ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ธันวาคม 23, 2010, 10:16:27 pm »

 :13: อนุโมทนาครับพี่มด ขอบคุณครับ
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ธันวาคม 23, 2010, 04:22:10 pm »


 
จิตวิวัฒน์สู่จิตตปัญญา

ช่วงกว่าหกปีที่ผ่านมา สมาชิกชมรมจิตวิวัฒน์ได้พูดได้เขียนเรื่องของจิตที่คิดว่าสำคัญยิ่งมาตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้เขียนซึ่งคิดและเชื่อว่า มนุษย์เราอาศัยอยู่ในโลกและจักรวาลที่มีชีวิตและมีจิตเป็นของตนเอง ทั้งยังเชื่อว่าทั้งโลกและจักรวาลต่างก็มีเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวคือวิวัฒนาการ จริงๆ แล้วหากเราไล่ลงไปถึงรายละเอียดกว่านั้น คือถึงวิวัฒนาการของจิตที่อยู่ในกายของมนุษย์-ซึ่งทุกวันนี้ในทางฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ มีหลักฐานพอที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่าโลก โดยเฉพาะจักรวาลอันนี้เกิดมีขึ้นมาก็เพื่อรอคอยให้มนุษย์อุบัติขึ้นมาในภายหลังเท่านั้น (cosmological anthropic principle)-พูดง่ายๆ เรื่องที่ทางนักฟิสิกส์วิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หลายคนเชื่อที่กล่าวมานี้ ว่าไปแล้วก็ตรงกันกับกฎแห่งกรรมในพุทธศาสนา ที่จะต้องมีสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์มาเกิดในจักรวาลนี้อยู่วันยังค่ำในวันหนึ่งวันใด เพราะว่าในกฎแห่งกรรมจะต้องมีสัตว์โลก มีมนุษย์ที่สร้างกรรมโดยเจตนา ถ้าไม่มีมนุษย์กับไม่มีสัตว์โลกแล้วกรรมจะเกิดได้อย่างไร? คือจักรวาลจำต้องมีวิวัฒนาการของมนุษย์ทั้งกาย-จิต หรือทั้งข้างนอกกับข้างใน หรือรูปที่มีนามอยู่ข้างในดังพุทธศาสนากล่าวไว้ ซึ่งในที่นี้หมายถึงมีทั้งกายและจิตหรือทั้งรูปและนาม ซึ่งจำต้องมีวิวัฒนาการต่อไปเรื่อยๆ ตามขั้นตอน เพื่อจะทำให้จิตสามารถเปลี่ยนแปลงไหลเลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านของพฤติกรรม ความตั้งใจหรือเจตนาของจิตหรือจิตใจที่จะก่อกรรมนั้น นั่นคือหน้าที่ของจักรวาลที่คิดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น ส่วนมนุษย์ก็มีหน้าที่เหมือนกันคือ มีหน้าที่ที่จะให้จิตที่เข้ามาอยู่ในกายหรือภายในสมอง ต้องมี "ปัญญา" หรือจิตตปัญญา-ที่ไม่ใช่สติปัญญาธรรมดา (intelligence) แต่เป็นปัญญาสูงกว่านั้น (intuition)-พอที่จะทำให้จิตสามารถจะ "รู้แจ้ง" เรียนรู้ความจริงที่แท้จริงของจักรวาลได้ ดังนั้นบทความบทนี้จึงมีหน้าที่ที่จะชี้แจงว่า หน้าที่อันหนึ่งของการตั้งชมรมจิตวิวัฒน์ขึ้นมา ก็เพื่อจะให้ประชากรในประเทศไทยเรียนรู้ปัญญาที่แท้จริงนั้น คือมีจิตสำนึกใหม่และจิตใต้สำนึกใหม่ (ปัจเจก) มองเห็นคุณค่าของจิตตปัญญาศึกษาว่า จำเป็นต่อการดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลง (transformation) ของมนุษย์ในจักรวาลนี้ได้อย่างไร?
 
