผม ท่านทั้งสองเรียกมันว่า เป็นงานศิลป์อันวิจิตรพิสดาร เกษตรกรเพื่อนบ้านที่คาดหมายว่าทุ่งนาของผมคงจะมีแต่วัชพืชขึ้นรกเต็มพื้นที่ ต่างพากันประหลาดใจที่พบว่าข้าวบาร์เลย์เติบโตอย่างแข็งแรงมากท่ามกลางพืชชนิดอื่น ๆ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคก็มาที่นี่ด้วย พอมองเห็นวัชพืช ผักกาดน้ำ และโคลเวอร์งอกเต็มไปหมดทั้งพื้นที่ ก็ส่ายหัวก่อนจากไปด้วยความพิศวงงงงวย

           เมื่อ ๒๐ ปีก่อน ตอนที่ผมสนับสนุนให้ปลูกพืชคลุมดินถาวรในสวนผลไม้ ในตอนนั้นไม่มีใบหญ้าสักใบให้เห็นในสวน หรือในนาสักแห่งในประเทศ ต่อเมื่อมาเห็นสวนผลไม้ของผม คนจึงค่อยเข้าใจว่าไม้ผลจะปลูกได้ดีท่ามกลางวัชพืชและหญ้า ปัจจุบันสวนผลไม้ที่มีหญ้าปกคลุมกลายเป็นสิ่งธรรมดาในญี่ปุ่น สวนผลไม้ที่ไม่มีหญ้าขึ้นเลยเสียอีกที่กลายเป็นสิ่งหายาก

           นาข้าวก็เป็นเช่นเดียวกัน ข้าวเจ้า ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์ สามารถปลูกได้ผลดีท่ามกลางพืชคลุมดิน และวัชพืชที่ขึ้นตลอดทั้งปี

           ผมจะลองทบทวนรายละเอียดในการปลูกพืชประจำปี และกำหนดการเก็บเกี่ยวในนาของผม ตอนต้นเดือนตุลาคมก่อนการเก็บเกี่ยว ไวท์ โคลเวอร์ พืชคลุมดินจำพวกถั่ว และเมล็ดธัญพืชฤดูหนาวที่โตไวหลายชนิดจะถูกหว่านลงไปในท่ามกลางต้นข้าว* ที่กำลังสุกงอม

           ถ้าข้าวเจ้าถูกหว่านในฤดูใบไม้ร่วง และปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีอะไรหุ้มเอาไว้เมล็ดข้าวมักจะถูกหนูหรือนกกินไป หรือมิฉะนั้นก็อาจจะเน่าเปื่อยไป ด้วยเหตุนี้ผมจึงหุ้มเมล็ดข้าวในกระสุนดินเหนียวเล็ก ๆ ก่อนหว่าน วิธีทำคือ เอาเมล็ดข้าวใส่ในจานแบนหรือกระด้งแล้วฝัด จากนั้นเอาผงดินเหนียวละเอียดมาคลุกกับเมล็ดข้าว พรมน้ำเล็กน้อยพอให้ดินจับตัวกัน ปั้นเป็นกระสุนเล็ก ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางครึ่งนิ้ว

           ยังมีวิธีทำกระสุนเมล็ดข้าวด้วยวิธีอื่นอีก เบื้องแรกนำข้าวเปลือกมาแช่น้ำสักหลายชั่วโมง จากนั้นเอาเมล็ดข้าวมาคลุกกับดินเหนียวหมาด ๆ ใช้มือหรือเท้านวดให้เข้ากัน เอาดินเหนียวมากดผ่านตะแกรงลวดให้เป็นก้อนเล็ก ๆ ก้อนดินเล็ก ๆ เหล่านี้ควรปล่อยไว้ราว ๑-๒ วันให้แห้ง หรือจนกว่าจะสามารถเอามาคลึงด้วยฝ่ามือให้กลมเป็นกระสุนได้ง่าย ๆ กระสุนที่ดีที่สุดควรมีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว ในวันหนึ่ง ๆ สามารถทำกระสุนเมล็ดข้าวนี้ได้พอสำหรับที่ดินหลายเอเคอร์

