ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 04:50:46 pm »วิถีแสดงออกแห่งองค์คุณ
มรรคแห่งมหามุทรา ประกอบด้วยภูมิทั้งสิบและมรรคทั้งห้า ซึ่งทั้งหมด มีสอนในส่วนทั้งหมดของยานทั่วไปและไม่มีการปะปนกัน ธรรมชาติของมรรค จึงเป็นเรื่องของบุคคลผู้รู้แจ้งโยคะทั้งสี่จะบรรลุภูมิทั้งสิบและมรรคทั้งห้า นี้แบบค่อยเป็นค่อยไปหรือแบบฉับพลัน สำหรับบางคนองค์คุณเหล่านี้ ไม่ได้ปรากฏเป็นอะไรบ้างสิ่งที่เห็นได้ชัด ๆ นั่นเป็นธรรมชาติของมรรค แห่งมนตราชนิดลับ นกและสัตว์ป่าส่วนมากหลังจากลืมตาดูโลกแล้วยัง ต้องพัฒนาร่างกายให้แข็งแรงจนกว่าจะเทียบเท่าแม่ของตน ครุฑ ผู้ปกครอง แห่งนกทั้งหลาย หรือราชสีห์ราชาแห่งสัตว์ป่าทั้งหลาย พัฒนา ความแข็งแรงมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่เป็นตัวอ่อนซึ่งไม่มีใครเห็น เมื่อคลอดออกมาสามารถแสดงความสามารถได้ทันที เช่น บินไปในท้องฟ้าพร้อมกับแม่ของมัน
ทำนองเดียวกัน อาการแสดงของการรู้แจ้งไม่สามารถเห็นได้ ตราบเท่า ที่ผู้ปฏิบัติยังคงกักขังตนเองอยู่ในร่างกายที่เป็นวัตถุ ภายหลังจากการ แตกสลายของร่างกายและการสุกงอมของผลลัพธ์ ความสมบูรณ์เหล่านี้ จึงจะแสดงออกมาพร้อม ๆ กัน
ยิ่งกว่านั้น บางคนมุ่งมั่นในหนทางที่รวมวิถีและปัญญาเข้าด้วยกัน สามารถ เห็นเครื่องหมายแห่งปฏิบัติในตัวเขา เช่น อิทธิฤทธิ์ และอภิญญา แต่ตาม ความจริงแล้ว โดยปราศจากความเป็นผู้เชี่ยวชาญในความเหมือนแห่งอวกาศ และปัญญา จิตเหนือมโนคติ ธรรมชาติที่แท้ของสรรพสิ่ง และปัญญาที่แท้ ภายใน ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสิทธา บางท่านถูกครอบงำโดยความเย่อหยิ่งและเหลิง คิดว่าเป็นสิ่งเยี่ยมในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นผลการปฏิบัติ เขาเหล่านั้นได้ส่งตนเองและผู้อื่นสู่ทุคติภูมิ ดังนั้น ควรที่ผู้มีปัญญาทั้งหลาย จะพึงระมัดระวังให้รอบคอบ
ส่งเสริมการปฏิบัติ
เมื่อได้อธิบายหลักธรรมและการภาวนา วิถีทั้งห้าและภูมิทั้งสิบอย่าง ย่อ ๆ แล้ว ต่อไปจะได้อธิบายการปฏิบัติศีลและวัตรต่าง ๆ ( conduct ) ซึ่งเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติ
ส่วนใหญ่ของมรรคในมนตราลับ มีปฏิปทาที่ต่างกัน ๓ ชนิด คือ ชนิด ประณีต ( อภิสมาจาร ) อนาจาร ( ไม่ปราณีต ) และปาปสมาจาร และ ยังมีปฏิปทาลับ ปฏิปทาของกลุ่ม สติวินัย พุทธจริยา และอื่น ๆ มีกรณี ต่าง ๆ กันอย่างมากมาย แต่ส่วนใหญ่เป็นข้อส่งเสริมการปฏิบัติ ขั้น พัฒนาและขั้นเสร็จสมบูรณ์ ในกรณีนี้ ข้อปฏิบัติอันยิ่ง ( อธิศีล ) ซึ่ง ดำรงรักษาภาวะที่แท้ ปราศจากมโนคติ เป็นสิ่งเดียวที่สำคัญ
แม้ในภาคนำแห่งการสะสม ขจัดอุปสรค และวิถีแห่งการรับการประสาทพร เธอควรปฏิบัติในข้อปฏิบัติอันยิ่ง ( อธิศีล ) คือไม่ให้มัวหมอง ด้วยโลกธรรมทั้งแปด และมีความบริสุทธิ์กระทั่งไม่ต้องละอายในตนเอง
