ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 02:03:54 am »

 :13: อนุโมทนาครับพี่แฮม ขอบพระคุณครับผม
ข้อความโดย: ตถตา
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 09:19:56 pm »

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺยาหตา ได้แก่ ผู้มีความถือตัวและความ
กระด้างถูกขจัดแล้ว ในคำว่า ติตฺถิยา นี้ พึงทราบว่าติตถะ พึงทราบว่าติตถกระ

พึงทราบว่าติตถิยะ. ใน ๓ อรรถนั้น ชื่อว่า ติตถะ เพราะคนทั้งหลายข้ามไป

ด้วยอำนาจทิฏฐิมีสัสสตะทิฏฐิเป็นต้น ได้แก่ ลัทธิ. ผู้ยังลัทธินั้นให้เกิดขึ้น

ชื่อว่า ติตถกระ ผู้มีในลัทธิ ชื่อว่า ติตถิยะ. พึงทราบว่าที่ตรัสว่า พวก

เดียรถีย์ ถูกกำจัดความถือตัวและกระด้างเสียแล้วเป็นต้น ก็เพื่อแสดงว่า เขา

ว่า ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระไม่มีเดียรถีย์ ถึงเดียรถีย์เหล่าใด ยังมี

เดียรถีย์แม้เหล่านั้น ก็เป็นเช่นนี้. บทว่า วิมนา ได้แก่ มีใจผิดแผกไป.

บทว่า ทุมฺมนา เป็นไวพจน์ของคำว่า วิมนา นั้นนั่นแหละ. บทว่า

น เตสํ เกจิ ปริจรนฺติ ความว่า บุรุษแม้บางพวกของเดียรถีย์เหล่านั้น

ไม่ทำการนวดฟั้น ไม่ให้ภิกษาหาร ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่

บูชา ไม่ยอมลุกจากที่นั่ง ไม่ทำอัญชลีกรรม. บทว่า รฏฺฐโต ได้แก่ แม้

จากรัฐทั่วไป. บทว่า นิจฺฉุภนฺติ ได้แก่ นำออกไป รุกราน อธิบายว่า

ไม่ให้ที่อยู่แก่เดียรถีย์เหล่านั้น. บทว่า เต ได้แก่ เดียรถีย์ทั้งหลาย.

บทว่า อุปคญฺฉุํ พุทฺธสนฺติเก ความว่า พวกอัญญเดียรถีย์ แม้
ทั้งหมด ที่ถูกพวกมนุษย์ชาวแว่นแคว้นรุกราน อย่างนี้ มาประชุมแล้วก็ถึง

พระปทุมุตตรทศพลพระองค์เดียวเป็นสรณะ พากันกล่าวถึงสรณะอย่างนี้ว่า ขอ

พระองค์โปรดทรงเป็นศาสดา เป็นนาถะ เป็นคติ เป็นที่ไปเบื้องหน้า เป็น

สรณะของพวกข้าพระองค์เถิด. ชื่อว่า อนุกัมปกะ เพราะทรงเอ็นดู. ชื่อว่า

การุณิกะ เพราะทรงประพฤติด้วยความกรุณา. บทว่า สมฺปตฺเต ได้แก่ พวก

เดียรถีย์ที่มาประชุมเข้าถึงสรณะ. บทว่า ปญฺจสีเล ปติฏฺฐหิ ความว่า ให้

ตั้งอยู่ในศีล ๕. บทว่า นิรากุลํ ได้แก่ ไม่อากูล อธิบายว่า ไม่ปะปนด้วย

ลัทธิอื่น. บทว่า สุญฺญกํ ได้แก่ ว่างเปล่าจากเดียรถีย์เหล่านั้น. บทว่า ตํ

พึงเติมคำลงไปว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น. บทว่า วิจิตฺตํ

ได้แก่ งามวิจิตร. บทว่า วสีภูเตหิ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระพระองค์นั้น มีพระนครชื่อว่า หังสวดี
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอานันทะ พระชนนีพระนามว่า พระนาง

