ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 02:06:46 am »

 :13: อนุโมทนาครับพี่แฮม ขอบพระคุณครับผม
ข้อความโดย: ตถตา
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 09:56:24 pm »

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนนฺตพลวาหโน ความว่า กำลังพล
และพาหนะ มีช้างม้าเป็นต้นของเรามีมากไม่มีที่สุด. บทว่า สมฺพุทฺธทสฺสนํ

ก็คือ สมฺพุทฺธทสฺสนตฺถาย เพื่อเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า. บทว่า ยทิจฺฉกํ

ความว่า จนพอแก่ความต้องการ คือทรงเลี้ยงดูพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น

ประธาน ด้วยอาหาร ๔ อย่าง จนทรงห้ามว่า พอ ! พอ ! เอาพระหัตถ์ปิด

บาตร. บทว่า สตฺถุสาวเก ได้แก่ ถวายแด่พระศาสดาและพระสาวกทั้งหลาย.

บทว่า นรุตฺตเม ก็คือ นรุตฺตมสฺส แด่พระผู้สูงสุดในนรชน. บทว่า โอหาย

ได้แก่ ละ เสียสละ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคมนพระองค์นั้น ทรงมีพระนครชื่อว่าโสภวดี
พระชนกเป็นพราหมณ์ชื่อว่า ยัญญทัตตะ พระชนนีเป็นพราหมณีชื่อว่า อุต-

ตรา คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระภิยโยสะ และพระอุตตระพระพุทธอุปัฏฐาก

ชื่อว่า พระโสตถิชะ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระสมุททา และพระอุตตรา

โพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นอุทุมพร พระสรีระสูง ๓๐ ศอก พระชนมายุสามหมื่นปี

ภริยาเป็นพราหมณีชื่อ รุจิคัตตา โอรสชื่อ พระสัตถวาหะ ออกอภิเนษกรมณ์

ด้วยยานคือช้าง ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระนครชื่อว่า โสภวดี มีกษัตริย์พระนามว่า
โสภะ ตระกูลของพระสัมพุทธเจ้าเป็นตระกูลใหญ่
อยู่ในนครนั้น.
พระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้เป็นพระศาสดา มี
พระชนกเป็นพราหมณ์ชื่อว่า ยัญญทัตตะ พระชนนี
เป็นพราหมณ์ ชื่อว่าอุตตรา.
พระโกนาคมนศาสดา มีพระอัครสาวกชื่อว่า พระ-
ภิยโยสะและพระอุตตระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระ-
โสตถิชะ.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระสมุททา และพระ-
อุตตราโพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เรียกว่าต้นอุทุมพระ.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สูง ๓๐ ศอก ประดับ
ด้วยพระรัศมีทั้งหลาย เหมือนทองในเบ้าช่างทอง.
ในยุคนั้น พระชนมายุของพระพุทธเจ้าสามหมื่น
ปี พระองค์ทรงพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงยังหมู่ชน
เป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
พระองค์ทั้งพระสาวก ทรงยกธรรมเจดีย์อัน
ประดับด้วยผ้าธรรม ทรงทำเป็นพวงมาลัยดอกไม้
ธรรมแล้วดับขันธปรินิพพานแล้ว.
พระสาวกของพระองค์พิลาสฤทธิ์ยิ่งใหญ่ พระ
ผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประกาศธรรมอันเป็นสิริ ทั้งนั้นก็
อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุกฺกามุเข ได้แก่ เตาของช่างทอง.
บทว่า ยถา กมฺพ ก็คือ สุวณิณนิกฺขํ วิย เหมือนแท่งทอง. บทว่า

เอวํ รํสีหิ มณฺฑิโต ได้แก่ ประดับตกแต่งด้วยรัศมีทั้งหลายอย่างนี้.

บทว่า ธมฺมเจติยํ สมุสฺเสตฺวา ได้แก่ ประดิษฐานพระเจดีย์สำเร็จด้วยโพธิ-

ปักขิยธรรม ๓๗. บทว่า ธมฺมทุสฺสวิภูสิตํ ได้แก่ ประดับด้วยธงธรรมคือ

สัจจะ ๔. บทว่า ธมฺมปุปฺผคุฬํ กตฺวา ได้แก่ ทำให้เป็นพวงมาลัยดอกไม้

สำเร็จด้วยธรรม. อธิบายว่า พระศาสดาพร้อมทั้งพระสงฆ์สาวก โปรดให้

ประดิษฐานพระธรรมเจดีย์ เพื่อมหาชนที่อยู่ ณ ลานพระเจดีย์สำหรับบำเพ็ญ

วิปัสสนา จะได้นมัสการ แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน. บทว่า มหาวิลาโส

ได้แก่ ผู้ถึงความพิลาสแห่งฤทธิ์ยิ่งใหญ่. บทว่า ตสฺส ได้แก่ ของ

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น. บทว่า ชโน ได้แก่ ชน คือ พระสาวก.

