ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 07:36:41 pm »

 :13: อนุโมทนาครับพี่สาว ขอบคุณครับ
ข้อความโดย: 時々होशདང一རພຊຍ๛
« เมื่อ: กันยายน 22, 2010, 12:58:31 pm »



:20: :20: :20:

:07: :07: :07:

:46: :46: :46:
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 22, 2010, 11:14:01 am »



เมื่อเอ่ยถึงพระคณาจารย์ในสายปฎิบัติ พระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในจังหวัดเชียงใหม่ หลายท่านคงนึกถึงหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ. เชียงใหม่

แต่ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านจาก อ.ฝางหรือกิ่งอำเภอไชยปราการ ไปกราบหลวงปู่แหวนท่านก็บอกว่า " มาหาเฮาทำไมตั้งไกล อยู่ใกล้ๆทำไมไม่ไปหาอาจารย์บุญจันทร์กัน ท่านเป็นพระดีแท้เน้อ" ซึ่งอาจารย์บุญจันทร์ที่หลวงปู่แหวนพูดถึงก็คือ "หลวงพ่อบุญจันทร์ จนฺวโร" แห่งวัดถ้ำผาผึ้ง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ นั่นเอง


ประวัติหลวงพ่อบุญจันทร์ จนฺทวโร

ท่านเป็นชาวเมืองพล จ. ขอนแก่น ท่านเป็นพระป่าสายวิปัสสนากรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นามเดิมชื่อ " นายบุญจันทร์ พงษสวัสดิ์ " อุปสมบทวันที่ 13 กรกฏาคม 2490 ท่านเป็นพระที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว อาจหาญแบบครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาประวัติของท่าน ท่านเป็นอภิชาติบุตรโดยแท้เพราะท่านได้ชักนำโยมบิดาท่านบวชพระและโยมมารดาบวชชีเพื่อปฎิบัติธรรมจวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของโยมบิดามารดาท่าน

ท่านธุดงค์จำพรรษาหลายที่ไม่ว่า สกลนคร จันทบุรี พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ สถานที่ที่ท่านอาจหาญมากเมื่อท่านจำพรรษาอยู่ที่ ลำปาง คือวัดป่าสำราญนิวาส เกาะคา ลำปาง

เรื่องคือว่า ขณะที่ท่านนั่งทำสมาธิอยู่นั้น มีชายวิกลจริตเดินเข้ามาในวัด ถือมีดมาไล่ฟันคนในวัด ผู้คนแตกตื่นกันหมด แต่อนิจจา ชายวิกลจริตวิ่งตรงไปหาโยมมารดาท่าน แล้วเงื้อมมือฟันลงที่คอของโยมมารดาท่านเกือบขาด โยมแม่ท่านสิ้นใจต่อหน้าของท่านขณะที่ท่านกำลังจะเข้าไปช่วย ปรากฏว่าภาพอันเสียดแทงใจ ทำลายจิตใจของมนุษย์ปถุชนอย่างรุนแรง ท่านเมื่อเห็นแล้ว ท่านพิจารณาและหันหลังกลับไปที่กุฏิท่านภาวนาเพื่อดับความสลดสังเวชอย่างนี้

ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเช่นวันวิสาขบูชาป็นต้น ท่านจะนำพาพระภิกษุสามเณรนั่งสมาธิภาวนาหลังจากสวดมนต์ทำวัตรเย็นจนกระทั่งรุ่งเช้าถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา สละเป็นสละตายพระภิกษุที่อยู่ร่วมจำพรรษากับท่านจะต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวจริงๆ มิเช่นนั้นแล้วต่างก็พากันย้ายไปจำพรรษาที่อื่นกันหมด

เกี่ยวกับฤทธิ์อภิญญาของหลวงพ่อบุญจันทร์นั้น

เมื่อเริ่มแรกท่านมาสร้างวัดถ้ำผาบิ้งใหม่ๆ ท่านต้องระเบิดหินเพื่ออำนวยความสะดวกในการสร้างวัดและทางเดิน ท่านไม่ได้ใช้ระเบิดลูกเกลี้ยงแต่ท่านใช้ ไดนาไมท์มาระเบิดหิน พอวางชนวนเสร็จท่านก็เดินทางจากไป แต่เอ๊ะ! ไม่ระเบิดเสียที ท่านก็เดินกลับไปดู พระเณรที่อยู่ด้วยก็เฉยไม่ได้เดินตามไปด้วย คิดว่าไม่มีอะไร แต่ปรากฏว่าพอท่านเดินทางไปถึงจุดนั้นปุ๊ป ระเบิดก็ระเบิดบึ้มๆๆๆๆ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว พระเณรตะลึงตะเหลือกมองหน้ากันฝุ่นฟุ้งตลบเป็นมุมวงกว้าง ท่านเดินออกมาเอามือปัดอังสะสองสามทีไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย

             
                     เกศารวมตัวแปรเป็นพระธาตุ

   
พระธาตุจากเถ้าอังคาร
     

ในช่วงบั้นปลายชีวิต

ท่านได้เป็นอัมพาตตั้งแต่ปี 2531 ในช่วงแรกท่านพูดไม่ได้แต่พอทีจะขยับแขนขวาได้เมื่อมีญาติโยมมากราบนมัสการท่าน ท่านก็จะเขียนธรรมะใส่กระดาษส่งให้อ่านแทนการเทศนาตลอดระยะเวลาแห่งการอาพาธนี้ การรุมเร้าของวิบากขันธ์มิอาจหยุดยั้งเมตตาธรรมของท่านในการถ่ายทอดธรรมะแก่บรรดาศิษยานุศิษย์ได้ด้วยคำพูดในเบื้องต้นด้วยตัวหนังสือในกาลต่อมาและที่สุดท่านได้ละสังขารไปในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2543 สิริอายุรวม 75 ปี หลวงพ่อบุญจันทร์ท่านเป็นพระอริยะสงฆ์รูปหนึ่งที่อัฐิ,เกศาของท่านกลายเป็นพระธาตุเฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านอื่น


                     
                                     รอยบาทจันทวโร เมตตา

http://board palungjit com/f105/
ขอบอกบุญช่วยบริจาคเงินสร้างโรงอาคารเอนกประสงค์-234639.htm 
กระทู้ทำบุญวัดถ้ำผาผึ้ง อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่


ที่มา - ขออนุญาตคัดลอกมาจากหนังสือพระเครื่องพระเกจิ มุมพระสวยเล่มที่ 204 โดยพุทธศิลป์
http://www.udon108.com/board/index.php?topic=12794.45
ขอบคุณ คุณสาวค่ะ
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมาย...
ข้อความโดย: เลดี้เบื๊อก
« เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 09:04:26 pm »

      วันคืนล่วงไปนะ เดือนปี  นาทีชั่วโมงก้ล่วงเลยไปนะ  ปัจจุบันนี้ เราทำอะไรอยู่ บุญบารมีพอหรือยัง  รีบทำเสีย  เดี๋ยวบุญบารมี จะไม่พอ  ให้ตรวจดูบุญบารมีที่กาย วาจา ใจของตน  บุญบารมี มีอยู่ถ้าทพเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ คงจะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ เพราะวิริยะ ความเพียร มีอยู่ในบารมีนี้เอง  ดังภาษิตที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า  " วิริเยน  ทุกขฺมจฺเจติ " บุคคลจะล่วงพ้นจากทุกข์ถึงสุขได้ เพราะความเพียร พระพุทธเจ้าท่านสอนมรณานุสติ  ให้นึกถึงความตาย  เพื่อเตือนเรา ไม่ให้ประมาท  รีบทำรีบให้ทาน  รีบรักษา ศีล รีบภาวนา  ผู้จะได้รับผลคือความสุขก็ใจนั่นเอง   ถ้าใจมีบุญเป็นนิสัยติดต่อมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน  ทำเพิ่มบารมี ในอดีต  วันก็ ทำบุญคืนก็ทำบุญ  ทำบุญเพิ่มบุญอยู่เรื่อยๆ ความเต็มเปี่ยมแห่งบุญบารมี ก็รู้ที่ใจ ของคุณนั้นเอง

     ระวังใจนะ อย่าไปทำบาปเพิ่มนะ  พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ให้รีบขวนขวาย ในการทำบุญ ห้าใจของตนเสียจากการทำบาป  เพราะเมื่อบุคคลทำบุญช้าอยู่ ใจจะยินดีไปเสียในการทำบาป  นี่เพราะใจยินดีในบาป พอใจในการทำบาป  จึงทำบุญช้า เวลาจะทำ บุญกลัว เวลาทำบาป ไม่กลัว  ทำความยินดีในเวรห้า เวรแปด ไม่กลัว  ทำนิวรณืห้าไม่กลัว  ทำความลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสกามและ วัตถุกามไม่กลัว  นี้แหละเพราะไม่กลัวบาปจึงทำบาปได้มาก  บาปไม่กลัวแต่ใจกลัวบุญ กรรมชั่วไม่กลัว  กลัวการทำความดี  ใจคงจะ อ่อนหิริโอตอัปปะ  จงดูใจท่านซิ เพราะไม่กลัวบาป ไม่ละอายบาป  ไม่กลัวบาป จึงทำ บาปได้มาก  กลัวบุญไม่กล้าทำบุญ  บารมีจึงไม่แก่กล้าเข้มแข็งเพียงพอเสียที  ดูใจท่านซิดูออกไหมว่า ใจทำอะไรกันแน่

     บุญบารมีเต็มเปี่ยม เพราะทำมรรคผลเต็มเปี่ยม  ถ้าใจไม่ทำแล้วมันก็เปล่า ที่เราล่วงเลยคำสอน ของพระพุทธเจ้าหลายล้าน พระองค์มาก็เพราะไม่ทำนี้แหละ  ถ้าเราทำจริงแล้ว บุญกุศลมรรคผล ินิพพาน ต้องรู้ได้ภายในใจเลย  ต้องการบรรลุพระนิพพาน ต้องดูมรรคว่า เราดำเนินตามมรรคไหม  ทางตรงสู่นิพพานคือ มรรคแปด  ที่พระพุทธเจ้าท่านรับรองไว้ว่า เป็น มัชฌิมมาปฏิปทา ทางสายกลาง เป็นทางตรงสู่นิพพาน  ไม่แวะเวียนไปสู่กามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยค  ดังภาษิต ที่ท่านแสดงไว้ว่า

 " มคฺคา  นฏฺฐงคิโก  เสฏฺโฐ เอเสว  มคฺโค  นตฺถญฺโญ ทสฺสนสฺส  วิสุทฺธิยา "

    ทางมีองค์แปดเป็นทางดำเนินไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งทัศนะ   ความเห็นทางอื่นนอกจากนี้ไม่มี

      " เอตญฺหิ  ตุมเห  ปฏิปชฺชถ  มารเสนปฺปโมหนํ
       เอตญฺหิ  ตุมฺเห  ปฏิปนฺนา  ทุกขสฺสนตํ   กริสฺสถ "

       ทางนั้นแลเป็นทางที่ยังมารและเสนามาร ให้หลง  เมื่อท่านทั้งหลายเดินตามทางนั้นอยู่จักพ้นจากกองทุกข์ได้

       "  อคฺขาโต  โวมยา  มคฺโค  อญฺญาย  สลฺลสทฺธนํ
          ตุมฺเหหิ  กิจฺจํ  อาตปฺป  อคฺขาตาโร  ตถาคตา
          ปฏิปนฺนา  ปโมกฺขนฺติ ฌายิโน  มารพนฺธนา "

          ทางนี้แลเป็นทางที่ตถาคตได้รู้ชัดแล้วว่า  เป็นทางที่สลัดคืนเสียซึ่งลูกศรคือกามกิเลส ที่ฝังอยู่ภายในใจ  ความเพียรอันเป็น เหตุเผากิเลสให้เร่าร้อนเป็นกิจที่ท่านทั้งหลายจักต้องทำเอง  พระตถาคต เป็นแต่ผู้บอกทางให้เท่านั้น  ชนทั้งหลายเหล่าใด ดำเนิน ตามปฏิบัติตามซึ่งทางคือพระอัฏฐังคิกมรรค* นั้นอยู่จักเป็นผู้พ้นจากเครื่องผูกแห่งมารกิเลส ขาดเป็นสมุจเฉทปทาน

       ในภาษิตนี้ ท่านแสดงรับรองมรรคเอาไว้  เพราะท่านทำมาก่อน  รู้เห็นมาก่อน ดำเนินตามมาก่อน  ได้รับผลเป็นที่พอใจ ท่าน จึงสอนให้ทำ  พระสาวก สาวิกา ที่ทำตามก็สำเร็จมรรคผลได้  จึงมีสาวก สาวิกามากขึ้น   เมื่อเราต้องการสำเร็จมรรคผล ก็ต้องปฏิบัติตามมรรค  ทำให้มาก  ก็จะรู้แจ้งเห็นจริงได้ภายในใจ  สันทิฏฐิโก  ใจเห็นได้เองเลย

          มรรคมีองค์ แปดนั้นอะไรบ้าง คือ สัมมาทิฏฐิ  ความเห็นชอบ  คือเห็นอริยสัจธรรมทั้งสี่  เห็นทุกข์  เหตุให้เกิดทุกข์  เห็น ความดับทุกข์ เห็นข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับทุกข์  ุถ้าเห็นแต่ในตำรา ไม่เห็นในการปฏิบัติ คือใจไม่ทำ  เห็นเฉยๆ เหมือนข้าวปลา อาหาร เห็นเฉยๆ ไม่กินจะอิ่มได้ไหม  ไม่ได้แน่นอนทีเดียว  ต้องเห็นตน ต้องเห็นธรรม  เห็นใจทำ  เห็นใจปฏิบัติ  ท่านว่า เป็น สันทิฏโก  ใจเห็นได้เองเลย  มรรคผลนิพพาน ไม่อยู่ไกลดอก อยู่ใกล้ๆ แค่ใจนี้เอง
    สัมมาสังปัปโป  ดำริชอบ  คือจะออกจากกาม  เห็นภัยของกาม เห็นกามตัณหา  เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้น  อย่างร่างกายนี้  เกิด จากกามมีกามตัณหา  เป็นเหตุ คิดจะละมันเสียเลิกมันเสีย  ปล่อยมันเสีย  วางมันเสีย  เพราะมันหนัก เหลือเกิน
   
         สัมมาวาจา  กล่าววาจาชอบ  คือเว้นจากวจีทุจริตทั้งสี่  สัมมากัมมันโต ทำการงานชอบ  เว้นจากกายทุจริต  สาม สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีพชอบ  คือเว้นจากการซื้อขายเครื่องประหาร  เว้นจากการค้าขายเครื่องศาสตราวุธ  เว้นจากค้าขายน้ำเมา  เว้นจากค้าขาย ยาพิษ  เว้นจากค้าขายสัตว์ เป็นให้เขาเอาไปฆ่า
   
         สัมมาวายาโม  เพียรชอบ  คือเพียรระวังบาป  เพียรทำบุญกุศล ให้เจริญ เพียรรักษาบุญกุศลไว้
   
         สัมมาสติ   ระลึกชอบ  คือระลึกในสติปัฏฐานสี่  ระลึกในกาย โดยความเป็นของปฏิกูล  ระลึกในกายเป็นธาตุสี่  ระลึกในกายว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  ระลึกในเวทนา ว่าเป็นทุกข์มากๆ ใจจะได้ความสังเวชสลด ใจจะเกิดความเบื่อหน่าย  ระลึกได้ในจิต ว่า จิตนี้เป็นอะไร  เป็นโลกียจิต  หรือเป็นโลกุตรจิต  ระลึกได้ในธรรม  ใจทำอะไร  ใจทำบาป หรือทำบุญ  ถ้าทำบุญจริงๆ แล้ว ควรบรรลุนิพพานไปนานแล้ว  อาจจะไม่มาเกิดในปัจจุบันนี้  จิตใจไปทำบาป อกุศลมากระมัง บุญบารมี จึงไม่พอสักที
   
