คิดว่าโลกจะดีกับเราตลอดรึ? ผู้ป่วยวัยชราที่มีอายุราวๆ ใกล้ 90 ปีคนหนึ่งที่ศุขเวชเนิร์สซิงโฮมซึ่งผู้เขียนดูแลอยู่ เป็นคนสกลนครและเป็นอดีตผู้พิพากษา มีบุตรชายคนที่สองบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ไทย แต่อยู่ที่นครลอนดอน ประเทศอังกฤษ มานานโดยไปๆ มาๆ ผู้เขียนมักไปเยี่ยมผู้ป่วยรายนี้เสมอๆ เพราะบางวันได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่เทศน์ที่เป็นเจ้าอาวาสของวัดที่หนองคายในเทปฟังด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ วันหนึ่งที่ผู้เขียนไม่รู้ว่าไปไหน เลยไม่ได้ไปเยี่ยมท่านสักอาทิตย์กว่าๆ เห็นจะได้ เมื่อผู้เขียนโผล่เข้าไปในห้องก็ถูกต่อว่าทันทีว่า "หายไปไหนมา เพราะอยากพบมาตั้งหลายวันแล้ว" แล้วผู้ป่วยก็เล่าว่าท่านฝันว่าประเทศไทยจะเกิด "มิคสัญญี" อย่างหนักหน่วงรุนแรงภายในสองหรือสามปีข้างหน้านี้ นั่นทำให้ผู้เขียนรู้สึกตกใจและแปลกใจเป็นอย่างมาก ตกใจและแปลกใจในสองประการคือ หนึ่ง หัวข้อเรื่องทั้งหมด ตลอดถึงความฝันของผู้ป่วยนี้ เราไม่เคยได้ยินหรือได้พูดคุยมาก่อน เป็นครั้งแรกที่ผู้ป่วยที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้วที่เล่าเรื่องฝันของเขาขึ้นมาเป็นครั้งแรก จึงทำให้ผู้เขียนแปลกใจที่ผู้ป่วยเล่าความฝันที่ผู้เขียนไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยิน ประการที่สอง ทำไม? ผู้ป่วยถึงต้องคุยกับผู้เขียนด้วย? ทั้งๆ ที่เราไม่เคยพูดกันถึงเรื่องนี้มาก่อนแม้แต่หนเดียว และผู้ป่วยรู้ได้อย่างไร? ว่าผู้เขียนสนใจในเรื่องความเป็นไปได้ของความล่มสลายของโลกจากภูมิดาราศาสตร์ (Geoastronomical cataclysm) เหมือนกับว่าผู้เขียนคล้ายๆ กับจะเชื่อเรื่องการลงโทษและให้รางวัลของเทพเทวดาจากฟ้าหรือสวรรค์? นั่นทำให้ผู้เขียนนึกถึงหนังสือของผู้เขียนที่เขียนเมื่อร่วมสิบห้าปีก่อน เรื่อง "ฟ้าสั่งฆ่าไดโนเสาร์?" ซึ่งในหนังสือเล่มนั้นผู้เขียนยังทำนายว่า เป็นไปได้ที่จะมีอุกกาบาตวิ่งมาชนโลกในช่วงต้นๆ ของศตวรรษที่ 21 นี้ และเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ที่แท้จริงดังที่จะได้นำเสนอมาข้างล่างนี้
ขั้วโลกเหนือของสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตั้งแต่ปี ค.ศ.1831 เมื่อเราเริ่มวัด และการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะไม่แน่ไม่นอน โดยการย้ายที่ในครั้งหนึ่งๆ อาจจะทำให้ขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโสกเคลื่อนที่ไปด้วยราวๆ 60 กิโลเมตรต่อครั้งได้ โดยตอนนี้ขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโลก (ที่ทำให้เข็มทิศชี้ไปทางเหนือ) ได้ย้ายที่จากแคนาดาตะวันออกมาอยู่ที่ไซบีเรีย และการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กของอาทิตย์ และการย้ายที่ของขั้วแม่เหล็กโลกจากที่ในคราวต่อไปอาจจะทำให้อุกกาบาตชื่อว่า "อะโปฟิส" ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบครึ่งกิโลเมตร (ประมาณ 2,000 ฟุต คือเล็กกว่าอุกกาบาตที่ฆ่าไดโนเสาร์ไปทั้งเผ่าพันธุ์กว่ายี่สิบเท่า แต่ก็ใหญ่พอที่จะก่อความล่มสลายหายนะให้กับโลกได้อย่างใหญ่หลวง) ความล่มสลายใหญ่นี้เกิดจากอุกกาบาตที่จะวิ่งเฉียดฉิวโลกในปี 2029 ไปรอบๆ ดวงอาทิตย์และหวนกลับมาชนโลกในปี 