ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 09:31:59 am »The Green Mile : พระเจ้าในร่างนักโทษ
My Score : 9.5/10

Shawshank Redemption ถือเป็นหนัง Drama ที่มีการเล่าเรื่องที่วิเศษที่สุดเท่าที่เคยดูมา Crash เป็นหนังที่สะท้อนถึงปัญหาการเหยียดผิวที่ผมชื่นชอบมากที่สุด Requiem for a Dream คือหนังที่สื่อถึงโทษของยาเสพติดได้ดีที่สุด แต่สำหรับ Green Mile นั้น ผมขอยกให้เป็นหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของนักโทษประหารได้ดีที่สุดละกัน
The Green Mlie ผลงานเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับ Shawshank Redemption และเป็นบทภาพยนตร์จากคมปากกาของ "สตีเฟน คิง" เป็นเรื่องราวของ "จอห์น คอฟฟิน" (Michael Clarke Duncan) นักโทษผิวสีที่ค่อนข้างมีความผิดปกติทางสมอง ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิง 2 คน โดยหลักฐานทั้งหมดยืนยันมาจากภาพที่ศพของเด็กอยู่ในอ้อมกอดของเขา ในสภาพที่เขาร้องไห้พร้อมกับพูดแค่เพียงว่า "ผมช่วยพวกเธอไม่ได้" เพียงแค่นั้น ...
จอห์นตกกลายเป็นนักโทษประหารในทันที และถูกส่งมายังแดนประหาร โดยอยู่ในการควบคุมของพัสดี "พอล"(Tom Hanks) ในตอนแรกที่พอลเห็นจอห์นนั้น เขาไม่อยากจะปักษ์ใจเชื่อเลยว่าจอห์นนั้นจะก่อคดีอันน่าสะพรึงกลัวแบบนั้นขึ้นมาได้ เพราะบุคลิกที่เห็น จอห์นเป็นคนขี้กลัว ขี้ตกใจ และชอบร้องไห้คนเดียว อีกทั้งยังมีสิ่งมหัศจรรย์ที่อาจจะเป็นพระเจ้าที่บันดาลมาให้เขา (หรือเปล่า?) คือเขาสามารถรักษาคนได้ ... ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็หมายความว่าเขาคือตัวแทนของพระเจ้าในร่างนักโทษหรือ? แต่ไม่ว่าความจริงแล้วเขาจะผิดจริงหรือไม่ก็ตาม โอกาสที่เขาจะรอดจากการโดนประหารนั้นก็มีไม่ถึง 1% เลยด้วยซ้ำ ... ตลอดเวลาที่จอห์นเฝ้ารอแต่วันที่จะตาย เขาได้ช่วยรักษาคน รวมไปถึงสัตว์ แต่ความดีนั้นคงมีแต่พอลและพรรคพวกในแดนประหารเท่านั้นที่มองเห็น สำหรับคนอื่นๆนอกจากในแดนประหารแล้ว จอห์นถูกเปรียบเปรยเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานเสียอีก ... ท้ายที่สุดแล้วผมไม่อยากเฉลยว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร? แต่เชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูแล้ว คงเอาใจช่วย จอห์น คอฟฟิน อย่างสุดตัว หรืออย่างน้อยคงจะหวังลึกๆว่าปาฏิหารย์คงจะช่วยให้จอห์นได้พ้นผิดได้ ...
ความประทับใจ: เป็นหนังที่มีความเป็นดราม่าสูงมากๆ แม้จะหนักกว่า Shawshank แต่ก็มีครบทุกอารมณ์ นักแสดงเล่นได้ดีทุกคนโดยเฉพาะ "Michael Clarke Duncan" ที่ควรจะได้รับเครดิตสูงสุด
ข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้ เด่นๆเลยก็คือ คนเรามักตัดสินกันด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ผมพูดไม่ผิดแน่นอน เพราะถ้าเราสังเกตง่ายๆ คนหน้าตาดีมักจะมีสังคม มีคนคบหามากมาย แม้กระทั่งการสมัครงานตามบริษัทต่างๆ ถ้าคุณมาแบบบุคลิกหน้าตาดูดี ก็มีชัยที่จะได้ร่วมงานไปกว่าครึ่งแล้ว ... นอกจากนี้หนังยังแสดงให้เห็นว่าคนที่ทำผิดก็ต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้ เพราะอะไรที่เราทำผิดพลาดไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ แม้ว่าจะกลับตัวเป็นคนใหม่ได้แล้วก็ตาม ...
