ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 09:54:03 pm »

 :13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม ขอบคุณครับผม
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:25:38 pm »


13 สิงหาคม 2535
เมื่อรถถึงถ้ำผาปล่องเวลาประมาณ 3 นาฬิกา วันนั้นทั้งวัน หลวงปู่สิมนอนพักอยู่ข้างในทั้งวันโดยไม่ฉันอะไรเลยแม้แต่น้ำส้มคั้น
ตกกลางคืน คณะศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ได้ร่วมใจกันเจริญพระพุทธมนต์ฉลองพัดยศถวาย หลวงปู่นั่งรถเข็นออกมาเป็นประธานและยังนำนั่งสมาธิภาวนาต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง
และเมื่อเสร็จการทั้งปวงแล้ว หลวงปู่ท่านก็นั่งพักแล้วเหลียวแลมองไปรอบๆข้างอย่างละเอียดอ่อนเหมือนจะร่ำลา สักครู่ใหญ่ จึงได้กลับเข้าที่พักหลังถ้ำ

14 สิงหาคม 2535
วันกำหนดทำบุญฉลองพัดยศหลวงปู่
6.00 น. พระส่วนใหญ่ทยอยกันออกไปบิณฑบาต พระบวร อินฺทปัญโญ ยกสำรับของว่างของหลวงปู่ขึ้นไปถวาย แต่พบว่าหลวงปู่ยังไม่ตื่น ก้เลยวางสำรับไว้ในห้องแล้วกลับลงมา เนื่องจากเห็นว่า หลวงปู่อ่อนเพลียมากจนฉันอะไรไม่ลงมาแล้วหนึ่งวันเต็ม คณะศิษย์มีความประสงค์จะให้หลวงปู่ได้ฉันของว่างที่ยังร้อนเพื่อฟื้นฟูกำลัง จึงพาขึ้นไปขอโอกาสกราบเรียนให้หลวงปู่ลุกขึ้นมาฉัน
แต่......ไม่ว่าจะกราบเรียนอย่างไร ก็ไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง มีเพียงความเงียบและวังเวงจนผิดสังเกต จึงพากันไปเรียนพระที่ยังไม่ได้ไปบิณฑบาตให้มาดูอาการ พระจรัล อภิชาโตรีบไปตีระฆังรัวถี่ยิบบอกเหตุฉุกเฉิน เสียงที่ดังก้องไปทั้งหุบเขา กระตุ้นให้พระที่ไปบิณฑบาตรีบรุดกลับขึ้นมาบนถ้ำอย่างรวดเร็ว

หลวงปู่อยู่ในท่าสีหไสยาสน์ หันหน้าเข้าหาผนัง ย่ามและไฟฉายวางอยู่ข้างๆอย่างเรียบร้อย แขนตกพับลง เมื่อพระช่วยกันพลิกองค์ท่านให้นอนหงาย ทุกองค์และทุกท่านต่างก็ใจหายวาบ ที่เห็นฟันปลอมร่วงจากปากของท่าน เพราะปกติเวลาจำวัด หลวงปู่จะไม่ใส่ฟัน เนื้อตัวของท่านยังอุ่นอยู่ แต่ปลายมือเริ่มมีสีคล้ำ พระเณรวิ่งหายาหม่องมานวดถวาย คนขับรถเสนอให้รีบตามหมอ ต่างคนอกสั่นขวัญหาย หยิบจับอะไรแทบไม่ถูก

6.30 น. ทุกชีวิตที่อยู่บนถ้ำผาปล่องจึงได้ตระหนักและยอมรับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ หลายคนยังคงมึนงงที่ถูกหลวงปู่สิมท่าน"สอบไล่"ด้วยข้อสอบ"มรณกรรมฐาน" ที่หลวงปู่พร่ำสอนมาตลอดชีวิตและเป็น"ประธานสอบไล่"ด้วยองค์ของท่านเองในวาระท้ายสุดนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว แต่แล้วก็ตั้งสติเริ่มงานใหญ่ที่สุด งานสุดท้ายเพื่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ได้โดยอัตโนมัติ พริบตาเดียว ข่าวก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
"หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร" พระอริยสงฆ์ผู้ทรงวิสุทธิคุณอันประเสริฐสุด และยิ่งด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งยวดที่สุดแม้ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ท่านเห็นปานนี้ ได้วางโลก วางลูก วางหลาน ปลีกไปแล้วแต่องค์เดียว สู่แดนอันเกษม อย่างที่ไม่วันจะหวนกลับมาอีกต่อไปตราบชั่วกาล......

"สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความแตกทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้น อย่าแตกทำลายไปเลยดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้..."
มหาปรินิพพานสูตร

และนี้ ก็คือที่สุดของเรื่องราวแห่งความจงรักภักดีอัน"เหนือโลก" แห่งพระอริยเจ้าผู้ทรงอนุตราธิคุณอันวิสุทธิ์จนถึงที่สุดองค์หนึ่ง กับพระมหากษัตริย์เจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วจริง ที่มีความ"ลึกซึ้งยิ่งใหญ่" และก่อให้เกิดแรงบันดาลใจจนบรรเจิดแจ่มจ้าอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบหรือเทียบเคียงได้ ประหนึ่งว่าเป็นเรื่องที่รจนาขึ้นมาจากจินตนาการหรือความฝันอันมีด้วยจิตที่คิดสำนึกแห่งความจงรักและภักดีก็ไม่ปาน....