2036 นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย (คาดว่าด้วยความร่วมมือของอียู สหรัฐและจีน) จะมีการประชุมลับๆ ของสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของรัสเซียในเร็ววันนี้ ดังที่อินเตอร์แฟกซ์และข่าวจากเสียงแห่งรัสเซียแถลงเมื่อสี่เดือนมานี้ ข่าวดังกล่าวนี้ ประธานสภาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของรัสเซียชื่อ อนาโตลี เพอมานอฟ ได้คาดว่าโลกจะจัดส่ง "อุปกรณ์อวกาศ" ไปล่องลอยอยู่ในอวกาศ มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือผลักดันให้วิถีโคจรของอุกกาบาตให้พ้นไปจากโลกเสีย "มันจะไม่มีการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์เลย...และแผนการจะเป็นไปตามกฎแห่งฟิสิกส์ธรรมดาทั้งหมด"
มนุษย์โลกในฐานะของสิ่งที่มีชีวิต หรือทางวิทยาศาสตร์กายภาพแห่งชีวิต หรือที่เรียกว่าชีววิทยานั้น จริงๆ แล้วสามสี่ร้อยก่อนหน้านี้เราเรียกวิทยาศาสตร์ทั้งหมดทุกสาขาเลยว่าวิทยาศาสตร์เฉยๆ ซึ่งเริ่มโดยฟิสิกส์ก่อนเพื่อนที่พัฒนาจากองค์ความรู้ที่มนุษย์คิดค้นและพยายามแสวงหาคำตอบของธรรมชาติรอบๆ ตัวด้วยเหตุผลกับประสบการณ์ที่เรียกว่า ปรัชญาธรรมชาติ (natural philosophy) ธรรมชาติที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู หรือรับรู้ด้วยอวัยวะประสาทสัมผัสภายนอกทั้งห้าว่าคือความจริงแท้จริง แล้วผลิตสร้างทฤษฎีความเชื่อว่าความจริงแท้จริงต้องเป็นไปตามนั้น แถมสมัยก่อนยังลงโทษผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงอย่างกาลิเลโอ นั่นคือทฤษฎีของความรู้ที่ตะวันตกและเราทั่วทั้งโลกมีอยู่แม้ในปัจจุบัน และห้ามใครเถียง จนฟิสิกส์ลงไปถึงอะตอมที่เชื่อกันว่าไม่สามารถที่จะแยกออกอีกต่อไปได้ ซึ่งความรู้ที่ทีแรกเป็นแต่ความเชื่อจึงได้กลายเป็นวิทยาศาสตร์สาขาแรกหรือฟิสิกส์ในเวลาต่อมา กระทั่งเราขึ้นไปถึงโมเลกุลและการรวมตัวกันของธาตุต่างๆ ที่เรียกว่าเคมี ต่อมาจวบจนประมาณ 150 ปีที่แล้วเป็นต้นมา เราจึงได้ขึ้นไปถึงระดับของเซลล์กับชีวิตที่เรียกว่าชีววิทยาดาร์วินิซึ่ม ความรู้และประสบการณ์ที่มีเหตุผลเป็นระบบที่ทำซ้ำได้หรือสังเกตได้และยอมรับกันโดยผู้รู้หรือปัญญาชน ถึงได้เรียกว่าวิทยาศาสตร์เฉยๆ จึงมีสามสาขาใหญ่ๆ มาตั้งแต่นั้น และแม้จะมีซิกมันด์ ฟรอยด์ และมีจิตจริงๆ วิทยาศาสตร์ก็ยังเชื่อว่าเป็นแต่เพียงจิตรู้ ที่ทางพุทธเราเรียกว่ามโนวิญญาณ หรือเป็นวิญญาณขันธ์ที่ทางวิทยาศาสตร์คิดว่ามาจากการทำงานของสมอง (epiphenomenon) แม้กระทั่งจะมีฟิสิกส์ใหม่ ควอนตัมฟิสิกส์แล้ว นักวิทยาศาสตร์เฉยๆ ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาใหม่ๆ ก็ยังเชื่อแต่หูและตาของตัวเองว่าเป็นความจริงแท้ที่ตนเรียนมาตั้งแต่ปีมะโว้ แต่นักวิทยาศาสตร์ อย่างน้อยที่เมืองนอก (ตะวันตก) ของปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไปเชื่อฟิสิกส์ใหม่หรือควอนตัมเม็คคานิกส์ - ที่ผู้เขียนคิดว่าทำงานเหมือนกับจิต แต่จิตละเอียดกว่าคลื่นอนุภาคขณะอยู่ในสภาพควอนตัม (quiff) มาก - อย่างรวดเร็วยิ่งนัก
