ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 09:22:43 am »"Spider-Man 3" ... พลังอัน'ดำมืด' มาพร้อมกับ'ความรู้ผิดชอบชั่วดี'
ในสองภาคที่ผ่านมาของ "Spider-Man" ... เราคงจะได้เรียนรู้ความหมายของคำพูด "พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง" กันมาเป็นอย่างดีแล้ว
คำพูดของ ลุงเบน ปาร์คเกอร์ ที่พร่ำสอน หนุ่มน้อย ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ก่อนจะลาลับโลก ไปด้วยคำนี้ ...เป็นการเตือนสติให้รู้ว่า ความสามารถเกินมนุษย์ที่เขามีอยู่นั้น มันไม่ได้มีไว้เพื่ออวด เพื่อโอ่โชว์อำนาจสิ่งที่ได้เลือกเขามาและเขาถูกกำหนดให้เป็น ก็เพื่อจะให้มีไว้ใช้ต่อกรกับความเห็นแก่ตัวที่อยู่ภายในใจลึกๆของเขามากไปกว่าอื่นใด ...
ถ้าเรายังจำความเดิมในภาคแรกได้ ...ในฉากที่ปีเตอร์ได้ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลไป นั่นยังแสดงให้เห็นว่าคำพูดที่ลุงเบนพร่ำสอนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจสัจธรรมการเป็นฮีโร่แต่อย่างใด มันก็จริงที่ว่าการตายของลุงเบน จะเป็นแรงจูงใจที่ทำให้ ปีเตอร์ เลือกจะเดินทางสายใหม่ (สายที่เขาจะเป็นผู้ชายที่แข็งแรงบนโลกใบนี้ และละทิ้งร่างของเด็กอ่อนแอคนเก่าทิ้งไป) ...แต่ถึงยังไงก็ใช่ว่า การตายของคนๆหนึ่ง จะสามารถสร้างฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบเป็นที่สุดได้เลยในทันที (ลองมองดูกรณีคล้ายๆกัน อย่าง Batman...เขาก็ไม่ต่างอะไรกับปีเตอร์ ที่ต้องการจะฆ่าคนพรากชีวิตพ่อแม่ เหนือไปกว่าเหตุและผลที่ควรอโหสิให้)
จากเหตุการณ์ที่ปีเตอร์เริ่มต้นเป็นสไปเดอร์แมนด้วยการสนองตัณหา(ล้างแค้น) มันก็มีความต่อเนื่องทางจิตเรื่อยมาในทุกขณะที่เขาสวมหน้ากากปราบอธรรม ...ผมคิดและเชื่อว่าในใจลึกๆดวงนั้นของปีเตอร์ ยังคงจะมีกิเลสซ่อนรูปเก็บไว้อยู่เสมอมา ...เขายังยึดมั่นในความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งที่ปล่อยให้ความเห็นแก่ตัว อยู่เหนือเหตุผลการกระทำอันสมควร ...แม้พลังอันร้ายกาจของจิตใจคน มันจะไม่ได้ส่งผลกระทบอันร้ายแรงต่อหน้าที่ใดๆในสองภาคที่แล้ว แต่เราก็จะยังแอบเห็นได้ว่า บางครั้งเอง ปีเตอร์ ก็มีภาวะทางความคิดที่รุนแรงเหนือไปกว่าการกระทำ (มันก็ดีที่เขายังคงสามารถพอจะเก็บงำมันไว้ ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านเกะกะมือ เท้า และใยของเขา)