แต่....การดังนี้ การที่เมื่อพิจารณาแล้ว แทบจะเป็นสิ่งที่พ้นวิสัยแห่งสาธารณ์ทั่วไปที่ใครๆจะพึงคิดพึงฝันว่า จะเป็นเรื่องแท้ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาได้จริงๆ ก็เป็น"เรื่องจริง"ที่ได้เคยอุบัติบังเกิดขึ้นมาแล้วอย่างแท้จริงทั้งสิ้น....

ก็นี่ ย่อมนับเป็นเนติแบบอย่างอันดีที่สุดให้อนุชนรุ่นหลังทั้งสิ้นได้เข้าใจและรู้ซึ้งถึงแก่นโดยทั่วกันว่า โดยแท้แล้ว ความหมายของคำว่า "จงรักภักดี" อันแท้ที่ถึงพร้อมด้วย"ซื่อตรง","บริสุทธิ์"และ"เสียสละ" ให้ได้ทุกสิ่ง แม้แต่"ชีวิตจิตใจ" อย่างที่มีการเปล่งปฏิญาณหรือกล่าวขานกันโดยทั่วไปจนกลายเป็นปกติวิสัยนั้น "ของจริง"เมื่อลงมือ"ทำจริง"แล้ว จะมีลักษณาการเป็นเยี่ยงใดกันแน่..??

ก็หากว่า พสกนิกรชาวไทยทั้งนั้น มีความ"จงรักภักดี" อันแท้ที่ถึงพร้อมด้วย"ซื่อตรง","บริสุทธิ์"และ"เสียสละ" แม้เพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งดังที่หลวงปู่สิมได้เคยถวายด้วย"ชีวิต"ในช่วงท้ายสุดแห่งชาติและภพแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังกล่าวมาแต่ต้นโดยทั่วกันแล้ว ก็เป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า ประเทศชาติไทยก็คงจะร่มเย็นเป็นสุขและสถิตวัฒนาสถาพรอย่างไม่มีประมาณ อันจะพึงยังความสงบเย็นแห่งพระราชหฤทัยในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาสูงถึง 80 พรรษาแล้วให้พึงบังเกิดขึ้นโดยสวัสดีโดยแน่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย....



"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)
http://board.palungjit.com/f13/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B8%88%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-175137.html
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:22:22 pm »


12 สิงหาคม 2535
ตอนเช้า ก่อนเดินทางไปยังพระบรมมหาราชวัง หลวงปู่สิมได้สั่งว่า จะฉันเพลที่บ้านกรุงเทพภาวนาเสียก่อน จนเมื่อหลวงปู่เดินทางไปถึงพระบรมมหาราชวังเรียบร้อยแล้ว ทางสำนักพระราชวังได้จัดห้องพักของกองแพทย์หลวงถวายให้หลวงปู่ได้พักรอพระราชพิธี
ปกติ เวลาจำวัด หลวงปู่จะนอนตะแคงขวาในท่า"สีหไสยาสน์"ตามเยี่ยงอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมาโดยตลอดเสมอ
แต่...ระหว่างที่หลวงปู่พักผ่อนที่ห้องพยาบาลของกองแพทย์หลวง ท่านพระอานนท์สักเกตว่า คราวนี้ หลวงปู่ได้"นอนหงาย" มือประสานไว้บนอก พอท่านหลับแล้ว แขนขวาได้ตกลงมาพาดอยู่ข้างตัวในลักษณะยื่นมือแบออกมา ท่านพระอานนท์ถึงกับสะดุ้งในใจว่า
"โอ้! หลวงปู่ ทำไมนอนท่านี้ เหมือนนอนให้ลูกศิษย์รดน้ำศพก็ไม่ปานฯ"
เมื่อได้เวลา หลวงปู่สิมได้พยุงสังขารท่านด้วยความลำบากเพื่อเข้าไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเพื่อ"ทำหน้าที่ครั้งสุดท้าย"อย่างอดทนและอดกลั้นอย่างที่สุด ซึ่ง"เนาว์สถิตย์"ที่ได้ติดตามหลวงปู่เข้าไปในคราวนี้ด้วย และได้จับภาพเหตุการณ์ตอนนี้ของหลวงปู่ท่านไว้ทั้งหมด โดยที่มิได้คาดฝันมาก่อนเลยว่า การครั้งนี้ จะเป็นการบันทึกภาพเหตุการณ์ที่จะเป็นหลักฐานในทางประวัติศาสตร์แห่งความ"จงรักภักดี"อันยิ่งใหญ่และอมตะที่สุดแห่ง "พระอริยเจ้า"ผู้ทรงวิสุทธิคุณอันยิ่งองค์หนึ่งที่ได้มีต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดให้ปรากฏเป็นมหาสิริมงคลตลอดไปเห็นเพียงนี้ได้....

