ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 11:28:20 pm »ไร้นามไม่เห็นด้วยกับความคิดของกระบี่หักและความสำคัญของถ้อยคำนี้ ดังนั้นภารกิจการสังหารฉินอ๋องจึงยังคงต้องดำเนินต่อไปตามแผน แต่ถึงกระนั้นคำว่า “ใต้หล้า” นี้ก็ยังคงรบกวนจิตใจของไร้นามอยู่ตลอดเวลา
ฉินอ๋องได้ฟังเรื่องเล่าของไร้นามถึงเจตจำนงของกระบี่หักที่ไม่ต้องการให้พระองค์ถูกสังหาร ด้วยเหตุผลว่าในยุคแห่งสงครามระหว่างก๊กอันยืดเยื้อนี้ มีเพียงฉินอ๋องเท่านั้นที่จะยุติการสูญเสียและการนองเลือดของประชาชนได้ โดยการรวมแผ่นดินทุกก๊กเข้าไว้ด้วยกันภายใต้การปกครองของ ฉินอ๋องผู้ซึ่งจะมอบสันติภาพให้แก่ใต้หล้าหรือแผ่นดินนี้ต่อไป
ฉินอ๋องเกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นอย่างเฉียบพลันที่มีคนในแผ่นดินนี้แม้เพียงหนึ่ง ได้เข้าใจในปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์อย่างแท้จริง
การสนทนาของไร้นามและฉินอ๋องงวดเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ฉินอ๋องตระหนักดีว่าไร้นามคือนักฆ่า ที่ร้ายกาจและน่ากลัวที่สุด และยังเข้าใกล้ประชิดตัวยิ่งกว่าข้าราชบริพารของพระองค์เสียอีก
การสนทนาที่แลกหมัดกันด้วยปัญญาและไหวพริบครั้งนี้ ปรากฏรูปปั้นเป็นทิวแถวทหารยืนถือตะเกียงไฟ ประหนึ่งเส้นแนวที่กั้นกลางระหว่างไร้นามและฉินอ๋อง ฉากนี้สื่อถึงสัญลักษณ์ของสงครามในอีกรูปแบบหนึ่ง
ตะเกียงไฟที่กำลังลุกโชติช่วง เป็นดังความโกรธแค้นที่เผาไหม้ร้อนระอุอยู่ในใจของไร้นาม ตะเกียงไฟที่เป็นดังปราการกั้นทางจิตวิญญาณให้ศัตรูทั้งสองไม่อาจบรรจบลงรอยกันได้
ไร้นามผ่านด่านการตรวจอาวุธของเหล่าขันทีและได้รับอนุญาตให้เข้ามาในท้องพระโรงได้ เนื่องจากไม่มีอาวุธใดๆ ติดตัวมาด้วย ผู้กำกับสร้างภาพในฉากนี้ด้วยการให้ขันทีตรวจร่างกายของไร้นามอย่างละเอียดทุกซอกมุม แม้กระทั่งการนวดคลี่ไปตามมวยผมเพื่อเสาะหาอาวุธลับที่อาจซ่อนอยู่ แต่เมื่ออาวุธของไร้นามคือสติปัญญาอันเฉียบคมซึ่งถูกซ่อนไว้ในมันสมอง การตรวจสอบด้วยมือเปล่าจึงไม่อาจที่จะล่วงรู้ถึงอาวุธแห่งปัญญานั้นได้
แต่เมื่อผ่านการสนทนาอันยาวนานอันเป็นเสมือนการตรวจสอบอีกครั้งโดยฉินอ๋อง แววของคมปัญญาอันเป็นอาวุธที่มีพิษสงร้ายกาจของไร้นามก็ได้สว่างวาบขึ้นอย่างชัดเจน
ฉินอ๋องวัดใจไร้นามด้วยการโยนกระบี่ของตนไปให้ มองดูผิวเผินเหมือนพระองค์จะยอมแพ้ในชะตาชีวิต แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น
ฉินอ๋องผู้ปราดเปรื่องจับกระแสอารมณ์โกรธของไร้นามผ่านทางตะเกียงไฟที่ชี้พุ่งมาทางพระองค์ ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดไม่แพ้กันของฉินอ๋อง พระองค์ใช้อักษรคำว่า กระบี่ ที่เขียนด้วยหมึกแดงบนผืนผ้าที่แขวนอยู่เบื้องหลัง เป็นอาวุธสุดท้ายในการต่อกรกับนักฆ่าในครั้งนี้