         จิตกับใจนี้อันเดียว  ต่างกันแต่สมมุติ  จิตก็ธาตุรู้  ใจก็ธาตุรู้  ในอภิธรรม ท่านสมมุติออกไป ถึงสิบอย่าง  แต่ที่เรียกกันโดยมาก ว่า จิตบ้าง ใจบ้าง
   
   สัมมาสมาธิ  ใจตั้งมั่นชอบ  ได้แก่การทำจิตให้ตั้งมั่นด้วยธรรมที่เป็นอารมณ์ของสมาธิ จนได้บรรลุในฌาน
   
        มรรคแปดนี้ รวมลงมาแล้ว คือ ปัญญาหนึ่ง ศีลหนึ่ง สมาธิหนึ่ง  ศีลสมาธิ นี้ใจทำนะ จึงจะสำเร็จมรรคผล  ถ้ารู้แล้วไม่ทำ ก็ เปล่าจากมรรคผล  ฉะนั้นบุคคลจึงควรจะพิจารณา ใจมากๆ ใจทำอะไร ใจต้องการสำเร็จมรรคผล และใจไปทำอะไรใจจึงไม่สำเร็จ มรรคผล สิ่งที่ใจทำอยู่แท้ๆ   ใจน่าจะรู้น่าจะเห็นมรรค เป็นมรรคสัจของจริง  ถ้าทำจริงแล้วต้องสำเร็จได้แน่นอน  ดูตัวอย่างพระ พุทธเจ้า พระสาวก สาวิกาทั้งหลาย ครั้งแรกท่านเป็นคนที่มีกิเลสทั้งนัน   ทำไมท่านสำเร็จมรรคผล เพราะท่านเป็นคนจริง  เวลาทำ บาป ทำจริงๆ เวลาทำมรรคก็ทำจริงๆ  ทำมรรค ท่านทำจริง เพราะท่านเป็นคนจริง อย่างนี้ จึงสำเร็จมรรคผลได้จริง  ให้เราดูซิว่า ทำจริงอะไร  ทำจริงในบาปละมัง  ทำจริงในมิจฉามรรค  ทำจริงในกรรมชั่วละมัง  เวลาทำดีไม่ทำจริง  ถ้าใจทำกรรมดีจริงๆ  ทำ มรรคบำเพ็ญมรรคจริงๆ แล้วต้องสำเร็จมรรคผลได้จริงแน่นอนทีเดียว  ท่านจงดูใจท่านซิ  ทำจริงอะไร ดูให้ออก สอนใจให้ได้  สอน ใจให้ละบาปจริงๆ  สอนใจทำบุญจริงๆ สอนใจให้ทำมรรคให้จริงๆ  เมื่อท่านเป็นคนจริงแล้ว  ไม่ต้องหาบุญกุศล นิพพานที่ไหน  มี อยุ่ที่ใจ ทำจริงนี้เอง  จะภาวนาพุทโธ ก็ภาวนาจริงๆ  พุทโธ  ใจรู้ พุทโธ ใจรู้ จนรู้ใจจริงๆ แล้ว หลงอวิชชามันอยู่ไม่ได้  ใจรู้ใจละใจ  ก็หลุดพ้นวิมุตติวิสุทธิ  มีแต่นิพพานมันอยู่ที่รู้ใจ ทำจริงนี้เอง  ท่านต้องภาวนา พุทโธ  จริงๆ เถอะ อย่าไปหลงจริงๆ ก็แล้วกัน
   
   ฉะนั้น ประวัติและธรรมมะ ที่เขียนอาจมีประโยชน์แก่ท่านผู้มีใจบุญ   ขอให้ท่านผู้ใจบุญจงได้บุญได้กุศล ได้มรรค ได้ผล บรรลุ พระนิพพาน ทุกท่านทุกคนเทอญ

 
     
                   
สพฺพรสํ   ธมฺมรโส  ชินาติ       รสแห่งธรรมย่อมชนะซึ่งรสทั้งปวง
                ตณฺหกฺขโย  สพฺพทุกฺขํ  ชินาติ        ใจสิ้นจากตัณหา ย่อมชนะซึ่งทุกข์ทั้งปวง
                                                                         
   
                                                ด้วยเมตตา
   
                                        พระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร
                                     
                วัดถ้ำผาผึ้ง    ตำบลหนองบัว  กิ่งอำเภอไชยปราการ  จังหวัดเชียงใหม่
   
   (จากหนังสือ อัตโนประวัติ พระอาจารย์บุญจันทร์   จนฺทวโร, พิมพ์ ครั้งแรก ๑ สิงหาคม ๒๕๓๘ หน้า ๙-๔๘)                                                                                       
                                             
   http://www.udon108.com/board/index.php?topic=12794.15
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=963.15
ข้อความโดย: เลดี้เบื๊อก
« เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 09:01:10 pm »

     ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่  มีใจเป็นหัวหน้า  สำเร็จแล้วด้วยใจ   ใจของท่านมีทุกคน  รู้ไหมว่าใจคุณทำอะไร ทำพุทโธ จริง ไหม หรือใจทำอพุทโธ ถ้าใจทำพุทโธจริงๆ แล้วใจต้องรู้แจ้ง เห้นจริงภายในใจ  พุทโธเป็นชื่อของใจรู้ ไม่ใช่ใจหลง  ใจรู้ ใจตื่น ใจเบิกบาน  รู้ได้ที่ใจเลย  รู้ได้เร็ว ละได้เร็ว  หลุดพ้นได้เร็ว ไม่เนิ่นช้า  ที่มันเนิ่นช้า เพราะใจหลงใจไม่รู้ จึงต้องศึกษาหาอุบาย  วิธีต่างๆ   มาสอนใจให้รู้  อุบายวิธีต่างๆพระพุทธเจ้าสอนในพระไตรปิฏก  ถ้าคุณสนใจก็ไปหามาดูได้  พระไตรปิฏกนี้พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้เรียน  ทำไมท่านรู้ เราเรียนก็ยังลืม ระลึกไม่ได้ จำไม่ได้  พระจุลปันถกท่านเรียนแต่จำไม่ได้  ต้องดูแล้วดูอีกซ้ำๆซากๆ หลายครั้งหลายหน

     เมื่อใจเรายังไม่รู้ จึงต้องศึกษาเพื่อนำมาเป็นครูสอนใจเราเอง ให้รู้ อย่างคำที่ว่าใจหลงไม่รู้จริง  มันกินใจความกว้างขวาง  ไม่รู้ จริงอะไร  ไม่รู้จริงในสมมุติ  ไม่รู้แจ้งในปรมัตถ์  ใจไม่รู้จริงในบาป  ใจไม่รู้จริงในกรรมอันเป็นบุญใจไม่รู้จริงในทุกข์  ใจไม่รู้จริง ในเหตุให้เกิดทุกข์  ใจไม่รู้จริงในความดับทุกข์ ใจไม่รู้จริงใจมรรค อันเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์  ใจไม่รู้จริงในสติปัฏฐาน ใจไม่รู้จริงในสัมมัปปทาน  ใจไม่รู้จริงในอิทธิบาท  ใจไม่รู้จริงในอินทรีย์  ใจไม่รู้จริงในโพชฌงค์  ใจไม่รู้จริงในมรรค  ใจไม่รู้ จริงในปัจจเวกขณญาณ  ใจไม่รู้จริงในสมมุติ ว่าท่านสมมุติอะไรเป็นอะไร  นี้ก็ศึกษาในปริยัติ  ใจไม่รู้จริงในการปฏิบัติ ใจไม่รู้จริง ในปฏิเวธ  เมื่อใจไม่รู้ไม่ศึกษา  ไม่เล่าเรียน บ้างจะบรรลุปฏิเวธได้อย่างไร  เพราะใจไม่รู้ นึกไปก็งง  ไม่รู้จะเป็นอะไร  เหมือนคน ไม่รู้ทางก็งง  ก็เกิดความลังเลสงสัย  จะเดินไปทางไหนกันแน่  จึงศึกษาด้วยการเขียน  การถามครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้

     ยิ่งการปฏิบัติ จะปฏิบัติ จะทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง  การปฏิบัติมันเกิดอะไรขึ้นมา ให้ใจต้องลังเลสงสัย  กลัวผิดบาปอกุศล  กิเลส มันเป็นสังขารนิมิต มันเกิดสังขารนี้แหละ เป็นกรรมอันสำคัญมาก บุญบาปมันอยู่ในสังขาร การนึก การคิดการปรุง  การแต่ง กิเลส มันก็อยู่ที่ใจไม่รู้   อวิชชามักจะหลงในสังขารแล้ว ทำกิเลสตัวอื่นให้เกิดเพิ่มเติมต่อไป  ถ้าใจรู้ทั้งปฏิยัติ ใจรู้ทั้งปฏิบัติแล้ว อาจจะ บรรลุมรรคผล นิพพานได้ง่าย  ฉะนั้นพระสาวกในครั้งพุทธกาลท่านจึงได้ทำสังคยนา  ทั้งพระสูตร พระวินัย  พระปรมัตถ์ ให้เป็น มรดกตกทอดสืบต่อมา ในบุคคลรุ่นหลัง  จนปรากฏอยุ่ในปัจจุบันนี้

ครูบาอาจารย์บางองค์ก็ว่าอย่าไปเรียนเลย    ไม่เรียนก็ไม่รู้อุบายที่จะแก้ไขจิตใจของตนเอง  ผู้ที่ไม่เรียน แต่ท่านรู้ได้เพราะมี อินทรีย์บารมีที่ได้สั่งสม มาแต่ในอดีตโน้นแก่กล้า  ท่านรู้จักฝึกฝนตนเองโดยไม่ต้องเรียน ไม่ต้องไปไต่ถามใคร ท่านก็บรรลุมรรคผล นิพพานได้  อย่างสังกิจจสามเณร  ท่านเห็นผมตกในเวลาโกนผมบวช  ท่านก็บรรลุพระอรหันต์ได้  หรืออย่าง บัณฑิตสามเณร เห็น คนไขน้ำเข้านา  เห็นคนดัดลูกศร  เห็นคนถากไม้ ท่านก็น้อมมาพิจารณา สอนใจท่านเอง จนบรรลุพระอรหันต์ได้  บุคคลประเภทนี้ มีน้อยเต็มที   บุคคลที่รู้จักน้อมนำ เป็นอุบายสอนใจ

     ส่วนบุคคลประเภท ที่ท่านสอนมากมายก่ายกอง  ทั้งธรรมทั้งวินัย ทั้งอุบายปฏิบัติ ก็ทำไม่ได้  ไม่รู้ไม่เข้าใจ  ทำไม่ได้เพราะใจ ไม่รู้ ใจหลง ใจงง ไม่เข้าใจเพราะอวิชชา  ความไม่รู้ครอบงำให้ใจมืดมนอนธการ  ครูบาอาจารย์ท่านสอนก็ไม่รู้  เรียนไม่รู้  ตนทำอยู่แท้ๆ ก็ยังไม่รู้อุบายจะสอนใจตนก็ไม่รู้  มืดมนไปเสียหมด  อย่างใจลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในกิเลสกามและวัตถุกาม  ก็ไม่รู้ว่าตัวเองมันหลง  หลงแล้วหลงอีก  มัวเมาแล้วมัวเมาอีก  ดูซิใจมีอยู่ก็ไม่รู้จริง กายมีแยู่ก็ไม่รู้จริงว่ากายปฏิกูลอย่างไร  กายไม่ เที่ยงอย่างไร กายเป็นทุกข์อย่างไร  กายเป็นธาตุอะไรบ้าง ทั้งที่ใจอาศัยอยุ่ในกายนี้  ใจไม่รู้จริงก็มัวก็เมา  เมาว่ากายสวยงาม ก็เกิด ความอยากได้ กายต่อไปอีก จนกระทั่ง กายเกิดมาแล้วก็แก่ เจ็บ ตาย ไป เป็นเอนกอนันต์  กายแก่ตายไป  ใจก็ไปเกิดในกายใหม่ ต่อไป จึงมาถึงปัจจุบัน

     นี่ใจมันไม่ตาย  อมดังธรรมก็คือใจ ตาย  ถ้าใจมันตายไปเหมือนกายคล ไม่ต้องมาเกิดในกายนี้  ดูซิขนาดที่ใจมาเกิดอยุ่ในกายนี้ ก็ลุ่มหลง มัวเมาไม่รู้ความจริงกาย  ใจที่ไม่รู้จริงเป้นปัญหาหนัก  จนพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมแล้ว ไม่คิดจะสอนใครครั้งแรก  จะเหนื่อยเปล่าๆ เพราะสอนใจให้รู้  ใจมันไม่รู้  เพราะอวิชชาความไม่รู้ ความหลง  มันมีอยู่ภายในใจของสัตว์ทั้งหลาย หนาแน่น เป็นปทปรมะ  ขนาดสอนจี้ลงไปที่ใจ เป็นธาตุชนิดหนึ่งไม่ใช่ตน ใม่ใช่เรา  ไม่ใช่เขา ใจก็ไม่รู้ยังมัวเมาว่าเป็นของเรา ของเขา  มัวเมา ว่าเรามี  มัวมัวว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ ลุุ่มหลงมัวเมาจนร่างกายมันตาย ก็ไปเกิดอีกในกายใหม่ บางชาติก็เกิดเป็นกายคน   บาง ชาติก็เกิดเป็นกายสัตว์  บางชาติก็ไปเกิดนรก  บางชาติก็ไปเกิดเป็นเปรต  บางชาติไปเกิดในกายสัตว์เดรฉาน ประสบกับทุกข์โทษภัย เวรเป็นอันมาก ใจก็ลืมไป ระลึกไม่ไม่ใจไม่มีญาณ   ความหลงมันปิดเอาไว้เสียหมด   ขนาดมาเกิดในกายในปัจจุบัน ก็ไม่รู้ความจริง ของกาย  ไม่รู้ความจริงของใจ  หลงเอาเสียว่า กายเรา ใจเรา หลงว่าเราเป็นั่น หลงว่าเราเป็นนี่  หลงว่ากายเป็นเรา  จะป้องกันไม่ให้ กายแก่ กายเจ็บ  กายตายได้ไหม  ไม่ได้ ตายแน่นอนทีเดียว

     ใจอย่าประมาท  เมื่อใจท่านหลง  ท่านไม่รู้จริงแล้ว  ใจจะละความหลงอย่างไร  ใจหลง ใจไม่รู้ธรรม  ว่าใจทำอะไร  ใจทำใจ ก็ไม่รู้  โยนบุญไปข้างหน้า ตามบุญ ไม่ทันสักที  ใจหลงอยุ่ในปัจจุบัน คือเดี๋ยวนี้  โยนความหลงไปอนาคต  จะไปละในอนาคต  เดี๋ยวนี้ใจละหลงไม่ได้ เพราะของเราทั้งนั้น  ใจเรา กายเรา ผัวเรา  เมียเรา ลูกเรา  หลานเรา  ญาติมิตพี่น้องของเรา  โอ้โฮ  หลงมัน ใหญ่  หลงมันโต หลงจนมืดมนเอาจริงๆ  ใจหลงจริงๆ  จะให้ใครละ หลงให้ใจ  ใจทำใจไม่ละเอง แล้วก็หาวิมุติ ความหลุดพ้น ไม่มี  ไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้น

     พระพุทธเจ้าสอนใจให้ละบาปในปัจจุบัน  สอนให้ทำบุญในปัจจุบัน  สอนให้ละอาสวกิเลส  ในปัจจุบัน  เราโยนบาปไปละใน อนาคต โยนบุญไปทำในอนาคต  อาสวกิเลสก็โยนไปละในอนาคต  ปัจจุบันนี้ ไม่เอาบุญกุศลมรรคผล นิพพาน ใจเอาหลง  เอาอวิชชา ทำเอาอุปทาน เพิ่มทำเอา  ความโกรธพยาบาทจองเวรเพิ่มแย่เลยใจ  ใจใครทำอย่างนี้ อาสวกิเลสมันจะหนาแน่น ไม่มีช่องว่าง ที่จะ หลุดพ้นกรรมจริงๆ  ใครอื่นเขาสอนไม่ได้ ใจไม่เอา  ใจจะเอาหลง  ใจจึงทำแต่ความหลง  พุทโธใจรู้  ใจละใจไม่เอา  ใจไม่ทำ  ใจ จะทำเอาหลง  พอใจในหลง  ไม่พอใจไม่รู้ในละถอนปล่อยวาง  มีคนไปสอนให้ละใจก็โกรธเข้าอีก  นี้แหละใจ