สรุป: เป็นอีกผลงานอันทรงคุณค่าของผู้กำกับ Frank Darabont ที่มีจุดยืนที่ชัดเจนในการสร้างหนังที่เล่นกับความรู้สึกของคนดู ดูจบแล้วมีแง่คิดเพียบ ถ้าเคยดู Shawshank หรือ The Mist แล้วชื่นชอบ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่คุณจะไม่ผิดหวังเลยครับ<!-- End main-->
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=yorch0710&month=09-2008&date=08&group=1&gblog=75
My Score : 9.5/10

Shawshank Redemption ถือเป็นหนัง Drama ที่มีการเล่าเรื่องที่วิเศษที่สุดเท่าที่เคยดูมา Crash เป็นหนังที่สะท้อนถึงปัญหาการเหยียดผิวที่ผมชื่นชอบมากที่สุด Requiem for a Dream คือหนังที่สื่อถึงโทษของยาเสพติดได้ดีที่สุด แต่สำหรับ Green Mile นั้น ผมขอยกให้เป็นหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของนักโทษประหารได้ดีที่สุดละกัน
The Green Mlie ผลงานเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับ Shawshank Redemption และเป็นบทภาพยนตร์จากคมปากกาของ "สตีเฟน คิง" เป็นเรื่องราวของ "จอห์น คอฟฟิน" (Michael Clarke Duncan) นักโทษผิวสีที่ค่อนข้างมีความผิดปกติทางสมอง ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิง 2 คน โดยหลักฐานทั้งหมดยืนยันมาจากภาพที่ศพของเด็กอยู่ในอ้อมกอดของเขา ในสภาพที่เขาร้องไห้พร้อมกับพูดแค่เพียงว่า "ผมช่วยพวกเธอไม่ได้" เพียงแค่นั้น ...
จอห์นตกกลายเป็นนักโทษประหารในทันที และถูกส่งมายังแดนประหาร โดยอยู่ในการควบคุมของพัสดี "พอล"(Tom Hanks) ในตอนแรกที่พอลเห็นจอห์นนั้น เขาไม่อยากจะปักษ์ใจเชื่อเลยว่าจอห์นนั้นจะก่อคดีอันน่าสะพรึงกลัวแบบนั้นขึ้นมาได้ เพราะบุคลิกที่เห็น จอห์นเป็นคนขี้กลัว ขี้ตกใจ และชอบร้องไห้คนเดียว อีกทั้งยังมีสิ่งมหัศจรรย์ที่อาจจะเป็นพระเจ้าที่บันดาลมาให้เขา (หรือเปล่า?) คือเขาสามารถรักษาคนได้ ... ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็หมายความว่าเขาคือตัวแทนของพระเจ้าในร่างนักโทษหรือ? แต่ไม่ว่าความจริงแล้วเขาจะผิดจริงหรือไม่ก็ตาม โอกาสที่เขาจะรอดจากการโดนประหารนั้นก็มีไม่ถึง 1% เลยด้วยซ้ำ ... ตลอดเวลาที่จอห์นเฝ้ารอแต่วันที่จะตาย เขาได้ช่วยรักษาคน รวมไปถึงสัตว์ แต่ความดีนั้นคงมีแต่พอลและพรรคพวกในแดนประหารเท่านั้นที่มองเห็น สำหรับคนอื่นๆนอกจากในแดนประหารแล้ว จอห์นถูกเปรียบเปรยเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานเสียอีก ... ท้ายที่สุดแล้วผมไม่อยากเฉลยว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร? แต่เชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูแล้ว คงเอาใจช่วย จอห์น คอฟฟิน อย่างสุดตัว หรืออย่างน้อยคงจะหวังลึกๆว่าปาฏิหารย์คงจะช่วยให้จอห์นได้พ้นผิดได้ ...
ความประทับใจ: เป็นหนังที่มีความเป็นดราม่าสูงมากๆ แม้จะหนักกว่า Shawshank แต่ก็มีครบทุกอารมณ์ นักแสดงเล่นได้ดีทุกคนโดยเฉพาะ "Michael Clarke Duncan" ที่ควรจะได้รับเครดิตสูงสุด
ข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้ เด่นๆเลยก็คือ คนเรามักตัดสินกันด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ผมพูดไม่ผิดแน่นอน เพราะถ้าเราสังเกตง่ายๆ คนหน้าตาดีมักจะมีสังคม มีคนคบหามากมาย แม้กระทั่งการสมัครงานตามบริษัทต่างๆ ถ้าคุณมาแบบบุคลิกหน้าตาดูดี ก็มีชัยที่จะได้ร่วมงานไปกว่าครึ่งแล้ว ... นอกจากนี้หนังยังแสดงให้เห็นว่าคนที่ทำผิดก็ต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้ เพราะอะไรที่เราทำผิดพลาดไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ แม้ว่าจะกลับตัวเป็นคนใหม่ได้แล้วก็ตาม ...
สรุป: เป็นอีกผลงานอันทรงคุณค่าของผู้กำกับ Frank Darabont ที่มีจุดยืนที่ชัดเจนในการสร้างหนังที่เล่นกับความรู้สึกของคนดู ดูจบแล้วมีแง่คิดเพียบ ถ้าเคยดู Shawshank หรือ The Mist แล้วชื่นชอบ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่คุณจะไม่ผิดหวังเลยครับ<!-- End main-->
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=yorch0710&month=09-2008&date=08&group=1&gblog=75