สุชาดาเทวี. คู่พระอัครสาวก ชื่อ พระเทวิละ และพระสุชาตะ พระพุทธ

อุปัฏฐาก ชื่อ พระสุมนะ คู่พระอัครสาวิกาชื่อ พระอมิตา และ พระอสมา

โพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นสลละ ช้างน้าว. พระสรีระสูง ๕๘ ศอก พระรัศมีของ

พระองค์แผ่ไปกินเนื้อที่ ๑๒ โยชน์ โดยรอบ พระชนมายุแสนปี พระอัครมเหสี

พระนามว่า พระนางวสุทัตตา พระโอรสพระนามว่า อุตตระ เล่ากันว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารนันทาราม

อันเป็นที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง. ส่วนพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ กระจัดกระจาย

ทั่วไป พวกมนุษย์ทั่วชมพูทวีป ชุมนุมกันช่วยกันสร้างพระเจดีย์สำเร็จด้วย

รัตนะ ๗ ประการสูง ๑๒ โยชน์ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระปทุมุตตรศาสดา มีพระนคร ชื่อว่า หังสวดี
พระชนก พระนามว่า พระเจ้าอานันทะ พระชนนี
พระนามว่า พระนางสุชาดา.
พระปทุมุตตรพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่มี
พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระอมิตา และ พระอสมา โพธิ-
พฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชื่อต้นสลละ
(ต้นช้างน้าว).
พระมหามุนีสูง ๕๘ ศอก พระลักษณะอันประ-
เสริฐ ๓๒ เช่นเดียวกับรูปปฏิมาทอง.
พระรัศมีแห่งพระสรีระ แผ่ไปรอบๆ ๑๒ โยชน์
ยอดเรือน บานประตู ฝา ต้นไม้ กองศิลา คือภูเขา
ก็กั้นพระรัศมีนั้นไม่ได้.
ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี พระปทุมุตตระ
พุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น
ย่อมยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระองค์ทั้งพระสาวก ยังชนเป็นอันมากให้ข้าม
โอฆสงสาร ตัดความสงสัยทุกอย่างแล้ว ก็เสด็จดับ
ขันธปรินิพพาน เหมือนกองไฟลุกโพลงแล้วก็ดับ
ฉะนั้น.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นคสิลุจฺจยา ได้แก่ กองศิลากล่าวคือ
ภูเขา. บทว่า อาวรณํ ได้แก่ ปกปิด ทำไว้ภายนอก. บทว่า ทฺวาทสโย-

ชเน ความว่า พระรัศมีแห่งพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า แผ่ไปในที่

๑๒ โยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทั้งกลางคืนกลางวัน. ในคาถาที่เหลือในที่ทุกแห่ง

ความชัดแล้วทั้งนั้นแล.

ตั้งแต่นี้ไป เราจักย่อความที่มาแล้วซ้ำซากมีการบำเพ็ญบารมีเป็นต้น
จะกล่าวแต่ความที่แปลกกันเท่านั้น ก็หากว่า เราจะกล่าวซ้ำซากความที่กล่าว

มาแล้วเมื่อไร จักจบ การพรรณนามีอย่างนี้แล.

จบพรรณาวงศ์พระปทุมุตตรพุทธเจ้า
ข้อความโดย: ตถตา
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 09:19:19 pm »

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺพุทฺธปฺปมุขํ สงฺฆํ ก็คือ พุทฺธปฺ-
ปมุขสฺส สงฺฆสฺส แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ทุติยาวิภัตติ

ลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ. บทว่า สภตฺตํ ทุสฺสมทาสหํ ความว่า เราได้

ถวายภัตตาหารพร้อมด้วยจีวร. บทว่า อุคฺคทฬฺหํ แปลว่า มั่นคงยิ่ง. บทว่า

ธิตึ ความว่า ได้ทำความเพียร.

ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า ปทุมุตตระ ไม่มีพวกเดียรถีย์ เทวดาและ
มนุษย์ทุกคนถึงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเป็นสรณะ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ครั้งนั้น พวกเดียรถีย์ ผู้มีใจผัดปกติ มีใจเสีย
ถูกกำจัดมานะหมด บุรุษบางพวกของเดียรถีย์เหล่านั้น
ไม่ยอมบำรุงบำเรอ ก็ขับไล่เดียรถีย์เหล่านั้น ออกไป
จากแว่นแคว้น.
ทุกคนมาประชุมกันในที่นั้น ก็เข้าไปที่สำนัก
ของพระพุทธเจ้า ทูลวอนว่า ข้าแต่พระมหาวีระ ขอ
พระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระผู้มีพระจักษุ ขอ
พระองค์ทรงเป็นสรณะ.
พระพุทธเจ้าผู้ทรงมีความเอ็นดู มีพระกรุณา
แสวงประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ก็ทรงยังเดียรถีย์ที่
ประชุมกันทั้งหมดให้ตั้งอยู่ในศีล.
ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ไม่อากูล
อย่างนี้ ว่างเปล่าจากเดียรถีย์ทั้งหลาย งดงามด้วยพระ-
อรหันต์ทั้งหลาย ผู้ชำนาญ ผู้คงที่.
ข้อความโดย: ตถตา
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 09:18:08 pm »

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อานนฺทํ อุปสงฺกมิ ตรัสหมายถึง
พระเจ้าอานันทะ พระชนก. บทว่า อาหนิ แปลว่า ลั่น (ตี). บทว่า อาหเต

ก็คือ อาหตาย ทรงลั่นแล้ว. บทว่า อมตเภริมฺหิ ก็คือ อมตเภริยา เมื่อ

กลองอมตะ พึงเห็นว่าเป็นลิงควิปลาส ปาฐะว่า อาเสวิเต ดังนี้ก็มี ปาฐะ

นั้น มีความว่า อาเสวิตาย อันเขาซ่องเสพแล้ว. บทว่า วสฺสนฺเต

ธมฺมวุฏฺฐิยา ความว่า หลั่งฝนคือธรรม บัดนี้ เมื่อทรงแสดงอุบายเพื่อกระ

ทำอภิสมัยจึงตรัสว่า ะ

พระพุทธเจ้าผู้ทรงฉลาดในเทศนา ทรงสั่งสอน
ให้สัตว์เข้าใจ ให้สัตว์ทั้งหลายข้าม ทรงยังหมู่ชนเป็น
อันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอวาทกะ ได้แก่ ชื่อว่า โอวาทกะ
เพราะสั่งสอนด้วยพรรณนาคุณานิสงส์ของสรณะและการสมาทานศีล และธุดงค์.

บทว่า วิญฺญาปโก ได้แก่ ชื่อว่า วิญญาปกะ เพราะให้เขารู้สัจจะ ๔ คือ

ให้เขาตรัสรู้. บทว่า ตารโก ได้แก่ ให้ข้ามโอฆะ ๔.

ครั้งนั้น พระศาสดาทรงมีพระพักตร์เสมือนจันทร์เพ็ญในวันเพ็ญ
มาฆบูรณมี ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ท่ามกลางภิกษุแสนโกฏิ ณ มิถิลา

ราชอุทยาน กรุงมิถิลา นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระศาสดาปทุมุตตระ ทรงมีสันนิบาตประชุม
สาวก ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ เป็นการประชุมสาวกแสน
โกฏิ.
ครั้ง พระผู้มีพระภาคเจ้า จำพรรษา ณ ยอดเวภารบรรพต ทรงแสดง
ธรรมโปรดมหาชนที่มาชมบรรพต ทรงยังชนเก้าหมื่นโกฏิให้บวชด้วยเอหิภิกขุ

บรรพชา อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็น

สันนิบาตครั้งที่ ๒. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ครั้งพระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่
มีผู้เสมอ เสด็จจำพรรษา ณ เวภารบรรพต ภิกษุเก้า
หมื่นโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระคุณ ผู้เป็นนาถะของ ๓ โลก ทรง
ทำการเปลื้องมหาชนจากเครื่องผูก เสด็จจาริกไปตามชนบท ภิกษุแปดหมื่น

