และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ทุกข์เพราะการพลัดพรากอันนี้
ทุกรายจะต้องได้รับทั้งนั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วเราจะทำยังไง?
เราก็ต้องต่อสู้ ถ้าหากว่าหลีกเลี่ยงได้
เราก็ต้องหลีกเลี่ยง ทำยังไงเราจะไม่ทุกข์?
ทำยังไงเราจึงจะไม่ต้องพบการพลัดพราก?
ทีนี้มันไม่มีทางหลีกเลี่ยงนี้ มันก็ต้องต่อสู้เท่านั้น
สู้โดยวิธีใด? เราก็ต้องสู้ในหลักของ "เหตุผล"
หลักของ "สัจจธรรม" เอาหลักเหตุผล
เอาหลักสัจจธรรมของจริงอันนี้ละ มาเป็นธรรมเครื่องสู้
เราจะทุกข์เพราะการพลัดพราก
มันไม่มีประโยชน์อะไร อันนี้ก็เป็นหลักของเหตุผล
เมื่อเห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรเกิดขึ้น
ทุกข์มันดีไหม?
ทุกข์มันก็ไม่มีใครปรารถนา เพราะว่า
ทุกข์เป็นของที่ไม่ดี ไม่มีใครปรารถนา
อันนี้ขึ้นอยู่กับหลักเหตุผล
มี "ความเกิด" แสดงตัวขึ้นที่ไหน นั่นละ
จุดความตายก็แสดงตัวขึ้นในจุดความเกิดนั้น
จุดความเกิดมีการแสดงตัวมีการก่อขึ้น
จุดความตายก็มีการแสดงตัวและมีการก่อขึ้น
ก่ออยู่ในจุดที่มีความเกิดนั้น
สรุปแล้ว ทุกรายที่มีการเกิดขึ้น ๆ จะต้อง
ตกอยู่ในสภาพของสัจจธรรม คือ
"มีการเปลี่ยนแปลงและมีการแตกสลาย"
เราจะสมมุติว่าจุดที่เกิดนั้น เป็นคน เป็นเรา เป็นเขา
เป็นท่านผู้นั้น เป็นท่านผู้โน้น ก็เอาของที่เกิดมาเพื่อ
เปลี่ยนแปลง เพื่อสลายนั้น เอามาสมมุติกัน
จะสมมุติว่าเป็นคน จะสมมุติว่าเป็นสัตว์ มันก็ไม่เป็น
อย่างที่เราสมมุติ เพราะสิ่งที่เขาเกิดมา เขาเกิดมาเพื่อความแตกสลายเท่านั้น
เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นอะไร
ถ้าหากว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง
เขาก็จะไม่เป็นไปเพื่อความแตกสลาย
สัจจธรรมจะต้องทรงความเป็นสัจจธรรม
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างอื่น และไม่ยกเว้น
ท่านผู้หนึ่งผู้ใด รายใดรายหนึ่งไม่มี
สัจจธรรมจะต้องทรงความเป็นสัจจธรรม
เสมอต้นเสมอปลาย และทุกกาลทุกสมัยด้วย
ไม่ยกเว้นตาสีตาสา ไม่ยกเว้นจนกระทั่งเจ้าฟ้า
มหากษัตริย์ สัจจธรรมไม่ยกเว้น จึงว่า
สัจจธรรมเป็นธรรมที่ควรศึกษา ถ้าหากว่า เราศึกษา
ในสัจจธรรมแจ่มแจ้งเข้าใจแล้ว สัจจธรรมนี่จะยังความรื่นเริง
เพลิดเพลินให้เกิดให้มีขึ้นแก่เรา
สัจจธรรมก็คือความเจ็บ ความเจ็บเกิดขึ้น
สัจจธรรมก็คือความแก่ ความแก่เกิดขึ้น สัจจธรรม
ก็คือความตาย ความตายเกิดขึ้น
เราจะมีความเศร้าโศก
อันเกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่มี
เพราะสัจจธรรมที่เขาเป็น ที่เรารู้เราเห็นนั้น เดี๋ยวนี้
หลักฐานพยานที่เรารู้เราเห็นนั้น
เขาแสดงเป็นหลักฐานพยานเพิ่มความแน่
เป็นหลักฐานพยานที่เรารู้เราเห็น
แล้วนั่นน่ะ มันเป็นความจริงจริง ๆ ความเศร้าโศก
ความเสียใจจึงไม่มี
จึงว่า…โลกอันนี้… มันสลับซับซ้อนจริง ๆ
มันอะไรต่อมิอะไร มันสลับซับซ้อนหลายขั้นหลาย
ตอน แต่โลกอันนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะสลับซับซ้อนเลย
ความจริงเปิดเผยอยู่ แจ้งประจักษ์อยู่
ถ้าหากว่าคิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ โลกสัจจธรรมเขาเปิดเผย
สัจจธรรมของจริงเขาไม่ได้ปิดบัง แต่ตาของเรานี่มันยังหลับอยู่
หรือตาของเรานี่มันมีอะไรมาปิดเอาไว้
ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านี่สอนให้ "เปิดของปิด"
สิ่งที่มาปิดตาของเราให้มืด ไม่รู้แจ้งในสัจจธรรมนี่
เปิดออกไปเสีย ในเมื่อเปิดสิ่งที่ปิดตา ทำให้เรา
ได้รู้แจ้งในสัจจธรรม เปิดออกเมื่อไหร่นี่
สัจจธรรมเต็มโลก สัจจธรรมมีอยู่เต็มโลก
เราจะรู้หรือไม่รู้ สัจจธรรมมีอย่างนี้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ก็เหมือนกัน
สัจจธรรมของจริงมีอยู่ก่อนแล้ว มีอยู่แต่ไหนแต่ไรแล้ว
ไม่ใช่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้
ธรรมะที่เป็นธรรมเครื่องขัดเกลากิเลสจึงมี
ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ธรรมส่งเสริมกิเลสมีเท่าไหร่
ธรรมที่จะเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสก็มีจำนวนเท่านั้น
เพราะอันเดียวกันนี่ หน้ามือกับหลังมือเท่านี้ละ
ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ทำให้เกิดความเศร้าโศกได้ แต่ความเกิด ความแก่
ความเจ็บ ความตาย อันนี้เป็นธรรมเครื่องแก้
ความเศร้าโศกได้, ไม่ มีอะไรแก้ได้
ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจได้
ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
เป็นธรรมที่จะทำลาย ขัดเกลา ความเศร้าโศกเสียใจ
ที่มีอยู่ในจิตในใจให้หมดสิ้นไปได้
http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=1715.0