เมื่อหลวงปู่ได้พยุงสังขารอันอ่อนแรงลงจากกองแพทย์หลวงมานั่งในรถเข็นที่เบื้องล่าง และเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้ช่วยเข็นรถของหลวงปู่ไปรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศจากพระหัตถ์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ต้องไปนั่งเข้าแถวตามลำดับ และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยกเว้นให้หลวงปู่ไม่ต้องออกไปห่มผ้าไตร หลังรับพระราชทานพัดยศตามประเพณีที่พึงปฏิบัติ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่หลวงปู่ในวาระโอกาสท้ายสุดนี้เป็นอย่างยิ่ง หาที่สุดมิได้


บ่ายเกือบเย็นแล้ว เมื่อเข็นรถของหลวงปู่กลับออกมาจากประตูพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พอท่านเห็นคณะที่ไปรอรับ หลวงปู่สิมท่านก็ปรารภกับพระอุปัฏฐากว่า
"นนท์เอ๊ย..หลวงปู่หมดภาระแล้ว หมดเรื่องหมดราวเสียที..!!!!"
ต่อมา ท่าน"พระอานนท์"จึงได้บอกกับทุกๆคนว่า
"อาตมาคิดว่า หลวงปู่สิมท่านคงตั้งใจ"ถวายพระราชกุศล"แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งสุดท้าย.."

ภายในพระบรมมหาราชวังเย็นวันนั้น รถติดมาก อากาศก็ร้อนอบอ้าว กว่าหลวงปู่ท่านจะขึ้นรถได้ ก็ต้องนั่งรอในรถเข็นเป็นเวลานานเกือบ 2 ชั่วโมง จึงเป็นทรมานและลำบากขันธ์แห่งท่านเป็นอย่างยิ่ง

และในตอนที่"พุทธวงศ์"ได้พยุงหลวงปู่จากรถเข็นขึ้นบนรถยนต์ในคราวนั้น รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า องค์หลวงปู่เปียกชื้นด้วยเหงื่อที่ซึมออกมาทั่วทั้งองค์ เป็นที่น่าเวทนาหลวงปู่สิมท่านเป็นที่ยิ่ง รู้ซึ้งถึงใจเป็นอย่างดีที่สุดว่า ในการมาปฏิบัติ"ภารกิจครั้งสุดท้าย"ของหลวงปู่สิมในพระบรมมหาราชวังในคราครั้งนี้ ช่าง"สาหัสสากรรจ์"สำหรับหลวงปู่ท่านอย่างหาที่เปรียบมิได้สักเพียงไร...
ในการครั้งนี้ มีโยมที่ไปรอรับท่านคนหนึ่ง กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า
"หลวงปู่เหนื่อยไหมเจ้าคะ..??"
คำตอบของหลวงปู่ ทำให้คนฟังแทบน้ำตาหยดด้วยความสงสารท่านผู้เฒ่า
"เหนื่อยจนพูดไม่ถูกแล้ว.."

และท้ายสุด ก่อนหลวงปู่จะเดินทางออกจากพระบรมมหาราชวัง "พุทธวงศ์"ก็ได้เข้าไปกราบลาบนตักหลวงปู่เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับออกวาจาถวายมุฑิตาท่านโดยกุศลอัธยาสัย แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า หลวงปู่ท่าน"พ้น"ไปจาก"โลกธรรม"อย่างสิ้นเชิงเนิ่นนานหนักหนาแล้วว่า
"ขอแสดงความยินดีกับหลวงปู่ด้วยนะครับ"
หลวงปู่นิ่งสงบ มิได้ตอบว่ากระไรแม้เพียงคำ
พร้อมนี้ ยังได้"ถวายพร"ให้หลวงปู่มีอายุยืนนานด้วยคำพูดที่"เป็นนัย" อีกหน่อยหนึ่งด้วยว่า
"แล้วผมจะไปกราบหลวงปู่ที่ถ้ำนะครับ..."
"อื้อ.." หลวงปู่สิมตอบรับ
และนั่น...ก็คือสุรเสียงท้ายสุดของ"พระญาณสิทธาจารย์"หรือ"หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร" ได้เปล่งไว้ในพระบรมมหาราชวัง หลังเสร็จภารกิจถวาย"พระราชกุศลแห่งความจงรักภักดี"แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบ"สละชีวิต"ถวายเป็นราชพลีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในประวัติศาสตร์แห่งพุทธจักรไทย ไม่ว่าจะเป็นในกาลสมัยยุคใดๆทั้งสิ้นไม่อย่างแท้จริง


