ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 11:01:28 pm »We are like the slow-sinking boats
(เราก็ไม่ต่างจากเรือ ที่กำลังจมลงอย่างไปช้าๆ)
ส่วนมือเขียนบทก็เป็นคนเดียวที่เขียนบทและร่วมกำกับจากหนังเรื่อง
Dance of the Dragon ที่เป็นงานร่วมดาวเอเชียหลายสัญชาติ
อาทิ เจสัน สก็อต ลี ลูกครึ่งอเมริกา, จาง ฮุก จากเกาหลี และเฟย หวอง
จากสิงคโปร์ เป็นรักสามเศร้าครั้งนั้น จนมาครอบครัวเกือบเศร้าในครั้งนี้
แต่เสน่ห์ของ Tokyo Sonata สำหรับผู้เขียน คือ การล้อมวงร่วมกินข้าว
ของสมาชิกในครอบครัว ที่ดูจะเป็นเอกลักษณ์ประเทศ ไม่ใช่แค่สาย
ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ดูจะเป็นสายวัฒนธรรมของแทบโลกตะวันออก
เพียงแต่การสอดแทรกให้ดูโดดเด่น ผกก.ญี่ปุ่นดูจะเน้นเอื้อต่อการเข้าฉาก
โดยเฉพาะในซีรีย์ญี่ปุ่นที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวด้วยแล้ว
แทบจะเป็นสูตรวิชาบังคับที่ขาดไปเสียมิได้ ไม่ว่าจะเป็นซีรีย์อย่าง
Otousan , Summer Snow ,Grand Family ,FlowerShop without Rose
หรือ Aikurushii ปากก็กินไปพร้อมกับสอบถามสารทุกข์สุขดิบภายในครอบครัว
แม้คนเป็นลูกจะพยายามหลีกหนี ที่ไม่อยากพูดคุยด้วยก็เหอะ
แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธ ที่จะไม่ร่วมทานข้าวให้อยู่ท้องได้
ถึงขั้นมีมาตราการลงดทษให้อดข้าวกันมาแล้วก็มี
เป็นกติการตามธรรมเนียมสามัญครอบครัว ที่ปัจจุบันนี้ไม่แน่ใจว่า
การมีอาหารสะดวกซื้อและหากินเองได้นอกบ้าน จะทำให้โต๊ะกินข้าว
แลดูศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตจริงรึไม่ ถ้าไม่แล้วทุกวันนี้โต๊ะกินข้าวจะถูกดัดแปลง
อรรถประโยชน์เหมือนกับเครื่องออกกำลังกายที่ไว้แขวนเสื้อผ้ารึเปล่า
อันนี้ก็ไม่แน่ใจอีกเช่นกัน
แต่ถึงกระนั้น Tokyo Sonata ก็ได้รับอิทธิพลจากงานในสาย Ozu เเบบเต็มๆ
อย่างยากที่จะเอ่ยคำปฎิเสธออกมาได้เต็มปาก เพราะความที่กลิ่นแนว
ดราม่าที่ใช่ว่าจะเล่นหนักเพียงสถานเดียว อย่างน้อยๆก็ยังมีเสียงตลกแหะๆ
ในการพฤติกรรมของตัวละครที่ไม่ได้มีเจตนาที่จะเล่นให้ขำก็ตาม
แม้จะมีรสตลกปนสังเวชอยู่หน่อยๆ จะว่าตลกร้ายก็ไม่แปลกนัก
เพราะเป็นความร้ายที่สอดรับการสถานการณ์อันน่าสิ่วน่าขวานของชีวิต
แบบไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า และทางเลือกที่ว่าอาจจะไม่ดีที่สุด
แต่ก็ยังดีกว่าไม่ลงมือกระทำแล้วยังนั่งภาวนาถึงอดีตอันหวานชื่น
อีกทั้งการแบกรับปัญหาด้วยทัศนคติความเชื่อแต่ดั้งเดิมที่ว่า
คนที่เป็นพ่อ ยอมต้องเป็นหัวเรือใหญ่ที่แบกรับในทุกสถานการณ์
และมีอำนาจการบัญชาการสูงสุด
โดยไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ที่ผันเปลี่ยนในปัจจุบัน
ที่ผู้หญิงมีสิทธิแบกรับในการหารายได้เพื่อเสริมสภาพคล่องแก่ครอบครัว