โกฏิประชุมกัน ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปอีก ภิกษุที่ออก
บวชจากคามนิคมและรัฐแปดหมื่นโกฏิประชุมกันเป็น
สันนิบาตครั้งที่ ๓.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คามนิคมรฏฺฐโต ก็คือ คามนิคม-
รฏฺเฐหิ จากคามนิคมรัฐชนบท หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน ปาฐะนั้น

ความว่า ผู้ออกบวชจากคามนิคมและรัฐทั้งหลาย.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นผู้ครองรัฐใหญ่ชื่อว่า ชฎิล มีทรัพย์
หลายโกฏิ ได้ถวายทานอย่างดีพร้อมทั้งจีวร แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น

ประธาน เสร็จอนุโมทนาภัตทาน พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์

เราว่า ในอนาคตกาล จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ ในที่สุดแสนกัป

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

สมัยนั้น เราเป็นผู้ครองรัฐ ชื่อชฎิล ได้ถวาย
ภัตตาหารพร้อมทั้งผ้า แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประธาน.
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลาง
สงฆ์ ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า
ในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคต ตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้า
ของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็อธิษฐาน
ข้อวัตรยิ่งยวดขึ้น ได้ทำความเพียรมั่นคงอย่างยิ่ง เพื่อ
บำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
ข้อความโดย: ตถตา
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 09:17:15 pm »

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาครูปโม ได้แก่ มีภาวะลึกล้ำเสมือน
สาคร. ในคำว่า มณฺฑกปฺโป วา โส อาสิ นี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒

พระองค์อุบัติในกัปใด กัปนี้ชื่อว่า มัณฑกัป.

จริงอยู่ กัปมี ๒ คือ สุญญกัป และอสุญญกัป บรรดากัปทั้งสอง
นั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมไม่อุบัติใน

สุญญกัป เพราะฉะนั้นกัปนั้น จึงเรียกว่า สุญญกัป เพราะว่างเปล่าจากบุคคล

ผู้ที่คุณ.

อสุญญกัปนี้ ๕ คือ สารกัป มัณฑกัป วรกัป สารมัณฑกัป
ภัททกัป.

ในอสุญญกัปนั้นกัปที่ประกอบด้วยสาระคือคุณ เรียกว่า สารกัป เพราะ
ปรากฏ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่พระองค์เดียว. ผู้กำเนิดคุณสาร ยังคุณสาร

ให้เกิด

ส่วนในกัปใด เกิดพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ กัปนั้นเรียกว่า มัณฑกัป.
ในกัปใด เกิดพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ บรรดาพระพุทธเจ้าทั้ง ๓
พระองค์นั้น พระองค์ที่ ๑ พยากรณ์พระองค์ที่ ๒ พระองค์ที่ ๒ พยากรณ์

พระองค์ที่ ๓. ในกัปนั้น มนุษย์ทั้งหลาย มีใจเบิกบาน ย่อมเลือก โดยปณิธานที่

คนปรารถนา เพราะฉะนั้น กัปนั้น จึงเรียกว่า วรกัป.

ส่วนในกัปเกิดพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ กัปนั้นเรียกว่า สารมัณฑ-
กัป เพราะประเสริฐกว่า มีสาระกว่า กัปก่อน ๆ

ในกัปใดเกิดพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ กัปนั้นเรียกว่า ภัททกัป.
ก็ภัททกัปนั้น หาได้ยากยิ่ง. ก็กัปนั้น โดยมาก สัตว์ทั้งหลาย เป็น
ผู้มากด้วยกัลยาณสุข. โดยมาก ติเหตุกสัตว์ย่อมทำความสิ้นกิเลส ทุเหตุกสัตว์

ย่อมถึงสุคติ. อเหตุกสัตว์ ก็ได้เหตุ. เพราะฉะนั้น กัปนั้น จึงเรียกว่า

ภัททกัป. ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า อสุญญกัปมี ๕ เป็นต้น. สมจริง