เย็นแล้ว เมื่อรถออกจากประตูพระบรมมหาราชวังเพื่อกลับจากเชียงใหม่โดยด่วน หลวงปู่สิมท่านนอนหลับตลอดทาง จนถึงจังหวัดนครสวรรค์ หลวงปู่เปิดประตูรถออกมาทำธุระ ก็ยังแทบไม่มีแรงปิดประตู จนกระทั่งรถวิ่งเลยจังหวัดอุตรดิตถ์ ขณะรถขึ้นเขา คนขับรถได้ยินเสียงดังโจ้กเหมือนเทน้ำลงถังเปล่า
"ผมคิดว่า ธาตุไฟท่านคงแตก"

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:20:31 pm »


6 สิงหาคม 2535
เวลาบ่ายสี่โมงกว่า หลวงปู่เดินทางจากถ้ำผาปล่องถึงบ้านกรุงเทพภาวนาประมาณเที่ยงคืน คนขับรถ(พี่เพื่อน)ถวายน้ำถวายย่ามและกราบลาไปพักผ่อนเมื่อเวลาประมาณ 1 นาฬิกา

7. สิงหาคม 2535
ตอนเช้า มีญาติโยมมากราบและถวายภัตตาหาร แม่ชียกสำรับจากครัวขึ้นไปด้วย แต่ภายในห้องหลวงปู่ นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศแล้ว ก็ไม่มีสรรพสำเนียงใดอื่นเลย
"หลวงปู่ครับ หลวงปู่ครับ"
พี่เพื่อนคนขับรถเรียกหาหลวงปู่ แต่คำตอบก็คือความเงียบ จึงได้ไขกุญแจเปิดเข้าไป ภาพที่ได้เห็น ทำให้รู้สึกสงสารหลวงปู่ท่านจับใจ
"หลวงปู่ท่านนอนเหนื่อยคล้ายหมดแรง ท่อนล่างเลื่อนไหลลงจากเตียงไปแล้วครับ พอเห็นหน้าผม ท่านก็บอกเสียงเบาว่า"มันไหลลงไปคนเดียว" ผมเลยกราบเรียนท่านว่า จะจัดให้ท่านฉันในห้อง หลวงปู่ไม่ต้องออกไป"
เมื่อได้ฟังดังนั้น หลวงปู่สิมก็ได้ตอบออกมาเหมือนปลงสังขารกลายๆว่า
"ยังจะกินดีอยู่ดี กินไม่รู้จักจบสิ้น"
วันนั้น ปรากฏว่า หลวงปู่ท่านฉันได้เพียง 3 คำเท่านั้น...

8 สิงหาคม2535
ท่าน"พระอานนท์" ซึ่งอยู่ที่วัดสันติสังฆาราม สกลนคร ได้ข่าวหลวงปู่ท่านลงไปกรุงเทพฯ เพื่อรับพระราชทานพัดยศ พอตกกลางคืน "พระอานนท์"ก็ฝันว่า หลวงปู่อาพาธหนัก อาการไม่ดีเลย รุ่งเช้า ท่านจึงรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งก็เป็นการพอดีที่โยมทางบ้านกรุงเทพภาวนากำลังโทรศัพท์ตามหาท่านกันเป็นจ้าละหวั่น เนื่องด้วยหลวงปู่มีอาการ"ไม่ดีเลย"จริงๆเสียด้วย ท่าน"พระอานนท์"จึงได้มีวาสนาได้ปรนนิบัติหลวงปู่ผู้"พุทฺธาจาโร"อีกครั้งหนึ่ง
"เป็นบุญที่อาตมาได้ปรนนิบัติหลวงปู่เป็นครั้งสุดท้าย"
ตอนเย็น มีญาติโยมมากราบถวายของ แต่หลวงปู่ยังคงนอนเหนื่อยอ่อนอยู่ในห้อง เมื่อพี่เพื่อน สารถีประจำองค์หลวงปู่เข้าไปกราบเรียนว่า จะทอดผ้าออกไปข้างนอก ให้หลวงปู่นอนรับ ไม่ต้องออกไป ท่านก็พยักหน้า แต่พอประตูเปิด อารามดีใจ ญาติโยมก็เฮเข้าไปในห้อง หลวงปู่จึงต้องรวบรวมกำลังลุกขึ้นมารับของ มิหนำ ยังมีคนเอารูปไปให้หลวงปู่เซ็นด้วย ซึ่งคนขับรถสังเกตเห็นมือท่านสั่น เขียนผิด เขียนถูกด้วยอ่อนกำลังเต็มที