มาถึงในภาคสาม ในคราวนี้ ก็ถึงทีที่ สไปเดอร์แมน ของเรา จะได้ประจัญหน้ากับบททดสอบที่สำคัญที่สุดในการสวมบทเป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้ผดุงธรรม ...บททดสอบที่ว่าด้วยเรื่อง 'ความรู้ผิดชอบชั่วดี'
"Spider-Man 3" ... เริ่มต้นต่อจากจุดจบของภาคก่อน ที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวยในชีวิตของ "ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์" ...เขาสามารถเอาชนะใจ "เอ็ม.เจ. วัตสัน" ผู้หญิงที่เขารักและมั่นคงมาตลอดได้ เขากลายเป็นคน(สวมหน้ากาก)ที่ถูกรัก เป็นเพื่อนบ้านที่ประชาชนคนนิวยอร์กทุกคนไว้วางใจ และเขาก็คือฮีโร่ ที่อาชญากรตัวน้อยๆทุกคนขยาดกลัวจะต่อสู้ด้วย
แต่อะไรที่มันสวยงาม ย่อมแอบแฝงพิษร้ายอยู่ภายในเสมอ ...และพิษร้ายที่ว่านี้ ก็มาในรูปของสารเคมี ที่มีส่วนผสมของ เพื่อน/ศัตรู(ตัวจริง)/คู่แข่ง/รักสามเส้า/ความหลงระเริง นำมารวมเคี่ยวข้นให้กลายเป็น ของเหลวสีดำจากต่างดาว ที่อันตรายถึง(การใช้)ชีวิต
เพื่อน... "แฮร์รี่ ออสบอร์น" ยังคงฝังคมแค้นคิดแต่จะจัดการคนที่ฆ่าพ่อให้ตายเพียงสถานเดียว เขาไม่สนคำพูดปฏิเสธของเพื่อนรัก ไม่ไตร่ตรองว่าความจริงแล้ว "นอร์แมน" ต้องตายเพราะการกระทำของตัวเองทั้งสิ้น ...(การใช้)ชีวิตของสไปเดอร์แมนถึงจุดอันตราย เพราะความลำบากที่จะชั่งใจว่า เขาควรจะฆ่าเพื่อน หรือปล่อยเพื่อนให้ตามฆ่าตัวเองไปอย่างนี้
ศัตรู(ตัวจริง)... "ฟลิ้นท์ มาร์โก" คือ ฆาตกร(ตัวจริง)ที่จบชีวิตลุงเบน ตามหลักฐาน(ตัวจริง)ของตำรวจ ...เมื่อปีเตอร์ได้รู้ความจริงข้อนี้ เขาจะอดได้หรือกับการตามฆ่าล้างแค้น อย่างเช่นที่เขาเคยทำกับศัตรู(ตัวปลอม) ...(การใช้)ชีวิตของสไปเดอร์แมนถึงจุดอันตราย เพราะตัณหาดิบที่เก็บงำเอาไว้ กำลังกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง กับตัวการ(ตัวจริง)คนนี้
คู่แข่ง... "เอ็ดดี้ บร็อค" พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะให้ได้ภาพสวยๆเท่ห์ๆของฮีโร่ขวัญใจเดลี่ บูลเกอร์ มาเรียกเรตติ้งยอดขายให้พุ่งกระฉูด ...เขาใช้สัญชาตญาณหมาล่าเนื้อ ยื้อแย่งอาหารจาก ปีเตอร์ ทุกชิ้นทุกอัน โดยไม่คิดถึงความชอบธรรม และจรรยาบรรณของนักข่าว ...(การใช้)ชีวิตของสไปเดอร์แมนถึงจุดอันตราย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ปีเตอร์โดนแย่ง มันมีค่าเท่ากับความแค้นที่สไปเดอร์แมนต้องการเอาคืน