เนื่องจากชมรมจิตวิวัฒน์ในครั้งแรกที่ตั้งขึ้นเมื่อหกปีกว่าๆ มานั้น ได้พัฒนามาจากชมรมธรรมชาติของสรรพสิ่ง และแน่นอน ธรรมชาติที่ละเอียดคือจิตและจิตวิญญาณ (spirituality) ไล่ขึ้นไปตามระดับและเป็นลำดับถึงการตรัสรู้ หรือ "รู้แจ้ง" เมื่อเรา (สมาชิกของชมรม) รู้สึกว่ากายวัตถุและกลไกเครื่องจักรเครื่องยนต์ ที่เป็นสาระวิสัยของการเรียนรู้ของเรามานานนั้น ไม่สามารถจะอธิบายธรรมชาติได้ทั้งหมด และที่ร้ายยิ่งกว่านั้น ไม่สามารถอธิบายธรรมชาติทั้งภายนอกกับภายในให้เชื่อมโยงกันแบบบูรณาการ ซึ่งนำไปสู่ความคิดและความสงสัยว่า ความรู้กายวัตถุหรือภายนอกเพียงอย่างเดียว คือสาเหตุมูลฐานของความเปลี่ยนแปลงที่เลวร้ายของโลกธรรมชาติทั้งมวล-ดังที่ขณะนี้ชาวโลกเราไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน-กำลังประสบหรือไม่? ซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้น และประเด็นก็คือ แล้วเราจะแก้ไขการเปลี่ยนแปลงของโลกธรรมชาติที่แสนจะเลวร้าย เช่นโลกที่ร้อนขึ้นๆ น้ำท่วม ดินถล่ม โรคระบาดนานาชนิด ฯลฯ ที่มากขึ้นทุกวันๆ อย่างไร? ซึ่งมันก็มีอยู่ทางเดียว คือปฏิบัติตามที่ศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนาบอกเราว่า โลกของเรานี้ประกอบด้วยรูปและนามหรือรูปกายวัตถุกับจิต และจิตสำคัญกว่ากาย (เพราะเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่งปรากฏการณ์) แต่เรากลับลืมจิตเสียทั้งแผง และไปคิดว่ากายวัตถุ (materialism) คือความจริงที่แท้จริงดั่งที่ตาของเราเห็น เราคิดและเชื่อแต่เฉพาะที่ตั้งวางไว้ที่ภายนอก ว่าเป็นความจริงแท้เพียงประการเดียวมาตั้งแต่โลกเรายังมีประชากรไม่ถึงหนึ่งพันล้านคน แถมโลกยังบอกทางอ้อม-ด้วยการเกิดโรคระบาดกาฬโรค ที่ทำให้ประชากรโลกตายไปร่วมหนึ่งในสามที่ยุโรป อันเป็นแหล่งที่มาของความรู้ที่เราเชื่ออย่างผิดๆ ว่าเป็นความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว-ให้เราตระหนักรู้ว่า "มนุษยชาติจะดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่? เป็นเรื่องของประชากรนะ" แต่เป็นเราเองที่หยิ่งผยองจนโลกธรรมชาติพินาศหมดไป แต่เราส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ไม่ตระหนักจนกระทั่งวันนี้และเดี๋ยวนี้ วัตถุประสงค์ที่สำคัญยิ่งก็คือสิ่งนั้น คือเพื่อที่จะนำจิตวิวัฒน์ไปสู่ประชาชนในวงกว้างอย่างรวดเร็ว เพื่อที่ประชาชนจะได้ตระหนักรู้ด้วยจิตตปัญญาของตัวเองว่า "ศึกครั้งนี้สุดจะใหญ่หลวงยิ่งนัก" โดยมีการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติเป็นเดิมพัน จิตตปัญญาคือวิธีการที่จะเอื้อวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ (spirituality) โดยการฝึกการทำสมาธิและฝึกสติตามหลักสูตรสากล-เช่น ตามแนวทางของศาสนาต่างๆ โดยเฉพาะพุทธศาสนา รวมทั้งวิธีการที่ใช้กันเป็นสากลที่ให้ผลดีมากๆ เช่น วิธีการต่างๆ ของศูนย์ปฏิบัติสมาธิสำหรับประชากรในชุมชนของสหรัฐอเมริกา (Center of Contemplative Study for the Community) ซึ่งมีอาร์เธอร์ ซาจังค์ นักฟิสิกส์ใหม่ระดับโลก ที่สนใจพุทธศาสนาสายทิเบตเป็นประธานศูนย์ฯ อยู่ในขณะนี้
 
ธรรมชาติทั้งภายนอกและภายในที่เชื่อมโยงต่อเนื่องเป็นองค์รวมที่บูรณาการนั้น อาร์เธอร์ โคสเลอร์ เรียกว่า "องค์รวมที่สมบูรณ์" (holon) ที่บูรณาการทั้งภายนอกและภายในทั้งหมด ที่รวมทั้งจิตและกายเอาไว้ด้วยกัน พร้อมกับพลังงานที่ทางวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่บอกว่าก็คือกายนั่นเอง (E=MC2) ที่ทางพุทธศาสนาจะรวมจิตเข้าไปด้วยเป็นสามองค์ เคน วิลเบอร์ อธิบายเพิ่มเติมว่าองค์รวมที่สมบูรณ์นั้นจะต้องประกอบขึ้นด้วยองค์รวมเก่า รวมกับส่วนขององค์รวมใหม่ที่ใหญ่กว่า (คือเป็น whole-part) ซ้ำซ้อนกันไปเช่นนั้น แอดอินฟินิตัม กายก็เป็นเช่นนั้น จิตก็เป็นเช่นนั้น หรือทั้งกายและจิตรวมกันกับพลังงานในพุทธศาสนาที่ว่าไว้ข้างบนก็น่าจะเป็นเช่นนั้น นั่นคือองค์รวมที่สมบูรณ์โดยเชื่อมโยงกันกับทั้งหมดเป็นธรรมชาติโลก
 
