๐๐๐ โลกธรรมแปด ๐๐๐โดย
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภแห่งวัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
แสดงธรรมเทศนาที่บ้านลานทอง
22 พฤษภาคม 2542
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดสติปัฏฐาน ๔ กระทู้ 14576 โดย : รักษา 31 มี.ค. 48นโมตส ภควโต อารหโต สัมมาสัมพุทธส
นโมตส ภควโต อารหโต สัมมาสัมพุทธส
นโมตส ภควโต อารหโต สัมมาสัมพุทธส
ผุฎฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ . อโลกํ วิรชํ เขมํ เอตมฺมงฺ คลมุตฺตมํ ติ (บุคคลผู้ใด ได้ประสบกับโลกธรรมแปดประการนี้แล้ว มีจิตใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ต่อโลกธรรมแปดอย่างนี้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มี จิตเกษม มีจิตปลอดโปร่ง จากความทุกข์ความเดือดร้อนโดยประการทั้งปวง เป็นมงคลอันสูงสุด)
ให้พากันนั่ง นั่งตามสบายนะ นั่งตามสบายนั่งยังไง ก็เป็นที่สบายใจก็นั่ง ไอ้อ้วนนี่นั่งขัดสมาธิก็ได้นะ นี่มันนั่งพับพับเพียบได้ดี นะ ไอ้ผอมนี่มันนั่งขัดสมาธิได้ดี อ้าวพากันตั้งใจเมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว เราทุกคนก็ชื่อว่าเคยชิน กับการปฏิบัติมาโดยลำดับ แต่ก่อนนี้ก็มีเดือนละครั้งต่อมานี้ คุณสรศักดิ์ ก็มาเพิ่มขึ้นเดือนละสองครั้งหรือสาม ก็ไม่รู้นะ สองหรือสามล่ะ
มีเสียงตอบ “สองครับ”
เดือนละสองครั้ง เอาวันเสาร์กันวันอาทิตย์หรือไง มาเพิ่มขึ้นอีกก็ดี จะได้ไม่ลืมธรรมะที่เราได้ยินได้ฟังไป แล้วก็ไปประพฤติปฏิบัติตามอยู่บ้านอยู่เรือนของตน แล้วฝึกใจของตนให้เป็นไป ตามธรรมะที่ท่านแนะนำสั่งสอน อันบุคคลเกิดมาในโลกนี้ ซึ่งจะไม่ได้พบกับโลกธรรมแปดประการนั่น คง ไม่มี แต่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในโลกก็ยังได้ประสบ โลกธรรม คือได้พบกับความสรรเสริญ ความนินทา ความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ ได้ประสบความสุขกายสบายใจ แล้วก็ได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจเนื่องจาก ว่าโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน อย่าว่าแต่คนธรรมดาสามัญเลย ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ยัง ได้พบได้ประสบกับ โลกธรรมแปดประการนี้ เหตุนั้นพระองค์เจ้าจึงได้ทรงแสดง ไว้ในมงคลสูตร ว่า
ผุฎฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ ยสฺส น กมฺปติ อโลกํ วิรชํ เขมํ เอตมฺมงฺ คลมุตฺตมํ
แปลว่าบุคคลผู้ใด ได้ประสบกับโลกธรรมแปดประการนี้แล้ว มีจิตใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ต่อโลกธรรมแปดอย่างนี้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มี จิตเกษม มีจิตปลอดโปร่ง จากความทุกข์ความเดือดร้อนโดยประการทั้งปวง พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงไว้อย่างนี้
แต่สำหรับพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์นั้น ท่านได้รู้เท่าโลกธรรมแปดอย่างนี้แล้ว แม้ใครจะนินทา สรรเสริญ ท่านก็ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุว่า คนในโลกนี้แหละ ถ้าเขาชอบใจเขาก็สรรเสริญให้ ถ้าเขาไม่ชอบใจเขาก็นินทาให้ อันนี้มันเป็นเรียกว่า โลกธรรม เป็นธรรมประจำโลก บุคคลผู้ยังไม่สิ้นกิเลสก็เป็นอย่างนี้ละ ท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วท่านไม่นินทาใคร ท่านไม่สรรเสริญใคร ถ้าสรรเสริญก็สรรเสริญในบุคคลผู้กระทำคุณงามความดี ไม่ใช่สรรเสริญด้วยความลำเอียง ถ้าบุคคลผู้มีกิเลสเหล่านี้มีอคติ เห็นเพื่อนที่รักต่างๆ มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เมื่อเห็นเขาทำชั่วลงไป แล้วก็ปกปิดความชั่วของเพื่อนนั้นไม่เปิดเผย ไม่ตักเตือนกันอย่างนี้ ช่วยปกปิดความชั่วของเพื่อนไว้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้มี ฉันทาคติ เป็นผู้มีความถือความรักใคร่เป็นเกณฑ์ แม้ว่าผู้นั้นจะทำชั่วอย่างไร ก็สนับสนุนอยู่งั้นแหละ อือ แต่คนส่วนมากมักจะเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นเพื่อนรักเพื่อนใคร่กันละโอ๊ ทิ้งกันไม่ได้ ถ้าถึงทำผิดทำพลาด ยังไง ต้องอุ้มชูกันไว้ ก็เป็นการส่งเสริมให้คนผู้นั้นทำชั่วเรื่อยไป เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ทั้งหลายท่านจึง ไม่ประพฤติเช่นนั้นต่อไป ใครจะทำดี ก็เป็นความดีของผู้นั้นใครกระทำชั่วก็เป็นความชั่วของผู้นั้น เราจะไปลบล้างความชั่วเขา ไม่ได้เขาเองต้องลบล้างความชั่วเขาเอง เมื่อเขารู้ตัวเมื่อใดว่าอ้อเรานี่ทำผิด ทำชั่วแล้วอย่างนี้เขากลับจิตเขาไม่ทำอีกต่อไปแล้ว อย่างนี้ความชั่วมันจึงจะหมดไป ไม่ใช่ว่าผู้อื่นไป ปิดบังไปอุ้มชูเข้าไว้ ความชั่วของผู้นั้นจะหมดไปเอง โดยที่ผู้นั้นไม่ได้เห็นโทษแห่งความชั่วนั้นเลย เช่นนี้นะไม่ควรแท้พวกเรา