คำนิยม หนังสือเล่มนี้มิใช่เป็นเรื่องของการเยียวยารักษาความเจ็บป่วยทางกายเท่านั้น หากยังมีเนื้อหาที่ลึกซึ้งกว้างไกลกว่านั้น ได้แก่การเยียวยาความเจ็บป่วยทางจิต รวมถึงการขจัดความทุกข์ทางใจ ความเจ็บป่วยทางกายอาจเกิดขึ้นกับเรานาน ๆ ครั้ง แต่ความทุกข์ทางใจนั้นเกิดขึ้นกับเราเป็นนิจ หนังสือเล่มนี้จึงมิได้เหมาะแก่ผู้ป่วยเท่านั้น หากยังเป็นประโยชน์แก่เราทุกคนด้วยแม้จะยังไม่มีโรคภัยไข้เจ็บก็ตาม
โอสถนั้นมีหลายชนิด แต่โอสถสำคัญที่ผู้คนยุคนี้มักมองข้ามไปคือ ธรรมโอสถ โดยเฉพาะเมตตากรุณา หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าเมตตากรุณานั้นมีอานุภาพอย่างยิ่งในการเยียวยารักษาทั้งทางกายและใจ เมตตากรุณาดังกล่าวมิได้หมายถึงเมตตากรุณาของผู้รักษา (และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือเท่านั้น) หากยังรวมถึงเมตตากรุณาในใจเราด้วย
ผู้เขียนได้ย้ำว่า จิตที่เป็นอกุศล โดยเฉพาะความเห็นแก่ตัว เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ทั้งปวงไม่ว่าทางกายหรือทางใจ ดังนั้นการบำเพ็ญเมตตาภาวนา อาทิ การแผ่เมตตาจิตให้แก่สรรพสัตว์ การไถ่ชีวิตสัตว์ รวมทั้งการน้อมรับความทุกข์ของผู้อื่นมาไว้ที่ตัวเรา และถือว่าเรากำลังแบกรับความทุกข์แทนสรรพสัตว์นั้น จึงเป็นวิธีการเยียวยาความทุกข์ทั้งกายและใจที่ทรงพลานุภาพ
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ มิได้อยู่ที่เทคนิคหรือวิธีการเยียวยา (ซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างมากและอิงพิธีกรรมที่คนไทยไม่คุ้นเคย) แต่อยู่ที่มุมมองต่อความเจ็บป่วยโดยโยงไปถึงทัศนคติต่อชีวิต และการใช้ความเจ็บป่วย(และความทุกข์ชนิดอื่น ๆ รวมทั้งความตาย) มาเป็นอุบายในการเปิดใจให้เราลดละความเห็นแก่ตัว และนึกถึงประโยชน์สุขของสรรพชีวิต จนละวางความยึดติดถือมั่นในตัวตน อันเป็นหนทางสู่ความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง ด้วยวิธีการดังกล่าว (ซึ่งพุทธศาสนาเรียกว่าอุปายโกศล) หลายคนจึงมิเพียงหายป่วยจากโรคร้ายเท่านั้น แต่ชีวิตจิตใจยังมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีความทุกข์น้อยลง และเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมโลกมากขึ้น มองในแง่นี้ความเจ็บป่วยและความทุกข์ทั้งปวง(รวมถึงสิ่งที่มิพึงปรารถนา เช่น ศัตรู คำตำหนิ) จึงมิใช่สิ่งเลวร้ายในตัวเอง หากยังมีประโยชน์ในการบ่มเพาะให้เราเกิดปัญญาและกรุณา ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราพึงน้อมรับ แทนที่จะปฏิเสธผลักไส ซึ่งมีแต่จะทำให้เราทุกข์ยิ่งกว่าเดิม
สำหรับชาวพุทธที่คุ้นกับพุทธภาษิตว่า “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจประเสริฐสุด สำเร็จแล้วที่ใจ” หนังสือเล่มนี้ย่อมย้ำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของใจอันได้แก่ความรู้สึกนึกคิด อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงความเจ็บป่วยทางกายแล้ว พุทธศาสนาแบบเถรวาทมิได้มองว่ามีสาเหตุมาจากอกุศลกรรมในจิตใจประการเดียวเท่านั้น หากยังสามารถเกิดจากเหตุปัจจัยอื่น ๆ ได้อีกมากมาย ดังพระสารีบุตรเคยจำแนกว่า สมุฏฐานของโรคนั้นมีมากมาย อาทิ ดี เสมหะ ลม ฤดูแปรปรวน การบริหารไม่สม่ำเสมอ ความเพียรเกินกำลัง ผลกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ฯลฯ ดังนั้นในการเยียวยารักษาโรคจึงควรคำนึงถึงเหตุปัจจัยเฉพาะกรณีด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ควรเหมารวมให้เป็นเรื่องของกรรม(เก่า)เสียหมด อย่างไรก็ตามจิตที่เป็นกุศล โดยเฉพาะจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา นึกถึงประโยชน์สุขของผู้อื่นยิ่งกว่าความทุกข์ของตนเอง ย่อมช่วยเยียวยากายและใจให้ดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ท่านลามะโซปะ ริมโปเช ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดของท่านด้วยภาษาและขนบของพุทธศาสนานิกายวัชรยาน ซึ่งคนไทยอาจไม่คุ้นเคย แต่หากจับสารัตถะได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตและจิตใจของตนเอง แต่ในเวลาเดียวกันก็พึงตระหนักว่าคัมภีร์หรือเรื่องราวในพุทธศาสนาที่ท่านผู้เขียนได้อ้างอิงนั้น มีบางส่วนที่ไม่ตรงกับของฝ่ายเถรวาท จึงขอให้ตราไว้ว่าส่วนนั้น ๆ เป็นทัศนะจากฝ่ายวัชรยานหรือทัศนะส่วนตัวของท่านผู้เขียน
หนังสือเล่มนี้หากอ่านแล้วนำไปปฏิบัติ ไม่ว่าท่านจะป่วยหรือไม่ก็ตาม เชื่อแน่ว่าเมตตากรุณาในใจท่านจะเจริญงอกงาม และหากถึงคราวต้องประสบกับความเจ็บป่วยหรือความพลัดพรากสูญเสีย เมตตากรุณาดังกล่าวจะบรรเทาความทุกข์หรือแปรให้กลายเป็นความสุข อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพูนปัญญาให้มากขึ้น จนเห็นชัดว่าความทุกข์นั้นเป็นธรรมดาโลก เพียงแค่ยอมรับมันตามที่เป็นจริง ใจก็ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป
พระไพศาล วิสาโล
๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๓
http://www.visalo.org/prefaces/palangYeawya.htm