     ทุกคนมีใจ  ใจทำอะไร จงดูใจ จงสอนใจ  ถ้ารู้จริง หลงมันอยู่เป้นเจ้าหัวใจไม่ได้  หลงมันอยุ่ได้ เพราะใจพอใจหลงเหลือเกิน   ไม่พอใจละ ไม่พอใจศึกษา  ไม่พอใจในการพิจารณา  ใจจึงได้คาความไม่รู้ คาความหลง สอนใจเอานะ  หลงได้แต่ใจละไม่ได้  ใจ ของท่านฉลาดจริงไหม  ปัจจัตตัง ใจรู้ได้เฉพาะใจเองเลย

      บทธรรมสวากขาโต  เป็นเครื่องตัดสิน  เป็น สันทิฏฐิโก  ผู้ปฏิบัติจะเห็นได้เองว่า ใจทำอะไร  กายวาจา ทำอะไร  เห็นตนทำ  เมื่อตนทำรู้ ตนทำถูกหรือผิดดี หรือชั่ว เป็นบาปอกุศลใจก็รู้   สิ่งใดเป็นบุญกุศลในก็รู้ในก็เห็น  เช่นให้ทาน ใจก็รู้ก็เห็น ว่าตนให้ทาน  รักษาศีลใจก็เห็นว่า ตนรักษาศีล  ใจทำสมาธิก็เห็นใจทำสมาธิ  ใจมีปัญญาเห็นอนิจจัง ก็เห็นว่า ใจมีปัญญา เห็น  อนิจจัง  ใจมีปัญญา เห็นทุกขัง ก็เห็นว่าใจมีปัญญาเห็นทุกขัง  ใจมีปัญญาเห็นอนัตตา  ก็เห็นได้ว่า  ใจมีปัญญาเป็นอนัตตา  ในมี ปัญญาเป็นสุญญตา ก็เห็นว่า ใจมีปัญญา เห็นสุญญตา ใจทำอะไรก็เห็นได้

     ท่านสอนว่า สัฯทิฏฐิโก  ใจเห็นได้เป็นเอกาลิโก  ไม่อ้างกาลเวลา  โอปนยิโก ใจน้อมเข้ามาสอนใจ  สอนใจให้ทำบุญ สอนใจให้ ละอาสวกิเลส  เป็นปัจจัตตัง  รู้ได้เฉพาะใจ  เมื่อรู้ได้เฉพาะใจ  เมื่อรู้ใจเห็นใจ สิ่งที่ใจทำก็ปรากฏแจ้ง  เป็น เอหิปัสสิโก  ผู้ปฏิบัติ จะพึงเห็นได้เอง  ใจเห็นตน ใจก็เห็นธรรม  ใจเห็นธรรม ในก็เห็นพระพุทธะผู้รู้

     ฉะนั้นการทำการปฏิบัตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง  ใจเป็นสุปฏิปันโน  เมื่อใจทำดี ก็รู้ได้เฉพาะใจ  ใจเป็น อุชุปฏิปันโน  ปฏิบัติตรง ต่อธรรม ใจปฏิบัติอริยมรรคญาณ  ใจปฏิบัติชอบยิ่ง ก็รู้ได้เห้นได้ภายในใจ  ฉะนั้นธรรม สวากขาโต  จึงเป็นธรรม ที่ตัดสินตัวเอง ว่าตนทำอะไร  ชี้ได้เลยว่า ตนทำบาป ตนทำบุญ ก็เห็น ได้ว่าตนทำบาป ตนทำบุญ  จนถึงการสำเร็จมรรคผล นิพพาน ก็รู้ได้เห็นได้ ที่ใจตน  ตัวนี้แหละ สมมุต ปรมัตถ์  รู้ได้ว่า ใจเป็นธาตุ  เห็นได้ว่าใจเป็นธาตุ เป็นอนัตตา สูญเปล่าจากตัวตนเราเขา  มันอยู่ที่ใจรู้จริง ใจเห็นจริง  เพราะใจทำจริงใจปฏิบัติจริง  ใจรู้ธรรมเห็นธรรมด้วยการปฏิบัติธรรม  ใจทำอะไร ใจรู้ใจเห็น  เมื่อเห็นได้ที่ใจแล้ว   ก็ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่อื่นนอกจากใจ  ฉะนั้นการรู้ใจ เห้นใจนี้  จึงเป็นธรรมอันสำคัญยิ่ง  ถ้าใจไม่รู้ใจก็หลงนั่นแหละ  ถ้าใจไม่ เห็น ก็ใจมิจฉาทิฏฐินั่นแหละ  ไม่รู้ใจ ไม่เห็นใจ ก็หลงอวิชชานั่นแหละ  ฉะนั้นอวิชชาตัวนี้เป็นอกุศลตัวสำคัญ  เป็นอาสวะที่สำคัญ  เป็นนิวรณ์ตัวกางกั้นความรู้ใจ  ความเห็นใจตัวสำคัญ  เป็นอาสวะที่สำคัญ เป็นนิวรณ์ตัวกางกั้นความรู้ใจ  ความเห็นใจตัวสำคัญ ในสังโยชน์สิบ  ท่านเอาอวิชชาตัวนี้ไปไว้ในข้อที่สิบว่า ใจละหลงได้ หมด ไม่มีเหลืออยู่ ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อความพ้นทุกข์ จึง ควรพิจารณาใจให้มากๆ เพราะความรู้ธรรม เห็นธรรม อยู่ที่ใจหมด  ใจจะไม่เกิดวิกิจฉา  ถ้าใจรู้ใจ เห็น จงย้ำสอนใจด้วย  พทโธ พูทโธ ใจรู้ ใจตื่น ใจเบิกบาน  ด้วยพุทโธ  ใจรู้ รู้ธรรม  ธรรมอะไรใจรู้  สมมุติใจก็รู้  ปรมัตถ์ใจก็รู้  รู้ได้ที่ใจ โลกียธรรม  โลกุตร ธรรมก็รู้ได้ที่ใจ  เป็นปัจจัตตัง  ฉะนั้นท่านที่ต้องการบุญ กุศลมรรคผล นิพพานแล้ว  ก็เห็นได้ รู้ได้ที่ใจ

       เมื่อไปอยุ่จำพรรษาที่วัดเขาตานกแล้วก็นึกถึงเมืองเหนืออีก  นึกถึงป่าซาง นึกถึงเชียงใหม่  นึกถึงสถานที่เคยไปบำเพ็ญภาวนา ก็เลยลาโยมบ้านเขาตานก  ขึ้นมาทางลำปาง  ได้ไปจำพรรษาที่พะเยาบ้าง  ต่อมาก็ได้ไปเชียงใหม่อีก ไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผึ้ง  บ้าน ถ้ำผาผึ้ง ตำบลหนองบัว กิ่งอำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่  ระยะเวลาที่ไปอยู่ถ้ำผาผึ้ง ก็ได้ไปจำพรรษาที่วัดดอยแม่ปั๋ง กับ หลวงปู่แหวน หนึ่งพรรษา แล้วก็กลับไปอยู่ถ้ำผาผึ้งจนถึงปี พ.ศ.๒๕๓๒ จนถึงปัจจุบันนี้

     ถ้ำผาผึ้ง แต่ก่อนแถวนั้นเป็นป่ามาก  เงียบดี รถราก็ไปไม่ได้ ต้องเดินเข้าไป ไปทำร้านพักอยู่ในถ้ำผาผึ้ง  ต่อมาศรัทธาญาติโยม ผู้ต้องการบุญ ก็ไปช่วยพัฒนาทำกุฏิ ทำศาลา  ทำอ่างน้ำ ต่อแป็ป ไปตามกุฏิ  ทำถนนหนทาง  นำไฟฟ้า เข้าไปวัด  เอาเครื่องไฟไป ถวาย  จนถึงปัจจุบันนี้ทำกุฏิเพิ่ม สร้างโบสถ์และทำทางเข้าวัดพัฒนามาเรื่อยๆ  แต่ทางก็ยังไม่ดีพอ  ยังรอท่านผู้ใจบุญที่มีทรัพย์ ภายในคือ ศรัทธา และปัญญา ไปช่วยทำทางเป็นถนนราดยาง  จะใช้เงินหลายล้านบาท อันทรัพย์ภายนอก  ขอท่านผู้ใจบุญพิจารณา ดูซิว่า การทำถนนหนทาง  ขุดน้ำบ่อ  ก่อศาลายอขาผู้เฒ่า นี้จะเป็นบุญไหม  เมื่อเห็นว่าเป็นบุญก็เชิญเลย บุญสำเร็จเพราะทำ  ถ้าไม่ ทำก็ไม่สำเร็จเป็นบุญกุศล  เมื่อท่านผู้ใจบุญพร้อมด้วยทรัพย์ ภายในใจ และทรัพย์ภายนอกคือเงินทอง  การทำถนนหนทาง คงจะ สำเร็จ ทางภายนอก  ทางดีคนเดินไปมาก็สะดวก  รถราไปมาก็สะดวกสบาย  ทางภายในใจคือมรรค ได้แก่ศีล  สมาธิ ปัญญา  ทาง ภายในทำได้ดีแล้วพระนิพพาน ที่ต้องประสงค์ ก็อาจถึงได้โดยรวดเร็ว ใจก็จะประสบแต่ความสุข ความเจริญ

ข้อความโดย: เลดี้เบื๊อก
« เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 08:59:52 pm »

ใจที่มีกิเลสนี่แหละ  พระพุทธเจ้าท่านจึงเตือนพระสาวกว่า "  เธออย่าได้ถึงความวางใจว่า เราได้ฌานเราได้อภิญญา  เพราะ มันเสื่อมได้ รีบทำให้แจ้งในโลกุตรธรรมเสีย  ละอาสวะกิเลสออกจากใจ  ให้หมดสิ้นไป   กิเลสจะสิ้นไป ไม่เหลือด้วยกำลังของ วิปัสสนาปัญญา "  บางคนกิเลสยังไม่สิ้น ก็เกิดความสำคัญตนว่า ตนได้เห็น ตนมีตนเป็น  ยังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์ ก็สำคัญตนว่า บรรลุพระอรหันต์  พระพุทธเจ้าจังทรงแสดง  ปัจจเวกขญาณ เอาไว้ว่า  ให้พิจารณามรรคผลนิพพาน  ให้พิจารณาพระนิพพาน พิจารณากิเลสที่ละเสีย พิจารณากิเลสที่เหลืออยู่ภายในใจ  ถ้าเหลืออยู่ก็ไม่หมด  ถ้าหมดไปก็ไม่เหลือ

     ท่านสุจิตเมื่อหนีไปแล้ว ก็กลับมาอีก  มาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านผาเด็ง จนออกพรรษา  ท่านปรารภว่า  จะกลับบ้าน เพื่อไปโปรด พ่อแม่ และพี่น้องทางบ้าน   อาตมาก็อยากจะกลับเหมือนกัน เพราะระลึกถึงพระคุณของแม่   จึงได้ขอลาโยมบ้านผาเด็ง  พ่ออ้ายก็ เลยพูดว่า ขอนิมนต์ท่านสุจิตอยู่ก่อน  ท่านก็ตกลงอยู่ วันหลังพ่ออ้ายไปส่งขค้นรถไฟที่สถานีเชียงใหม่  ซื้อตั๋วรถไฟถวาย   อาตมาก็กลับบ้านก่อน  ภายหลังก็ทราบว่า ท่านสุจิตก็กลับบ้านไปจำพรรษา ที่บ้านท่าน จนออกพรรษา  ก็ได้ทราบข่าวว่า ท่านสึก ไปมีครอบครัว  เขาโปรด ไม่ใช่เราโปรดเขา  นี่แหละกิเลส ที่มีอยู่ภายในใจนี้  ใจละไม่สิ้นถูกกิเลสทำลายมรรคผล ส่วนอาตมาเอง เมื่อกลับไปบ้านเกิด ก้ได้ไปเยี่ยมมารดา  ท่านก็บวชเป็นชีไปแล้ว  อยู่วัดป่าเมืองพล  ต่อมาก็ได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อ และได้ชวนท่านไปเที่ยววิเวกทางบ้านซับขี้นาค และไปเที่ยวถึงหลังภูโค้งที่หญ้าดีอยู่  ก็ได้พักภาวนาหลายวัน  หลวงพ่อปรารภว่า ท่านคิดถึงบ้าน ท่านกลับ  อาตมากับท่านก็ลงจากหลังภูโค้ง เดินทางมาถึงบ้านซับ  ญาติโยมก็นิมนต์ให้อยู่จำพรรษา เขานิมนต์ให้ ไปพักในสวนเขา  เป็นเกาะอยู่กลางมีน้ำล้อมรอบ  เขาก็ได้สร้างศาลาถวาย และสร้างกุฏิถวายสามหลัง  อาตมาตกลงใจว่าจะอยู่จำ พรรษา

     ครั้นอยู่ต่อมา มีคนไปขว้างด้วยกัอนอิฐตอนกลางคืน  มีก้อนอิฐตกอยู่ที่ลานวัดมาก  เขาขว้างไม่ถูกคนหรอก ถูกกระต๊อบ ถูกต้น มะม่วง ไม่ถูกคน  เขาก็พูดกันว่า นี่เป็นก้อนอิฐที่วัดบ้าน  ด้อนอิฐที่เหลือจาการสร้างโบสถ์  คงจะเป็นพระเณร ที่วัดบ้านนั่นแหละ  เขาก็ไปสืบดูรู้ว่าเป็นพระเณรที่วัดบ้านจริงๆ พวกญาติโยมเขาโกรธ เขาจะไปยิง  พระเณรที่วัดบ้าน ปีนั้นพากันหนีไปจำพรรษาที่อื่น หมด เพราะโยมเขาจะไปยิง  อาตมาก็ห้ามโยมว่า อย่าไปยิงเขาเลย มันบาป  เขาทำบาปมันก็จะได้รับผลเอง  พวกเราอย่าไปก่อกรรม ทำเวรกับเขาเลย  โยมเขาก็หยุด  หลวงพ่อท่านใจไม่ดี ชวนอาตมากลับ  ก็นึกสงสารโยมที่มีศรัทธา สร้างศาลาถวาย  อย่างน้อยก็ อยู่จำพรรษาให้สักหนึ่งพรรษา ก็ยังดี  อาตมาก็เลยอยุ่จำพรรษา ส่วนหลวงพ่อท่าน ไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านแฮด ใกล้บ้านของท่าน

