ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: Plusz
« เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 07:12:09 pm »

:30: อยากดูง่า ๆๆๆ
ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 10:34:02 pm »

เรื่องนี้เคยดูครับ เศร้าอ่ะพี่ :27:
 :13: ขอบคุณครับพี่น้ำฝน
ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 06:15:34 pm »

:13: .. Life is beautiful .. :19:

 
หนังดีที่ชีวิตนี้ควรดู


   .. ผมได้ยินชื่อเสียงของหนังอิตาลีเรื่องนี้มานานครับ หลายคนบอกว่าดีมาก  แม้แต่คนไม่ชอบดูหนังเมื่อได้ดูทาง UBC ยังออกปากชม

มาโดนยั่วหนักๆ  ก็ตอนอ่านหนังสือสองเล่ม คือ ตรงเส้นขอบฟ้า และ คิดถึงทุกวัน ที่อ่านต่อกัน  ทั้งสองเล่มพูดถึงหนังเรื่องนี้อย่างกับนัดกันมา

การตามหาหนังเรื่องนี้มาดูจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง...

เมื่อได้มาตอนแรกกะว่าจะเห็นฉากสงคราม  แบบที่เคยได้ยินมาว่าเป็นเรื่องของคุณพ่อที่หลอกลูกในช่วงสงครามว่าเป็นการเล่นเกม

ผิดถนัดเลยครับ  มีการปูพื้นพระเอกชื่อกุยโด้ และ นางเอกชื่อลอร่า อย่างละเอียด  มีความน่ารักของคู่นี้ให้ดูประมาณครึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นการปูพื้นที่ยอดเยี่ยมครับ  ทุกฉากส่งผลถึงกันอย่างลื่นไหล  จนสุดท้ายนางเอกที่ไม่คู่ควรกับพระเอกเลยซักนิดก็ลงเอยด้วยกัน

"สวัสดีครับ  เจ้าหญิง"  ประโยคที่พระเอกให้ทักทายนางเอกเสมอ

จากการปูพื้นก็ทำให้ทราบไหวพริบของกุยโด้  ที่คิดไว และมุ่งมั่นสิ่งที่ทำมากทีเดียว

ทีนี้พอมีลูกชื่อโจชัวร์  ทุกอย่างที่มุ่งมั่นคือ ทำเพื่อลูก ไหวพริบทั้งหมด ความทุ่มเททั้งหมดเพื่อลูก  และครอบครัวครับ

ฉากเด็ดอีกฉากคือ  ฉากที่ลอร่าขอขึ้นรถไฟขบวนที่จับคนเป็นนักโทษด้วย  เด็ดเดี่ยวได้ใจครับ

ที่เหลือเป็นไหวพริบของคุณพ่อกุยโด้ล้วนๆ  หนึ่งพันคะแนนที่เอามาหลอกลูก สถานการณ์ช่วงต่างๆ ที่ต้องการไหวพริบ  ก็งัดมาใช้อย่างน่าลุ้น  แต่แฝงความน่ารักไว้ในที

สุดท้ายก็จบอย่างสวยงามครับเรื่องนี้

เป็นหนังที่ให้กำลังใจดีมากเลยครับ  ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายปานใด ตั้งสติครับ แล้วมุ่งสู่จุดหมายที่ตั้งไว้  แม้ผลจะไม่ดีที่สุด แต่ทำเต็มที่แล้ว  ย่อมได้ผลดีบ้างแหละ

เหมือนที่คุณพ่อกุยโด้ทำให้ลูกชายโจชัวร์ครับ  มันเป็นของขวัญชิ้นสำคัญสำหรับลูกชายเลยจริงๆ

เข้าขั้นหนังในดวงใจอีกเรื่องเลยครับ 

ชีวิตนี้หาดูให้ได้นะครับเรื่องนี้

อีกใบปะครับ

 
 

 
Create Date : 04 สิงหาคม 2550
Last Update : 1 กันยายน 2552 23:07:02 น.



   
:07: ..  :13: ขอขอบพระคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดจาก : bloggang.com ของ คุณ amp-atom มา ณ.ที่นี้ด้วยนะคะ ..


ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 02:11:26 am »


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=xXOvy2N4zqc&feature=related[/youtube]

THE END
ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 02:06:51 am »

[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=7wQl3KNRmCI&feature=related[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=ISawqVSwI1Q&feature=related[/youtube]
ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 01:43:22 am »

[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=TXppLYYc_FY&feature=related[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=G-Azi9m_zj8&feature=related[/youtube]



ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 01:37:26 am »

[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=v7hZXvlMucg&feature=related[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=C1yghfg8wx0&feature=related[/youtube]
ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 01:32:57 am »

[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=d7rn-TrXblg&feature=related[/youtube]



[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=ek5RAEJx7Jc&feature=related[/youtube]
ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 01:27:51 am »




[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=cw1QEWZ2QL8&NR=1[/youtube]
ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 01:25:49 am »


Life :19: is Beautiful.. :13:

:43: ยิ้มไว้ โลกนี้..ไม่มี..สิ้นหวัง!




Life is Beautiful – ชีวิตที่สวยงาม กับ คำโกหกอันแสนหวาน .. :13:

.. หัวใจ :19: ของผู้เป็นพ่อ และ สามี .. ที่โลกใบนี้มิกล้าประณาม แต่กลับ ต้องสรรเสริญและยกย่อง  :27: ซาบซึ้งประทับใจ และ หลั่งน้ำตาให้กับเขาผู้นี้! :07:





(คำเตือน  - บทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง)

Life is Beautiful ..(1997, Roberto  Benigni) เล่าถึงชายคนหนึ่งนามว่า “กุยโด” ชายผู้เปี่ยมไปด้วยความร่าเริงสดใส  ชายผู้มองโลกในแง่ดี ชายที่เปี่ยมล้นไปด้วยจินตนาการอันไม่สิ้นสุด  ชายผู้ที่มักจะพูดจาทีเล่นทีจริงอยู่เสมอ ชายผู้ที่เรียกดอร่า-คนรักของเขาว่า  “เจ้าหญิง” จนในที่สุดก็ได้แต่งงานกันและมีลูกชายนามว่า “โจชัว”  จนเมื่อกาลล่วงเลยมาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2  ชีวิตของชายผู้นี้ต้องถึงคราวเคราะห์เพียงเพราะว่าเขามีเชื้อสาย “ยิว“ 

เช่นเดียวกับหนังที่เล่าถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั่วๆไป  หนังจึงมีการแสดงถึงความโหดร้ายจากภาวะสงคราม ท่ามกลางกระแสคลั่งลัทธิฟาสซิสต์  ผู้นำทางเผด็จการอย่างฮิตเลอร์, มุสโสลินี และนายพลโตโจกำลังเป็นใหญ่  มีการกวาดล้างชาวยิว  (ว่ากันว่าฮิตเลอร์ทวีความเกลียดชังต่อคนยิวด้วยเหตุผลที่ว่าเขาติดโรคซิฟิลิสจากชาวยิว)  ในหนัง-ร้านของคนยิวถูกคนเข้ามาอาละวาดทำลายข้าวของ,  ม้าของคนยิวถูกสีขีดเขียนให้เลอะเทอะ, กุยโดและโจชัวถูกเกณฑ์ไปในค่ายกักกันชาวยิว  ที่ผู้กำกับสร้างบรรยากาศของค่ายที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัด  ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทนภาพที่ดูแห้งแล้ง ห้องนอนของคนยิวที่ดูสกปรกและมืดทึบ  (แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอีกฉากในงานเลี้ยงของพวกคนเยอรมันที่ดูหรูหรา)  หรือการแสดงออกทางสีหน้าของคนในค่าย  ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวที่หน้าตาเหมือนคนไร้ซึ่งความหวัง  พวกทหารเยอรมันที่ตีสีหน้าทมิงถึงอยู่ตลอดเวลา  แม้แต่เด็กๆในค่ายที่ดูจะไม่มีความสุขนัก 

ยกเว้นแต่เพียงคนเดียวที่แสดงสีหน้าชื่นบานได้ตลอดทั้งเรื่อง  นั่นคือกุยโด

นี่จึงเป็นข้อแตกต่างของหนังเรื่องนี้จากเรื่องอื่นๆ เช่น The  Pianist หรือ Salo … The Pianist (2002, โรมัน โปลันสกี –  ได้รับรางวัลปาล์มทองคำจากคานส์ปี 2002)  ใช้หนังแสดงความโหดร้ายของการกวาดล้างคนยิวกระแทกกระทั้นจิตใจคนดู  ด้วยฉากจับคนยิวมาเรียงแถว แล้วยิงทิ้งทีละคน ส่วน Salo (1975, เปียร์ เปาโล  ปาโซลินี่)  ช็อคคนดูด้วยเรื่องราวของวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ถูกชนชั้นขุนนางลัทธิฟาสซิสต์จับไปทรมานในคฤหาสน์ถึง  3 ครั้ง 3 ครา 3 วิธีการ (ผ่านวงเวียนแห่ง “การเสพสังวาส” “อาจม” และ “เลือด”)  แต่ใน Life is Beautiful กุยโดกลับพูดกับลูกหน้าตาเฉยว่าสงครามมันเป็นเพียงแค่  “เกม” 

ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆก็คือ  “การมองโลกในแง่ดี” และการถ่ายทอดออกมาอย่าง  “งดงาม”

กุยโดผูกเรื่องราวขึ้นมาว่าเขาและลูกถูกจับมาค่ายกักกันเพื่อเล่มเกมชิงรถถัง  ผู้ใดทำคะแนนได้ถึงหนึ่งพันคะแนนก่อนจะได้มันไป  บทภาพยนตร์แสดงความเฉลียวฉลาดด้วยการที่กุยโดต้องแก้สถานการณ์ต่างๆไปตลอดทั้งเรื่อง  อีกนัยคือเขาต้อง “สร้างเรื่อง” หรือ “โกหก” ลูกชายของเขาเพิ่มขึ้นๆ  ดังเช่นเมื่อโจชัวงอแงจะกลับบ้าน เขาก็ใช้กลที่ว่า “คะแนน”  ของทั้งสองกำลังจะใกล้ถึง “เป้าหมาย” แล้ว จึงทำให้โจชัวยอม “เล่นเกม” ต่อ 

นั่นคือหนังมุ่งเน้นให้กุยโดเป็น “ผู้ดำเนินเกม” ในเรื่อง  กุยโดคือชายผู้ร่าเริง-มีอารมณ์ขัน-มองโลกในแง่ดี  (เมืองที่กุยโดอยู่มีร้านเขียนป้ายว่า “ห้ามคนยิวเข้า”  แต่หน้าร้านหนังสือของเขากลับเขียนว่า “ร้านคนยิว”)  แต่บางเวลาหนังแสดงให้เห็นด้านที่ว่ากุยโดก็เป็นมนุษย์ธรรมดา  ดังเช่นฉากที่กุยโดต้องแบกเหล็กที่ทั้งหนักทั้งร้อน เขาก็เอาแต่บ่นตลอดทาง  (ถึงกระนั้นก็ยังเป็นการบ่นแบบเจืออารมณ์ขัน) และที่สำคัญกุยโดเป็นคนฉลาด  ไม่ว่าจะเป็นการปั้นเสริมเติมแต่งเรื่องของเกมในค่ายกักกันให้โจชัวฟัง  การที่เขาชอบเล่นถามตอบปัญหาเชาว์  หรือฉากที่เสนอตัวออกไปแปลประโยคที่ทหารเยอรมันพูด ที่เขาสามารถ “โม้”  ได้อย่างสดๆและสุดๆ

เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่ส่งเสริมว่าหนึ่งในสารที่หนังอาจจะต้องการเสนอก็คือ  ความฉลาดหลักแหลมของชาวยิว หลักฐานในทางรูปธรรมเราก็พบเห็นได้จริง อัลเบิร์ต  ไอสไตน์คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ หรือผู้กำกับสตีเวน  สปิลเบิร์กที่สามารถเนรมิตหนังได้หลากหลายแนวจนได้ฉายา “พ่อมดแห่งฮอลลีวูด”  (ครั้งหนึ่งสปิลเบิร์กก็เคยทำหนังเกี่ยวกับการกวาดล้างยิวมาแล้วใน Schindler ’s  List (1993)  ซึ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากออสการ์ไป)

อีกสารที่ผู้กำกับสอดแทรกเข้ามาในหนัง  อย่างฉากในงานเลี้ยงที่มีการแสดงชุด “ม้าเอธิโอเปีย”  นัยว่าต้องการเสียดสีระบบล่าอาณานิคม เพราะในสมัยนั้นอิตาลีได้เข้าไปยึดโอธิโอเปีย  และจากนั้นก็รีบขโมยซีนด้วยการให้กุยโดขี่ม้าขาวมารับดอร่าพาหนีไปจากงานแต่งงาน  ดังนั้นกุยโดจึงถือเป็นอัศวินขี่ม้าขาวตัวจริง