บทว่า สิริธมฺมปฺปกาสโน ความว่า และพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประกาศ

โลกุตรธรรม พระองค์นั้น ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น.

ในคาถาที่เหลือทุกแห่ง คำชัดแล้วทั้งนั้นแล.
สุเขน โกนาคมโน คตาสโว
วิกามปาณาคมโน มเหสี
วเน วิเวเก สิรินามเธยฺเย
วิสุทฺธวํสาคมโน วสิตฺถ.
พระโกนาคมนพุทธเจ้า ทรงมีอาสวะไปแล้วโดย
สะดวก ผู้เป็นที่มาแห่งสัตว์ผู้ปราศจากกาม ผู้แสวงคุณ
ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นที่มาแห่งวงศ์ของพระผู้บริสุทธิ์ ประทับ
อยู่ ณ ป่าอันมีนามเป็นสิริ อันสงัด.
จบพรรณนาวงศ์พระโกนาคมนพุทธเจ้า
ข้อความโดย: ตถตา
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 09:55:44 pm »

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทส ธมฺเม ปูรยิตฺวาน ได้แก่ บำเพ็ญ
บารมีธรรม ๑๐. บทว่า กนฺตารํ สมติกฺกมิ ได้แก่ ก้าวล่วงชาติกันดาร.

บทว่า ปวาหิย แปลว่า ลอยแล้ว. บทว่า มลํ สพฺพํ ได้แก่ มลทิน ๓

มีราคะเป็นต้น. บทว่า ปาฏิหีรํ กโรนฺเต จ ปรวาทปฺปมทฺทเน ความว่า

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำปาฏิหาริย์ในการย่ำยีวาทะของฝ่ายปรปักษ์.

บทว่า วิกุพฺพนํ ได้แก่ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำยมก-

ปาฏิหาริย์ ใกล้ประตูกรุงสุนทรนคร แล้วเสด็จไปเทวโลก จำพรรษาเหนือ

พระแท่นปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ในเทวโลกนั้น. ถามว่า ทรงจำพรรษาอย่างไร

ตอบว่า ทรงแสดงอภิธรรม ๗ คัมภีร์. อธิบายว่า ทรงอยู่จำพรรษา แสดง

พระอภิธรรมปิฏก ๗ คัมภีร์แก่เทวดาทั้งหลายในเทวโลกนั้น เมื่อพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าทรงแสดงพระอภิธรรม ณ ที่นั้นอย่างนี้ อภิสมัยได้มีแก่เทวดาหมื่นโกฏิ.

แม้พระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้มาบำเพ็ญบารมีอันบริสุทธิ์ มีสาวก
สันนิบาตครั้งเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่ ณ สุรินทวดีอุทยาน

กรุงสุรินทวดี ทรงแสดงธรรมโปรดพระราชโอรสสองพระองค์คือ ภิยโยสราช-

โอรส และอุตตรราชโอรส พร้อมทั้งบริวาร ทรงยังชนเหล่านั้นทั้งหมด

ให้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ประทับท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น ทรงยกปาติโมกข์

ขึ้นแสดง ณ วันมาฆบูรณมี. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้เป็นเทพแห่งเทพ
พระองค์นั้น ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ
ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ครั้งเดียว.
ครั้งนั้น เป็นสันนิบาตประชุมภิกษุสาวกสาม-
หมื่น ผู้ข้ามพ้นโอฆะ ผู้หักรานมัจจุได้แล้ว.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอฆานํ ได้แก่ โอฆะมีกาโมฆะเป็นต้น
คำนี้เป็นซึ่งของโอฆะ ๔. โอฆะเหล่านั้นของผู้ใดมีอยู่. ย่อมคร่าผู้นั้นให้จมลง

ในวัฏฏะ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า โอฆะ. โอฆะเหล่านั้น พึงเห็นฉัฏฐีวิภัตติ