น่าสงสารมนุษย์มากนักที่มองอะไรไกลตัวไม่เป็น แถมยังเชื่อง่ายอีกด้วย (ดูทฤษฎีความเชื่อกับทฤษฎีควาามรู้ในพารากราฟข้างบนอีกที) ที่เราไม่สนใจอะไรที่อยู่ไกลตัวไม่เป็นมีอยู่สองเหตุผล คือ ภายนอกกับภายใน หรือกายหรือวิทยาศาสตร์ กับจิตศาสตร์ของศาสนาหรือจิต ซึ่งเมื่อไล่ต่อไปแล้ว ทั้งทางศาสนาและวิทยาศาสตร์ก็คือจิตหรือตัวรู้นั่นเอง (cognize) นั่นคือเรา - โดยเฉลี่ย - รู้สึกสบายและปลอดภัยมานานจากความเคยชิน เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังผู้ใหญ่หรือใครเล่าว่า โลกกับมนุษยชาติรวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราว่า มันก็มีโอกาส - ไม่ว่าโอกาสนั้นจะมีน้อยนิดสักเพียงใด - แต่มันมีอยู่อย่างแน่นอนที่โลกจะต้องพัง หรือมนุษยชาติและธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทั้งหลายจะต้องล่มสลายหายนะไม่มากก็น้อย อย่างฉับพลันทันทีจากแอคซิเดนท์ทางภูมิดาราศาสตร์ที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งประวัติศาสตร์ได้บอกแก่เราตลอดมา ซึ่งเราไม่เห็น ไม่รู้ ไม่เคยชิน หรือไม่มีสามัญสำนึก เพราะว่าในยุคที่เราอยู่นี่ - ยุคของอินเตอร์เกลเชียนนี - มันไม่เคยมีเลย ความเคยชินของโอกาสที่มีสุดแสนจะน้อยนิดจนเราที่เป็นคนปกติมักจะไม่นึกถึง แต่นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพยากรณ์ศาสตร์และนักจิตนักศาสนศาสตร์ อาจจะพูดถึงเพื่อเตือนสติให้เราอย่าได้ประมาทเรื่องของดิน มนุษย์ ฟ้า เพราะเรานั้นมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาทางกายภาพโดยคำว่าบังเอิญอย่างเดียว อย่างที่นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นแมตทีเรียลลิสต์ (materialist) เชื่อ ซึ่งก็เป็นแต่ความเชื่ออย่างหนึ่ง คือเชื่อเฉพาะที่ตาของ "มนุษย์" - เท่านั้น - เห็นว่าเป็นความจริงที่แท้จริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว แต่หลายต่อหลายคนยังเชื่อว่าเราอาจจะอยู่ใต้การควบคุมบังคับบัญชา - ของความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ "มนุษย์" ธรรมดาๆ และสิ่งมีชีวิตมองไม่เห็น แต่ทว่าจิตมองเห็น - เช่น จิตของผู้บรรลุธรรม หรือจิตร่วมของจักรวาลหรือฟ้าหรือสวรรค์อีกด้วย ซึ่งก็เป็นแต่ความเชื่ออีกอย่างหนึ่ง แต่มันก็มีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง คือนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ อย่างน้อยก็ในประเทศทางตะวันตกตั้งแต่เรามีฟิสิกส์ใหม่ มีควอนตัมเม็คคานิกส์ และมีจักรวาลวิทยาใหม่ขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อมากมีผู้นับถือมากๆ พากันละทิ้งความเป็นแมตทีเรียลลิสต์ของตนอย่างรวดเร็ว แล้วหวนกลับไปเชื่ออีกอย่างหนึ่งแทน (2007 Shift Report, Evidence of a World Transforming)
จริงๆ แล้วผู้เขียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าปีนี้คือปี ค.ศ.2010 แล้ว เป็นปีที่ไม่ห่างไกลจากปีมะโรง 2012 นัก ปี 2012 นั้น ผู้เขียนไม่รู้ว่ารู้มาจากไหน แต่รู้ว่ามันมีอยู่สองเรื่องที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างมากที่จะไม่เกิดขึ้น อย่างหนึ่ง เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับใคร ดังที่เคยเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์คอลัมน์นี้ ว่าน่าจะเป็นปีที่ผู้เขียนมีอายุครบ 84 ปี และคงเป็นไปตามที่ผู้เขียนบอกไว้ อีกเรื่องเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับโลกทั้งโลกจากแอคซิเดนท์และภัยธรรมชาติ - ปัจจัยทางภูมิดาราศาสตร์ซึ่งได้พูดไปแล้วเช่นกัน โดยกล่าวว่า ดิน มนุษย์ ฟ้า นั้นเป็นผลของกรรมร่วมของจักรวาลที่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์โดยรวมต้องเป็นไปตามเป้าหมายของจิตจักรวาลที่มนุษย์โดยรวมต้องค้นพบ นั่นคือวิวัฒนาการ (ทั้งกายและจิต) ที่จะต้องเป็นไปตามเป้าหมายนั้น ซึ่งมีหลักฐานหรือเหตุผลพร้อม โดยจะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกปรากฏการณ์ในจักรวาลจะต้องมีวิวัฒนาการทั้งนั้น คิดว่าปฏิจจสมุปบาทในศาสนาพุทธเป็นสิ่งเดียวกับการอุบัติ การสืบเนื่อง การเปลี่ยนแปลง การเสื่อม และการดับ ซึ่งพูดไว้ ต่างกรรมต่างวาระกัน ในลัทธิพระเวท เป็นสิ่งเดียวกับวิวัฒนาการทางชีววิทยา (กาย) กับจิตวิทยา (จิต) เช่น จิตวิทยาธรรมดาๆ ของจิตรู้หรือจิตสำนึกและพฤติกรรม และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต (สัตว-พืช) จิตวิทยาของการเจริญเติบโตของเด็ก (developmental psychology) จิตวิทยาของวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ (spiritual psychology) ฯลฯ และเป็นสิ่งเดียวกับโมตูรานาและคอฟแมนที่เรียกว่าการจัดองค์กรตัวเอง (self-organizing system) ส่วนกรรมในพุทธศาสนาและลัทธิพระเวทนั้น ซึ่งจะมีทั้งอกุศลกรรมและกุศลกรรม หรือภาวะล่มสลายของสังคมโลกโดยรวม พร้อมกับการมีวิวัฒนาการของมนุษย์ที่เหลือไม่มากนักทั่วโลก อันจะเป็นวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality)
ผู้เขียนเชื่อว่าโลกและจักรวาล หากมองจากด้านกายภาพของฝรั่งตะวันตกและนักปราชญ์ชาวกรีก โดยเฉพาะอริสโตเติลผู้มีเหตุผลและอิทธิพลต่อความคิดของชาวตะวันตกที่แพร่กระจายความเป็นตะวันตกและความเป็นอเมริกันไปทั่วทั้งโลกในวันนี้ จริงๆ แล้วผู้เขียนคิดว่าเป็นมูลเหตุของความผิดอันมหันต์ ซึ่งได้แก่ ระบบสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา ฯลฯ ของประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกในปัจจุบัน ที่ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นสาเหตุของอกุศลกรรมที่มนุษยชาติจะได้รับการลงโทษที่สำคัญในไม่ช้านี้ ซึ่งกรรมโดยรวมนี้ มนุษยชาติส่วนใหญ่จะต้องรับกรรมอันเกิดจากความหลงใหลในวัตถุกับความโลภอย่างสาสม กรรมและความล่มสลายหายนะของโลกจากภัยธรรมชาติ ซึ่งนักพยากรณ์ศาสตร์ได้ทำนายไว้ว่าจะต้องเกิดขึ้นในทุกๆ ทศวรรษเลยตั้งแต่มนุษย์เริ่มทำร้ายและทำลายธรรมชาติอย่างหนักหน่วงรุนแรง ซึ่งเริ่มในทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา อาทิ ในทศวรรษ 1970 จะมีผลพวงจากดาวพฤหัสฯ (Jupiter effect) ในทศวรรษที่ 1980 จะมีสิ่งที่สื่อทุกประเภทของโลกตะวันตกล้อเลียนพวกที่พากันหวั่นสภาพล่มสลายโลกว่าพวกบ้าคลั่งไร้สมอง (moronic convergence) พอขึ้นทศวรรษ 1990 ดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี่ก็แตกออกเป็น 21 ชิ้น และวิ่งชนดาวพฤหัสฯ ให้เราเห็นจะจะประหนึ่งเชือดคอไก่ให้เราดู ขึ้นสหัสวรรษใหม่เรามี 5-5-2000 กับการเข้าแถวเรียงของดาวเก้าดวงเหมือน 1980 แต่โลกก็รอดมาได้ ปี 2012 ดูให้ดีว่าโลกจะดีกับเราตลอด-หรือไม่?
http://www.thaipost.net/sunday/130610/23473