9 สิงหาคม 2535
ตอนเช้า โยมออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้อรถเข็น เนื่องจากหลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียป้อแป้เต็มทีอย่างเห็นได้ชัด ตอนบ่าย หลวงปู่ออกมานอกห้องสู่บริเวณห้องโถงที่รับแขกซึ่งเปิดพัดลมทิ้งไว้ ท่านฉีกปฏิทินไปเรื่อยๆ เพื่อดูวันที่ 12 สิงหาคมเหมือนหนึ่งจะนับวันที่ท่านจะต้องปฏิบัติภารกิจครั้งสุดท้ายแห่งชีวิตท่านก็ไม่ปาน แม้เพียงเท่านี้ หลวงปู่สิมท่านก็หมดเรี่ยวแรง และปฏิทินแผ่นที่ฉีกออกมาแล้ว ก็ถูกลมพัดปลิวกระจายไปทั่ว พอเสร็จ หลวงปู่ถึงกับต้องคลานเข้าห้อง...
ตอนเย็น ท่านพระอานนท์ไปถึงบ้านกรุงเทพภาวนาและเข้าถวายการอุปัฏฐาก เนื่องจากตอนเช้า "เนาว์ นรญาณ"ได้ไปกราบและสังเกตุเห็นเกศาหลวงปู่ยาวเป็นพิเศษ จึงออกปากขอเส้นเกศาหลวงปู่เป็นครั้งแรก (แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขอเกศาท่านเลยแม้สักครั้ง มีแต่หลวงปู่ให้เองมาโดยตลอด) เพื่อสร้าง "พระพุทธบาทสี่รอย"เป็นการเฉพาะ (รายละเอียดเรื่องนี้ จะได้นำเสนอให้"จดหมายเหตุ พระพุทธบาทสี่รอย"สืบต่อไป) โดยเมื่อท่านอานนท์ปลงเกศาถวาย หลวงปู่บอกว่า
"เอาผมอานนท์ใส่ให้เขาไปด้วยซี เขาจะได้เยอะๆ..!!?!"

นอกจากนี้ หลวงปู่สิมท่านยังได้บอกกับคนอื่นอีกด้วยว่า
"เส้นเกศานี้ เนาว์เขาจะเอาไปสร้างพระบาทสี่รอยน๊ะ.."

และในช่วงการถวายอุปัฏฐากตอนนี้ หลวงปู่ท่านปรารภว่า
"นนท์เอ๊ย สังขารหลวงปู่ไม่ไหวแล้ว บังคับมันไม่ได้"
ซึ่งท่านพระอานนท์เล่าว่า ต้องคอยสังเกตกิริยาอาการของท่านอย่างใกล้ชิด ถ้าหลวงปู่ขยับองค์ ต้องรีบเอากระโถนเข้าไปรองในทันที เพราะท่านกลั้นปัสสาวะไม่ได้เสียแล้ว
ตกตอนกลางคืน หลวงปู่มีเลือดไหลออกทางจมูก หลวงปู่จึงได้สั่งพระอานนท์ อริยอุปัฏฐากว่า
"อานนท์ คืนนี้นอนนี่ ข้างเตียงหลวงปู่นี่แหละ อย่าไปไหน.."

10 สิงหาคม 2535
ตอนเช้า พระอุปัฏฐากกราบเรียนขออนุญาตไปทำธุระข้างนอก ตอนเย็นจึงจะกลับออกมาใหม่ แต่หลวงปู่ตอบว่า
"ปล่อยธุระไปก่อน ไม่ต้องไปไหนทำอะไรทั้งนั้น"
เวลาฉัน หลวงปู่ไม่มีแรงพอที่จะเอื้อมไปตักอาหาร แค่ยกช้อนขึ้นถึงปากก็แทบไม่ไหวแล้ว...
ตอนเย็น ได้ขอถวายช็อคโกแล็ตดำพร้อมกับน้ำชา หลวงปู่นอนให้พระอุปัฏฐากบิช็อคโกแล็ตดำป้อนถวาย ทั้งๆที่ปกติแล้ว หลวงปู่ท่านไม่เคยฉันช็อคโกแล็ตดำหลังเพลเลย ท่านพระอานนท์สังเกตอาการของหลวงปู่ตอนนี้แล้ว ก็อดให้รู้สึกหวั่นใจอย่างลุ่มลึก นึกถึงที่หลวงปู่สิมท่านเคยปรารภไว้เป็นหลายครั้งไปเสียมิได้ว่า
"ถ้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว...อยู่ลำบาก"

11 สิงหาคม 2535
ตอนเย็น เมื่อพระอานนท์ อริยอุปัฏฐากถวายการเช็ดตัวหลวงปู่ด้วยออดิโคโลญจน์ พร้อมกับกราบเรียนว่า
"โคโลญจน์นี่เช็ดตัวดีนะครับหลวงปู่ เช็ดแล้วสดชื่น"
"มันสดชื่นจริงหรือ..??" หลวงปู่สิมย้อนถาม
"ถ้าจริง...เวลาตาย จะได้เอามาเช็ด"

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:18:15 pm »


แต่ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งๆที่หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งชราภาพมากและอ่อนกำลังแรงเห็นปานนั้น
แม้จะกลิ้งตกลงไปยังก้นเหวมรณะหลังกุฏิที่มีความลึกถึง 5 เมตร แต่หลวงปู่ท่านกลับไม่ได้ถึงแก่กาลมรณภาพหรือบาดเจ็บสาหัสอย่างที่น่าจะเป็นแต่ประการใดๆเลย เว้นแต่มีแผลช้ำที่บริเวณใบหน้าและตามลำตัวเล็กน้อยเท่านั้น สร้างความแปลกใจให้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์ผู้ที่มีโอกาสได้เข้ากราบใกล้ชิดในช่วงท้ายสุดนี้
อย่างเหลือที่จะกล่าวได้โดยถ้วนหน้า
และทุกๆคน ก็ยิ่งหลากใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อหลวงปู่สิมท่านบอกเป็นนัยภายหลังเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดนั้นว่า
"จริงๆแล้ว ที่ตายของหลวงปู่ ก็อยู่ที่ก้นเหวนั่นแหละนะ..!!!???"