     ต่อมาญาติโยมก็ได้สร้างกุฏิถวายอีกสามหลัง  อาตมาก็เลยจำพรรษาที่วัดป่าบ้านซับขี้นาค นั้นเองหนึ่งพรรษา  จนออกพรรษา แล้ว ได้ไปเมืองพล  โยมแม่ ่บวชชีอยู่ที่วัดป่าเมืองพล ก็เลยชวนโยมแม่ไปเที่ยวเมืองเหนือ ได้ไปภาวนาอยู่ถ้ำโล่ง ใกล้ๆถ้าแจ้งนั้นเอง
เมื่อจะเข้าพรรษา ได้พาโยมแม่มาที่วัดสำราญนิวาส อำเภอเกาะคา  จังหวัดลำปาง  จะมาหาหยูกยา อาหารบางอย่าง ไปฉัน เวลากลับไปถ้ำ  เมื่อพักอยู่ที่วัดสำราญนิวาส มีคนๆหนึ่ง ชื่อนายเล็ก วันนั้นตอนเช้า เขาเช้าไปบ้านที่ตลาดเกาะคา ไปดื่มเหล้าจนเมา แล้วเขาก็กลับมาภายในวัด  เอามีดโต้เหน็บเอวมาด้วย   นายเล็กนี้ผูกอาฆาตท่านอาจารย์หนู เขาจะมาฆ่าท่านอาจารย์  เมื่อเข้ามาภาย ในวัด เขาเดินไปที่กุฏิท่านอาจายร์หนู  ท่านอาจารย์หนู เ มื่อฉันเช้าแล้วท่านก็กลับกุฎิ  นายเล็กไปยืนอยุ่ที่บันได  เมื่อไปถึงตัว ก็มีสาม เณรองค์หนึ่งเดินมา  นายเล็กเห็นสามเณร ก็ถอดมืดออกมาไล่ฟัน  มีแม่ชีสมบูรณ์ ซึ่งเป็นแม่นายเล็กอยู่ที่นั่น  แม่ชีสมบูรณ์นี่เองถือ เอาแก้วยาไปให้โยมแม่ของอาตมา เอาแก้วยา ไปให้นายเล็ก  โยมแม่ถือแก้วยาเดินไปหา พูดถามนายเล็กว่า พ่อเล็กเป็นลมหรือ เอ้ากิน ยานี่เสียจะได้หาย  ยื่นแก้วยาไปให้นายเล็กก็เอามีดโต้ฟันแขน โยมแม่ทิ้งแก้วยาหนี  นายเล็กก็วิ่งไล่  ไปทันกันที่บันไดกุฏิ  เอามีดโต้ ฟันเข้าที่คอฟุบคาบันได  ยายถมวิ่งออกมาเพื่อจะช่วย  นายเล็กเขาก็ฟันยายถมอีก แต่มีดเป็นทางแป ไม่ใช่ทางคม  แม่ชีถมก็วิ่งเข้า ห้องปิดประตูใส่กลอน นายเล็กเขาก็เข้าไม่ได้  เขากลับลงมาเดินเที่ยวหาพระเณร ภายในวัด

     พอดีอาตมาได้ยินโยมแม่เรียกให้ช่วย    ก็ลงจากกุฏิไป นายเล็กเห็นอาตมาก็เดินเข้ามาหา  อาตมาหยุดยืนอยู่  นายเล็กเขาพูดว่า อาจารย์หนูเอายาเบื่อไปให้เขากิน  เขาโกรธผูกพยาบาทว่าคนอีสาน จะฆ่าให้หมด  ทั้งพระทั้งเณร ทั้งเถร ทั้งชี  พระที่อยู่ในวัดได้ หนีไปในป่าช้าข้างนอกวัดก็มี  เข้าอยู่ในกุฏิ ปิดประตูใส่กลอนก็มี  บางองค์ก็ไปที่เกาะคา บอกให้คนรู้ว่า นายเล็กเมาเหล้าอาละวาด ได้ฟันแม่ชีตายไปเสียคนหนึ่งแล้ว  พวกโยมเขาก็ได้พากันมา  ขณะที่นายเล็กเดินเข้ามาหาอาตมา เขาพูดว่า  ผมฆ่าแม่อาจารย์ตาย แล้ว  เขาเดินเข้ามาหา เขาจะฟันอาตมาอีก  อาตมาก็เตรียมพร้อม  เขาเดินเข้ามา หยุดอยู่ตรงหน้าห่างไปเล็กน้อย  ถ้าเขาเดินเข้ามา จะฟันจริง ก็คงได้ต่อสู้กัน เขามีมีด  อาตมามีมือ ถ้าเอาจริง ไม่นายเล็กหรืออาตมาจะตายก็ไม่รู้   ขณะนั้นใจนึกได้ในกรรม ว่า กรรม ชัวมันได้รับผลชั่วนะ อย่าทำเลย อดทน  จะไปช่วยโยมแม่ก็ไม่ทัน  เพราะกุฏิอยู่ไกลกัน  นายเล็กฟันตายเสียแล้ว ขณะที่ใจนึกถึงกรรมชัวอัน เป็นบาปอกุศล   นายเล็กก็เดินไปเที่ยวหาพระเณรตามกุฏิอีก  อาตมาก้กลับไปกุฏิที่อาตมาอยู่ ปิดประ ตูใส่กลอน  นายเล็กก็เดินเที่ยวหาพระเณร ก็ขึ้นไปที่กุฏิอาตมา  ไปดันประตูจะเข้าไปฆ่าอาตมาอีก   อาตมาก็เตือนตนว่า กรรมชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า  กรรมชั่วจะตามเผาผลาญในภายหลัง  อดใจไว้ได้  นายเล็กเมื่อเขาดันประตูกลอนไม่หลุด เขาก็ลงไปเดินหาพระ เณรในวัดอีก  เดินไปทางกุฏิแม่ชีอีก  พอดีพวกโยมในบ้านเขาก็มาถึง   เขาช่วยกันจับมัดมือได้ เขาก็ซ้อมทั้งมือทั้งตีน เขาก็เลยจับไป ส่งตำรวจส่งต่อเข้าห้องขัง เมื่อเขาจับนายเล็กไปแล้ว อาตมาก็ลงจากกุฏิมาดูแม่  นายเล็กฟันคอขณะขึ้นบันไดตายฟุบอยุ่ที่บันได มา เห็นก็สลดใจ  ต่อมาพวกโยมเขาก็เอาไปนอนที่นอกชาน ช่วยจัดหาโลงมาใส่ศพ  อาบน้ำศพ  เปลี่ยนผ้าให้แล้ว ก็เอาใส่ในโลง วันหลัง ก็ได้เอาไปเผาที่เมรุเผาศพวัดสำราญนวาสนั่นเอง

ตอนแม่ตายไปได้ ส่งข่าวไปถึงพี่น้องลูกหลานของท่านทางเมืองพล   พี่น้องลูกหลานของท่านทางเมืองพลใจดำจริงๆ  พี่สาว ของอาตมาก็อยู่ที่เมืองพล ไม่มีพี่น้องลูกหลานคนไหนมาทำฌาปนกิจศพโยมแม่เลย  มีแต่ชาวตลาดอำเภอเกาะคามาช่วย  กตัญญูกต เวทีของพี่น้องไม่มีเลยสักคนเดียว  กรรมจริงๆ เฉพาะพี่สาวนะ แม่ตายแท้ๆ จะมาทำบุญอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แม่ มาเผาศพ แม่เขา ก็ไม่มา  มาไม่ได้เพราะกตัญญูกตเวทีไม่มีในหัวใจของเขา  สลดสังเวชใจจริงๆ

     ในปีนั้นอาตมาก็ได้จำพรรษาที่วัดสำราญนิวาสนั่นเอง  มีท่า นอาจารย์หนู เป็นหัวหน้า เมื่อออกพรรษาแล้วได้ไปจำพรรษาที่วัด ป่าบ้านหนองหวีสองปี   จำพรรษาที่วัดรัตนวนาราม  พะเยาสองปี  กลับไปอีสานอีก  ตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ที่วัดชัยวัน  ขอนแก่น  ก็ ได้ปรนนิบัติหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นโรคไส้เลื่อน  ปีที่สอง นั้นโรคมันกำเริบมากมีอาการเจ็บ ทุกขเวทนาแรงกล้า  ยาที่กินอยู่ก็ใช้ ไม่ได้ผล  เมื่ออาตมาได้เห็นอย่างนี้ก็สอนให้ท่านละ ปล่อยวาง ใจอย่า ยึดมั่นถือมั่น นี่แหละร่างกาย เกิดมาแล้วก็ต้องแก่  เจ็บ ตาย  ไม่ มีใครล่วงพ้นไปได้ จะต้องตายกันทุกคน  ไม่ตายก่อนก็ตายหลัง  ใจอย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรา เป็นของๆเรา เมื่ออาตมาเทศน ์สอนไปอาการของทุกขเวทนาผ่อนลง ท่านพูดว่า พ่อปล่อยวางหมดแล้ว ไม่ยึดถืออะไรๆ ต่อมาท่านก็สิ้นลมหายใจตาย  ก็ได้ทำ ฌาปน กิจที่วัดชัยวันนั้นเอง  ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน

     เมื่อเสร็จดีแล้ว ก็มีพระองค์หนึ่ง มานิมนต์ไปจำพรรษา ที่วัดเขาตานก จังหวัดจันทบุรี  ก็เลยได้ไปลาท่านพระครูสังและหมู่คณะ ไปจังหวัดจันทบุรี  ไปวัดเขาตานก  ก็เลยได้อยุ่จำพรรษา ที่วัดเขาตานก นั้นเป็นเวลาถึงห้านพรรษา ระหว่างที่ไปอยู่วัดเขาตานก เป็นระยะพักฟื้น หมอเขาบอกว่า ไม่ให้ทำงานหนัก เพราะได้ผ่าตัดกระเพาะเป็นแผล  จึงเป็นโอกาสดีได้ค้นคว้าพระไตรปิฏก แบ่ง เวลาดูหนังสือบ้าง ภาวนาบ้าง  ทำกิจวัตรไหว้พระสวดมนต์บ้าง  เทศน์สั่งสอนพระเณรบ้าง  เทศน์สอนโยมบ้าง  และสั่งสอนอุบาย ฝึกใจให้ทำสมาธิ  แนะนำอุบายเจริญวิปัสนา  เรื่องปัญญาบ้าง  แต่คนเราผู้ที่ว่านอนสอนง่าย มีน้อยเต็มที   

ฉะนั้นอุบายที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า " ทนฺโต  เสฏโฐ  มนุสฺเสส " ผู้ฉลาดในการฝึกตนเป็นผู้ประเสริฐ  คำว่าประเสริฐ  เรียกว่า อริยบุคคล  ผู้ บรรลุความเป็นพระอริยะได้  มันเป็นการฝืนอำนาจกิเลส  ใจของคนโดยมากมันชอบทำกิเลส ใจชอบโลภ  ใจชอบโกรธ  ใจขอบหลง ชอบยึดชอบถือ  ถ้าสอนใจให้ละกิเลสใจไม่ชอบ  ใจทำกิเลสมาเสียจนเคย  แม้จะเป็นทุกข์ใจสักปานใด ใจก็ชอบ  ไปสอนใจให้ละสิ่ง ที่ใจมันชอบ จึงเป็นของยากลำบาก  ต้องฉลาดในอุบายวิธีต่างๆ หลายอย่างหลายประการ

ฉะนั้น กิเลสภายในใจนั้น พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลยอดเยี่ยม ในการฝึกตน ท่านได้บรรลุความหลุดพ้น จากอาสวกิเลสเป็นคนแรก เมื่อพระองค์หลุดพ้นจากกิเลสด้วยอุบายฝึกตนแล้ว   ท่านเอาอุบายฝึกตนที่พระองค์ทรงทำได้ผล มาแล้ว มาเทศนาสั่งสอน  เช่น ไป สอนพระปัญจวัคคีย์ทั้งห้า ด้วยเทศนาธรรมจักรๆ ชี้โทษของกิเลสว่า เป็นของเลว  เป็นเหตุเกิดทุกข์ แก่บุคคลที่ทำ  แล้วท่านก็สอน อุบายวิธีละกิเลสด้วยการบำเพ็ญมรรคให้เจริญ  จึงจะละกิเลสได้  สมัยเรานี้คำสอนอันนี้ ก็ยังมีอยู่ในหนังสือหมดธรรมวิภาค เช่น โพธิปักขิยธรรม สติปัฏฐานสี่  สัมมัปปทานสี่  อิทธิบาทสี่  อินทรีย์ห้า  พละห้า  โพชฌงค์เจ็ด  มรรคแปด  นี้เป็นธรรมที่ละบาป อกุศลออกจากใจ

     อย่างอิทธิบาทสี่  นี้ท่านว่า เป็นเหตุให้สำเร็จในสิ่งที่ประสงค์ ไม่เหลือวิสัย  การทำบุญไม่เหลือวิสัย  การทำมรรค  บำเพ็ญมรรค ให้เจริญไม่เหลือวิสัย  เมื่อพอใจแล้วทำได้  บางคนอ้างว่าทำบุญทำมรรคไม่ได้  ใจทำได้แต่บาป เพราะใจพอใจ ตระ หนี่เหนียวแน่นหวงแหน  ใจทำได้  ยินดีในการทำเวรห้า เวรแปด  ใจทำได้  นิวรณ์ใจทำได้  ความลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสกามและ วัตถุกาม ใจทำได้

     นี้ชี้ให้เห็นว่า ใจพอใจในการทำบาป  เมื่อมีครูบาอาจารย์สอนให้ละ ใจละไม่ได้ เพราะอะไร เพราะความพอใจ  พอใจโลภ พอใจโกรธ พอใจหลง  พอใจยึด พอใจถือ พอใจผลิตกิเลส

      ฉะนั้นท่านจังสอนให้ละกิเลส  เพราะกิเลสมันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อพอใจในการละ ทำไมจะละไม่ได้  ทำได้ต้องละได้   ถ้าละไม่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่า พอใจทำ  ใจไม่พอใจจะละ  ใจต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร มีภพ มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ มีโศกปริเทวะ ทุกข์ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น  เป็นวัฏวน  ทุกข์จนวันตาย  ตายแล้วใจก็ไปเกิดอีก  คำว่าบรรลุพระนิพพาน   ใจสิ้นจากอาสวกิเลส ใจไม่รู้ เพราะอวิชชา ครอบงำใจ  ใจมืดมนไปเสียหมด  อวิชชาใจทำอยู่  ทำจนมืดมนไปเสียหมด  อวิชชาใจ ทำอยู่ ทำจนมืดมองไม่เห็นว่าใจคืออะไร  ในทำแต่อวิชชา ใจไม่ทำวิชชา  ถ้าใจทำวิชชาได้ ใจต้องรู้ เมื่อรู้ ใจจะละอวิชชา ความ หลงออกจากใจ
      ฉะนั้นอุบายที่ฝึกที่สอนอันสำคัญยิ่งก็คือ พุทโธ พุทโธใจรู้  พุทโธรู้ใจ  จนมาย้ำอยู่ที่พุทโธใจรู้  พุทโธรู้ใจ  เมื่อรู้ใจอยู่ อะไร มันมีอยู่ในใจ  ใจมันหลงอะไร ยินดียินร้ายอะไร  ใจยึดอะไร  ใจต้องรู้  รู้ใจทำ  เห็นใจทำ  รู้เหตุผล  ตามความเป็นจริง  เมื่อใจรู้ ใจละอวิชชาออกจากใจ  วิมุตติ ความหลุดพ้น จากอาสวกิเลส วิสุทธิสันติพิพพาน  คุณไม่ต้องไปถามใคร  ใจรู้ใจเห็นเหมือนพระ พุทธเจ้า ท่าน เทศนาสั่งสอนสาวก  ท่านสอนให้รู้ เมื่อใจรู้ ใจละ ใจหลุดพ้น  เพียงฟังภาษิตข้อเดียว เร็วเป็นขิปปาภิญญา

       มันเนิ่นช้าเพราะมันไม่รู้ ถ้าใจรู้ ใจละ ใจหลุดพ้น ปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะใจ เลย ไม่ต้องไปถามใคร เหมือนการกินอาหาร ใจรู้รส ของอาหาร ได้เอง ไม่ต้องไปถามใคร

     ฉะนั้นอุบายที่จะทำให้ใจรู้ ได้เร็ว ละได้เร็ว  หลุดพ้นได้เร็วนี้แหละ คุณต้องฉลาดในอุบายวิธี  ฝึกใจสอนใจ  อบรมใจว่าควร จะฝึกอย่างไร  ควรจะสอนอย่างไร  ใจควรทำอย่างไร  เมื่อใจรู้ธรรมเห็นธรรม  รู้พระสูตร รู้พระวินัย รู้ปรมัตถ์  มันรวมลงที่ใจ คุณหมด  เหมือนจุลปันถก พระพุทธเจ้าท่านเอาผ้าชิ้นหนึ่งให้  ให้ลูบผ้า  บริกรรมภาวนาว่า " รโช หรนํ รโช หรนํ " แปลว่า ผ้าเช็ด ธุลี ผ้าเช็ดธุลี  ใจของท่านรู้แจ้ง ก็เช็ดธุลีคือราคะ โทสะ  โมหะ ออกจากใจของท่าน  หลุดพ้นเพราะใจท่านรู้ ใจท่านละ  ใจท่าน หลุดพ้น  บรรลุมรรคผล พร้อมอภิญญาปฏสัมภิทา