ดังที่พระโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า
เอโก พุทฺโธ สารกปฺเป มณฺฑกปฺเป ชินา ทุเว
วรกปฺเป ตโย พุทฺธา สารมณฺเฑ จตุโร พุทฺธา
ปญฺจ พุทฺธา ภทฺทกปฺเป ตโต นตฺถาธิกา ชินา.
ในสารกัป มีพระพุทธเจ้า ๑ พระองค์ ในมัณฑ-
กัป มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ ในวรกัป มีพระ
พุทธเจ้า ๓ พระองค์ ในสารมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า
๔ พระองค์ ในภัททกัป มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์
พระพุทธเจ้ามากกว่านั้นไม่มี ดังนี้.
ส่วนในกัปใด พระปทุมุตตรทศพลอุบัติ กัปนั้นแม้เป็นสารกัป ท่าน

ก็เรียกว่ามัณฑกัป เพราะเป็นเช่นเดียวกับมัณฑกัป ด้วยคุณสมบัติ. วาศัพท์

พึงเห็นว่า ลงในอรรถอุปมา. บทว่า อุสฺสนฺนกุสลา ได้แก่ ผู้สั่งสมบุญไว้.

บทว่า ชนตา ได้แก่ ชุมชน

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ. ผู้เป็นยอดบุรุษ ทรงยับยั้ง ณ โพธิ-
บัลลังก์ ๗ วัน ทรงย่างพระบาทเบื้องขวา ด้วยหมายพระหฤทัยว่า จะวาง

พระบาทลงที่แผ่นดิน. ลำดับนั้น ดอกบัวบกทั้งหลายมีเกสรและช่อละเอียดไร้

มลทิน มีใบดังเกิดในน้ำไม่หม่นหมองไม่บกพร่องแต่บริบูรณ์ ชำแรกแผ่นดินผุด

ขึ้นมา บัวบกเหล่านั้นมีใบชิดกัน ๙๐ ศอก เกสร ๓๐ ศอก ช่อ ๑๒ ศอก เรณูของ

ดอกแต่ละดอกขนาดหม้อใหม่ ส่วนพระศาสดาสูง ๕๘ ศอก ระหว่างพระพาหาสอง

ข้างของพระองค์ ๑๘ ศอก พระนลาต ๕ ศอก พระหัตถ์และพระบาท ๑๑ ศอก.

พอพระองค์ทรงเหยียบช่อ ๑๒ ศอก ด้วยพระบาท ๑๑ ศอก เรณูขนาดหม้อ

ใหม่ ก็ฟุ้งขึ้นกลบพระสรีระ ๕๘ ศอก แล้วกลับท่วมทับ ทำให้เป็นเหมือน

ฝุ่นมโนศิลาป่นเป็นจุณ. หมายเอาข้อนั้น พระอาจารย์ผู้รจนาคัมภีรสังยุตต-

นิกายจึงกล่าวว่า พระศาสดาปรากฏในโลกว่า พระปทุมุตตระ ดังนี้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ ผู้ยอดเยี่ยมเหนือโลกทั้งปวง
ทรงรับอาราธนาของท้าวมหาพรหม ทรงตรวจดูสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นดังภาชนะ

รองรับพระธรรมเทศนา ทรงเห็นพระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ เทวละ และ

สุชาตะ กรุงมิถิลา ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย ทันใดก็เสด็จโดยทางอากาศ ลงที่พระ

ราชอุทยานกรุงมิถิลา ใช้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยานให้เรียกพระราชกุมาร

ทั้งสองพระองค์มาแล้ว ทั้งสองพระองค์นั้น ทรงดำริว่า พระปทุมุตตรกุมาร

โอรสของพระเจ้าอาของเรา ทรงผนวช. ทรงบรรลุ พระสัมมาสัมโพธิญาณ

เสด็จถึงนครของเรา จำเราจักเข้าไปเฝ้าพระองค์พร้อมด้วยบริวาร ก็เข้าเฝ้าพระ

ผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ นั่งแวดล้อม. ครั้งนั้น พระทศพล อันพระราชกุมาร

และบริวารเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงรุ่งโรจน์ดุจจันทร์เพ็ญ อันหมู่ดาวแวด

ล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น. ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่

๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ในการแสดงธรรมครั้งที่ ๑ ของพระผู้มีพระภาค
เจ้าปทุมุตตระ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ.
สมัยต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังมหาชนให้ร้อน ด้วยความร้อน
ในนรก ทรงแสดงธรรมในสมาคมของสรทดาบส ทรงยังหมู่สัตว์นับได้สาม

ล้านเจ็ดแสน ให้ดื่มอมตธรรม ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อจากนั้น เมื่อทรงหลั่งฝนธรรม ให้สัตว์ทั้ง
หลายเอิบอิ่ม อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์สามล้าน
เจ็ดแสน.
ก็ครั้ง พระเจ้าอานันทมหาราช ปรากฏพระองค์ในกรุงมิถิลา ใน
สำนักของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยบุรุษ [ทหาร] สองหมื่น

และอมาตย์ยี่สิบคน. พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ ทรงให้ชนเหล่านั้นบวช

ด้วยเอหิภิกขุบรรพชาทุกคน อันชนเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว เสด็จไปทำการ

สงเคราะห์พระชนก ประทับอยู่ ณ กรุงหังสวดี ราชธานี ในที่นั้น พระองค์

เสด็จจงกรม ณ รัตนจงกรม ในท้องนภากาศ ตรัสพุทธวงศ์เหมือนพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าของเรา ในกรุงกบิลพัสดุ์ ครั้งนั้นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์

ห้าล้าน ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ครั้งพระมหาวีระ เข้าไปโปรดพระเจ้าอานันทะ
เสด็จเข้าไปใกล้พระชนก ทรงลั่นอมตเภรี.
เมื่อทรงลั่นอมตเภรีแล้ว ทรงหลั่งฝนคือ ธรรม
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ห้าล้าน.
ข้อความโดย: ตถตา
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 09:16:26 pm »

พรรณนาวงศ์พระปทุมุตตรพุทธเจ้าที่ ๑๐
พระศาสนาของพระนารทพุทธเจ้าเป็นไปได้เก้าหมื่นปี ก็อันตรธาน.
กัปนั้นก็พินาศไป ต่อจากนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ไม่อุบัติในโลก ตลอด

อสงไขยแห่งกัปทั้งหลาย. ว่างพระพุทธเจ้า มีแสงสว่างที่ปราศจากพระพุทธเจ้า.

แต่นั้น เมื่อกัปและอสงไขยทั้งหลายล่วงไป ๆ ในกัปหนึ่ง ที่สุดแสนกัปนับแต่

กัปนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพิชิตมาร ปลงภาระ มีพระเมรุเป็น

สาระ ไม่มีสังสารวัฏ มีสัตว์เป็นสาระ ยอดเยี่ยมเหนือโลกทั้งปวง พระนาม

ว่า ปทุมุตตระ ก็อุบัติขึ้นในโลก. แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย

บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากดุสิตนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ

พระนางสุชาดาเทวี ผู้เกิดในสกุลที่มีชื่อเสียง อัครมเหสีของ พระเจ้า-

อานันทะ ผู้ทำความบันเทิงจิตแก่ชนทั้งปวง กรุงหังสวดี. พระนาง-

สุชาดาเทวี นั้น อันทวยเทพอารักขาแล้ว ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ประสูติ

พระปทุมุตตรกุมาร ณ พระราชอุทยานหังสวดี. ในสมัยปฏิสนธิ และสมภพ

ก็มีปาฏิหาริย์ ดังกล่าวแล้วแต่หนหลัง.