ในยามที่ไร้อาวุธและไม่สามารถต่อสู้ด้วยกำลังกายภายนอกได้ การสู้ด้วยกำลังภายในหรือปัญญา คือสิ่งที่จำเป็นและฉินอ๋องก็สามารถใช้อักษรคำว่า “กระบี่” นี้เป็นอาวุธอย่างได้ผล
ฉินอ๋องอธิบายนิยามที่แท้จริงของคำว่า “กระบี่” ให้ไร้นามฟัง ว่าผู้เชี่ยวชาญการใช้กระบี่มีระดับความสำเร็จอยู่สามขั้น กล่าวคือ ผู้เชี่ยวชาญใน ขั้นแรก ต้องเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในมือตนเป็นกระบี่ แม้แต่คมหญ้าก็สามารถหยิบมาใช้ฟาดฟันศัตรูได้อย่างราบคาบ ขั้นที่สอง คือกระบี่นั้นต้องหายไปจากมือแต่ไปปรากฏอยู่ในใจแทน เพียงแค่ใช้มือเปล่าต่อสู้ก็มีอานุภาพที่ร้ายกาจได้ไม่แพ้กัน ขั้นสุดท้าย คือการหายไปของกระบี่ทั้งจากมือและหัวใจไปสู่ความรู้สึกที่ว่างเปล่าและสงบ ปราศจากการเข่นฆ่าอีกต่อไป
ฉินอ๋องมอบบทเรียนอันล้ำเลิศนี้ให้ไร้นาม จนเขาบรรลุความสำเร็จในการใช้กระบี่ขั้นสูงสุด แววตาซึ่งเคยมุ่งร้ายของไร้นามอันเป็นเสมือนคมกระบี่ที่พุ่งแทงผู้ถูกมอง บัดนี้กลับเหลือเพียงแววตาที่เยือกเย็นสุขุม ไร้นามได้หันปลายกระบี่ในใจเข้าหาตัวเพื่อประหารความโกรธที่มีอยู่นั้นจนแตกดับสิ้นสูญ
ผู้กำกับใช้กล้องมุมเงยเมื่อไร้นามมองฉินอ๋องผู้ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่า และใช้กล้องมุมก้มสำหรับฉินอ๋องในการมองไร้นามผู้ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า อันแสดงถึงจุดยืนที่ต่างระดับกันของผู้ที่อยู่ใต้ปกครองและตัวผู้ปกครอง จุดยืนที่ต่างกันนี้ย่อมสร้างมุมมองที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา มีหลายเหตุผลที่ประชาชนผู้อยู่ใต้อำนาจปกครองไม่เข้าใจการกระทำของผู้นำในรัฐ และมีอีกหลายเหตุผลเช่นกันที่ผู้นำในรัฐไม่เข้าใจความต้องการของประชาชน ความแตกต่างทางมุมมองในภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังจะยุติลงด้วยภาษาภาพยนตร์ที่แสนฉลาด
หลังจบการอธิบายถึงนิยามของกระบี่ ไร้นามทะยานข้ามตะเกียงไฟที่กั้นกลาง ขึ้นไปยืนอยู่ ณ จุดเดียวกันกับฉินอ๋อง เพื่อมอบความรู้สึกจากการถูกสังหารให้พระองค์ได้รับทราบ อันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่ประชาชนผู้ล้มตายจากสงครามของฉินอ๋องเคยได้รับ
มุมกล้องที่กวาดตามการเคลื่อนไหวของไร้นาม เปรียบเสมือนการก้าวข้ามปราการแห่งความโกรธที่กั้นคนทั้งสองอยู่ เพื่อจะได้ทำความเข้าใจและแลกเปลี่ยนความรู้สึกระหว่างกันเมื่อแต่ละคนต้องมายืนอยู่ ณ จุดเดียวกัน ( เหมือนภาษิตที่ว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา )
แรงของด้ามกระบี่ที่กระแทกเข้ากับร่างของฉินอ๋อง สร้างภาวะสุดยอดที่วูบขึ้นอย่างเฉียบพลันให้แก่พระองค์เสมือนฉินอ๋องได้ร่วมอยู่ในอารมณ์ของความตายนั้นจริงๆ อันเป็นความรู้สึกของประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อจากสงครามซึ่งพระองค์ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ภาวะแห่งอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นนี้ ถือเป็นบทเรียนล้ำค่าที่ไร้นามได้มอบให้
ไร้นามถอนตัวออกจากภารกิจกลางคัน การสังหารฉินอ๋องต้องพบกับความล้มเหลวอีกครั้ง
ผู้กำกับตัดภาพสลับไปมาระหว่างโทนสีขาว (ฉากหุบเขาสีขาวที่มีกระบี่หักและหิมะเหิน) กับโทนสีดำ ( ฉากในพระราชวังที่มีไร้นามและฉินอ๋อง ) คล้ายกำลังแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ภายในจิตใจของตัวละครแต่ละคน ที่ต้องขับเคี่ยวกันระหว่างอารมณ์แห่งกิเลสกับเหตุผลที่ถูกต้อง ( เสมือนฉากขาว-ดำ ที่แสดงถึงการต่อสู้ภายใจจิตใจตอนเริ่มเรื่อง )
หิมะเหินเสียใจเป็นอันมากและโทษว่าเป็นความผิดของกระบี่หักที่พูดกล่อมจนไร้นามยอมล้มเลิกภารกิจ การต่อสู้ที่เกิดจากปราการแห่งความไม่เข้าใจระหว่างหิมะเหินและกระบี่หัก (เหมือนเส้นแบ่งของแนวตะเกียงไฟ ) ได้เริ่มขึ้น ณ หุบเขาที่แห้งแล้งและขาวโพลนจนหิมะเหินพลั้งมือฆ่ากระบี่หักตาย
กระบี่หักเอาชนะใจตนด้วยการไม่หวั่นเกรงต่อความตายและประสบความสำเร็จในการแสดงให้หิมะเหินเห็นว่าตนมีความรักต่อนางอย่างแท้จริง ส่วนหิมะเหินก็พ่ายแพ้ต่ออารมณ์โกรธชั่ววูบของตน จนทำสิ่งที่แสนโง่เง่าลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ความเศร้าโศกเกินบรรยายของหิมะเหินเกาะกินหัวใจอย่างสุดขั้วและแล้วนางก็ฆ่าตัวตายตามกระบี่หักไปอย่างน่าเวทนา
ฉินอ๋องได้ประจักษ์แล้วซึ่งเหตุผลของบาดแผลที่กระบี่หักมอบให้ตอนบุกเข้าวัง คำตอบนี้ปรากฏอยู่ในความรู้สึกจากการถูกสังหารหลอกที่เป็นเสมือนการสั่งสอนของไร้นาม
ไร้นามเองก็แจ้งแก่ใจแล้วซึ่งเจตนารมณ์ของกระบี่หักที่ให้คำนึงถึงประโยชน์ของใต้หล้า (Public Interest) ว่ามีความสำคัญเหนือกว่าสิ่งใดและต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว (Private Interest)
การต่อสู้ภายในจิตใจของฉินอ๋องได้เริ่มขึ้นเมื่อต้องพิพากษาโทษแก่ไร้นาม การต่อสู้ภายในจิตใจของไร้นามต่อความตายที่กำลังจะมาถึงก็ได้เริ่มขึ้นเช่นกัน
แม้ความรู้สึกส่วนพระองค์ของฉินอ๋องจะไม่ต้องการฆ่าไร้นามก็ตามที (Private Interest) แต่เพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงแน่นอนของกฎหมาย (Public Interest) การตัดใจประหารชีวิตไร้นามจึงเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดตามแนวคิดอันว่าด้วยใต้หล้า