รักสามเส้า... "เกว็น สเตซี่" เป็น มือที่สามผู้บังเอิญเข้ามาข้องเกี่ยวกับสมการความรักที่ยังไม่ลงตัวของ ปีเตอร์ และ เอ็ม.เจ. ...เธอคือตัวแปร ที่ทำให้ใจของเอ็ม.เจ.ผันเปลี่ยน เพียงแค่ความร้อนใจในความสนิทสนมที่มีมากเกิน (เกว็น เป็นคนที่ได้รับการช่วยเหลือจากสไปดี้ ไม่ต่างกับที่เอ็ม.เจ.เคยได้รับ และ เกว็นก็ยังเป็นเพื่อนร่วมห้องคู่บัดดี้ที่มหาลัยของปีเตอร์อีกด้วย) ...(การใช้)ชีวิตของสไปเดอร์แมนถึงจุดอันตราย เพราะ ความรักที่เขาศรัทธา กำลังโดนทำลายด้วยน้ำมือของผู้หญิงที่เขายอมเทใจให้ และจริงจังถึงขั้นจะขอแต่งงาน เขารับไม่ได้ถ้าจุดจบของชีวิตคู่จะลงเอยด้วยการเข้าใจผิดเช่นนี้
ความหลงระเริง... "สไปเดอร์แมน" กำลังไปได้สวยกับการเป็นยอดฮีโร่ที่ทุกคนต่างยอมรับ เขานึกถึงแต่คำสรรเสริญเยินยอมากไปกว่าความนอบน้อมที่เขาเคยเป็น ปีเตอร์ตกอยู่ในภวังค์หลงมัวเมากับความเชื่อที่คิดว่าเขาคือคนที่ทุกคนพอใจ โดยไม่เคยเหลียวมามองว่า เอ็ม.เจ. นั้นกำลังไม่พอใจในการเปลี่ยนไปในตัวตนและความคิด ...เธอมองออกว่าเขาคิดถึงแต่ตัวเอง มากกว่าจะคิดถึงคนอื่น เธอนึกได้ว่าพลังและอำนาจกำลังทำให้คนที่เธอรักเปลี่ยนแปลงไป
(การใช้)ชีวิตของสไปเดอร์แมน ถึงคราวที่จะได้ประจัญหน้ากับบททดสอบที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไป มีเอาไว้เพื่อใช้ชี้วัดความเห็นแก่ตัว ...บททดสอบที่ว่าด้วยเรื่อง 'ความรู้ผิดชอบชั่วดี'
'ความรู้ผิดชอบชั่วดี' มีอยู่ในจิตใจคนเราทุกขณะจิต เราคิดถึงมันโดยตลอดในตอนที่เรากำลังแสดงพฤติกรรมที่ส่อไปถึงจิตใต้สำนึกลึกๆที่เรารู้ตัว ...ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราเห็นคนแก่กำลังเดินข้ามถนน ในตอนนั้น เราจะมีความคิดที่เป็นทั้งขั้วบวกและขั้วลบเกิดขึ้นในใจ การขัดแย้งระหว่างขั้วทั้งสอง ต่างก็จะพยายามสร้างประเด็นหาเหตุหาผลที่เหมาะที่สมกับจิตใต้สำนึกที่เรามี และเมื่อเราได้แสดงความรู้ออกในรูปของพฤติกรรมแล้ว ในตอนนั้นเองที่ขั้วใดเพียงขั้วหนึ่งจะได้เป็นผู้ชนะ ...
'ความรู้ผิดชอบชั่วดี'ต่อชีวิตของคนแก่ จะจบลงแบบไหนล้วนขึ้นอยู่กับจิตใจของคุณเอง ที่สามารถเลือกได้ว่า จะยอมรับในขั้วบวก (ช่วยประคองคนแก่ให้ข้ามถนนไปได้โดยปลอดภัย) หรือ ยอมแพ้ให้ขั้วลบ (ทำได้แค่มอง และเดินบนฟุตบาทต่อไป ปล่อยให้มันสิ้นสุดตามยถากรรมของชีวิตคนอื่นที่ไม่ใช่ชีวิตเรา) ก็แค่นั้น...