ดังได้สดับมา ในสมัยพระราชกุมารพระองค์นั้น ทรงสมภพ ฝนดอก
ปทุมก็ตกลงมา. ด้วยเหตุนั้น ในวันเฉลิมพระนามพระกุมาร พระประยูรญาติ

ทั้งหลายจึงเฉลิมพระนามว่า ปทุมุตตรกุมาร. พระกุมารพระองค์นั้นทรง

ครองฆราวาสวิสัยหมื่นปี. พระองค์มีปราสาท ๓ หลังเหมาะแก่ฤดูทั้งสาม ชื่อ

นรวาหนะ ยสวาหนะ และ วสวัตดี มีพระสนมนารีแสนสองหมื่นนาง มี

พระนางวสุทัตตาเทวี เป็นประมุข เมื่อ พระอุตตรกุมาร ผู้ยอดเยี่ยม

ด้วยพระคุณทุกอย่าง พระโอรสของพระนางวสุทัตตาเทวีทรงสมภพแล้ว

พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ ทรงพระดำริจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พอทรง

พระดำริเท่านั้นปราสาทที่ชื่อว่า วสวัตดี ก็ลอยขึ้นสู่อากาศ เหมือนจักรของ

ช่างหม้อไปทางท้องอัมพร เหมือนเทพวิมาน และเหมือนดวงจันทร์เพ็ญ ทำ

โพธิพฤกษ์ไว้ตรงกลางลงที่พื้นดิน เหมือนปราสาทที่กล่าวแล้ว ในการพรรณนา

วงศ์ของพระโสภิตพุทธเจ้า.

ได้ยินว่า พระมหาบุรุษเสด็จลงจากปราสาทนั้น ทรงห่มผ้ากาสายะ
อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ ซึ่งเทวดาถวาย ทรงผนวชในปราสาทนั้นนั่น

เอง ส่วนปราสาทกลับมาตั้งอยู่ในที่ตั้งเดิมของตน. บริษัททุกคนที่ไปกับพระ-

มหาสัตว์ พากันบวช เว้นพวกสตรี. พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียร ๗ วัน

พร้อมกับผู้บวชเหล่านั้น วันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาส ที่ ธิดารุจานันท-

เศรษฐี อุชเชนีนิคม ถวายแล้ว ทรงพักกลางวัน ณ สาลวัน เวลาเย็น

ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่ สุมิตตะอาชีวก ถวาย เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ ชื่อ

ต้น สลละ ช้างน้าว ทรงทำประทักษิณโพธิพฤกษ์นั้น ทรงลาดสันถัตหญ้า

กว้าง ๓๘ ศอก ทรงนั่งขัดสมาธิ อธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ทรงกำจัดกอง

กำลังมารพร้อมทั้งตัวมาร ยามที่ ๑ ทรงระลึกได้บุพเพนิวาส. ยามที่ ๒ ทรง

ชำระทิพยจักษุให้บริสุทธิ์, ยามที่ ๓ ทรงพิจารณาปัจจยาการออกจากจตุตถฌาน

มีอานาปานัสสติเป็นอารมณ์ แล้วหยั่งลงในขันธ์ ๕ ทรงเห็นลักษณะ ๕๐ ถ้วน

ด้วยสามารถแห่งความเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไป ทรงเจริญวิปัสสนาจนถึงโคตรภูญาณ

แทงตลอดพระพุทธคุณทั้งสิ้น ด้วยอริยมรรค ทรงเปล่งพระอุทานที่พระพุทธ-

เจ้าทุกพระองค์ประพฤติมาว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.

ได้ทราบว่า ครั้งนั้น ฝนดอกปทุมตกลงมา ประหนึ่งประดับทั่วภายในทั้งหมื่น

จักรวาล. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อจากสมัยของพระนารทพุทธเจ้า พระสัมพุทธ-
เจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้า
พระชินะผู้ไม่หวั่นไหว เปรียบดังสาครที่ไม่กระเพื่อม
ฉะนั้น.
พระพุทธเจ้าได้อุบัติในกัปใด กัปนั้นเป็นมัณฑ-
กัป หมู่ชนผู้สั่งสมกุศลไว้ ก็ได้เกิดในกัปนั้น.