ตามที่ผู้เขียนเข้าใจ ส่วนหนึ่งจากจิตวิทยา-ปรัชญาของเคน วิลเบอร์ กับส่วนหนึ่งจากอุปานิษัทและภควัตคีตา โลกธรรมชาติแบ่งได้เป็นสองระดับ คือหยาบหรือมองเห็น (หรือใช้อุปกรณ์ช่วย) กับละเอียดที่ไม่ว่าอย่างไรก็มองไม่เห็น ชนิดแรกคือธรรมชาติที่มองเห็น หรือที่รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอกทั้งห้า ได้แก่ ป่า ภูเขา ต้นไม้ ฯ ภาษาอังกฤษเขียนด้วยตัวเอ็นตัวเล็ก (nature) ส่วนศาสนาพราหมณ์เรียกว่า "อ-บรมปรกติ" ชนิดหลัง ได้แก่ สัทธรรมความจริงที่แท้จริง หรือพระเจ้า เทพเทวดา รวมทั้งเจ้าพ่อเจ้าแม่ฯ ทั้งหลายที่มองอย่างไรก็ไม่เห็น ภาษาอังกฤษเขียนด้วยตัวเอ็นใหญ่ (Nature) ศาสนาพราหมณ์เรียกว่า "บรมปรกติ" (para-prkrti) อย่างหลังนี้คือจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ในโลก ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับจิตร่วมสากลของจักรวาล (universal unconscious continuum) ของคาร์ส ซี. จุง
 
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้เขียนคือ ชมรมจิตวิวัฒน์คือชมรมที่มุ่งหวังจะให้ประชาชนที่สนใจมี "จิตสำนึกกับใต้สำนึกใหม่" ที่จะนำชาวโลกให้มีพฤติกรรมใหม่ที่มีจิตชี้นำ หรือพูดง่ายๆ ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตแบบถอนรากถอนโคน (transformation) โดยไม่ได้คำนึงว่า ชาวไทยในประเทศไทยหรือว่าชาวโลกในประเทศต่างๆ เหล่านั้นจะยังคงเคารพบูชากายวัตถุเป็นนิยมหรือไม่? ทั้งไม่สนใจว่าชาวไทยหรือชาวโลกเหล่าไหนจะมีการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกใหม่ไปแล้ว-ไม่ว่าเปลี่ยนโดยคิดเองและรู้เอง ตามเพื่อนหรือเข้าชมรมปฏิบัติสมาธิอยู่แล้ว หรือเป็นผู้ปฏิบัติจิตปฏิบัติศาสนาอยู่แล้วฯ-ชมรมจิตวิวัฒน์หรือชาวไทยชาวโลกที่รู้แล้วปฏิบัติแล้วเหล่านั้น จะเป็นเรื่องที่ทันการณ์และทันกาลหรือไม่? ทั้งโลกจะมีสักกี่คน? หากเรายังไม่คำนึงหรือไม่สนใจอยู่อย่างนี้? ในความเห็นของผู้เขียนที่พูดและเขียนเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 ที่พูดเรื่องจักรวาลทัศน์และการเปลี่ยนแปลงทางจิตหรือจิตวิวัฒนาการ และกระบวนทัศน์ใหม่แบบนี้ ต่อต้านและคัดค้านกายวัตถุนิยม เทคโนโลยีและทุนนิยมแบบนี้ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ผู้เขียนได้พูดย้ำเขียนย้ำถึงความพินาศหายนะของโลกจากภัยธรรมชาติต่างๆ นาๆ เช่น น้ำท่วมโลก โรคระบาด จนกระทั่งดาวหางอุกกาบาตวิ่งมาชนโลก ดังตัวอย่างของจริงให้เราเห็นจะจะที่ดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี-9 แตกเป็นสะเก็ดมาชนดาวพฤหัสบดีเมื่อเดือนตุลาคมปี 1992 เหมือนกับว่าเป็นการเชือดไก่ไห้เราดู ซึ่งผู้เขียนเอามาเขียน แต่ทว่าชาวโลกก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังคงมีพฤติกรรมทุกอย่างเหมือนเดิม แถมชาวไทยบางคนยังหัวเราะเยาะผู้เขียนว่าเพี้ยนขนาดหนัก "ล่องลอยอยู่ในจักรวาลเรียบร้อยแล้ว" ดังนั้น ชมรมจิตวิวัฒน์จะเปลี่ยนแปลงคนไทย-อย่าว่าแต่ชาวโลกเลย-ได้สักกี่คนกัน?
 