"แซม ไรมี่" ผู้กำกับอภิมหาไตรภาค เลือกจะปิดท้ายหนังซูเปอร์ฮีโร่จักรวาลมาร์เวล(ที่ดีที่สุด) ด้วยการตอบโจทย์ที่เขาได้แอบตั้งทิ้งเอามาตั้งแต่ภาคแรก ...โจทย์ที่ว่าด้วยเรื่องของ 'ความรู้ผิดชอบชั่วดี' กับจิตใต้สำนึก และการเลือกกระทำ
ในภาคแรก เรื่องราวของ สไปดี้ เริ่มต้นด้วยการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อยอมรับตัวตนฮีโร่ที่ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ถูกเลือกให้เป็น ...ส่วนภาคสอง ก็ถลำเขาไปในส่วนของจิตใจ ที่ซูเปอร์ฮีโร่คนหนึ่งจะต้องทนอยู่ และอยู่ทนกับความสามารถเหนือมนุษย์ที่เขาต้องเป็นไปตลอดชีวิต ...และภาคสรุปปิดท้าย ก็คือ การแสดงออกระหว่างดี/ชั่ว ขาว/ดำ ที่ซูเปอร์ฮีโร่ผู้มีกิเลสเยี่ยงมนุษย์ทั่วไปต้องแยกแยะให้ออก
ผกก.ไรมี่ กำหนดแนวทางของ สไปเดอร์แมน ให้เป็นไปตามสเต็ป มีความเข้มข้นในจังหวะชีวิตที่ถูกเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ จากระดับที่หนึ่งสู่สูงสุดที่สาม ...แม้การเพิ่ม volumn จะให้ผลงานที่แรงขึ้น แรงขึ้นในทุกๆภาค แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสามภาคคงที่และไม่เปลี่ยนแปลงไป ก็คือ การที่ไรมี่ ยังคงรักษาและซื่อสัตย์ในจิตวิญญาณของตัวการ์ตูนคอมมิคส์ตัวนี้ ...ยังคงนับถือ สไปเดอร์แมน และความเป็นมนุษย์ปุถุชน เหนือสิ่งอื่นใด
"Spider-Man 3" ... ยังคงเป็นหนังสไปดี้ที่เข้มข้นและตีแผ่ความเป็นมนุษย์ได้สุดลิ่มทิ่มประตูเช่นเดิม ...'บทหนัง' (ที่แซม ไรมี่ มีส่วนในการร่วมเขียน) ยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องราวบนจอตลอด 140 นาทีน่าลุ้นน่าติดตาม เพียงทว่าในทางกลับกัน 'บทหนัง' ก็มีส่วนช่วยสร้างปัญหาใหญ่ที่ทำให้การสรุปเรื่องราวในภาคจบไม่ลงตัว(เท่าที่ควรจะเป็น) อีกด้วย
ซึ่งถ้าใครได้ดูภาคสองมาก่อน ก็คงจะเห็นด้วยว่า บทหนังและเรื่องราวในตอนนั้นดูลงตัว อีกทั้งสามารถกลบฝังปัญหาที่คอยขัดใจในภาคแรกได้อย่างเนี้ยบนิ้ง ...และนั่นก็เป็นเหตุเป็นผลที่ทำให้เราคาดหวัง กับภาคสุดท้ายและทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีกว่าเดิมขึ้นไปอีก ...
ที่ว่า บทหนัง นั้นน่าติดตาม ก็ต้องถือว่า ทีมคนเขียนยังคงเวิร์กอยู่ในการสร้างจุดโฟกัสชวนให้คนดูสนใจจะมองไปตลอดทั้งเรื่อง การจัดการบทให้กลืนความเป็นดรามา แอ๊คชั่น ตลก โรแมนติก ยังทำออกมาได้กลมเกลียวไม่ผิดเพี้ยนมาตรฐานเก่า ประเด็นเรื่องที่ก่อขมวดขึ้นมาจากภาคก่อนๆ และเริ่มในภาคนี้ สามารถคลายเกลียวให้จบลงได้โดยไม่ติดค้างอะไรให้คาใจอีกต่อไป ...ทว่าสิ่งที่เป็นปัญหา มันก็คือการเดินเรื่องที่หลายช่วงหลายตอนดูจะรวบรัด มีรูโหว่ และมักง่ายไปหน่อย