           บางครั้งผมจะใช้วิธีนี้กับเมล็ดพันธุอย่างอื่น และเมล็ดผักด้วยก่อนหว่านซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์และเงื่อนไข

           ระหว่างกลางเดือนพฤศจิกายน และกลางเดือนธันวาคม เป็นเวลาที่เหมาะแก่การหว่านกระสุนเมล็ดข้าวเหล่านี้ลงไปในนาข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์ ซึ่งยังเป็นต้นอ่อนอยู่ แต่จะรอไว้หว่านในฤดูใบไม้ผลิ* ก็ได้เช่นกัน ปุ๋ยมูลสัตว์จากขี้ไก่จะนำมาโปรยบาง ๆ ไว้ทั่วที่นา เพื่อช่วยให้ฟางข้าวสลายตัว งานเพาะปลูกในแต่ละปีก็เป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์

           ในเดือนพฤษภาคม ธัญพืชฤดูหนาวจะถูกเก็บเกี่ยว หลังจากนวดข้าวแล้วฟางทั้งหมดจะนำไปแผ่คลุมที่นาไว้

           น้ำจะถูกปล่อยให้ขังอยู่ในนาประมาณ ๑ อาทิตย์ - ๑๐ วัน มันจะทำให้วัชพืช และพืชคลุมดินอ่อนแอลง และปล่อยให้เมล็ดข้าวงอกออกมาจากฟางที่คลุม น้ำฝนเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ สำหรับต้นข้าวในระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม พอถึงเดือนสิงหาคมผมจะปล่อยน้ำเข้านาอาทิตย์ละครั้ง โดยไม่ต้องให้น้ำขัง จากนั้นงานเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงก็กำลังเริ่มต้น

           นี่คือวงจรประจำปีของการปลูกข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวด้วยวิธีธรรมชาติ การหว่านเมล็ดและการเก็บเกี่ยวดำเนินตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติอย่างใกล้ชิด จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ ยิ่งกว่าเป็นเทคนิคทางการเกษตร

           เกษตรกรหนึ่งคนจะใช้เวลาเพียง ๑-๒ ชั่วโมงในการหว่านเมล็ด และโปรยฟางคลุมพื้นที่ขนาด ๑ ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) ยกเว้นงานเก็บเกี่ยวแล้ว ธัญพืชฤดูหนาวสามารถปลูกโดยอาศัยคนเพียงคนเดียว และเพียงคน ๒-๓ คนก็สามารถทำงานที่จำเป็นทั้งหมดในการปลูกข้าวเจ้า โดยอาศัยเพียงเครื่องไม้เครื่องมือพื้นบ้านของญี่ปุ่นเท่านั้น อาจจะไม่มีวิธีการปลูกธัญพืชที่ง่ายดายยิ่งกว่านี้อีกแล้วก็ได้ ยังมีเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากการหว่านเมล็ดพืช และโปรยฟางคลุมพื้นที่อยู่อีกเล็กน้อย แต่ผมต้องใช้เวลามากกว่า ๓๐ ปีกว่าจะเข้าถึงความเรียบง่ายที่ว่านี้ได้

           วิธีทางการเกษตรแบบนี้ได้พัฒนาตามเงื่อนไขทางธรรมชาติ ของพื้นที่ที่เป็นเกาะของญี่ปุ่น แต่ผมรู้สึกว่าเกษตรกรรมธรรมชาติสามารถนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่น ๆ และในการปลูกพืชพื้นบ้านชนิดอื่น ๆ ด้วย ในบริเวณที่น้ำอาจจะไม่ค่อยสมบูรณ์ ก็อาจปลูกพืชชนิดอื่น เช่น ข้าวไร่ หรือปลูกธัญพืชชนิดอื่น ๆ เช่น บั๊ควีท ข้าวฟ่าง หรือข้าวมิลเล็ท พืชคลุมดินจำพวกถั่วก็มีหลายชนิดที่สามารถใช้ปลูกทดแทนกันได้ เช่น โคลเวอร์ อัลฟัลฟ่า เวทซ์ หรือ ลูปิน เกษตรกรรมธรรมชาติมีรูปแบบที่แตกต่างออกไปเป็นพิเศษจากวิธีการอื่น โดยจะเป็นไปตามสภาวะและเงื่อนไขที่เป็นเฉพาะตัวของแต่ละสถานที่ที่ใช้วิธีการดังกล่าว