และเหล่าบรรดาลูกน้อย ที่มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นเพื่อแบ่งปัน
ความรู้สึกและหนทางร่วมในแก้ปัญหาไปด้วยกัน
ซึ่งบทของผู้เป็นพ่อนี้ เทรุยุกิ คากาวะ เล่นได้เด็ดขาดและเด็ดดวงยิ่ง
ซึ่งบทประมาณนี้แกก็ถนัดมาแต่ไหนแต่ไหน นับตั้งแต่ใน
ซีรีย์ Unfair และ Mr.Brain ที่นิยมการเอะอะมะเทิงและสื่อความเป็น
อำนาจนิยมเป็นเบื้องหน้า แต่ทว่าเรื่องน้ำใสใจจริงแล้ว
ก็ปรารถนาดีได้ไม่น้อยหน้ากว่าใครๆ
ส่วนตัวแม่ เคียวโกะ โคอิซุมิ ที่รับบทเป็นเมกุมิ
อาจจะได้รับบทที่ต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่เคยรับเล่นก่อนหน้า
ที่มักมาตามแนวสายแม่ ที่เป็นแม่บ้านตามจารีตดีศรีสังคม
อาทิ แม่ของยาทาโระ ใน Nada SoSo หรือแม่ของมิชิโกะ ใน Love my Life
เพราะการมาครั้งนี้ของเธอ นอกจากจะอมทุกข์โศกและผิดโลกจารีตนิยม
ทางสังคมด้วยแล้ว ยังมีกระบวนการคิดอ่านที่สะท้อนความเป็นตัวแทนทาง
สังคมของแม่บ้านสมัยใหม่ ที่อยากจะปลดปล่อยพันธนาการบางสิ่งบางอย่าง
ที่คุณสามีปัจจุบันที่เมาเหล้าโซซัดโซเซยามดึก เขาไม่เข้าใจ
ซึ่งเรื่องนี้เจ๊ก็บรรเลงได้สักเต็มเหนี่ยว ไม่เหนียวฝีมือ
แต่บทลูกชายหัวปลี ที่รับเล่นโดย ยู โคยานางิ
ที่มีบทแสดงออกต่อฉาก ค่อนข้างน้อยกว่าน้องคนเล็ก
แถมไปรับเล่นหนังหรือซีรีย์เรื่องอื่นๆ ก็มักจะได้รับบทแขกรับเชิญ
หรือไม่ก็ตัวประกอบ อย่างใน Crow Zero ภาค๑และ๒ รวมทั้ง
My Boss My Hero ก็โผล่มาแค่ตอนแรกตอนเดียวสักงั้น
แต่ก็เป็นนักแสดงที่ทุ่มทุนกร่อนผมสลวยให้เลียนเตียน เพื่อเหมาะกับบท
ทหารอาสาสมัครนอกดินแดน ที่ถือว่าเขียนบทได้อินเทรนด์เข้ากับยุคสมัยที่
สภาของญี่ปุ่นมีข้อถกเถียงกับการประจำการของกองกำลังป้องกันตนเอง
ที่ช่วยไปเสริมความมั่นคงภายในตะวันออกกลาง ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญ
จำกัดการเสริมแสนยานุภาพทางกองทัพ นับตั้งแต่ที่แพ้สงครามโลกเครั้งที่ ๒
การสร้างตัวละครนี้ขึ้นมา ถือว่ากล้ามากเพราะไม่ค่อยเห็นหนังญี่ปุ่นเรื่องไหน
กล่าวถึงประเด็นนี้เท่าไรนัก
ไม่เหมือนกับคนน้องที่เล่นได้เด่นเอามากๆ ถือเป็นบทแจ้งเกิดก็ว่าได้
เล่นโดย อิโนวากิ ไค ผู้เขียนไม่คุ้นกับเจ้าเด็กคนนี้สักเท่าไร
เลยทำให้ไม่ติดบทบาทเรื่องก่อนหน้าใดใด พอทำให้เชื่อว่า
เป็นเด็กดีที่มีปัญหาชีวิตได้ไม่ยาก เห็นว่าเล่นซีรีย์กับเขาเหมือนกัน
ถ้ามีโอกาสคงได้ติดตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องมีคนโม่ซับให้เสร็จสรรพ
เพื่อความเข้าใจที่ดีที่ตรงกัน ไม่งั้นผู้เขียนคงเออระเหยดูต้นฉบับ
นั่งเทียนในใจเหมือนครั้งเก่าก่อน ยิ่งเป็นนักแสดงชายด้วยแล้ว
พาลให้ไม่เกินสิบนาที เผลอๆมีปิดเอาด้วยความรำคาญใจ