การจับยัดศัตรูเข้ามามากถึง 3 คน นับเป็นสิ่งที่ดี ถ้านี่คือความพยายามที่ต้องการให้คนดูได้ตื่นเต้นกับการต่อสู้(ทั้งศัตรูที่มีตัวตน และด้านมืดที่เป็นศัตรูในจิตใจ)เป็นที่สุด ...เพียงแต่ ความพยายามนี้ ก็มีผลทำให้เอกภาพของเรื่องราวหนังบิดเบี้ยวไปด้วย มันอาจจะไม่รุนแรงจนถึงขั้นเละเทะ แต่มันก็เป็นปัญหาตรงๆต่อการเดินเรื่องที่ต้องรวบรัดทุกสิ่งทุกอย่างให้จบลงในหนังภาคสุดท้ายนี้
ส่วนเรื่องของรูโหว่ และมักง่าย ...มันก็คือ ผลที่ตามมา จากการรวบรัดเรื่องราวให้จบลงในเวลา 140 นาที(ที่ดูจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับประเด็นมากมายที่น่าจะเก็บตุนเผื่อเอาไว้ใช้ในภาคต่อไปก็ยังเป็นไปได้)
ไม่รู้ว่าที่บทหนังออกมาเป็นอีหรอบนี้ เกิดขึ้นเพราะแรงบีบรัดจากความคาดหวังของคนดูมากเกินไป หรือว่า การเพียรทำงานที่อยากจะให้ถึงจุดอิ่มตัวเป็นที่สุดของไรมี่เอง กันแน่ ...แต่ถึงสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะโทษกับอะไร หนังภาคนี้ก็ยังขึ้นชื่อว่า ดูสนุกให้ความเพลิดเพลิน และมันส์ระห่ำสุดขั้วหัวใจเช่นที่เคยปรารถนา
การออกแบบฉากแอ๊คชั่น การถ่ายภาพ-ตัดต่อ และงานเอฟเฟคท์ ยังคงเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมไม่ต่างไปจากภาคก่อนๆ ...ยิ่งในภาคนี้ที่พัฒนาการโปรดักชั่นได้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้น ก็ยิ่งทำให้ความน่าตื่นตาตื่นใจของภาพ เร้าอารมณ์ตื่นเต้นให้อะดรีนารีนคุกรุ่นในทุกทีที่สไปดี้ปะฉะดะศัตรูทั้ง 3 ...และก็ต้องไม่ต้องลืมว่า ภาพที่ดูดีสุดๆนั้น ย่อมต้องควรได้รับคำขอบคุณจากเสียง(ดนตรี)ที่เร่งเร้าอารมณ์ลุ้นของ "แดนนี่ เอลฟ์แมน" อีกด้วย
การแสดงคุณภาพล้นของดารา(ทั้งคนเก่าและคนใหม่)ทุกคน ไม่ทำให้ผิดหวัง ...ความเข้มข้นของเรื่องราว(ที่มีจุดอ่อน)สามารถถ่ายทอดออกมาได้ถึงเพียงนี้ เพราะพวกเขาต่างก็เล่นเต็มที่กับบทบาทที่สวมทับ
"โทบี้ แม็คไกรว์" ...ยังยอดเยี่ยมไม่มีใคร(ในหนัง)เกิน การแสดงออกสองขั้วให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาสัมผัสได้ถึงเนื้อแท้ภายในใจของ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ในสถานการณ์ที่ต้องเลือก ขาวกับดำ ...โทบี้ ทำให้เราเชื่อในสิ่งที่เขากระทำออกมา ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกที่น่ารัก หรือด้านลบชวนหมั่นไส้(แถมยังทำตัวตลกร้ายกาจอีกต่างหาก)