เมื่อได้ฟังคำพูดของหลวงปู่สิม ทุกๆคนก็อดสงสัยมิได้ว่า ก็เมื่อหลวงปู่ท่านบอกเองว่า
ที่ก้นเหวถ้ำผาปล่องนั้นเป็น"ที่ตาย"ของท่าน และหลวงปู่ก็ได้ตกลงไปยังก้นเหวมรณะนั้นแล้ว
ซึ่งตามปกติ อย่าว่าแต่ผู้สูงวัยอย่างท่านเลย
ต่อให้เป็นคนหนุ่มคนสาวตกลงไป ก็ยากจะรอดกลับขึ้นมาพร้อมกับลมหายใจหรือมีอาการ 32 ครบบริบูรณ์ได้....
ก็แล้วเป็นเพราะด้วยเหตุใดเล่า หลวงปู่สิมท่านจึง"รอด"และ"อยู่ต่อ" เป็นอันดีเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เล่า..????

จนกระทั่งเมื่อหลวงปู่สิม ได้เข้าไปรับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2535
และละสังขารอย่างกระทันหันในอีก"2" วันต่อมา
ศิษย์ใกล้ชิดภายหลังจากหายมึนงงกับเหตุการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างคาดคิดไม่ถึง และได้ลองตริตรอง
ประติดประต่อ"กลบทแห่งชีวิต"ของหลวงปู่บทนี้แล้ว
จึงทำให้ซาบซึ้งแก่ใจโดยทั่วกันว่า แท้ที่จริงแล้ว การที่หลวงปู่สิมท่านยังไม่"ละสังขาร"
ตอนที่ตกเหวและ"อยู่ต่อ"มาอีกเดือนเศษด้วยความยากลำบากขันธ์เป็นที่ยิ่งนั้น
จุดประสงค์ที่มีอยู่เพียงสถานเดียวก็คือ
"เพื่อถวายกุศลในหลวงเป็นครั้งสุดท้าย" โดยตรงเพียงเท่านั้น..... "เท่านั้น" เท่านี้จริงๆ.....!!!!!

หมายเหตุ, .เหตุการณ์เรื่อง"หลวงปู่สิมตกเหว"นี้ เป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้มีการเล่าขานสู่วงนอกโดยทั่วไป แต่"พุทธวงศ์"ได้พบได้เห็นสภาพร่างกายของหลวงปู่ที่เพิ่งตกเหวมาได้ไม่กี่วัน โดยได้เห็นรอยช้ำรอยเลือดจากแผลที่หลวงปู่ไปกระแทกกับหินก้นเหวมาด้วยตาของตนเอง และยังเข้าไปกราบเรียนถามถึงเหตุการณ์พร้อมกับบีบนวดถวายมากับมือด้วย เห็นว่า เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ไม่น้อย และเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะได้เล่าต่อไปอย่างใกล้ชิดอีกด้วย ซึ่งหากไม่นำมาบันทึก
ให้ปรากฏไว้ ก็คงจะนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
อีกทั้งยังเป็นการทิ้งข้อมูลอันสำคัญที่สุดดังกล่าวให้เลือนหายไปอย่างไม่สมควรที่สุด จึงขอนำเรื่องจริงที่น่ามหัศจรรย์และประทับใจอย่างยิ่งดังกล่าวมาแสดงให้ทราบโดยทั่วกันเลยทีเดียว....

และต่อไปนี้ คือเรื่องราวเหตุการณ์ช่วงท้ายสุดตอนที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ก่อนและหลังเข้าไปถวายพระราชกุศลแห่งจงรักภักดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ด้วย"ชีวิต"และ"จิตใจ"ของท่านเองเป็นครั้งสุดท้าย ด้วย"วิริยะ"และ"ขันติธรรม"อย่างสูงสุด อย่างยากที่จะพบเห็นที่ไหนได้อีกแล้วในชั่วชีวิตของเราท่านทั้งหลายนี้......