     นี่แหละอุบายทำใจให้รู้ พระไตรปิฏก ไม่ต้องเรียน เพราะเรียนแล้วจำไม่ได้ เมื่อใจบรรลุมรรคผล มันพร้อมที่ใจเลย  พระสูตรใจ รู้ พระวินัยใจรู้ พรปรมัตถ์ ใจรู้ วิมุตติ สันติ  นิพพานใจรู้ ท่านจึงเอาธรรมที่ใจท่านรู้ไปสอนภิกษุ ภิกษุณีให้บรรลุมรรคผล

ข้อความโดย: เลดี้เบื๊อก
« เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 08:58:33 pm »

เมื่อไปจำพรรษาที่บ้านแม่ตอแล้ว  จนออกพรรษา ก็ยังพักภาวนาอยุ่ที่นั้น ครั้นจวนจะเข้าพรรษาอีก  โยมทางบ้านปางยางนาด ก็มาของนิมนต์ไปจำพรรษาที่วัดป่าปางยางนาด  อาตมาก็เลยได้ลาท่านสุจิต ไปจำพรรษา ที่ปางยางนาด เป็นพรรษาที่หกพอดี ได้ ทราบข่าวว่า ท่านพ่อลี  ออกจากวัดอโศการาม  สมุทรปราการ  มาจำพรรษา ที่บ้านยางผาแด่น  ก็เลยไปกราบนมัสการท่าน  ท่าน เล่าให้ฟังว่า หนีปลิโพธกังวล  ต้องการภาวนาอย่างเต็มที่  ท่านได้ถามถึงการภาวนา ก็กราบเล่าถวาย ท่านตามความรู้ ความเห้น แล้วท่านก็แนะนำ อุบายเจริญ อานาปนสติ ให้อุบายกำหนดลม  อุบายตั้งจิตไว้  อุบายกระจายลม ให้แล่นไปในจุที่ประสงค์   อุบาย กระจายลมไปทั่วร่างกาย ชี้แนะในอุบายนิมิต ที่ควรถือเอา และไม่ควรถือเอา ให้กำหนดเอานิมิต ที่เกิดขึ้น ในฐานของลม ให้ระวัง นิมิต ที่มันหลอกลวง ให้เกิดความยินดี   นิมิตที่ทำให้เกิดความยินดี ยินร้าย  ระวัง ไม่ให้หลงไปตามนิมิต  ให้กำหนด รู้อยู่ใน ฐาน ของลม

สำหรับอาตมาเอง อุปนิสัยในการทำฌานน้อยไป   จิตเมื่อตั้งมั่นในลมแล้ว ก็มัจะเกิดความเห็นลมไม่เที่ยง  นิมิตต่างๆ ที่ปรกฏ ก็เห็นว่าไม่เที่ยง เห็นว่า สังขาร นิมิตที่หลอกลวงเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป  หายไป สิ้นไป  ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ด้วย แม้ลมหายใจเข้าออก ก็ไม่เที่ยง  แล้วนิมิตมันจะเที่ยงมาแต่ไหน  เกิดขึ้นดับไป  วิปัสสนาปัญญาที่เห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงก็ รู้เห็นว่า สิ่งใดไม่เที่ยงนั้นก็เป็นทุกข์   สิ่งใดเป็นทุกข์  สิ่งนั้นเป็นอนัตตา  ปัญญาก็ทวนกระแสเข้าหาใจ  พิจารณาใจ สอนใจให้รู้ ลมไม่เที่ยง  ร่างกายทุกส่วนก็ไม่เที่ยงเหมือนลม  ปัญญาพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของลม  ปัญญาก็ขยายออก พิจารณาความไม่ เที่ยง ในอาการสามสิบสอง  พิจารณาอาการ ต่างๆของร่างกาย  เห็นความผันแปร  เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน  เห็นทุกข์ใน อาการต่างๆ ของร่างกาย  ทุกข์เพราะความแก่  ทุกข์เพราะความเจ็บ  ทุกข์จนกระทั่งตายไม่มีอะไรเป็นของเรา  ในกายนี้เป็นของ ว่างเป็นของเปล่า  เป็นของสูญจากตัวจากตน จากเราจากเขา

เมื่อ พิจารณไปแล้ว ก็ทวนกระแส เข้าหาใจ  คือธาตุรู้  ถามใจว่าใจรู้ไหม ใจเห็นไหม กายนี้มีแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม  ใจจะมา หลงเอาอะไร  ใจจะมายินดี เอาร่างกายที่ไม่เที่ยง เต็มไปด้วยของปฏิกูล  เต็มไปด้วยน้ำเลือด น้ำเหลือง เต็มไปด้วย เหงื่อไคล  เต็ม ไปด้วยรสอาหารแทรกซึมระคนอยู่  ต้องถ่ายเท  ต้องอาบน้ำชำระร่างกาย  เพราะ ความผันแปร ของรสอาหาร  อาหารที่กินลงไป หล่อเลี้ยงร่างกาย ไม่ใช่มีแต่คุณประโยชน์ สิ่งที่เป็นโทษเป็นทุกข์ก็มากมาย  ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ไปต่างๆ หลายอย่าง หลายประการ จะให้มีแต่ความสุขสบาย อย่างเดียวก็หาไม่  อาหารว่าเป็นของดีๆ กลืนกินลงไป บางทีเป็นอาหารที่แสลงก็เจ็บ เกิดปวดท้องแน่น ท้อง ท้องเฟ้อ จุกเสียดในกระเพาะ  ทำให้กระเพาะอักเสบ เป็นแผลในร่างกายนี้เต็มไปด้วย รสอาหาร หล่อเลี้ ้ยง มันก็เจ็บก็ปวด เป็นทุกข์ ทรมาน มีโรคต่างๆ เกิดขึ้น ต้องเยียวยา รักษาบรรเทา ความเจ็บปวด โรคภัยย่ำยีบีทาไล่ ไปหาความตาย

ไม่ ว่าเป็นตัวเราก็เป็นเพียงสมมุติ ที่โลกเขาใช้กันอยู่ ด้านปรมัตถ์แล้วมันเป็นธาตุเป็นอนัตตา  ไม่ใช่ตัวตนเราเขา  เกิดมาแก่ เกิด มาเจ็บ เกิดมาตาย  ตายจริงๆนะ เอาอะไรก็ไม่ได้  ในร่างกายนี้มีแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม   ตัวเราที่ไหน ตัวเขาที่ไหน ตายกันหมด เกิดมาตาย เกิดมาทุกข์ ทุกข์จนตาย

เมื่อปัญญามันเห็นอย่างนั้น ปัญญาก็ทวนกระแสกลับเข้าหาใจ สอนใจให้รู้ สอนใจให้เห็นว่าใจรู้ใหม ใจเห็นไหม ใจว่ากายเป็น ของเรา ใจจะป้องกันไม่ให้กายมันตายจะได้ไหม  เมื่อสิ้นวิบากขันธ์แล้วตาย จริง  ไม่ใช่สมบัติของกาย กายก็ไม่ใช่สมบัติของใจ  ใจ ก็เป็นธาตุ เป็นอนัตตา  กายก็เป็นธาตุเป็นอนัตตา  สูญว่างเปล่าจากตัวจากตน  จากเรา จากเขา ไม่มีใครได้อะไร  กายตายหมด  ใจ มันตายไหมดูซิ  ใจคือธาตุรู้ ใจว่างเปล่าจากเรา  เราไม่มีกายในใจ  เขาไม่มีกายในใจ  สมมุติ สมมุติเขาสมมุติ  ใจรู้ไหม  ธาตุรู้มี ใจอันเดียว  เขาสมมุติธาตุรู้ว่า เป็นใจเรา  ใจเขา  จริงเพียงสมมุติ  จริงปรมัตถ์ไม่ใช่เรา  ไม่มีเรา  ไม่เป็นเรา  ใจรู้เท่าสมมุตินะ อย่าไปหลงกับสมมุติ  อย่าไปหลงกับสังขาร  เมื่อใจรู้เท่าสมมุติ  หลงอวิชาดับ  วิมุตติปรากฏกาย  สันตินิพพาน ก็รู้ก็เห็นได ้ภายในใจ

ความรู้ความเห็นมันเป็นผลของความเพียร  บำเพ็ญมรรค ให้เจริญ ทำให้มากๆ พิจารณาให้มากๆ จนมรรคผล เต็มเปี่ยม บริบูรณ์  นิพพานัง ปรมัง สุขขัง  ก็รู้แจ้งเห็นจริงได้ภายในใจ

   เมื่อ จำพรรษาที่วัดปางยางนาด จนออกพรรษาแล้ว ก็ย้ายไปพักที่ผาเด็ง ครั้งแรกโยมเขาทำร้านให้พักอยู่ใต้ร่มไม้ กุฏิศาลายังไม่ ได้ทำ เพราะศรัทธาญาติโยมก็ดูพระว่าจะอยู่ไหม  หรือจะไปที่อื่นอีก  สถานที่นั้นเป็นวัดร้าง  มีก้อนดินอิฐ ที่เขาสร้างโบสถ์พังอยู่ ในที่นั้น  แล้วก็มีผีดุเสียด้วย  คนจะไปตัดไม้  ไปเอาฟืนไม้แห้งอยู่แถวนั้น ผีก็ตามไปทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย  ญาติโยมเขาจึงกลัว ไม่กล้าไปตัดไม้

   
       เมื่อไปพักอยู่ที่นั่น วันหนึ่งนั่งภาวนาเห็นไปทางทิศตะวันตก  ปรากฏว่ามีคนมาจับที่แขนซุก* ไปข้างหน้า  เลยลืมตาขึ้นดู ก็ไม่ เห็นมีอะไร  ผู้คนก็ไม่มี สัตว์ต่างๆก้ไม่มี  เสียงคนเดินก้ไม่ได้ยิน  ก็เลยหลับตา นั่งภาวนาต่อไปอีก  ก็ปรากฏนิมิตเห็นหลวงพ่อองค์ หนึ่งยืนอยู่ไกลๆ ก็เลยนึกว่า หลวงพ่อนี้เอง ที่อยู่ตาย แล้วก็ไม่ไปเกิดในทางสุคติ  ตายแล้วไปเกิดเป้นผีอยู่ที่วัด  คงจะติดสมบัติอะไร อยู่ที่โบสถ์นั่นแหละ  ก็เลยแผ่เมตตาจิต  อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้  ว่าหลวงพ่อจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด  แต่นั้นมา ก็ไม่ปรากฏนิมิต เห็น หลวงพ่ออีก

   
   ครั้นอยู่ต่อมา ก็ปรากฏที่จะทำศาลาที่โบสถ์นั้น  มีไม้แดงใหญ่ เกิดอยู่ข้างโบสถ์ และมีต้นไม้อย่างอื่นเกิดขึ้นมาก  เพราะโยมเขา ไม่กล้าไปตัดเพราะกลัวผี อาตมาได้บอกให้โยมเขาไปตัดไปปรับพื้นที่ เพื่อจะสร้างศาลา  เขาก็บอกว่า หมู่ข้าเจ้ากลัวผีไปหักคอ  เขา ไม่กล้าตัด  ปรารภว่าจะไปทำศาลาที่อื่น  อาตมาก็บอกว่า ตัดออกเถิด  แผ้วถางปรับที่สร้างศาลาไม่เป็นไร  หลวงพ่ออยุ่ที่นี่ ตุ๊เจ้าแผ่ เมตตาไปให้เปิ้น  เปิ้นไปสู่สุคติแล้ว  อาตมารับรองไม่ให้เป็นอันตรายใดๆ เขาจึงพากันตัดไม้แดงใหญ่ออก ปราบพื้นที่ จนเสร็จแล้ว ก็ได้สร้างศาลาขึ้นที่นั่น   เป็นศาลามุงหญ้า  ใช้ฟากปูกับพื้นดิน  เมื่อทำเสร็จแล้วก็ถวายทาน  มีเสื่อหมอนและเครื่องใช้ต่างๆ ต่อมา ศาลาหลังนั้นก็ได้ใช้เป็นที่นั่งภาวนา ฟังเทศน์ ทำวัตรสวดมนต์ และทำทานต่างๆ

  ในระยะนั้น ท่านสุจิตเทศน์ดี แนะนำสั่งสอนญาติโยมดี  เขาก็มีความเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มขึ้น  เช่นวันพระก็พากันรักษาอุโบสถ ศีลและฟังธรรม  นอนค้างคืนที่วัด  วัดผาเด็งนี้อยู่หลังเขา  อากาศดีอยุ่สบาย  ภาวนาดี  บางวันเมื่อทำวัตรแล้ว  สนทนาธรรมกับ ท่านสุจิต  ท่านสุจิตนับแต่ได้อุบายภาวนาที่ท่านอาจารย์ลี แนะนำให้ ก็ปรากฏว่า มีปฏิภาณโวหารดี  พูดคุยเรื่องภาวนาของตัวเอง ว่า รู้อย่างนั้นๆ เห็นอย่างนั้น  มีนิมิตอย่างนั้นๆ พูดคุยว่า ต้องการเห็นอะไร ต้องการรู้อะไร ก็รู้ก็เห็นได้หมด  อาตมาฟังไปก็รู้ได้ว่า ท่านสุจิตนี้สำคัญตนเสียแล้ว  ก็เลยนึกจะทดลองท่านดู ว่าจะรู้ได้หมด เห็นได้หมดจริงๆไหม  อาตมาก็เลยพูดขึ้นว่า ระวังนะ ว่ารู้อะ ไร  เห็นอะไรได้  ระวังไปเห็นแหนบเขาแล้วมันจะไปติด  พออาตมาพูดอย่างนี้ ท่านก็โกรธพลุ่งขึ้นมาเลยว่า อาตมามันโง่จะรู้จะเห็น อะไร  พูดดูถูกคนอื่น  โกรธลุกไปกุฏิไปเก็บเอาบรขาร  เลยไปพักอยู่วัดบ้านแม่ตอโน้นอาตมาทดลองดูกิเลสว่า จะหมดจริงไหม   สำเร็จมรรคผล นิพพานจริงไหม ไม่หมดความโกรธ ใจตัวเองโกรธ ก็ไม่เห็นละ ไม่ได้ โกรธเกิดจากใจตัวเองก็ไม่รู้ เพราะไปหลงกับนิมิตที่รู้ที่เห็น  การพิจารณานิมิต ที่รู้ที่เห็นลงสู่ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง  อนัตตา ไม่ค่อยมี  มีแต่พูดเรื่องนิมิต เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ค่อยมี  นี่แหละพวกฤาษีที่ทำญานได้แก่กล้า ได้สมาบัติ แปด มีอภิญญา แสดงฤทธิ์ต่างๆ เหาะเหิน เดินอากาศ ได้เหมือน ริตจฤาษี พอไปเห็นแหนบอัครมเหสีเข้า ฌานเสื่อมฤทธิ์ เหาะเหิน เดินอากาศไม่ได้  เมื่อไปกินอาหารแล้วก็ขอฉันขนมแหนบอีก  จนอำมาตย์เห็น รู้เรื่องก็ส่งข่าว ไปหาพระราชาที่ยกกองทัพไปปราบ โจรอยู่ชายแดน   เมื่อพระราชารู้ก็ยังไม่ปลงใจเชื่อทีเดียว คิดว่าเรากลับไป จะต้องไปถามพระดาบส ดูก่อนว่าเท็จจริงอย่างไร   แสดง ให้เห็นว่า พระราชาไม่เป็นคนเชื่อง่ายงมงาย  ต้องใคร่ครวญเหตุผลให้ดีก่อน  ถ้าเป็นคนที่เชื่อง่าย งมงาย ก็จะโกรธอาจสั่ง ทหารให้ไปฆ่าพระดาบสก็เป็นได้  นี่เสียงได้ยินเขาเล่า ไม่เห็นด้วยตาตนเอง จึงยังไม่เชื่อทีเดียว