           ในช่วงผ่านก่อนที่จะมาใช้วิธีทางการเกษตรชนิดนี้ การกำจัดวัชพืช การใช้ปุ๋ยหมัก หรือการตัดแต่งกิ่งใบ อาจจะยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ในระยะแรกแต่วิธีการเหล่านี้จะต้องค่อย ๆ ลดลงในแต่ละปี ว่าถึงที่สุดแล้ว เทคนิคในการปลูกไม่ใช่ปัจจัยที่มีความสำคัญที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดกลับเป็นสภาพจิตใจของ เกษตรกร

 

--------------------------------------------------------------------------------

* ในที่ดิน 1/4 เอเคอร์ (0.6 ไร่) จะใช้เมล็ดพันธุ์ไวท์ โคลเวอร์ ประมาณ 0.4 กิโลกรัม ส่วนธัญพืชฤดูหนาวจะใช้ประมาณ 2.9-5.9 กิโลกรัม เกษตรกรที่ยังไม่มีประสบการณ์หรือที่นาซึ่งดินยังแข็ง และไม่อุดมสมบูรณ์ การหว่านเมล็ดพันธุ์ให้มากกว่านี้ในตอนเริ่มต้นจะเป็นการปลอดภัยกว่า เมื่อดินค่อย ๆ ปรับสภาพดีขึ้นจากการสลายตัวของฟางและปุ๋ยธรรมชาติจากพืชคลุมดิน และเมื่อเกษตรกรค่อย ๆ คุ้นกับวิธีการหว่านเมล็ดโดยตรงลงในดินที่ไม่ต้องไถพรวนแล้ว เมล็ดพันธุ์ที่ใช้ในการปลูกก็จะลดลง

** ที่ดิน 1/4 เอเคอร์ (0.6 ไร่) ให้เมล็ดข้าว 2-4.1 กิโลกรัม ในปลายเดือนเมษายน ฟูกูโอกะจะตรวจดูการงอกของต้นข้าวที่ได้หว่านในฤดูใบไม้ร่วง และจะหว่านแซมลงไปเท่าที่จำเป็น


ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 03:58:40 pm »




๒.๑

หลักการ ๔ ประการสำหรับเกษตรกรรมธรรมชาติ


                ค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังเข้าไปในท้องนา แมลงปอและผีเสื้อบินฮือขึ้นมาเมื่อมีเสียงแกรกกรากดังขึ้น ผึ้งจะโฉบไปมาจากดอกไม้ดอกหนึ่งไปอีกดอกหนึ่ง ลองแหวกใบไม้ออก คุณจะมองเห็นแมลงต่าง ๆ แมงมุม กบ กิ้งก่าและสัตว์เล็ก ๆอีกมากมายที่เบียดเสียดกันอยู่ในร่มเงาของต้นข้าว ตัวตุ่นและไส้เดือนจะขุดโพรงอยู่ในดิน

           นี่เป็นนาข้าวที่มีความสมดุลในระบบนิเวศน์ ชุมชนของแมลงและพืชช่วยรักษาความสัมพันธ์ที่มีเสถียรภาพเอาไว้ ไม่ใช่สิ่งผิดปกติอะไรถ้าจะเกิดมีโรคพืชระบาดในบริเวณนี้ แต่พืชผลในที่นาแห่งนี้กลับไม่ไดรับความกระทบกระเทือน