นอกจากจะมีการใช้สัญลักษณ์  (Symbolic) ในรูปของฉาก-บรรยากาศ หรือการแสดงทางสีหน้าแล้ว ยังมีการใช้ “สี”  เป็นตัวขับเน้นเรื่องราวด้วย เช่น  ในฉากที่ดอร่าตัดสินใจจะขึ้นรถที่พาชาวยิวไปค่ายกักกันเพื่อตามสามีและลูกของเธอไป  ขณะนั้นเธอใส่ชุดสีแดง ที่ดูโดดเด่นมีสีสันและชีวิตชีวา  ไม่เข้ากับบริเวณที่มีกลิ่นอายแห่งความสิ้นหวังแห่งนั้น นั่นคือการแสดงความแปลกแยก  (alienation) ว่าดอร่าไม่ใช่คนยิว  แต่ในที่สุดไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนเธอก็ยอมร่วมรับชะตากรรมและรับรู้ความทุกข์ยากไปพร้อมๆกับสามีและลูกด้วย  (ภายหลังเธอจึงได้ใส่ชุดโทรมๆเหมือนคนยิว) 

สีแดงยังถูกใช้ในฉากพรมแดงที่กุยโดปูให้ดอร่าเดินผ่านซึ่งใช้อารมณ์ในลักษณะโรแมนติกปนเหนือจริง  (surreal) ที่ทำให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วม ทั้งนี้สีแดงนั้นเป็นหนึ่งในสีที่มี  ”พลังทางภาษาภาพยนตร์” มากที่สุดสีหนึ่ง ดังเห็นได้จาก In the mood for love (2000,  หว่องกาไว) สีแดงถูกใช้อธิบายอารมณ์ของคนสองคนที่ตกอยู่ห้วงอารมณ์รัก, Hero (2002,  จางอี้โหมว) สีแดงเป็นใช้เครื่องแต่งกาย สีของฉาก ในช่วงตอนที่มีอารมณ์รุนแรง  เป็นไปด้วยความโกรธ-ความเกลียด-ราคะ-ตัณหา, Irreversible (2002, กัสแปร์ โนว์)  อุโมงค์ที่นางเอกถูกข่มขืนมีสีแดงฉาน ขับเน้นความเจ็บปวดของตัวละคร หรือล่าสุดกับ  The Village (2004, เอ็ม. ไนต์ ชัยมาลาน) สีแดงแทนค่าของสัตว์ประหลาดชั่วร้าย 

ในช่วงท้ายของหนังฝ่ายเยอรมัน-อิตาลีและญี่ปุ่น เป็นฝ่ายพ่ายสงคราม  หลังจากการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิโดยฝีมือของมหาอำนาจอย่างอเมริกา  ค่ายกักกันยิวไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป การกวาดล้างชาวยิวครั้งสุดท้ายจึงเกิดขึ้น  (แม้กระนั้นหนังก็ไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงฉากชาวยิวถูกยิงตายต่อหน้า  หรือชาวยิวนอนจมกองเลือด) เกมสงครามของมหาประเทศจบแล้ว  แต่ว่าเกมของกุยโดและโจชัวยังไม่จบ เกมของโจชัวคือการทำคะแนนหนึ่งพันแต้มเพื่อรถถัง  เกมของกุยโดคือการรักษาชีวิตของลูกชาย เงื่อนไขทั้งสองจึงหลอมรวมกันคือ  กุยโดบอกกับลูกชายว่าหากเขาซ่อนตัวอยู่ในตู้โดยไม่ให้ใครเห็น  และออกมาต่อเมื่อไม่มีใครข้างนอก เขาจะชนะและได้รถถัง

ใกล้ตอนจบ  (ทั้งของหนังและของกุยโด) กุยโดถูกทหารเยอรมันจับตัวได้ ระหว่างถูกพาตัวไป  เมื่อเดินผ่านโจชัว เขาก็ยังมิวายจะส่งรอยยิ้มให้ลูก พร้อมกับการโบกมือลา  เป็นทั้งการโบกมือลาลูกชาย ลาจากเกม และลาจากโลกอันแสนวุ่นวายใบนี้  คงจะไม่เกินไปนักหากจะคิดว่ากุยโดยังมองโลกในแง่ดีจนถึงวาระสุดท้าย  เขาส่งยิ้มให้ลูก (ให้กับคนดู และให้กับโลก)  เพื่อให้ลูกเขาจดจำภาพสุดท้ายของพ่อในภาพของความประทับใจ

เสียงปืนดัง …  เกมจบ … กุยโดตาย … คนดูหัวใจสลาย

ณ จุดนี้น่าย้อนคิดไปถึงคำถามของกุยโด  “อะไรเอ่ย เมื่อพูดออกมา ชื่อของฉันก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว” คำตอบคือ “ความเงียบ”  เช่นเดียวกันเมื่อเสียงปืนดังขึ้น ความเงียบสูญสลาย  ความโศกเศร้าสะเทือนใจเข้ามาแทนที่ แต่ในอีกทาง-ชีวิตของกุยโดดับสูญ  ไม่มีเสียงพูดคุยล้อเล่นของเขาอีกต่อไป เขาเหลือเพียงความเงียบงัน  และที่สำคัญสิ่งสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือ  “ความเสียสละ”