แต่การใช้คำว่าเปลี่ยนแปลงตัวเอง (transformation) หรือคำที่หลวมกว่านี้ เช่นคำว่าเปลี่ยน (change) ที่ชูนโยบายคำเดียวนั้น ทำให้นายบารัก โอบามา ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาอย่างถล่มทลายเมื่อปลายปีที่แล้ว ได้ชี้ให้เราสงสัยว่าในตอนนี้หรือวันนี้ ประชาชนของอเมริกาเข้าใจคำว่าเปลี่ยนของนโยบายนายโอบามา กับคำว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร? เพราะร่วมปีผ่านไปแล้วคนอเมริกายังไม่เห็นประเทศของตนมีการเปลี่ยนอะไรมากนัก ทั้งนี้ก็เพราะสองคำนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน นายโอบามาเลือกใช้คำหลวมๆ แต่คนทั่วไปของอเมริกาเข้าใจว่าไกลมากไปกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าใจผิดไม่ว่าจะมีใครตั้งใจหรือไม่ คำว่าเปลี่ยนแปลงตัวเอง (transformation) ก็ไม่ใช่เสกคนให้เป็นหนูหรือเป็นกบในนิทาน ซึ่งความหมายจริงๆ เป็นเช่นนั้น แต่คำว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ผู้เขียนใช้ในที่นี้ หรือที่บางคนใช้คำว่าปฏิวัติตัวเองหรือปฏิวัติสังคม หรือการเปลี่ยนพาราไดม์นั้น หมายความถึงการปลี่ยนกระบวนทัศน์หรือการเปลี่ยนโลกทัศน์ (worldview or paradigm) อย่างละเอียด ถาวร และตั้งใจ (intention) โดยมีจิตเป็นหัวหอกและมีพฤฒิกรรมเป็นการกระทำ จากกระบวนทัศน์หนึ่งสู่อีกกระบวนทัศน์หนึ่งอย่างถอนรากถอนโคน
 
ในที่นี้ นั่นคือวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ จากจิตสำนึกสู่จิตสำนึก และใต้สำนึกใหม่สู่จิตเหนือสำนึก (ปัจเจก) อันเดียวกับจิตวิญญาณ (spirituality) แต่มีอย่างหนึ่งที่ต้องพูด คือผู้เขียนเชื่อในกฎแห่งกรรม และเชื่อว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ โดยไม่ต้องจ่ายอะไรคืน งานวิจัยทุกงานวิจัยบอกเช่นนั้น มนุษย์ต้องมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ (โดยรวม) แน่นอน เหมือนเราต้องผ่านชีววิวัฒนาการจากไพรเมต แต่ไพรเมตจะมีจิตวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ในยุคอีโอซีน ก็มีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิดาราศาสตร์อย่างรุนแรง ครั้งนี้ก็เช่นกัน มันก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นเหมือนกัน ยิ่งมนุษย์มีแต่การทำร้ายและทำลายแต่ธรรมชาติตลอดมา ด้วยกฎแห่งกรรมเราต้องรับผลกรรมจากภัยธรรมชาติอย่างสาสม ตอนนี้ศาสนาพราหมณ์และพุทธบอกว่า เราอยู่ในยุคกลียุคที่สิ้นสุดด้วยความพินาศหายนะ ไม่มีศาสนาใดที่บอกเป็นอย่างอื่น เช่น โรคระบาดในศาสนาคริสต์ หรืออาคีเราะห์ในอิสลาม ก็แสดงความพินาศหายนะของโลก ส่วนทางวิทยาศาสตร์ก็มีการทำนายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (prediction) เป็นไปได้ที่โลกเราจะมีดวงอาทิตย์สองดวง (binary star system) ที่จะทำให้ดวงอาทิตย์สลับขั้ว ทำให้มีการย้ายแผนที่โลก หรือเปลี่ยนขั้วโลกที่เชื่อว่าเคยมีมาแล้วก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็จะไม่สูญพันธุ์อย่างแน่นอน เพราะจักรวาลนี้ต้องมีมนุษย์ (ที่จะเหลือน้อยเต็มที) แต่มีวิวัฒนาการทางจิตสูงล้ำกว่าเดี๋ยวนี้.


http://www.thaipost.net/sunday/300809/9977