           ตอนนี้ลองมองดูที่นาของเพื่อนบ้านดูสักหน่อย วัชพืชถูกกำจัดออกไปหมดโดยยาปราบวัชพืช และการไถพรวน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในดินและแมลงถูกกำจัดหมดไปด้วยยาพิษ อินทรีย์วัตถุ และจุลินทรีย์ในดินถูกทำลายจนเกลี้ยงเพราะปุ๋ยเคมี ในฤดูร้อนคุณจะเห็นเกษตรกรเหล่านี้ทำงานอยู่ในทุ่งนา ใส่หน้ากากป้องกันยาฆ่าแมลง และสวมถุงมือยางถึงข้อศอก ทุ่งนาข้าวเหล่านี้ซึ่งทำการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่องมามากกว่า ๑,๕๐๐ ปี ปัจจุบันถูกวิธีทางการเกษตรแบบใหม่ทำลายจนเสียหาย ซึ่งเกิดขึ้นภายในคนชั่วรุ่นเดียว

หลักการ ๔ ประการ

           หลักการประการแรก ไม่มีการไถพรวนดิน เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่เกษตรกรเชื่อว่าการไถเป็นสิ่งจำเป็นต่อการปลูกพืช อย่างไรก็ตาม การไม่ไถพรวนดินคือพื้นฐานของเกษตรกรรมธรรมชาติ พื้นดินมีการไถพรวนตามธรรมชาติด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว โดยการแทรกซอนของรากพืช และการกระทำของพวกจุลินทรีย์ทั้งหลาย สัตว์เล็ก ๆ และไส้เดือน

           หลักการประการที่ ๒ ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี หรือ ทำปุ๋ยหมัก* คนเรามักจะเข้าไปวุ่นวายกับธรรมชาติ และเขาก็ไม่สามารถแก้ไขผลเสียที่เกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร วิธีการเพาะปลูกที่เลินเล่อสะเพร่าทำให้สูญเสียหน้าดินอันอุดมสมบูรณ์ไป และดินก็จะจืดลงทุกปี แต่ถ้าปล่อยดินอยู่ในสภาพของมันเองดินจะสามารถรักษาความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติเอาไว้ได้ ซึ่งเป็นไปตามวงจรชีวิตของพืชและสัตว์อย่างมีระเบียบ

           หลักการประการที่ ๓ ไม่มีการกำจัดวัชพืชไม่ว่าโดยการถางหรือใช้ยาปราบวัชพืช วัชพืชมีบทบาทสำคัญในการสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินและช่วยให้เกิดความสมดุลในสิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา ตามหลักการพื้นฐาน วัชพืชเป็นสิ่งที่ต้องควบคุม แต่ไม่ต้องกำจัด การใช้ฟางคลุม และปลูกพืชคลุมดินจำพวกถั่วปนไปกับพืชผล ตลอดจนการปล่อยน้ำเข้านาเป็นครั้งคราว เป็นวิธีควบคุมวัชพืชได้อย่างดีในนาของผม

           หลักการประการที่ ๔ ไม่มีการใช้สารเคมี** เมื่อพืชอ่อนแอลงเพราะผลจากการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ อันได้แก่การไถพลิกดิน การใช้ปุ๋ยเป็นต้น ความไร้สมดุลของโรคพืช และแมลงก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในการเกษตร ธรรมชาตินั้นหากปล่อยไว้ตามลำพังจะอยู่ในสภาพสมดุล แมลงที่เป็นอันตรายและโรคพืชมักมีอยู่เสมอ แต่ไม่เคยเกิดขึ้นในธรรมชาติจนถึงระดับที่ต้องใช้สารเคมีที่มีพิษเหล่านั้นเลย วิธีการควบคุมโรคและแมลงที่เหมาะสม ก็คือการปลูกพืชที่แข็งแรงในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์