เมื่อพระราชาปราบปรามโจรผู้ร้ายสงบเรียบร้อย ก็ยกกองทัพกลับ เมื่อกลับมาก็ไปหาพระดาบส ในสวนอุทยาน  ไปนั่งลงกราบ ไหว้พระดาบส เหมือนเดิม พระดาบสก็ไต่ถามเรื่องปราบโจรผู้ร้ายได้ชัยชนะกลับมา  พระราชาก็เล่าถวาย แล้วก็ได้ถามพระดาบส ว่า พระดาบสได้ส้องเสพกามารมณ์กับพระอัครมเหสี จริงหรือ  พระดาบสก็ได้รรับตามความเป็นจริง  ต่อมาพระดาบสก็ได้ขอให้พระ ราชาอดโทษ  พระราชาท่านก็อดโทษให้ และขอนิมนต์อยุ่ในสวนอุทยานค่อไป   และนิมนต์ให้ไปรับบิณฑบาตในพระราชวัง ตามเคย  พระดาบสก็ระลึกถึงฌานที่เคยทำ  ฌานก็เกิดขึ้นอีก  พระดาบสก็ขอลาพระราชาเหาะไปอยู่ที่ป่าหิมพานต์ จนถึงทำกาลกิรยาตาย  ก็ไปเกิดในพรหมโลกนี่แหละผู้ได้ฌานโลกีย์ เสื่อมได้  เจริญได้  ถ้าผู้ได้ฌานพิจารณาองค์ฌานลงสู่วิปัสนา   ทำลายตัณหา ความยินดี  ให้สิ้นไป บรรลุความเป็นพระอรหันต์  ฌานก็เป็นโลกุตรฌาน  ไม่เสื่อมเพราะใจสิ้นจาก อาสวกิเลส ตัณหา  ใจที่ยังไม่สิ้นจากตัณหา ความยินดี   แม้แต่ได้ฌาน ความยินดี ติดอยู่ในฌาน เหมือนศิลาทับหญ้า  เมื่อได้ช่องทาง ก็เกิดตัณหา ความยินดีอีกต่อไป

ข้อความโดย: เลดี้เบื๊อก
« เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 08:57:14 pm »

   ภาวนาอยู่ที่ถ้ำปากสูง ได้ธรรมะเป็นสัปปายะ สบายใจมาก  พรรษาที่สี่ ก็เลยจำพรรษาทีวัดร้างข้างบ้านถ้ำ นั้นกับท่าน สุจิตสองคน  จนออกพรรษาแล้ว จงได้ลาโยมศรัทธาบ้านถ้ำมานมัสการหลวงปู่ตื้อ  สนทนาธรรมกับท่านและได้ปรารภเรื่อง การภาวนา  ความรู้ความเห็นในภาวนา สิ่งใดที่ยังสงสัยอยู่ ท่านอธิบายให้ฟังและ พูดนิมิต ให้ฟังว่า ได้มีดสองเล่ม แต่ด้ามไม่มีเลย เอาด้ามใส่ให้มีดเล่มหนึ่ง เอาด้าม ใ ส่ให้ทีเดียว ก็แน่นเลย มีดเล่มหนึ่ง เอาด้ามใส่ให้ก้หลุดออกมา เอาใส่อีกก็หลุดอีก เลยใส่ไม่ได้ ท่านพูดนิมิตให้ฟังอย่างนั้น
   มีดที่ด้ามหลุด หลุดจริงๆ หลุดออกไปอยู่ในฆราวาสวิสัย เมื่อพรรษาที่แปด
   
   เมื่อไปฟังธรรมจากท่าน ก็เลยลาท่านว่าจะไปนมัสการหลวงปู่ชอบ ที่วัดบ้านยางผาแด่น ลาท่านแล้ว ก็เตรียมเอาบริขาร ก็ออกเดินทางไปผ่านสรวง ไปสันป่าตึงค้างที่วัดสันป่าตึง ได้คืนหนึ่ง   รุ่งเช้าไปบิณฑบาตฉัน  เมื่อฉันเสร็จ แล้วก็ได้ลาครู บาวัดสันป่าตึง  ก็ออกเดินทางไปทางบ้านเอียก  ผ่านไปถึงบ้านยางผาแด่น  เดินเลยไปก็ถึงวัดป่าบ้านผาแด่น  เงียบสงบดี ห่างไกล จากเสียงรถเสียงรา  วิเวกสมควรแก่การบำเพ็ญสมณธรรม  เมื่อเอาบาตรบริขารวางไว้ที่ศาลาแล้วก็ไปกราบหลวงปู่ ชอบ ท่านก็ถาม ถึงการมา การไป   ก็เล่าเรื่องให้ท่านฟัง  ท่านก็บอกสามเณร ไปจัดที่พักให้  ก็ได้พักอยู่วัดผาแด่นหลายวัน
   
   ในวันหนึ่ง เมื่อทำข้อวัตรปัดกวาดลานวัดเสร็จ ได้พากันสรงน้ำให้ท่าน เมื่อสรงน้ำเสร็จ ก็มานั่งที่ศาลาฉันน้ำร้อน ท่าน ก็ให้โอกาสศึกษาธรรม  หรือใครภาวนาปรากฏนิมิตอย่างไร ก็มาเล่าให้ท่านฟัง  ท่านจะแก้ไข้ชี้แนะ อุบายให้ บางทีท่านก็ ถามเห็นอะไรบ้าง คืนนี้มีใครมาเห็นไหม   ท่านก็เล่าเรื่องเทวดามานมัสการ  บางคืนก็มาก  บางคืนก็น้อย  บางพวกก็มาฟัง ธรรม  บางพวกมานมัสการแล้วก็ไป  อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็ปรารภสถานที่ภาวนา แล้วก็บอกให้แยกกันไปภาวนา   เพื่อจะได้ กำลังองอาจกล้าหาญ   ท่านได้บอกอาตมาว่า ท่านบุญจันทร์ลองไปภาวนาถ้ำบ้านเมืองก๊ะดู   มีถ้ำและมีน้ำดีไหลผ่นข้างถ้ำ เป็นที่เงียบสงบดี   แล้วบอกให้ท่านสุจิตไปภาวนาบ้านยางแม่ตอ   บอกไปอยู่คนละที่ จะได้กำลังใจฝึกคุณธรรม อันเป็นที่ พึ่ง ของตน
   
   ครั้นถึงวันรุ่งขึ้น ไปบิณฑบาต มาฉันเสร็จแล้ว   ก็เลยเตรียมบริขารลาท่านเดินทางไป   ไปพักภาวนาอยู่ที่พระบาท สี่รอย นั้นเจ็ดวัน  ออกจากนั้นไปพักภาวนาที่ถ้ำบ้านเมืองก๊ะ   อยู่ห่างจากบ้านพอสมควร เงียบสงบดี   พักภาวนาอยู่ที่ถ้าบ้าน เมืองก๊ะ ได้เดือนกว่า   หลวงปู่ก็ให้อาจารย์สุณี ไปตามกลับมาที่บ้านยางผาแด่นอีก   เมื่อมาถึงผาแด่น ท่านก็พูดว่า ท่านสุจิต ไปอยู่บ้านแม่ตอคนเดียว ไม่มีหมู่ให้ท่านไปอยู่เป็นหมู่กัน   ก็เลยไปจำพรรษาที่บ้านยางแม่ตอ กับท่านสุจิต   การไปอยู่บ้าน แม่ตอ ก็ได้เร่งทำความเพียร   ทำได้ทั้งวันทั้งคืน เพราะไม่ค่อยมีปลิโพธกังวล   ไม่มีการสวดมนต์ภายในบ้าน   ไม่ได้เทศน์ สั่งสอนใคร สอนแต่ตัวเอง  การสอนนี้ เมื่ออินทรีย์อ่อน กิเลส กล้าก็ใช้อุบายหลายอย่าง ที่นึกได้ในสติภาวนาสูตร   จิตที่ควร ข่มก็พึงข่ม   จิตที่ควรยกย่อง ก็พึงยกย่อง  จิตควรเพ่งดู ก็พึงเพ่งดู จิตที่ควรข่ม คือ อย่างไร จิตหลง มัวเมาในความคิดนึกปรุงแต่ง  เดี๋ยวก็คิดไปเรื่องนั้น เดี๋ยวก็คิดไปเรื่องนี้  บางทีคิดใน เรื่องที่ดีก็เกิดความยินดี   บางครั้งคิดไปเรื่องชั่ว เรื่องไม่ดี ก็เกิดความยินร้าย บางครั้งก็เกิดความหงุดหงิดรำคาญ บางครั้ง ก็เกิดความลังเลสงสัย บางครั้งในก็หลงมัวเมา ในความคิดนึกปรุงแต่ง ต้องสอนใจด้วยวิธีต่างๆ ให้ใจมันรู้
   
   ความไม่รู้ที่มีในใจทาน เรียกว่าหลง   ใจละหลงไม่สิ้น บางครั้งต้องใช้อุบายร้ายว่าคำสอน ใช้อุบายหยาบๆ ด่า ข่มขู่ ชี้ โทษความหลงอวิชชา ความหลงนี้แหละ เป็นเหตุให้ปัจจัย ให้เกิดนิวรณ์ตัวอื่นๆ หลงแล้ว หลงอีก มัวเมา สร้างกิเลสกามขึ้น มาอีก หลงมัวเมา คิดไปเรื่องชั่ว เรื่องไม่ดี แม้เป็นเรื่องอดีต มันล่วงมาแล้วตั้งนาน   มันนึกคิดเอามาให้เกิดความไม่พอใจ เกิด โกรธ เกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ ใจที่มีอวิชชา หนาแน่นไปด้วยอวิชชา สอนให้รู้ ก็ไม่รู้ สอนให้เข้าใจก็ไม่เข้าใจ  ต้องสอน แล้วสอนอีก บางครั้งจิตมัน เป็นปทรมะ บางครั้งนึกถึงอุบายจะสอน นึกไม่ออก บางครั้งสอนให้ทำดี  ใจก็ไปทำชั่วเพราะ กรรมชั่วมันเคยชิน  ยืดมั่นถือมั่นก็ยึดเสียจนชิน  ตระหนี่ขี้เหนียวก็ทำเสียจนชิน  กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ก็ทำเสียจนชิน
   
   ฉะนั้น บาปอกุศลใจทำเสียจนชิน  ใจทำได้คล่องแคล่วว่องไว รวดเร็ว เพราะใจมันชินเสียแล้ว  บางคนถึงขั้นปทปรมะ ใจมีอวิชชา ความหลงหนาแน่น ไม่รู้จักบาป ที่ควรละ ไม่รู้จักบุญที่ควรทำ   เพราะมีอวิชชา ความไม่รู้มืดมน สอนอย่างไร ใจก็ไม่เชื่อว่าบาป บุญมี   ไม่เชื่อมรรคผล นิพพาน  ใจของคนประเภทนี้มากเหลือเกิน  จนครั้งแรก ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พิจารณาใจคนแล้วท้อใจไม่อยากจะสอนใคร  ท่านพิจารณาเห็นใจคนประเภทนี้  คนใจหลง ใจบาป มันมีมาก  สอนให้รู้จัก บุญ สอนให้รู้พอนในการทำบุญ ไม่ชอบ  ไม่พอใจ  ไม่ทำใจชอบ  ทำบาปเรื่องโลภ โกรธ หลง ไม่ต้องสอน  ใจมันทำเอง ใจทำได้คล่องแคล่ว ชำนิ ชำนาญ มีใครไปสอนให้ละ  ละไม่ได้  เพราะฉันไม่ชอบละ  ใจฉันชอบทำบาป   ทำอกุศล ใจชอบ ของไม่ดี

   ใจประเภท เนยยะ  พอแนะนำสั่งสอนได้  ใจคนประเภทนี้ ยังน้อยเต็มที  สอนให้ทำทาน ก็ทำได้นิดหน่อย   สอนให้ รักษาศีล ก็ทำได้นิดหน่อย  สอนให้ภาวนาก็ทำได้นิดหน่อย  ทำมากๆไม่ได้เพราะกลัว กลัวอะไร  กลัวหมด ใจตระหนี่ เหนียวแน่น หวงแหน กลัวทาน กลัวศีล กลัวไม่ได้ฆ่าสัตว์ กลัวไม่ได้ลักทรัพย์  กลัวไม่ได้เสพกาม กลัวไม่ได้พูดปด กลัวไม่ได้ ดื่มสุราเมรัย  พระสอนให้รักษาศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ กลัว กลัวศีล  กลัวบุญ  ยิ่งสอนให้ภาวนาทำสมถกรรมฐาน ก็กลัวเป็น ใบ้เป็บ้า  สอนให้เจริญวิปัสสนา ก็กลัวเกิดวิปลาส กลัวเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลัวสุญญตา   ชอบความมี ความเป็น ไม่ ชอบความว่าง ความเปล่า  ชอบใจ พอใจ อยู่ในความมี ความเป็น  กลัวจริงๆ การทำบุญ  แต่การทำบาป ไม่กลัว  กล้าทำ กล้าโลภ กลัวโกรธ กล้าหลง  กล้ายึด กล้าถือ ตัวเรา ผัวเรา เมียเรา ลูกเรา หลานเรา  ญาติเรา เงินทองเรา  วัตถุข้าวของต่งๆ ของเรา
   
   ยิ่งพระสอนสุญญตา อนัตตา ยิ่งกลัวใหญ่  ทำก็ทำได้นิดหน่อย  ให้ทานนิดหน่อย  รักษาศีลนิดหน่อย  เพราะกลัว กลัว บุญจริงๆ มีคนไปบอกบุญ มีคนไปสอน ให้ทำบุญ กล้วเหลือเกิน  ยิ่งสอนให้นั่งภาวนา ยิ่งกลัวใหญ่ กลัวเจ็บขา กลัวเจ็บก้น กลัวเจ็บหลัง กลัวปวด กลัวเมื่อย   กลัวเป็นเหน็บชา  กลัวเดินไปมาไม่ได้  เวลาไปนั่งทำบาปดูซิ  นั่งดื่มเหล้า นั่ง ดูละคร ดูลิเก นั่งเล่นไพ่ เล่นถั่ว นั่งเล่นโบก  นั่งกับ นังดักยิงสัตว์  เรื่องทำบาป นั่งได้ตั้งหลายชั่วโมง  ภยาคติ ใจลำเอียง เพราะกลัว กลัวบุญ สิ่งที่ควรกลัว  ใจกลับกล้าทำ  เรื่องทำบาป แล้วยกนิ้วให้ เอาเลย
   
   ยิ่งคน ประเภท อุคคติตัญญู และ วิปปจิตัญญู มีน้อยเหลือเกิน ยิ่งประเภท อุคติตัญญู รู้ธรรม เข้าใจธรรม เมื่อท่านยกหัว ข้อธรรม ขึ้นแสดงแล้ว ยิ่งน้อยมาก แม้สมัยพระพุทธเจ้ายังมีอยู่   ท่านแสดงธรรมเพียงภาษิต ข้อเดียว ได้ฟังธรรม แล้ว บรรลุพระอรหันต์เหมือนท่าน  ท่านแสดงให้  อุคคเสนฟัง  อุคคเสนบรรลุพระอรหันต์  พระพุทธเจ้าท่านแสดง ธรรมให้ อุคคเสน ฟังเพียงภาษิตเดียว ไม่ต้องแปล ไม่ต้องอธิบาย  ท่านฟังแล้ว บรรลุพระอรหันต์
   ภาษิตนั้นพระพุทธเจ้าแสดงว่า
   
      " มุญฺจ   ปุเร  ปจฺฉโต  มชฺเช  มุญฺเจ   ภวสฺส  ปารคู
        สพฺพตฺถ  วิมตฺตมานโส  น   ปุน  ชาติชรํ  อุเปหิสิ "
   