เข็นสังขาร
ต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2535 ลูกศิษย์ที่ถ้ำผาปล่องรู้สึกแปลกใจที่สังเกตเห็นว่า หลวงปู่มีท่าทีกระตือรือล้นต่อข่าวที่ว่าท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่"พระญาณสิทธาจารย์"
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ มีข่าวทำนองนี้ออกมาหลายครั้งแล้ว แต่หลวงปู่สิมท่าน
"วางเฉยเหมือนแผ่นดิน"เสมอ จนครั้งนี้ เมื่อได้รับการยืนยันเป็นที่แน่นอนแล้ว หลวงปู่ท่านจึงเตรียมตัวเดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อรับพระราชทานพัดยศจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จากคำบอกเล่าของพระและโยมที่ช่วยกันถวายการอุปัฏฐากหลวงปู่ที่บ้านกรุงเทพภาวนา สุขุมวิท 36 สถานปฏิบัติธรรมที่หลวงปู่จะลงมาพักยามเดินทางมายังกรุงเทพทุกๆครั้ง ทำให้พอมองเห็นภาพว่า หลวงปู่ท่านคงต้องใช้ความพยายามและอดกลั้นขันติธรรมอย่างที่สุด
เพื่อปฏิบัติ"ภารกิจสุดท้าย"ในพระบรมมหาราชวัง
เพราะสภาพของหลวงปู่ในตอนนั้น คงเหมือนตะเกียงที่มีแสงเพียงริบหรี่ จวนจะสิ้นเชื้อเต็มทีเป็นนักแล้ว....
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:16:35 pm »


แม้หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จะได้ชื่อว่า เป็นพระอริยเจ้าผู้อยู่"เหนือ"และ"พ้น"จากโลกสงสารโดยเด็ดขาดไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยเมตตาธรรมอันไม่มีประมาณแห่งพระคุณท่าน หลวงปู่สิมจึงยังคอย"แผ่เมตตา"อำนวยพรแก่ปวงเหล่าสรรพชีวิตและประเทศชาติอยู่โดยสม่ำเสมอ
ย่อมเป็นที่รับรู้แห่งบรรดาศิษย์ใกล้ชิดโดยทั่วไปว่า ในสมัยที่หลวงปู่สิมท่านยังดำรงสังขารอยู่ ทุกๆครั้งที่ประเทศไทยกำลังประสพสภาวะวิกฤติครั้งร้ายแรงใดๆ หลวงปู่สิมท่านจะให้เอาธงชาติมาแขวนคู่กับผ้ากาสาวพัตร์ ซึ่งเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์เป็นสื่อสัญลักษณ์ พร้อมกับนำพระภิกษุสามเณรสวดมนต์แผ่เมตตาสยบบรรเทาเหตุร้ายและเคราะห์กรรมแห่งประชาชาติไทยให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ด้วยระยะเวลาอันยาวนานเป็นพิเศษทุกคราวไป เป็นที่น่าซาบซึ้งประทับใจในความกรุณาแห่งหลวงปู่สิมท่านที่มีต่อสัตว์โลกผู้ยากอย่างหาที่สุดมิได้เป็นที่ยิ่ง......

และด้วยเหตุแห่งความเป็นพระขีณาสวเจ้าผู้ทรงอริยญาณอันบริสุทธิ์ล่วงส่วนสามัญวิสัย หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จึงหยั่งรู้อธิวาสนาและพระบารมีอันยิ่งใหญ่แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ผู้ทรงเป็นหลักบ้านหลักเมืองของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รองรับพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตราบเท่า 5,000 พระวัสสาพระองค์นี้เป็นอย่างดี ในฐานะที่ทรงเป็น"พระโพธิสัตว์" ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็น"พระสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า" พระองค์ที่ 10 ในที่สุดแห่งอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าไม่ผิดผัน หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรนั้น จึงได้ถวายความ"จงรัก"และ"ภักดี"ในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นอย่างยิ่ง และได้น้อมถวายอริยกุศลแด่พระองค์ตามฐานานุฐานะแห่งพระคุณท่านตลอดมา มิได้ว่างเว้นสักวันเวลาเลยทีเดียว....

จนกระทั่ง กาลได้ล่วงเลยมาถึงปีพุทธศักราช 2535 เหตุการณ์อันเป็นที่สุดแห่งความจงรักภักดีที่หลวงปู่สิมได้มีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้มาบรรลุถึงขีดขั้นอันสูงสุด เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯเลื่อนสมณศักดิ์หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จากที่"พระครูสันติวรญาณ"เป็นพระราชาคณะที่"พระญาณสิทธาจารย์" เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ 60 พรรษาในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2535....

แต่.....แท้จริงแล้ว ก่อนหน้าที่จะได้ทราบข่าวได้รับพระมหากรุณาธิคุณฯเลื่อนสมณศักดิ์ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2535 นั้น สรีรสังขารของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรท่านได้"อ่อน"ลงกว่าปกติอย่างน่าวิตก เรี่ยวแรงกำลังวังชาที่เคยมีอย่างสมบูรณ์มาแต่ก่อนก็กลับถอยลงไปอย่างน่าใจหาย เพียงแค่จะเดินเหินหรือทำการอันใด ก็ให้เป็นที่เหน็ดเหนื่อยลำบากขันธ์ไม่น้อยแล้ว......