การไถพรวนดิน

           เมื่อดินถูกไถพรวน สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติจะถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากเกินกว่าที่เราจะจดจำได้ ผลสะท้อนกลับที่เกิดจากการกระทำดังกล่าวทำให้เกษตรกรต้องตกอยู่ในฝันร้ายมาหลายชั่วรุ่น ยกตัวอย่างเช่นเมื่อดินถูกไถ วัชพืชที่ทนทานมากเป็นหญ้าตีนกา และผักกาดส้มจะงอกงามยิ่งกว่าพืชที่เราปลูกเสียอีก เมื่อวัชพืชเหล่านี้งอกคลุมพื้นที่ เกษตรกรก็จะต้องเผชิญกับงานอันเหลือรับ คือต้องคอยถอนวัชพืชเหล่านี้ทุก ๆ ปี บ่อยครั้งที่เดียวที่ที่ดินเหล่านี้จะถูกปล่อยทิ้งไปเลย

           ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีวิธีที่เหมาะสมเพียงวิธีเดียวก็คือ หยุดการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้นเสีย เกษตรกรต้องรับผิดชอบในการแก้ไขความเสียหายที่เขาก่อขึ้นด้วย การไถพรวนดินเป็นสิ่งที่ควรงดเว้น ถ้านำวิธีการอันอ่อนโยนเช่นการใช้ฟางโปรยคลุมพื้นที่ และการปลูกพืชคลุมดินมาปฏิบัติแทนการใช้สารเคมีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นตลอดจนเครื่องจักรในการทำลายล้างแล้วละก็ สภาพแวดล้อมก็จะค่อย ๆ ฟื้นกลับสู่สภาพสมดุลตามธรรมชาติของมัน และแม้แต่วัชพืชที่ก่อความยุ่งยากให้ก็สามารถอยู่ในอำนาจของเราได้

ปุ๋ย

           จากการคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านความอุดมสมบูรณ์ของดิน ผมถามวา "ถ้าที่นาถูกปล่อยไว้ตามสภาพของมันเอง ความอุดมสมบูรณ์ของดินจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง" พวกเขามักจะหยุดไปชั่วครู่ แล้วก็ตอบในทำนองนี้ว่า "เออ คือว่า...มันจะลดน้อยลง แต่ถ้าข้าวปลูกอยู่ในนาแปลงเดิมมาเป็นเวลานานโดยไม่มีการใส่ปุ๋ย ผลผลิตของข้าวจะคงตัวในปริมาณ ๙ บูเชล (๒๓๘.๖ กิโลกรัม) ต่อพื้นที่ ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) ความอุดมสมบูรณ์ของดินจะคงสภาพคือไม่เพิ่มขึ้นและไม่ลดลง"

           ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้หมายถึงที่นาที่ใช้วิธีไถพรวน และปล่อยน้ำท่วมขัง ถ้าธรรมชาติถูกปล่อยไว้ตามสภาพของมัน ความอุดมสมบูรณ์จะเพิ่มขึ้น อินทรีย์สารจากการทับถมของพืชและสัตว์จะสลายตัวบนผิวดินจากการทำปฏิกิริยาของบักเตรีและเชื้อรา และน้ำฝนจะทำให้ธาตุอาหารเหล่านี้แทรกซึมลงไปยังเนื้อดินเบื้องล่าง กลายเป็นอาหารของจุลินทรีย์ ไส้เดือนและสัตว์เล็ก ๆอื่น ๆ อีกมากมาย รากพืชจะแทรกซอนลงไปยังใต้ดิน และนำธาตุอาหารนั้นกลับมาสู่ผิวดินอีกครั้งหนึ่ง

           หากคุณต้องการแลเห็นความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติของพื้นพิภพ ลองหาโอกาสเข้าไปเดินเล่นในป่าเขา และดูต้นไม้ยักษ์ที่เติบโตโดยปราศจากปุ๋ยและการไถพรวน ในป่า ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างที่มันเป็นนั้น อยู่พ้นขอบเขตแห่งจินตนาการ