แต่ต้องยอมรับว่า สื่อบันเทิงญี่ปุ่นเขาแม่นในการจับคนที่ไม่เป็นเปียโน
มานั่งทำนิ้วจุ่มๆ อย่างเป็นวิชา แล้วใส่เพลงบรรเลงในช่วงมิกซ์เสียง
ให้สมจริงในเชิงเนียนจับไม่ติด จะจับได้อย่างไรสักพักพี่ท่านก็ตัดสลับ
มุมกล้องไปทางโน้นที ทางนี้ที คงมีแต่เสียงเปียโนเท่านั้นที่มีความต่อเนื่อง
อยู่โดยตลอด เห็นมาเยอะแล้วจากในซีรีย์ Nodame Cantabile,
Mr.Brain ,Otousan, และ Tokyo Sonata ก็เช่นกัน
ที่ไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่า เพลง Clair de Lune ของ Claude Debussy
(ขอบคุณสำหรับข้อมูลจากท่านมะนาวเพคะ ที่ผู้เขียนอธิบายได้ด้วยเพียงเลียนเสียงดิ๊งด๋องๆ)
เป็นเพลงที่ถูกนำใช้ประกอบหนังก็หลายเรื่อง แต่ไม่ยักมีหนังเรื่องไหน
จงเจาะใช้เพลงนี้ในฐานะเครื่องมือชนิดหลัก ที่สยบทุกความเคลื่อนไหวของคนดู
ทั้งๆที่ไม่ได้คาดหวังอันใดว่า จะมาเจอะเพลงนี้ในฉากสุดท้าย
และดูคล้ายจะเป็นตัวแทนที่สรุปรวบยอด ของหนังเรื่องนี้ทั้งหมด
ดีดเสร็จก็จากไป เหลือไว้ในคำถามที่ว่า อ้าว!จบลงแบบนี้เลยเหรอ
แหม!หนังกำลังจะหนุกได้ทีแล้วเชียว ผู้กำกับแกก็เลิกถ่ายต่อสักงั้น
Music we play separately merge into an ending
None of us could've foreseen.
(ดนตรีที่เราเล่นอยู่ ได้แยกพวกเราไปสู่บั้นปลาย
ในที่ๆเราไม่อาจจะหยั่งรู้ได้อีกต่อไป)
คงเหมือนกับหลายๆคน ที่แสดงความเห็นเอาไว้ว่า
เป็นหนังที่อืดและเหนือยใน สองส่วนสามของความยาวทั้งหมดในเรื่อง
จนบางฉาก หากจะตัดทิ้งไป ก็จะช่วยเสริมบรรเทาความน่าเบื่อหน่าย
ที่มีให้เห็นเสียตั้งหลายฉาก แต่ถ้าใครสามารถอดรนทนได้ไปสักพักใหญ่
จนหัวเรือของเรื่อง หมุนวกตกท้ายคลื่นเข้ามากระทบฝั่งในสถานการณ์ปกติเมื่อใด
ที่เหลือก็จะนำมาสู่จุดสำคัญของเรื่อง และฉากที่แสนประทับใจ
ที่คิดว่า ถ้าไม่มีการดำเนินเรื่องที่แสนห้าวและชวนผล่อยหลับไปในหลายช่วง
เป็นตัวส่ง ความรู้สึกในระดับปริมาณของความประทับใจอาจได้ไม่มากเท่า
ภายใต้การกำกับของผกก. คูโรซาวา ก็ว่าได้
ส่วนใครที่รู้สึกว่าหนังจบ แต่คนไม่จบ นั่น
อันนี้มีความเป็นไปได้สูง เพราะตอนท้ายของหนังสรุปรวดรัดไปไกล
ผิดกับตอนเริ่มต้น ที่พยายามไล่เลาะตามเก็บทีละประเด็น
อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่สำหรับผู้เขียนแล้วจบก็คือจบ
จบแบบอโหสิกรรม เลิกแล้วต่อกัน อย่าได้หลอกหลอนซึ่งกันและกันเลย
รับการการันตีการเป็นหนังที่ดีไว้แต่เบื้องต้น
เพียงแต่ทว่า เป็นหนังดีที่ขอดูเพียงครั้งเดียว และไม่ขอเลี้ยวซ้ำแบบ
Be with You หรือ Departures ที่ประโลมโลกยิ่งกว่า แน่นอน ........ </B>
อวยข้อมูลโดย
imbb และ มารีออง@bloggang
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=chanpanakrit&date=21-03-2010&group=3&gblog=63
Tokyo Sonata - movie clip - Clair de Lune