ลงในอรรถทุติยาวิภัตติ ความว่า ผู้ก้าวล่วงโอฆะ ๔ อย่าง แม้ในคำว่า

ภิชฺชิตานํ นี้ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า มจฺจุยา ก็คือ มจฺจุโน.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพระราชาพระนามว่า พระเจ้า
ปัพพตะ กรุงมิถิลนคร. ครั้งนั้น พระราชาพร้อมทั้งราชบริพาร ทรงสดับ

ข่าวว่า พระโกนาคมนะพุทธเจ้าผู้เป็นที่มาแห่งสรรพสัตว์ผู้ถึงสรณะ เสด็จถึง

กรุงมิถิลนครแล้ว จึงเสด็จออกไปรับเสด็จ ถวายบังคมนิมนต์พระทศพลถวาย

มหาทาน ทูลวิงวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับจำพรรษา ณ มิถิลนครนั้น

บำรุงพระศาสดาพร้อมทั้งพระสงฆ์สาวกตลอดไตรมาส ถวายของมีค่ามากเช่น

ผ้าไหมทำในเมืองปัตตุณณะ ผ้าทำในเมืองเมืองจีน ผ้ากัมพล ผ้าแพร ผ้าเปลือก

ไม้ ผ้าฝ้ายเป็นต้น ผ้าเนื้อละเอียด ฉลองพระบาทประดับทอง และบริขารอื่น

เป็นอันมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้น

ว่า ในภัทรกัปนี้นี่แล ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า. ลำดับนั้นมหาบุรุษนั้นสดับ

คำพยากรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก็ทรงบริจาคราชสมบัติยิ่งใหญ่

ทรงผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่า ปัพพตะ พรั่ง
พร้อมด้วยมิตรอำมาตย์ มีกำลังพลและพาหนะหาที่สุด
มิได้.
เข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า สดับธรรมอันยอดเยี่ยม
นิมนต์ พระองค์พร้อมทั้งพระสงฆ์พุทธชิโนรส ถวาย
ทานจนพอต้องการ.
ได้ถวายผ้าไหมทำในเมืองปัตตุณณะ ผ้าทำใน
เมืองจีน ผ้าแพร ผ้ากัมพล ฉลองพระบาทประดับทอง
แด่พระศาสดาและพระสาวก.
พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ประทับนั่ง ณ
ท่ามกลางสงฆ์ ทรงพยากรณ์เราว่า ในภัทรกัปนี้
ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์
อันน่ารื่นรมย์ ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราสดับคำของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อมใส จึง
อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐
ให้บริบูรณ์.
เรากำลังแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ ถวายทาน
แด่พระผู้สูงสุดในนรชน สละราชสมบัติยิ่งใหญ่ บวช
ในสำนักของพระชินพุทธเจ้า.
ข้อความโดย: ตถตา
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 09:54:51 pm »

พรรณนาวงศ์พระโกนาคมนพุทธเจ้าที่ ๒๓
ภายหลังต่อมาจากสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า กกุสันธะ เมื่อพระ-
ศาสนาของพระองค์อันตรธานแล้ว เมื่อสัตว์ทั้งหลายเกิดมามีอายุสามหมื่นปี.

พระศาสดาพระนามว่า โกนาคมนะ ผู้มีไม้ดีดพิณมาเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่

ผู้อื่น ก็อุบัติขึ้นในโลก อีกนัยหนึ่ง พระศาสดาพระนามว่า โกณาคมนะ

เพราะเป็นที่มาแห่งอาภรณ์ทองเป็นต้น อุบัติขึ้นในโลก. ทอง เครื่องประดับมี

ทองเป็นต้น มาตกลง ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดทรงอุบัติพระผู้มี

พระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงพระนามว่า โกณาคมนะ โดยนัยแห่งนิรุกติศาสตร์

เพราะอาเทศ ก เป็น โก, อาเทศ น เป็น ณา ลบ ก เสียตัวหนึ่ง ในคำว่า โกณา

คมโน นั้น ก็ในข้อนี้อายุท่านทำให้เป็นเสมือนเสื่อมลงโดยลำดับ แต่มิใช่เสื่อม

อย่างนี้ พึงทราบว่า เจริญแล้วเสื่อมลงอีก. อย่างไร. ในกัปนี้เท่านั้น พระผู้มี-

พระภาคเจ้ากกุสันธะทรงบังเกิดในเวลาที่มนุษย์มีอายุสี่หมื่นปี แต่อายุนั้นกำลังลด

ลงจนถึงอายุสิบปี แล้วกลับเจริญขึ้นถึงอายุนับไม่ถ้วน (อสงไขย) แต่นั้นก็ลดลง

ตั้งอยู่ในเวลาที่มนุษย์มีอายุสามหมื่นปี ครั้งนั้นพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

โกนาคมนะ ทรงอุบัติขึ้นในโลก.

แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย แล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในครรภ์ของพราหมณีชื่อ อุตตรา ผู้ยอดเยี่ยม

ด้วยคุณมีรูปเป็นต้น ภริยาของ ยัญญทัตตพราหมณ์ กรุงโสภวดี ถ้วน

กำหนดทศมาส ก็เคลื่อนออกจากครรภ์ของชนนี ณ สุภวดีอุทยาน เมื่อ

พระองค์สมภพ ฝนก็ตกลงมาเป็นทองทั่วชมพูทวีป ด้วยเหตุนั้น เพราะเหตุ

ที่ทรงเป็นที่มาแห่งทอง พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามว่า กนกาคมนะ. ก็

พระนามนั้นของพระองค์แปรเปลี่ยนมาโดยลำดับ เป็นโกนาคมนะ. พระองค์

ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่สามพันปี มีปราสาท ๓ หลั่งชื่อว่า ดุสิตะ สันดุสิตะ

และสันตุฏฐะ มีนางบำเรอหนึ่งหมื่นหกพันนาง มีนางรุจิคัตตาพราหมณี

เป็นประมุข.

เมื่อบุตรชื่อ สัตถวาทะ ของนางรุจิคัตตาพราหมณีเกิด พระองค์
ทรงเห็นนิมิต ๔ ก็ขึ้นคอช้างสำคัญ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง ทรงผนวช

บุรุษสามหมื่นก็บวชตาม พระองค์อันบรรพชิตเหล่านั้นแวดล้อม ก็บำเพ็ญ

เพียร ๖ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี ก็เสวยข้าวมธุปายาส ที่อัคคิโสณพราหมณ-

กุมารี ธิดาของอัคคิโสณพราหมณ์ถวาย พักกลางวัน ณ ป่าตะเคียน

เวลาเย็น รับหญ้า ๘ กำ ที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ ชฏาตินทุกะถวาย จึง

เข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอุทุมพร คือไม้มะเดื่อ ซึ่งมีขนาดที่กล่าวแล้วใน

ต้นปุณฑรีกะ ที่พรั่งพร้อมด้วยความเจริญแห่งผล ทางด้านทักษิณ ทรงลาด

สันถัตหญ้ากว้าง ๒๐ ศอก นั่งขัดสมาธิ กำจัดกองกำลังของมาร ทรงได้

ทศพลญาณ ทรงเปล่งอุทานว่าอเนกชาติสํสารํ ฯเปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา

ดังนี้ ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของภิกษุสามหมื่นที่

บวชกับพระองค์ เสด็จไปทางอากาศ เสด็จลงที่อิสิปตนะมิคทายวัน ใกล้

กรุงสุทัสสนนคร อยู่ท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น ทรงประกาศธรรมจักร ครั้งนั้น

อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สามหมื่นโกฏิ.

ต่อมาอีก ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้นมหาสาละ ใกล้ประตู
สุนทรนคร ทรงยังสัตว์สองหมื่นโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม. นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่

๒ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโปรดเทวดาทั้งหลายที่มา

ประชุมกันในหมื่นจักรวาล มีนางอุตตราพระชนนีของพระองค์เป็นประธาน

อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์หมื่นโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อมาจากสมัยของพระกกุสันธพุทธเจ้า ก็มีพระ
ชินสัมพุทธเจ้า พระนามว่า โกนาคมนะ สูงสุดแห่ง
สัตว์สองเท้า เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจในนรชน.
ทรงบำเพ็ญบารมีธรรม ๑๐ ก้าวล่วงทางกันดาร
ทรงลอยมลทินทั้งปวง ทรงบรรลุพระโพธิญาณอันสูง
สุด.
เมื่อพระโกนาคมนะผู้นำ ทรงประกาศพระ-
ธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ได้มีแก่สัตว์สามหมื่นโกฏิ.
และเมื่อทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ย่ำยีดำติเตียนของ
ฝ่ายปรปักษ์ อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์สองหมื่น
โกฏิ.
ต่อนั้น พระชินสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงฤทธิ์ต่างๆ
เสด็จไปยังเทวโลก ประทับอยู่เหนือบัณฑุกัมพลศิลา-
อาสน์ ณ เทวโลกนั้น.
พระมุนีพระองค์นั้น ประทับจำพรรษาแสดง
พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่
เทวดาหมื่นโกฏิ.