ขณะเดียวกันไร้นามก็ถึงแล้วซึ่งภาวะที่ความขลาดกลัวถูกประหารไปหมดสิ้น ไม่ว่าอาวุธใดของฉินอ๋องก็ไม่สามารถทำร้ายจิตวิญญาณที่กล้าหาญและยิ่งใหญ่ของเขาลงได้
เกาทัณฑ์นับหมื่นดอกพุ่งทะยานขึ้นฟ้าเพื่อปลิดชีพไร้นามในฐานะของนักฆ่าที่ลอบปลงพระชนม์ แต่แม้ว่าอาวุธเหล่านั้นจะรุนแรงร้ายกาจทะลวงร่างให้ยับเยินสักปานใดก็หาได้กระทบต้องตัวจิตวิญญาณอันเป็นอมตะนั้นให้ต้องระคายเคืองไปด้วยไม่ ( ความคิดนี้สื่อผ่านภาพพื้นที่ว่างบนผนังซึ่งปราศจากลูกเกาทัณฑ์ )
ไร้นามสิ้นชีพไปเยี่ยงวีรบุรุษจากวีรกรรมที่ไม่มีใครจดจำ เสมือนเหล่าเสรีชนคนไร้ชื่อ อีกมากมายที่แม้จะพลีชีพทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้กับแผ่นดิน แต่ในฐานะของประชาชนคนตัวเล็กแล้วก็ย่อม ไม่มีความสำคัญมากพอที่จะดึงดูดใจให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง
ฉินอ๋องผู้ซึ่งเคยเข่นฆ่าประชาชนไม่ปรานีประหนึ่งนักฆ่าผู้โหดเหี้ยม ต่อมากลับเป็นที่จดจำของชนรุ่นหลังในฐานะของวีรบุรุษผู้รวมอาณาจักรต่าง ๆ ในจีนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้กำแพงเดียวกัน กำแพงหินที่เป็นดั่งอนุสรณ์สถานอันยาวเหยียด ที่ย้ำเตือนให้ลูกหลานในชาติเห็นถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อันแสนยาวนาน
ภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงด้วยภาพกำแพงเมืองจีน อันเป็นเสมือนเชือกเส้นใหญ่ที่มัดรวมประชาชนในชาติเข้าไว้ด้วยกันจนเป็นปึกแผ่น กำแพงหินอันยิ่งใหญ่นี้ยังฝากบทเรียนสุดท้ายให้แก่ผู้ชมได้ตระหนักถึงความสำคัญของพลังสามัคคี
Hero นำเสนอประเด็นอันว่าด้วยความแตกแยก โดยสื่อผ่านการแบ่งโทนสีออกเป็นห้าสี ในช่วงเวลาต่าง ๆ ( สีดำ,สีแดง,สีน้ำเงิน,สีขาวและสีเขียว) แล้วร้อยเรียงความหลากหลายของโทนสีเหล่านั้น มัดรวมเข้าไว้ด้วยกันภายในกรอบเวลาฉายเก้าสิบแปดนาที ถือเป็นรูปแบบการนำเสนอที่สร้างสรรค์และรับใช้ความคิดที่ต้องการจะสื่อได้อย่างดีเยี่ยม
นอกจากความแตกแยกระหว่างรัฐในแผ่นดินจีนและความแตกต่างทางความคิดของสมาชิกในกลุ่มต่างๆ แล้ว ประเด็นที่ถือว่าแยบคายและลึกซึ้งยิ่งกว่านั่นคือความแตกแยกที่ปรากฏอยู่ในจิตใจ Hero อาศัยข้อได้เปรียบทางภูมิปัญญาแห่งสังคมตะวันออกในการนำเสนอหลักปรัชญาแห่งพุทธศาสนาเพื่อต่อกรกับความแตกแยกที่ก่อเกิดเป็นสงครามขึ้นภายในจิตใจ