        อุคคเสนได้ฟัง ภาษิตนี้ ได้บรรลุพระอรหันต์ เป็นขิปปาภิญญา  ตรัสรู้แล้ว เมื่อท่านตรัสรู้ธรรมแล้ว  ก็ขอบรรพชา อุปสมบท พระพุทธเจ้าก็ให้ เอหุภิกขุ ยวช เป็นพระเดินตามหลังพระพุทธเจ้าไปบิณฑบาตเลย
   
   อุคคเสนนี้เป็นลูกเศรษฐี  มีเงินสี่สิบโกฏ  ใจของท่านเป็นพระพ้นแล้วจาก อาสวกิเลส  ไม่ห่วงใยอาลัยในทรัพย์สมบัติ ไม่อาลัยในภรรยา และบุตร อาจจะมีคนพูดเป็นส่วนมากว่า ท่านมีบุญบารมีแก่กล้า  ก็จริง  เพราะทำบุญบุญบารมีจึงแก่กล้า แก่กล้าเพราะทำ  บางคนจะคอยบุญบารมี มันแก่กล้า แต่ไม่ทำบุญ  ถึงทำบุญก็ทำนิดๆ หน่อยๆ เงินให้ทาน ก็ทานนิดๆ หน่อยๆ รักษาศีลนิดหน่อย  ภาวนานิดหน่อย  ทำบุญน้อยแต่ทำบาปมากๆ
     
ให้ท่านพิจารณาดูตัวเองซิว่า  การทำบุญกับการทำบาป ข้างไหนมาก ข้างไหนน้อย  คุณจะรู้ได้เอง  ถ้าบุญบารมีมาก พอสมควร  จะบรรลุพระอรหันต์ได้ ต้องบรรลุแน่นอน  เหมือนอุคคเสนนี้  ที่บรรลุไม่ได้เพราะมัวแต่ทำบาป ละมั้ง  มัวแต่ ทำความตระหนี่ ขี้เหนียว มัวแต่ทำเวรห้า เวรแปด เวรสิบ มัวแต่ลุ่มหลงมัวเมา ทำแต่กิเลสกาม และวัตถุกาม  จงดูตน จง พิจารณาตน  จงสอนใจตน  ให้รู้ว่าบาป คืออะไร บุญคืออะไร  และเอาบาปที่ทำกับบุญ ที่คุณทำมาเทียบกันดู  คุณก็จะรู้ตัว เองได้เลย  ถ้าบุญบารมีพอบรรลุพระอรหันต์ได้เหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนพระอรหันตสาวก  สาวิกาทั้งหลาย
ภาษิตที่อุคคเสน ได้ฟังนี้มีความแปลว่า  ท่านจงเปลื้องความอาลัย ในกาลก่อนเสีย  ท่านจงเปลื้องความอาลัยข้างหล้ง เสีย   จักเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ  ท่านจงมีจิตพ้นแล้วจากมานะ  ความสำคัญมั่นหมายในที่ทั้งปวง เป็นของเราว่าเรามี เราเป็น ท่านจะไม่เข้าถึงและชราอีก  ภพชาติจบลงแค่นี้  ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

  ผู้ที่ท่านบารมีแก่กล้า ท่านก็เปลื้องได้ง่าย  ละได้ง่าย  ผู้มีบาปแก่กล้านี้ สิมันแสนยากเหลือเกิน ห่วงอาลัยในร่างกาย และชีวิต ห่วงอาลัยผัว ห่วงอาลัย เมีย ห่วงอาลัยหลาน    ห่วงอาลัยญาติมิตร ห่วงอาลัยทรัพย์สมบัติ อะไรๆ ก็มีแต่ของเรา ทั้งหมด  ติดจนมันตาย ยังไปเกิดเป็นผีเฝ้าทรัพย์เหมือนปู่โสมเฝ้าทรัพย์ นี่แหละเพราะมัวเมาทำแต่บาป บุญบารมีไม่พอสัก ที  วัน เดือน ปี นาที  ชั่วโมง  มันหมดไปสิ้นไป นะ  วันนี้แลานี้เราทำอะไร  เราทำบุญไหม  หรือเราทำบาปอยู่ ไม่ควร ประมาท ตายนะ  ร่างกายมันถึงเวลาตาย  มันตายจริงๆนะ  ระวังเราจะตายเปล่า  บุญกุศลมรรคผล นิพพานนะ รีบๆ ทำ เอาเสีย  เมื่อความตายมาถึงเรา  จะไม่เศร้าโศก  เพราะมีบุญทำไว้  เรามีมรรคผลทำไว้  รู้แจ้งพระนิพพานแล้ว  ใจละโลภ  โกรธ หลงสิ้น  ใจละมานะความถือตัว  ถือว่า เรามี  เราเป็น สิ้นแล้ว  สอนใจนะ  ถ้าบุญบารมีอินทรีย์แก่กล้าจริงๆ ต้องรู้แจ้งเห็นจริง ภาย ในใจในปัจจุบันนี้

ข้อความโดย: เลดี้เบื๊อก
« เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 08:54:34 pm »

   ตอนนั้นวัดสันติธรรมยังสร้างใหม่ กุฏิเป็นกระต๊อบมุงใบตอง โบสถ์ยังไม่ได้สร้าง ถามถึงท่านอาจารย์ พระท่านบอกว่า ไปลำปาง พักอยู่วัดสันติธรรมหลายวัน  รอท่านอาจารย์กลับ  ท่านก็ยังไม่กลับเลยถามอีกว่า  มีตรูบาอาจารย์อยู่ที่ไหนบ้าง พระท่านก็บอกว่า มีหลวงปู่ตื้อ อยู่อำเภอแม่ริม มีหลวงปู่แหวน อยู่วัดป่าห้วยน้ำริน หลวงปู่ชอบ อยู่บ้านยางผาแด่น มีพระองค์หนึ่งสุจิต พักอยู่ทีวัดสันติธรรม   พูดคุยถูกนิสัยกัน เลยชวนกันไปหาหลวงปู่ตื้อ ที่อำเภอแม่ริม เมื่อเดินทางไปถึง วัดป่าแม่ริมแล้ว ก็ไปกราบนมัสการท่าน ท่านก็ถามว่ามาจากไหน  ก็บอกให้ท่านทราบและกราบนมัสการถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ขอจำพรรษากับท่าน ที่วัดป่าแม่ริม ใน พ.ศ. ๒๔๙๓ เมื่ออยู่กับท่านปรากฏว่าท่านเทศน์เก่ง แนะนำพร่ำสอนดี   ในปีนั้น ท่านมักจะเทศน์เรื่อง ขันธ์ห้า  เทศน์เรื่อง อายตนะสิบสอง  ธาตุสิบแปด  อินทรีย์ยี่สิบสอง  โพชฌงค์เจ็ด  มรรแปด  ท่าน ยกหัวข้อธรรม ขึ้นมาแล้ว ท่านอธิบาย  เช่นท่านขึ้นขันธ์ห้าว่า " ปญฺขดฺชยฺโธ  รูปกฺขนฺโธ  เวทนากฺขนฺโธ  สญฺยากฺขนฺโธ  สงฺขารกฺขนฺโธ  วิญฺญาณกฺขนฺโธ " แล้วท่านก็อธิบายรูปกฺขนฺโธ ได้แก่รูปขันธ์ก็คือรูปร่างกาย  ชายหญิงทั่วไป  รูปมีธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ลม   ประชุมกันเรียกว่า รูปชาย รุปหญิง  รุปเป็นของปฏิกูลโดยที่เกิดปฏิกูลดัวยที่อยู่   ปฏิกูลด้วยสี  ปฏิกูล ด้วยกลิ่น  ปฏิกูลด้วยรส   ปฏิกูลด้วยการ สั่งสมระคนกัน  รูปขันธ์ก็ไม่เที่ยงจีรังยั่งยืน  มีความผันแปรเปลี่ยนแปลงแตกดับ ทำลายไปเป็นธรรมดา  ต้องทอดทิ้งไว้ในพื้นพสุธา หน้าแผ่นดิน ในโลกนี้ เวทนาก็ไม่เที่ยง  ผันแปรเปลี่ยนแปลง  สังขาร ก็ไม่เที่ยง ผันแปรเปลี่ยนแปลง   วิญญารก็ไม่เที่ยง ผันแปรเปลี่ยนแปลง  ขันธ์ห้าไม่เที่ยง  ขันธ์ห้าก็เป็นทุกข์   ขันธ์ห้าก็เป็น อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา  ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
   
      เมื่อท่านเทศน์เรื่องขันธ์ห้าแล้ว   บางวันท่านก็เทศน์เรื่องอินทรีย์หก  จักขุนทริยัง  โสตินทริยัง  ฆานินทริยัง   ชิวหาทริยัง  กายินทริยัง  มนินทริยัง  อิคถินปุริสิน
   
   จักขุนทริ คือตา  เป็นใหญ่ในการดูรูป รูปทุกชริดรู้ได้ด้วยตา   ตาเห็นรูป ถ้าไม่สำรวม ก็เกิดอาสวะได้  ตาเห็นรูป ดี เกิดความยินดี ตาเห็นรูปชั่ว เกิดความยินร้าย  ตาเห็นรูปทั้งดีและไม่ดี เกิดความหลงอวิชชา  ทำให้ใจมืดมน ไม่มีความ จริงของตาและรูป  ตาและรูปไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  ใจไม่รู้ เพราะใจหลง แล้วเกิดุอุปาทาน  ความยึดมั่นถือมั่น ของเรา ของเขา เรามี เราเป็น เขามี เขาเป็น
   
   อาสวะเกิดในอายตนะอย่างละสี่    สี่หกก็ยิ่สิบสี่  ท่านจึงสอนให้มีอินทรียสังวร  คือระวังใจไม่ให้ยินดี  ระวังใจไม่ให้ ยิ้นร้าย  ระวังใจไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมา  ระวังใจไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ถ้าสำรวม ระวังใจให้ดี อย่างนี้ละ มันก็หลุดพ้น ก็เห็นได้เอง ที่ใจ   
     
   หูเป็นใหญ่ในการฟังเสียง    จมูกเป็นใหญ่ในการดมกลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในการลิ้มรส  กายเป็นใหญ่ในการถูกต้อง โผฎฐัพพะ   ใจเป็นใหญ่ในการรู้ธรรมารมณ์   ต้องเอาของใหญ่ต่อใหญ่แก้กัน  ฝีกฝนอบรมศรัทธาให้เป็นใหญ่ ฝกฝน อบรมความเพียรให้เป็นใหญ่ ฝึกฝนอบรมสติ ให้เป็นใหญ่  ฝึกฝนอบรมปัญญาให้เป็นใหญ่  จะฝึกฝนอบรมอินทรีย์ห้านี้ ด้วยวิธีไหน

   ศรัทธาจะแก่กล้า เข้มแข็งขึ้นได้ด้วยอาการสามคือ   หนึ่งต้องหลีกเว้นคนไม่มีศรัทธา สองต้องคบบุคคลที่มีศรัทธา  สามต้องพิจารณาให้มากใน อสุสติหก คือพุทธานุสติ  ธรรมานุสติ  สังฆานุสติ  สีลานุสติ  จาคานุสติ  เทวดานุสติ  ในอนุ สติหกอย่างนี้  พิจารณาให้มากๆ  ศรัทธาก็จะแก่กล้า เข้มแข็ง วิริยะ ความเพียร จะมีกำลังแก่กล้า เข้มแข็งขึ้นได้ด้วยอาการ สาม  หนึ่งต้องหลีกเว้นจากบุคคลผู้เกียจคร้าน  สองต้องคบกับบุคคลที่หมั่นขยัน  สามให้พิจารณาองค์แห่งความเพียรคือ เพียรระวัง บาปไม่ให้เกิดขึ้นภายในใจ  เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้วภายในใจ  เพียรทำบุญกุศลให้เจริญ  เพียรรักษาบุญกุศลไว้ สติจะมีกำลังแก่กล้า เข้มแข็งขึ้นด้วยอาการสาม  หนึ่งต้องหลีกเว้นจากบุคคลผู้เผลอสติ สองต้องคบบุคคลผู้มีสติ  สามให้ระ ลึกเนืองๆ ในสติปัฏฐานสี่   สมาธิ จะมีกำลังแก่กล้า เข้มแข็งขึ้นได้ด้วยอาการสามคือ   ต้องหลีกเว้นจากบุคคล ที่มีจิตไม่ตั้ง มั่น จิตใจฟุ้งเฟ้ออยู่ด้วยนิวรณ์  สองต้องคบกับบุคคลที่มีจิตตั้งมั่น  สามให้พิจารณาเนืองๆ ในองค์แห่งฌานและวิโมกข์  ปัญญาจะแก่กล้า เข้มแข็งขึ้นได้ด้วยอาการสามคือ  หนึ่งต้องหลีกเว้นจากบุคคลผู้ไม่มีปัญญา  คนไม่มีปัญญามีลักษณะอย่างไร คือคนไม่เห็น กรรมชั่วเป็นชั่ว  ไม่เห็นกรรมดีเป็นดี  เห็นดีเป็นชั่ว  ไปเห็นชั่วเป็นดีไป เพราะคนไม่เห็นกรรมชั่วเป้นชั่ว ทั้งที่กรรมชั่ว ตัวเองก้ทำทั้งกาย วาจา ใจ  ยิ่งทางใจนี้ทำมากเหลือเกิน  ใจโลภอยากได้ยินดี ก็ไม่เห็นว่าชั่ว   ใจโกรธ พยาบาท อาฆาตจองเวร ก็ไม่เห็นว่าชั่ว  ใจลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในกิเลสกาม และวัตถุกาม ก็ไม่เห็นว่าชั่ว  เห็นว่าเป็นของดีไปอีก เมื่อเห็นชั่วเป็นดีแล้ว ก็พอใจในการทำกรรมชั่ว บาปอกุศลก็หนาแน่น จะให้ปัญญามันแก่กล้าเข้มแข็งได้อย่างไร   สองต้องคบผู้มีปัญญา   ถ้าทำเอาไม่ได้  พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็คงไม่มี
   
   ถ้าคุณเป็นผู้ฉลาดใน การฝึกฝนอบรมอินทรีย์แล้ว การบรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่ต้องไปถามใคร เหมือนเรารับประทาน อาหารเอง รสอาหารเรารู้ อิ่มเรารู้ ขอให้ทำอินทรีย์ให้แก่กล้า มรรคผลนิพพาน มันอยู่แค่ใจคุณนี้เอง
   
   ฉะนั้นจง พิจารณาอินทรีย์ของตนว่า ใจเชื่อไม่ว่า บุญกุศลมรรคผล นิพพาน ใจทำได้หรือว่าไม่ได้งั้นเหรอ หรือทำได้ แต่บาป   โลภใจทำได้ โกรธใจทำได้  หลงใจทำได้  ถ้าทำได้แต่กรรมชั่ว  กรรมดีทำไม่ได้  คงจะไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มี พระอรหันต์   พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านทำกรรมชั่วมาก่อน  ทำโลภ โกรธ หลง มาก่อน   ทำไมท่านจึงละได้ เพราะ ท่านเชื่อกรรมนี้เอง  ความเพียรก็เจริญ  สติก็เจริญ สมาธิก็เจริญ  ปัญญาก็เจริญ  ฉะนั้นขอให้ท่านผู้เจริญ จงทำเอาเถิด ทำ จริงๆ ของจริงคือ อริยสัจ จะปรากฏแก่ใจของท่านเอง เป็นสันทิฏฐิโก ใจเห็นได้เอง             
         