เมื่อมั่นใจในหลักธรรมและหลักสำคัญแห่งการภาวนากระทั่งแจ่มแจ้ง ในญาณหยั่งรู้แล้ว เธอควรมุ่งสู่การปฏิบัติ " รู้หมดในหนึ่งและรู้หนึ่ง รู้หมด " นั่นเป็นการวางแผนทั้งหมดจากภายในตัวเธอ และตัดความสงสัยทั้งหมดในใจเธอ
ท้ายสุด แม้ว่าคัมภีร์และคำสอนปากเปล่าทั้งหลายจะสอนปฏิปทาเพื่อ ส่งเสริมการปฏิบัติ แต่แก่นแท้ย่อมเป็นเช่นนี้ กล่าวคือ ตัดขาดจาก ความยึดติดกับโลก และอยู่โดดเดี่ยวบนเขาอันสงัด นี้คือข้อปฏิบัติของ " กวางผู้บาดเจ็บ " ปราศจากความกลัวและวิตกเมื่อเผชิญหน้ากับความ ยุ่งยาก นี่คือข้อปฏิบัติของ " ราชสีห์ผู้เที่ยวไปใป่าเขา " อิสระจากความ ยึดติดในกามคุณทั้งห้า นี่คือข้อปฏิบัติของ " สายลมบท้องฟ้า " ไม่เกี่ยวข้องกับความยอมรับหรือปฏิเสธโลกธรรมทั้งแปด นี่คือข้อปฏิบัติของ " คนวิปริต " รักษาความเป็นไปอย่างธรรมชาติแห่งจิตคือเรียบง่าย ไม่มีความเข้มงวด ขณะที่ไม่ถูกผูกมัดด้วยทวินิยม นี่คือข้อปฏิบัติของ " มีดที่เสียบอากาศ "
ขณะที่ผูกพันกับข้อปฏิบัติเหล่านี้ ควรละโซ่ตรวนคือ การเที่ยวไปด้วย ความหลง ความฟุ้งซ่านวอกแวก ความหวังและความกลัว หากเกี่ยวข้อง แม้เพียงเท่าเส้นผม เพื่อจะพบเครื่องหมาย เครื่องบ่งชี้ ประสบการณ์การ รู้แจ้ง หรือ สิทธิ์ และอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้จะไม่ให้อะไรแก่เธอ นอกจากปกปิด ภาวะที่แท้ สภาวะดั้งเดิมของเธอ และโฉมหน้าที่แท้แห่งธรรมกาย การมุ่ง ดำรงรักษาภาวะที่แท้ที่เป็นความไม่ปรุงแต่ง นั่นเป็นปฏิปทาที่สูงสุดในการ นำทุกสิ่งมาสู่มรรค
โดยปราศจากการคำนึงถึงความยุ่งยากต่าง ๆ เช่น ความคิดด้วยมโนคติ อารมณ์รบกวนต่าง ๆ ความทุกข์ ความกลัว ความเจ็บป่วย หรือความตาย ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว จงนำสิ่งเหล่านี้มาสู่มรรค ในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญ ของมหามุทรา ไม่หวังพึ่งหรือวางความเชื่อไว้ในสิ่งอื่นใดมาแก้ปัญหา เหล่านี้ นี้เป็นราชาแห่งข้อส่งเสริมการปฏิบัติทุกชนิด
บุคคลผู้สามารถปฏิติอย่างที่กล่าวมาแล้วย่อมสามารถเป็นนายเหนือสังสาระ และนิพพาน ปรากฏการณ์และความมีความเป็นต่าง ๆ ดังนั้น ธรรมชาติ ที่แท้คือเธอจะเป็นอิสระจากพื้นฐานแห่งความมืดมัวทั้งปวง มหาสมุทรแห่ง ความสำเร็จจะท่วมท้น และความคิดมืดจากสิ่งปกคลุมสองอย่างถูกชำระ ประกายแห่งความหมายและความสำเร็จจะฉายฉาน จะพบพระพุทธเจ้า ในใจเธอเอง และพันธสัญญาในการทำประโยชน์แก่ผู้อื่นจะเปิดกว้าง
ตรงกันข้าม เหตุแห่งความพังพินาศคือเมื่อนักภาวนาทิ้งอัญมณีมีค่าซึ่งอยู่ ในมือของตน และเหมือนกับเด็กเก็บดอกไม้ เขาเหล่านั้นใช้เวลาชั่วชีวิต หวังสิ่งที่ดีกว่าครั้งแล้วครั้งเล่า