งานชิ้นก่อนนี้ของจางอี้โหมวคือ The Road home และ Not one less ซึ่งหากยังจำกันได้ก็จะเห็นถึงเจตนารมณ์ของผู้กำกับในภาพยนตร์สองเรื่องก่อนนั้น ที่พยายามเน้นถึงความสำคัญของการศึกษา ใน Hero นี้ก็เช่นกัน ( โดยเฉพาะฉากสีแดงในโรงเรียนประดิษฐ์อักษรและฉากห้องสมุด ) จางอี้โหมวยกย่องความเฉลียวฉลาดและปัญญาในระดับที่ลึกซึ้ง ( ที่ย่อมต้องมาจากการศึกษา ) ว่าเป็นเสมือนอาวุธในการต่อสู้ที่นำมาซึ่งชัยชนะได้เสมอ
ในสภาวการณ์ปัจจุบันที่ชาติมหาอำนาจตะวันตก ใช้ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและกำลังทหารที่เข้มแข็งเพื่ออวดแสนยานุภาพอยู่ในโลกขณะนี้ ชาติตะวันออกที่มีกำลังกายภาพเหล่านั้นอยู่เพียงน้อยนิดคงไม่อาจเทียบชั้นไปต่อกรด้วยได้ การคิดหาเครื่องมือเพื่อป้องกันตัวให้อยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน คงจะมีแต่ภูมิปัญญาซึ่งสั่งสมมานานนับพันปีเท่านั้น ที่ชาติตะวันออกเราสามารถใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้กับมหาอำนาจตะวันตกได้อย่างคู่ควรและเท่าเทียม
ในฐานะที่ Hero เป็นภาพยนตร์จากทุนสร้างของรัฐบาลจีน สาระที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงถูกผลักดันให้สอดแทรกอยู่ในเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย Hero ได้ถ่ายทอดความคิดทางการเมืองนี้ออกไปสู่การรับรู้ในระดับสากล ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่เหมือนกำลังประกาศศักดาให้มหาอำนาจได้รับรู้ถึงเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่แห่งชนชาติตน
จางอี้โหมวประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะมันได้ทำหน้าที่นำพาความคิดอันยิ่งใหญ่มาสู่ผู้ชม เป็นข้อความที่เต็มไปด้วยสาระซึ่งแตกตัวออกได้หลากหลายระดับ ตั้งแต่เรื่องราวทางการเมืองระดับชาติ ( การเรียกร้องความสมานฉันท์ของเพื่อนร่วมเชื้อชาติ ซึ่งได้แก่ จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และไต้หวัน ) เรื่องราวของความรักความผูกพันและการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งถึงความสงบสันติในระดับจิตวิญญาณของมนุษย์
ผู้กำกับได้ผสมผสานความเป็นแอ็คชั่นเข้ากับดราม่าได้อย่างกลมกลืน และนำเสนอเรื่องราวการต่อสู้ที่เรียกได้ว่ามีอยู่ครบในทุกๆ ประเด็นของข้อความคิดนี้ คือทั้งสงครามระหว่างประเทศ การต่อสู้ภายในประเทศ การต่อสู้ในกลุ่มบุคคลที่ต้องร่วมภารกิจกันและการต่อสู้ภายในจิตใจของมนุษย์
นอกจากเนื้อหาที่เข้มข้นยิ่งใหญ่แล้ว นักแสดงผู้รับบทต่างๆ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่การกำกับภาพกำกับศิลป์งดงามไร้ที่ติ ในส่วนของดนตรีประกอบก็ไพเราะและลงตัว อันทำให้งานชิ้นนี้ของจางอี้โหมวเป็นภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบและได้ชื่อว่าเป็น “งานศิลปะที่ทรงภูมิปัญญาอย่างแท้จริง