           ป่าธรรมชาติเช่นไม้สนแดงญี่ปุ่น และป่าต้นซีดาร์ถ้าถูกตัดโค่นลง ภายในเวลาไม่กี่ชั่วอายุคนดินก็จะเสื่อมความอุดมสมบูรณ์ลง และถูกชะล้างพังทลายได้อย่างง่ายดาย ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าลองปลูกป่าสนและป่าไม้ซีดาร์พร้อมกับพืชคลุมดินจำพวกถั่ว เช่นโคลเวอร์ และอัลฟัลฟ่าลงบนภูเขาที่แห้งแล้งเสื่อมความอุดมสมบูรณ์ที่ดินกลายเป็นสีแดง ปุ๋ยพืชสด*** จะช่วยบำรุงดินและทำให้ดินร่วนซุย วัชพืชและไม้พุ่มจะเกิดภายใต้ไม้ใหญ่ และวงจรชีวิตใหม่อันอุดมสมบูรณ์ก็จะเริ่มต้นขึ้น ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าหน้าดินอันอุดมสมบูรณ์หนา ๔ นิ้ว เกิดขึ้นได้ในชั่วเวลาไม่ถึง ๑๐ ปี

           แม้การปลูกพืชผลทางการเกษตร ก็ฟังมารถที่จะงดไม่ใช้ปุ๋ยหมักด้วยเหมือนกัน เพราะเพียงปุ๋ยตามธรรมชาติที่ได้จากการปลูกพืชคลุมดินจำพวกถั่ว และการใช้ฟางตลอดจนแกลบโปรยคลุมดินก็เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว การใส่ปุ๋ยมูลสัตว์เพื่อช่วยให้ฟางเปื่อยและสลายตัวดีขึ้น ผมจะใช้วิธีปล่อยให้เป็ดเข้าไปถ่ายในนาข้าว ถ้าเอาลูกเป็ดเข้าไปเลี้ยงในนาข้าวขณะที่ข้าวกล้ายังอ่อนอยู่ ลูกเป็ดก็จะโตไปพร้อมกับต้นข้าวด้วย เป็ดเพียง ๑๐ ตัวก็เพียงพอที่จะให้ปุ๋ยสำหรับพื้นที่ขนาด ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) และยังช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืชได้ด้วย

           ผมทำเช่นนี้เป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งมีการสร้างทางหลวงขึ้น จึงทำให้เป็ดไม่สามารถข้ามถนนกลับเข้าไปในเล้าของมันได้ ปัจจุบันผมใช้ขี้ไก่ช่วยทำให้ฟางเปื่อยและสลายตัว ในบางท้องที่เป็ดหรือสัตว์กินหญ้าขนาดเล็กอื่น ๆยังคงใช้การได้อยู่

           การใส่ปุ๋ยมากเกินไปก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ มีอยู่ปีหนึ่ง หลังจากที่การ ปักดำเสร็จสิ้นลง ผมได้ขอเช่าที่นาที่ปักดำเสร็จแล้วใหม่ ๆ ๑ ๑/๔ เอเคอร์ (๓.๑ ไร่) เป็นเวลา ๑ ปี ผมปล่อยน้ำในนาออกจนหมด และไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ให้แค่ปุ๋ยจากขี้ไก่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่นา ๔ แปลงเป็นไปอย่างปกติ ยกเว้นแปลงที่ ๕ ไม่ว่าผมจะทำอย่างไรต้นข้าวก็กลับขึ้นอย่างหนาแน่นมากเกินไป จนเกิดโรคใบไหม้ (blast disease) เมื่อผมถามเจ้าของนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงบอกว่า เขาได้ใช้ที่นาแปลงนี้เป็นที่กองขี้ไก่ตลอดฤดูหนาวที่ผ่านมา

การใช้ฟาง ปุ๋ยตามธรรมชาติจากพืชคลุมดิน และปุ๋ยมูลสัตว์เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้ได้ผลผลิตในปริมาณสูงโดยไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยเคมีอีกเลย เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้วที่ผมได้นั่งสังเกตดูวิธีการของธรรมชาติในการไถพรวนและบำรุงดิน และในการเฝ้าดูนี้ ผมก็ได้เก็บเกี่ยวพืชผลทั้งผักส้ม ข้าว และธัญพืชฤดูหนาวอย่างมากมาย เป็นของกำนัลจากความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติของพื้นพิภพ