"เคิรสเต็น ดันสต์" ...ไม่สวยอย่างไง ก็ยังไม่สวยอย่างงั้นในภาคนี้ ส่วนเรื่องของการแสดงดีอย่างไงในภาคสอง มาภาคสามเธอก็ยังดีเหมือนเดิม เป็นเอ็ม.เจ.ที่น่ารัก มีเสน่ห์ แฝงความน่าเห็นใจอยู่ในลึกๆ / "เจมส์ ฟรานโก้" ... กระแทกด้านมืดที่เก็บงำในภาคสอง ออกมาไม่ยั้งในฉากต่อสู้ฉากแรก บทบาท "แฮร์รี่ ออสบอร์น" ที่เขาสวม และ "นิวก็อบลิน" ที่เขาสิง ในภาคนี้ ทำให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นอีกขั้นของ ฟรานโก้ พร้อมกันกับหน้าตาที่หล่อเหลาล้ำโทบี้ไปซะแล้ว / "โทเฟอร์ เกรซ" ... ร้ายสุดขั้วไม่มีใครเกินแล้ว กับการเป็นศัตรูเบอร์หนึ่งของสไปเดอร์แมน "เวน่อม" เขาคือศัตรูคนเดียวที่คนดูไม่ชอบอย่างไงในตอนเริ่ม ก็จะไม่ชอบอย่างงั้นไปจนถึงตอนจบ แต่ถ้าเป็นเรื่องในการแสดงของโทเฟอร์ ผมชอบเขานะ ดูโฉดดี / "โธมัส เฮเดน เชิร์ช" ... มนุษย์ทราย "แซนด์แมน" ที่ทำชั่วลงไป เพราะความรักลูกตัวเดียว เชิร์ชสะท้อนความเป็นคนดีที่เกิดมาในสถานภาพต้องร้ายได้น่าเห็นใจ ถึงแม้มันจะมีอะไรมาให้ขัดใจในช่วงท้าย แต่ก็พอให้อภัยได้(เหมือนที่หนังต้องการให้ปีเตอร์ ทำเป็นแบบอย่างให้คนดู) / "ไบรซ์ ดัลลาส ฮาวเวิร์ด" ... ดูแห้งแล้ง(บทบาท)มากไปหน่อย กับการเข้ามาเป็นมือที่สามของ "เกว็น สเตซี่" แต่เพราะเรื่องนี้ ไบรซ์ ดูสวยกว่าเรื่องก่อนๆ ก็เลยดีที่มีอะไรให้ดูเพลินตาเจริญใจกับไม้ประดับช่อนี้ / "โรซแมรี่ แฮริส" ... ทำให้ผมต้องน้ำตาตกในทุกฉากที่มี "ป้าเมย์" และหลานปีเตอร์อยู่ร่วมกันบนจอ / "เจ.เค. ซิมมอนส์" ... ตัวขโมยซีนคู่รักคู่แค้นสไปดี้ "เจ.เจ. เจมสัน" ยังคงเรียกเสียงหัวเราะดังสนั่นในทุกทีที่เขาปรากฏ
แม้บทหนัง (ที่เขาร่วมเขียน) จะทำออกมาได้ด้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่เรื่องของงานกำกับ "แซม ไรมี่" ไม่ปล่อยปละละเลยให้กลายเป็นที่ติฉิน(ยิ่งไปกว่านี้) ...เขาควบคุมงานสเกลใหญ่ได้อยู่มือเช่นเคย ซ้ำยังกำใจคนดูไว้ในอุ้งมือ ที่บีบก็ตาย ให้คลายก็ไม่รอด ไปจากเรื่องราวชวนอินที่เขานำเสนอให้คนดูได้สนอง
"Spider-Man 3" ... มันอาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าที่คิด แต่ก็มีอะไรให้ประทับใจอยู่นิดๆในบทสรุปของทุกสิ่งทุกอย่างที่จบลงอย่างสวยงาม และปลายเปิดของมันก็แทบไม่จำเป็นที่ต้องมีภาคต่อไป จะยังดีเสียกว่ากระมั้ง ...เป็นหนึ่งหนังซัมเมอร์ฟอร์มยักษ์ ที่น่าจะให้ความคุ้มค่าคุ้มสตางค์ได้ ถ้าคุณตัดความคาดหวัง ปล่อยใจไปตามสบาย แล้วตีตั๋วเข้าโรงหนัง พร้อมกันกับทุกคนในครอบครัว
ขอแนะนำ...ครับ
เกรด A-...{}
หมายเหตุ : "ไตรภาค Spider-Man" ... ความชอบตามลำดับของผม คือ...
ภาค 2 ...การต่อสู้บนหลังคารถไฟระหว่างสไปดี้ และด๊อกอ๊อค โคตรอมตะฉากบู๊คลาสสิคอันดับ 1 ของหนังตระกูลซูเปอร์ฮีโร่
ภาค 3
ภาค 1 ...โรแมนติกที่สุดของสไปดี้ กับเอ็ม.เจ.ต้องยกให้ฉากจูบดูดดื่มกลางสายฝนไปเลย
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=05-2007&date=07&group=2&gblog=61
Spider Man 3 Trailer (HD 1080)