เช้าวันถัดมาโจชัวออกมาจากตู้ โลกภายนอกไม่เหลืออะไร  ไม่มีผู้คน ไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า  เป็นฉากที่เน้นย้ำว่าสงครามไม่ให้อะไรนอกจาก “ความสูญเสีย” และ  “ความว่างเปล่า”

ฉากสุดท้ายสองแม่ลูกได้พบกันอีกครั้ง  ดอร่าและโจชัวเข้าโผกอดกัน ปากพร่ำว่า “เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว” 

…ไม่ใช่ชัยชนะในเกมที่โจชัวได้รถถัง
…ไม่ใช่ชัยชนะของอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่  2

แต่เป็นชัยชนะของกุยโดที่สามารถใช้ “ความเสียสละ” ทำให้ “ชีวิตหนึ่ง”  รอดพ้นภัยและมีวันพรุ่งนี้ต่อไปได้  (รวมถึงชัยชนะบนเวทีออสการ์ในรางวัลนักแสดงนำชายและรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม  – ถึงตรงนี้น่าคิดว่าธงชาติอเมริการที่ปลิวไสวกับลักษณะของทหารอเมริกาที่ดูใจดี  อบอุ่น  จนเหมือนบุคคลในโลกอุดมคติในตอนท้ายมีผลต่อรางวัลหรือไม่)

ดังนั้นรางวัลที่แท้จริงของโจซัวจึงไม่ใช่  “รถถัง” แต่เป็น “ชีวิต” ของเขา

ท้ายสุดหนังเป็นเสียงบรรยาย (voice over)  ของโจชัวในวัยหนุ่มกล่าวว่า “นั่นคือเรื่องราวของพ่อของผม พ่อผู้เสียสละ”  หากไม่เพราะความเสียสละของกุยโด โจชัวคงไม่ได้มานั่งบรรยายเรื่องราวของพ่อของเขา ณ  ตรงนี้  และถ้าจำกันได้ในกลางเรื่องกุยโดเปิดร้านหนังสือโดยให้โจชัวมีบทบาทเสมือนเจ้าของร้านอยู่เสมอ  หากเขาคิดจะเขียนหนังสือ  เล่มแรกที่เขาจะเขียนและวางขายในร้านต้องเป็นชีวประวัติ-วีรกรรมของพ่อเป็นแน่นอน 

หลังจากดูหนังจบ สิ่งหนึ่งที่คำนึงได้ก็คือ หนังเต็มไปด้วย “คำโกหก”  …มีคนเคยถามว่าคำโกหกของกุยโดเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่

มีใครบางคนกล่าวว่า  Song is a beautiful lie
Plabo Picasso กล่าวว่า Art is the lie that helps us  understand the truth
ดังนั้นภาพยนตร์ที่เป็นศิลปะแขนงที่เจ็ด  จึงถือเป็นคำโกหกได้เช่นเดียวกัน แต่เป็นคำโกหกที่สวยงาม  ช่วยให้เราลืมโลกความเป็นจริงเมื่อเราชมมัน  แต่เมื่อมันจบเราจะต้องกลับมาตระหนักถึงความจริงและกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง

เราจึงมิอาจตัดสินได้ว่าการโกหกของกุยโด  “ถูก” หรือ “ผิด” แต่เราสรุปได้ว่าการโกหกของเขาช่างงดงามและเต็มไปด้วยความเสียสละ  หนังจึงอาจจะมีอีกชื่อหนึ่งได้ว่า Lie is Beautiful

อย่างไรก็ตาม  แม้ว่ากุยโดจะทำให้เราเห็นว่าชีวิตท่ามกลางสงครามก็มีความงดงามเกิดขึ้นได้  แต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ หนังมหาปรัชญาเรื่องล่าสุดแห่งไตรภาค qatsi (หลังจาก  Koyaaniqatsi และ Powaqqatsi) ของก็อดฟรีย์ เรจิโออย่าง Naqoyqatsi (2003)  นั้นเป็นภาษาอินเดียนแดงที่แปลได้ว่า “Life as War”

คนเราทุกวันนี้ยังอยู่ท่ามกลางภาวะสงคราม !!


แด่.. กุยโด และ ทุกชีวิตที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ..ในสงคราม…ทุกสมรภูมิ