การจัดการกับวัชพืช

           นี้คือประเด็นหลักบางประการที่ควรจดจำไว้เพื่อจัดการกับวัชพืช

           ทันทีที่เลิกการไถพรวนดิน จำนวนวัชพืชจะลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ประเภทของวัชพืชในที่ดินแปลงนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย

           เมื่อเมล็ดพันธุ์ถูกหว่านลงในนาขณะที่พืชที่ปลูกก่อนหน้านั้นเริ่มจะสุก เมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงไปใหม่จะเริ่มงอกขึ้นก่อนพวกวัชพืช วัชพืชฤดูหนาวจะงอกหลังจากเกี่ยวข้าวแล้วเท่านั้น แต่ระหว่างนั้นธัญพืชฤดูหนาวได้งอกขึ้นมาก่อนแล้ว วัชพืชฤดูร้อนจะงอกทันทีหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์แล้ว แต่ข้าวเจ้าก็ได้เจริญเติบโตขึ้นแล้วในตอนนั้น การกำหนดระยะเวลาในการหว่านเช่นนี้ ทำให้ไม่มีช่วงว่างระหว่างพืชผลที่ปลูกตามมา จึงทำให้พืชผลอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกว่าบรรดาวัชพืช

           ถ้าทุ่งนาทุกตารางนิ้วถูกกลุ่มด้วยฟางข้าวทันทีหลังการเก็บเกี่ยว วัชพืชจะหยุดการเจริญเติบโต พืชจำพวกถั่วที่หว่านพร้อม ๆ กับเมล็ดธัญพืชเพื่อให้เป็นพืชคลุมดินนั้น มีส่วนในการช่วยควบคุมวัชพืชด้วย

           วิธีการโดยทั่วไปในการจัดการกับวัชพืชก็คือการไถพรวนดิน แต่เมื่อคุณไถพรวนดิน เมล็ดที่อยู่ลึกในดินซึ่งไม่มีโอกาสงอกอยู่แล้วก็จะถูกพรวนให้ขึ้นมาอยู่ที่ผิวดิน และเป็นโอกาสให้มันได้งอกขึ้นมา ยิ่งกว่านั้นการไถพรวนดินก็เป็นวิธีที่ทำให้วัชพืชที่งอกไวโตเร็วทั้งหลายแพร่ขยายตัวยิ่งขึ้น ดังนั้น คุณอาจพูดได้ว่าเกษตรกรที่พยายามควบคุมการเติบโตของวัชพืชโดยการไถพรวนดินนั้น แท้จริงแล้วเป็นผู้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความโชคร้ายด้วยตัวเขาเอง

การควบคุมแมลง

           ยังมีคนไม่น้อยที่คิดว่าถ้าไม่ใช้สารเคมี ไม้ผล และพืชผลของเขาจะเหี่ยวเฉาตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างแน่นอน แต่ความเป็นจริง คือ การใช้สารเคมีเหล่านี้ต่างหากที่กลายเป็นการทำให้สถานการณ์อันไม่มีมูลความจริงดังกล่าวข้างต้นเป็นจริงขึ้นมาโดยที่ผู้ใช้ใม่มีเจตนา

           เมื่อไม่นานมานี้ ไม้สนแดงญี่ปุ่นต้องประสบกับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่เกิดจากการระบาดของโรคด้วงงวงเจาะเปลือกสน (pine bark weevils) ปัจจุบันพนักงานป่าไม้ต้องใช้เฮลิคอปเตอรขึ้นไปฉีดยาพ่นบนอากาศ เพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่เกิดจากการระบาดนี้ ผมไม่ปฏิเสธว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในระยะสั้น แต่ผมรู้ว่ามันจะต้องมีวิธีอื่นอีก