และก่อนหน้าที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรจะเข้าวังเพื่อรับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เพียงเดือนเศษๆ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิดขึ้น เมื่อหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ได้ประสพอุบัติเหตุ"ตกเหว"!!! ที่หลังกุฏิที่ถ้ำผาปล่อง ซึ่งมีความลึกถึงราว "5 เมตร" ซึ่งหากเป็นคนธรรมดา การกลิ้งตกลงไปลึกเพียงนั้น หากไม่โดยแง่หินภูเขาอันคมกริบแทงตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่นอน.....
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 07:14:55 pm »




ความ"จงรักภักดี"ด้วย"ชีวิต"
"เนาว์สถิตย์"
รวบรวมข้อมูลโดย : สำรวจโลก
พลังจิตดอทคอม

หากจะกล่าวถึงเรื่องราวที่น่าประทับใจเกี่ยวกับความจงรักภักดีที่ประชาชนชาวไทย
มีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดของเราท่านทั้งหลายพระองค์นี้นั้น ย่อมเป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า หากจะนำมาร้อยเรียงพรรณากันตลอดกาลอันยาวนานสิ้นด้วยทศวรรษศตวรรษ
ก็คงจะเล่าขานไม่จบสิ้นลงไปโดยง่ายได้เป็นแน่

เพราะพระมหาคูณูปการที่ทรงดำรงมั่น"โดยธรรม"ของ"ในหลวง"
ที่ก่อให้เกิด"ประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม"
ที่ทรงกอรปกระทำมาตลอด 60 ปีแห่งการครองราชย์ จนพระชนมายุล่วงเข้าถึง 80 พรรษา
ในปีพุทธศักราช 2550
ช่างมีอยู่อย่างเอนกอนันต์ สุดที่จะคณนานับให้หมดสิ้นได้โดยแท้
ก็บุคคลใดผู้มีใจตรง และมีจิตที่ถึงพร้อมด้วย กตเวทิตธรรมจริง
ย่อมทราบชัดและซาบซึ้งประจักษ์แจ้งใจในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อย่างที่สุดโดยถ้วนหน้า ไม่สงสัย

นี้เอง ย่อมเป็นมหาเหตุให้ประชาชนคนไทยทั้งปวง ต่างมีความเคารพเทิดทูนและจงรักภักดี
ในองค์พระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นอย่างสุดจิตสุดใจ
และได้ประกอบกระทำ"คุณงามความดี"ด้วยประการต่างๆถวายเป็นเครื่องราชสักการะ
แทบเบื้องพระยุคลบาทตามฐานานุรูปและอัตตภาวะวิสัยแห่งตนโดยลำดับ
ซึ่งการทั้งนั้น ย่อมปรากฏชัดแก่ผู้ทำกรรมอันดีอันงามอย่างบริสุทธิ์ใจอยู่โดยทั่วไปอยู่นั้น

แต่...หนึ่งในบรรดาเรื่องราวแห่งความ “จงรัก”และ “ภักดี” ที่พสกนิกรชาวไทย
มีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งมีความ"พิเศษ" กว่าปกติ ด้วยทรงไว้ซึ่งความวิสามัญอย่างยิ่ง

เพราะเป็นเรื่องที่"พระอริยเจ้า"องค์สำคัญแห่งสยามประเทศองค์หนึ่ง
ได้หยั่งรู้ซึ้งถึงพระคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอันดีจนถึงที่สุด
พร้อมกับได้กระทำการบางอย่างที่ลึกซึ้งยิ่งใหญ่ เกินสามัญวิสัยแห่งบุคคลทั่วไปจักหยั่งคาด
เพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีอย่างไม่อาลัยแก่ชีวิตินทรีย์ แม้สรีรสังขารแห่งองค์ของท่าน

จะต้องถึงแก่การแตกดับทิ้งขันธ์ถึงเพียงไรก็ตาม...
เรียกได้ว่า การครั้งนี้ มิได้เป็นการถวายความ"จงรักภักดี"ที่มิได้เป็นเพียง"คำพูด"
หรือ"วัตถุภายนอก" อย่างปกติทั่วไป
 
แต่เป็นการถวายให้ด้วย"ชีวิต"และ"จิตใจ" ของพระอริยเจ้าองค์หนึ่ง
ที่บรรลุถึงขั้น"ปรมัตถ์"อันสูงสุดก็ว่าได้เลยนั่นเทียว
...
ก็พระอริยเจ้าที่ยอมสละสิ้นทุกสิ่งแม้กระทั่งชีวิตจิตใจเพื่อน้อมถวายความจงรักภักดี
แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เป็นครั้งสุดท้าย ก่อน"ดับขันธ์"สู่วิมุติภพอันไม่หวนคืนกลับมาอีกเป็นครั้งที่ 2
ที่จะได้นำมาแสดงให้ปรากฏเป็นอุดมมงคล
และเนติแบบ
ให้อนุชนรุ่นหลังได้แจ้งใจและยึดถือปฏิบัติตามสืบต่อไป
ในมงคลวโรกาสนี้ แท้จริงแล้วก็คือพระเดชพระคุณ
ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์(สิม พุทฺธาจาโร) สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่นั่นเอง...