   ธรรมของหลวงปู่ตื้อมีมาก   ท่านเทศน์เก่งปฏิภาณโวหารท่านดี   อาตมาจำพรรษาอยู่กับท่านได้ประโยชน์ในการฟัง ธรรมมาก  เมื่อยู่กับท่าน อินทรีย์ของอาตมา ก็ยังไม่แก่กล้าพอ   ฉะนั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว จึงกราบลาท่านไปวิเวกไปพักที่ถ้า ปากสูง เร่งความเพียร เดินจงกรม นั่งภาวน ทั้งวันทั้งคืน  พิจารณากายนี้แหละ  ในมันหลง ใจมันยินดีในกาย  ในมันยึดกาย ว่าเป็นของเรา  ตอนพิจารณาอยู่ถ้ำปากสูง  พิจารณาจนปรากฏร่างกระดูก จึงพิจารณา ร่างกระดูกว่า ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็น อนัตตา  กระดูกก็ธาตุดิน ซึ่งเป็นโครงค้ำแข็งอยู่ในกาย  เห็นโครงกระดูกพังทลายลงไป  ใจรู้ว่ากายพังแล้ว  กายแตกสลาย แล้ว   กายเสื่อมสิ้นสูญไปแล้ว  ไม่มีอะไรเป็นเรา ไม่มีอะไรเป็นตัวตนของเรา  ใจมันก็รวมพรึ้บลง ที่ใจ รู้ใจ เห็นว่า เป็นธาตุ เป็นอนัตตา  ใจไม่ใช่เรา สูญเปล่าจากเรา  รู้แจ้ง สว่างขึ้นภายในใจ  ความไม่รู้ ความหลง มืดมนอนธการก็หายสิ้นไปจากใจ ไม่มีเรา ไม่มีผู้ทำ  ไม่มีผู้ได้ ไม่มีผู้เสีย  ไม่มีผู้เป็นนั่นเป็นนี่  เพิกถอนสมมุติออกจากใจ  เหลืออะไร เหลือแต่วิมุติ คือใจหลุด พ้นจากสมมุติ
ข้อความโดย: เลดี้เบื๊อก
« เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 08:47:29 pm »

เมื่อเสร็จสิ้นการทำฌาปนกิจเศษอัฐิธาตุของท่านแล้ว ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลอีกครั้งสุดท้าย อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แก่ ท่านอีก ครั้นต่อมา พระเณรครูบาอาจารย์ที่ท่านมาในงาน ท่านกลับไปวัดท่าน   ยังเหลืออยุ่สามรูป ก็มีแต่พระบวชใหม่ เพิ่ง ได้พรรษาเดียว จิตใจก็ว้าเหว่ นึกหาครูบาอาจารย์อีก เพราะตนยังเป็นผู้ศึกษาอยู่ทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติ ก็คิดจะลาญาติ โยมไปจังหวัดอุดร จึงได้ไปหาโยมบิดา  เล่าความประสงค์ให้ท่านฟัง โยมบิดา บอกว่าจะเอานาไว้ให้  จะเอาสวนให้ จะเอา วัวให้ จะเอาควายให้ ถ้าสึกออกมา ก็จะหาภรรยาให้ จะมอบทรัพย์สมบัติให้ ก็เลยพูกับท่านว่า พ่อ ไม่ต้องห่วงอาตมา ถ้า อาตมาอยู่ในศาสนาไม่ได้ สึกออกมา จะหาเอาเอง ถ้าหาเอาเองไม่ได้ จะพามันกินดิน ได้พูดกับท่านอย่างนี้ และได้บอกท่านว่า เอาขายเสีย ให้หมด แล้วเอาเงินไปทำบุญ โยมพ่อเอง ก็ให้ออกบวชเสีย
เมื่อ อาตมาพูดท่านก็ฟัง แล้วท่านก็พูดออกมาว่า จะขายให้หมดแล้ว จะออกบวช เมื่อได้พูดปรับเความเข้าใจกันแล้ว อาตมาก็ลาท่าน พ่อไปส่งที่สถานีรถไฟบ้านแฮด อาตมาก็ขึ้นรถไฟไปอุดร ไปขอจำพรรษาที่วัดทิพยรัตน์ มีท่านอาจารย์ฐิน เป็นเจ้าอาวาส เมื่อจำพรรษาที่วัดทิพย์รัตน์ ก็ได้เรียนนักธรรมโท และท่องสวดมนต์แปลด้วย และได้ท่องปฏิโมกข์ด้วย จน ออกพรรษาได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่ชอบ จำพรรษาอยู่หนองวัวซอ จึงคิดว่าจะไปกราบนมัสการท่าน เพื่อขอฟังธรรมคำสั่ง สอน จึงได้ไปขออนุญาติท่านอาจารย์ฐิน ก็เลยเตรียมเอาบริขารของตน ลาท่านเดินทางไป

เมื่อถึงวัดบ้านเล่า ท่านอาจารย์แพท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็เลยพูดให้ฟัง ว่าหลวงปู่ชอบ ท่านขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว ไม่ทัน ก็เลยลาท่านอาจารย์กลับมาวัดทิพย์อีก   จนรับกฐินเสร็จ ก็ได้ลาท่านอาจารย์ฐิน บอกท่านว่า จะไปเชียงใหม่ เพื่อตาม หาหลวงปู่ชอบ ก็ได้ออกเดินทาง ผ่านบ้านตาดไปอำเภอผือ ไปขอพักที่วัดป่าอำเภอผือ มีอาจารย์บุญมา อยู่ที่นั่น เริ่มสวด ปาฏิโมกข์ ครั้งแรกที่วัดป่า อำเภอผือนั้น

ครั้น วันหลังต่อมา ก็ได้ลาอาจารย์บุญมา ออกเดินทางไปพักวัดบ้านค้อ มีอาจารย์คำมีอยู่ที่นั่น ได้พักที่วัดป่าบ้านค้อ หลายวัน ต่อมาก็ได้ลาอาจารย์คำมี เดินทางต่อไป พักที่พระบาทบัวบก ต่อมาก็ย้ายไปพักที่ถ้าพระนาผักหอก พักภาวนาอยู่ที่ นั่นหลายวัน   ต่อมาก็ได้ไป พักที่บ้านคึมสะโนด มีบ้านสามหลัง ตอนในพรรษา หลวงปู่หล้า   ท่าน ได้จำพรรษาที่นั้น เมื่อ ออกพรรษาแล้ว ท่านก็ย้ายไปอยู่ถ้ำพระนาหลวง ก็คิดจะไปกราบนมัสการ เพื่อขอฟังธรรม ข้อปฏิบัติจากท่าน ต่อมาก็ได้ลา โยมที่นั่นเดินทางไปพักที่บ้านน้ำซึม ต่อมาก้ได้ไปพักที่บ้านนาเก็น   โยมบ้านนาเก็นนี้ มีลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น คนหนึ่ง ชื่อ ผู้ใหญ่เหี่ยว ไปเห็นที่ไร่ที่นาดี ก็เลยสึกมีครอบครัวอยู่ที่นั่น

 ก็ได้พักภาวนา อยู่ใกล้บ้านนาเก็น เขาไปทำที่พักให้ข้างทางช้าง   ช้างออก จาดงมาก็มากินน้ำ สมัยนั้นสี่สิบกว่าปีมาแล้ว ช้าง เสือ กวาง ฟาน หมู ไก่ป่า อย่างนี้ชุกชุม โยมเาทำที่พักข้างทางช้าง เขาจะลองดูว่าอาตมาจะกลัวไหม บุญรักษาอาตมา ก็มีคำว่าบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ เท่านี้เป็นอารมณ์อยู่ภายในใจ แต่ปรากฏว่าช้างไม่ลงมากินน้ำ ช่วงที่อาตมาพักภาวนา อยู่ที่นั้น พักภาวนาอยู่หลายวัน ก็เลยลาโยม เดินทางไปบ้านสว่าง ที่วัดป่าบ้านสว่างนั้น มีหลวงปู่จันทร์อยู่   หลวงปู่จันทร์ ท่านก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น   พัก ภาวนาอยู่กับท่านหลายวัน เลยขอให้โยมเขาพาไปหา หลวงปู่หล้า ที่ถ้ำพระนาหลวง ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่ถ้ำผาตัก ขอให้โยมไปส่ง เขาไม่รู้จักก็เลยไม่ได้พลหลวงปู่หล้า จึงได้กลับมาพักที่วัดป่าบ้านสว่างอีก

   ต่อ มาได้ลาหลวงปู่จันทร์ เดินทางผ่านบ้านปากลาง เดินทางผ่านดงปากเจียง ในดงนนี้มีช้างมาก มีช้างสีดอตัวหนึ่ง ไม่กลัวคน เห็นคนมันจะไล่ โยมเขาบอกว่า ครูบาเดินผ่านดงนี้ ให้ระวังช้าง ถ้าเห็นช้างหมู่ให้เป่ามือ มันจะแตกหนีไป ถ้าเห็น ช้างสีดอ ให้หลบให้ดีมันจะไล่ เราก็มีของดีคือ พุทโธ ไม่ต้องกลัว พุทโธป้องกันภัยอันตรายทุกอย่าง เดินไปจนเป็นเวลาบ่าย สี่โมงกว่า จึงข้ามพ้นจากดง ไปถึงบ้านหนอง    บ้าน นี้อยู่ฝั่งโขง ก็เดินผ่านบ้านหนองไปใกล้จะถึงบ้านหาดเบี้ย จึงพักปักกลด นอนจนถึงรุ่งเช้า บิณฑบาตบ้านหาดเบี้ย โยมใส่บาตรดีเหลือเกิน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ เมื่อฉันแล้วล้างบาตร เช็ด บาตรแห้งดีแล้ว ก็เอาผ้าครอง สิ่งของเอาใส่ในบาตร เตรียมเดินทางต่อไป
   
   จุดประสงค์จะเดินทางไปถึง เชียงใหม่  ญาติโยมใครถามก็บอกว่าจะไปเชียงใหม่   ก็เดินทางผ่านนบ้านผาแบ่นบัวโฮม ผ่านบ้านโคก มาถึงถ้ำผาปู่ มาพักที่ถ้ำผาปู่นั้นเจ็ดวัน  ไปถึงวันแรก พักที่ถ้ำน้อยทางตะวันออกถ้าผาปู่   เมื่อ เย็นลง ก็ทำวัตร สวดมนต์เสร็จก็ออกมาเดินจงกรม ได้สักพักหนึ่งก็กลับไปนั่งภาวนา ปรากฏเหมือนเสียงคนขึ้นบันไดมาหา เดินเหยียบขั้น บันไดเสียงกึกๆ ขึ้นมาถึงข้างบนพื้นถ้ำ ที่มีกระดานปูเสียงเงียบไป  ไม่ปรากฏเสียงเดิน สังขารมันปรุงไปว่าผีหลอก มันจะให้ ลุกออกไปดู   ขนลุกซู่ซ่าไปหมด ก็เลยบอกมันว่าไม่ไปดู นั่งหลับตาภาวนาอยู่นั่นแหละ   ถ้าเป็นผีมันจะกินได้ ให้มันกินเสียเลย  ตายแล้วไม่ต้องไป ต้องมาให้เป็นทุกข์ นั่งภาวนาพุทโธ พุทโธ อยู่อย่างนี้ จนอาการขนลุกขนชันมันระงับ ไป   นั่งอยู่จิตก็สงบเย็นลงมา   ต่อมาเมื่อออกจากภาวนาแล้ว ก็จุดเทียนส่องดูไม่เห็นมีอะไร
   
   ครั้นรุ่ง เช้า มาก็ไปบิณฑบาตบ้านน้ำภูบา  เมื่อ ก่อนรู้สึกกันดารมาก ไปบิณฑบาตก็ได้ข้าว เกลือ พริก น้ำอ้อย ได้มาอย่าง ไรก็ฉันตามมีตามเกิด ก็สบายไม่ต้องไปสร้างภวตัณหาอยากได้อยากดี  อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คราวนั้นได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำ ผาปู่เจ็ดวัน ก็ออกเดินทางต่อไป ขอพักที่วัดเลยหลง หนึ่งคืน   รุ่ งเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมบริขารไปลาท่านเจ้าคุณ ก็ออกเดินทางต่อไปที่วัดบ้านม่วง ท่าแพร ซึ่งมีหลวงปู่ซามา อยู่ที่นั่น  พักที่วัดหลวงปู่ซามา ได้สามคืน ก็ไปลาท่าน ท่านถาม ว่าจะไปไหน  บอกท่านว่าจะไปเชียงใหม่ ลาท่านเสร็จก็ออกเดินทางผ่านบ้านภูสวรรค์ไปด่านซ้าย  พักที่ด่านซ้ายหนึ่งคืน รุ่งเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมบริขารไปลาเจ้าอาวาส ก็ออกเดินทางมุ่งไปหล่มเก่า
   
   ขณะ เดินทางจากด่านซ้ายไปหาเมืองหล่ม เกิดจับไข้สั่นหนาว เลยเข้าพักภาวนาใต้ร่มไม้ประมาณชั่วโมงกว่าอาการ ระงับลง ก็เลยออกนั่งภาวนา เดินทางต่อผ่านหล่มเก่าไปหล่มใหม่   ขอพักที่วัดหล่มใหม่หนึ่งคืน ตื่นเช้าไปบิณฑบาตได้ข้าว มานิดหน่อย อาหารอื่นไม่มี ก็เลยฉันข้าวไม่อิ่ม ก็หยุดล้างบาตร   เตรียมบริขารใส่ในบาตร ก็ออกเดินทางต่อไปเพ็ชรบูรณ์ ค้างที่เพชรบูรณ์คืนหนึ่ง รุ่งเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมบริขารลาเจ้าอาวาส  แล้วเดินทางต่อถึงสามแยกไปพักที่วัดข้าง ทาง จะขึ้นเขารัง  รุ่งเช้ามาไปบิณฑบาต มาฉันเสร็จแล้ว ก็เตรียมบริขาร ไปลาหลวงปู่เคลือบ ที่เป็นเจ้าอาวาส เสร็จแล้ว ก็เดินขึ้นเขารัง  หยุดพักใกล้บ้านกรมทาง  รุ่ ุงเช้ามา โยมที่กรมทางนั้นใจบุญ ส่งขึ้นรถยนต์มาลงที่สะพานหิน เมื่อถึง สะพานหินแล้ว ก็เดินตามทางรถไฟขึ้นมาเรื่อยๆ ค่ำไหนก็พักใต้ร่มไม้ เช้ามาก็บิณฑบาตฉัน   ฉันเสร็จล้าง เข็ดแห้งดีแล้ว ก็เตรียมบริขารเดินทางต่อมา เรื่อย   ค่ำ ก็พักค้างคืน เช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมเดินทางต่อเรื่อยๆ ผ่านพิจิตร ผ่าน พิษณุโลก ผ่านอุตรดิตถ์ ผ่านบ้านด่าน จนถึงสถานีปางป๋วย  พักที่วัดป่า สถานีบ้านปางป๋วยหลายวัน  อาจารย์สวาท ซึ่งเป็น หลานชายหลวงปู่ตื้ออยู่ที่นั่น   ต่อมาโยมผู้ใจบุญสถานีปางป๋วย ถวายตั๋วรถไฟมาลงลำปาง  ไปขอพักที่วัดนาก่วมหนึ่งคืน  รุ่งเช้าเตรียมบริขารเสร็จ ไปลาเจ้าอาวาส ก็เลยไปขึ้นรถไฟขบวนลำปางเชียงใหม่
   
    วันนี้ ขบวนรถไฟจากลำปางไปเชียงใหม่ ไม่ได้ฉันอาหารเพราะเทวดาตาดีไม่มี ก็เลยฉัน พุทโธ พุทโธ เรื่ยยๆ จนถึงสถานีเชียงใหม่ พอรถจอดที่สถานีแล้วถือเอาบริขารลงรถไฟ ก็พบกับหลวงปู่สิม ท่านจะไปลำปาง ท่านเห็นลงรถไฟ ท่านก็เดินมาถามว่า จะไปไหน ก็เลยบอกท่าน  ผม จะไปวัดสันติธรรม ท่านเลยบอกเอาบริขารมานี่ ท่านไปส่งขึ้นรถสามล้อ ท่านให้เด็กของท่านจ่ายค่ารถสามล้อ ให้บอกคนรถไปส่งที่วัดสันติธรรม ก็เลยได้ไปพักอยู่วัดสันติธรรม