           จากงานวิจัยล่าสุดกล่าวว่าโรคใบแห้งที่มีด้วงงวงเป็นพาหะ (Weevil blights) ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดขึ้นจากไส้เดือนฝอย (nematode) เป็นสื่อ ไส้เดือนฝอยแพร่พันธุ์ภายในลำต้น ทำให้ท่อน้ำเลี้ยงเกิดการอุดตัน ทำให้ไม้สนเหี่ยวเฉาลงและตายไปในที่สุดสาเหตุที่แท้จริงยังไม่เป็นที่เข้าใจกันอย่างแจ่มชัด

           ไส้เดือนฝอยได้อาหารจากเชื้อราในลำต้นของต้นไม้ เหตุใดเชื้อราจึงขยายตัวอย่างมากมายในลำต้นของต้นไม้ได้ เชื้อราได้ขยายตัวหลังจากมีไส้เดือนฝอยเกิดขึ้นแล้ว หรือว่าไส้เดือนฝอยเกิดขึ้นเพราะมีเชื้อราเกิดขึ้นก่อนกันแน่ คำถามนั้นสรุปลงที่ว่าอะไรเกิดก่อน เชื้อราหรือไส้เดือนฝอย

           ยิ่งกว่านั้น ยังมีสัตว์เล็ก ๆ พวกจุลชีพอีกประเภทหนึ่ง ที่มักจะมาพร้อมกับเชื้อรา และยังมีเชื้อไวรัสที่เป็นพิษต่อเชื้อรา ผลที่เกิดขึ้นกระทบต่อเนื่องกันทุกทิศทาง แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่อาจกล่าวได้ด้วยความแน่นอน ก็คือ ไม้สนจะเหี่ยวเฉาลงเป็นจำนวนที่มากจนผิดปกติ

           ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แน่ชัดของโรคใบแห้งของสน (pine blight) ทั้งไม่มีใครรู้ผลที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากการหายจากโรค ถ้าเราเข้าไปยุ่งกับสถานการณเช่นนี้โดยที่ยังรู้ไม่ชัดเจน ก็เท่ากับได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหายนะที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมไว้ในอนาคต ผมไม่อาจรู้สึกยินดีกับการที่ความเสียหายที่เกิดจากด้วงเจาะนั้นลดลงอย่างฉับพลันเพราะผลจากการฉีดพ่นสารเคมีทางอากาศ การใช้สารเคมีทางการเกษตรเป็นวิธีการที่ไม่สมควรที่สุดในการจัดการกับปัญหาเช่นนี้ วิธีนี้จะนำไปสู่ปัญหาที่ยุ่งยากมากขึ้นในอนาคต

           หลักการ ๔ ประการของเกษตรกรรมธรรมชาติ (ไม่ไถพรวนดิน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยหมัก ไม่กำจัดวัชพืชโดยการไถกลบหรือใช้ยาปราบวัชพืช และไม่ใช้สารเคมี เป็นการเดินตามหลักเกณฑ์ของธรรมชาติ และจะเป็นวิธีบำรุงธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์ขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ผมได้คลำทางมาโดยอาศัยแนวคิดนี้เป็นตัวนำ และนี่คือหัวใจของวิธีการในการปลูกพืชผัก ธัญพืช และส้มของผม

 

--------------------------------------------------------------------------------

* ฟูกูโอกะเตรียมปุ๋ยโดยการปลูกพืชคลุมดินจำพวกถั่ว และใช้ฟางข้าวคลุมพื้นที่ จากนั้นก็ใส่ขี้เป็ดขี้ไก่ลงไปเล็กน้อย
** ฟูกูโอกะปลูกธัญพืชโดยปราศจากการใช้สารเคมีไม่ว่าชนิดใด แต่สำหรับไม้ผลบางครั้งเขาจะใช้น้ำมันขี้โล้เพื่อควบคุมเพลี้ยหอยชนิดต่าง ๆ (Insect scale) และไม่มีการใช้ยาที่มีพิษตกค้าง หรือออกฤทธิ์กว้าง และไม่มีตารางการใช้ยาฆ่าแมลง
*** พืชคลุมดิน เช่น โคลเวอร์ เว็ทซ์ และอัลฟัลฟ่าจะเป็นตัวปรับสภาพดินและทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์