ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: มีนาคม 01, 2011, 05:50:36 am »

ตับ
หน้าที่หลักของตับ ผลิตน้ำดีให้ถุงน้ำดี
ช่วยกรองเลือด ส่งเลือดดีเข้าสู่ร่างกาย
และส่งเลือดไปที่ไต ล้างสารพิษ
และตับยังช่วยย่อยอาหาร ดูแลผม ขน เล็บ
ถ้าตับทำงานหนัก ไตก็มาช่วยทำงาน
เมื่อทำงานหนัก ตับก็จะเสีย ไตก็จะเสื่อม

ตับทำงานหนัก เพราะกินบ่อย กินผิดเวลา
คือมื้อที่ตับรอย่อยอาหาร เช่น อาหารมื้อเช้า
เราไม่ได้กินอาหารมื้อเช้าระหว่างเวลา07.00-09.00น.
แต่ไปกินอาหารเวลาที่ตับเลิกทำงานแล้ว
คือหลังจากเวลา 09.00 น. ตับจะย่อยผิดเวลา
กลายเป็นว่า ตับต้องทำงานหนัก หรือกินจุบจิบทั้งวัน
และการกินอาหารหนักแล้วเข้านอน...
โดยเฉพาะเวลา 01.00-03.00 น. ร่างกายต้องนอนหลับสนิท
และเป็นเวลาของตับ จะต้องขับสารพิษออกจากร่างกาย
ก็ไม่ควรกินอาหารในเวลานี้ ถ้าจะกินก็ควรจะให้เลย 03.00น.ไปแล้ว

ถึงแม้ไม่ได้กินอะไรจุบจิบ ตับก็ต้องรับอารมณ์โกรธ โมโห อิจฉา
หรือเครียด เมื่อมีอารมณ์เหล่านี้ เซลล์ในตับ...
ก็จะตายไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ตับเสื่อมเร็วขึ้น

เพิ่มภาระให้ตับ คือ การโกรกสีผม ทาเล็บ ใช้ยาสระผม
ทาปากด้วยเครื่องสำอางที่มีสารเคมีเจือปนอยู่
สารเคมีจะส่งไปถึงตับโดยตรง แล้วสะสมอยู่เป็นเวลานาน
พอตับมีปัญหา ขอบใต้ตาจะดำ อาหารก็ไม่ค่อยย่อย
ท้องจะอืด ลมแน่นท้อง เลือดไม่ไปเลี้ยงกระดูกเชิงกราน
มดลูกเริ่มโต เจ็บตึงที่ส้นเท้า ผู้ชายก็จะเป็นต่อมลูกหมากโตได้เหมือนกัน

วิธีล้างสารพิษในตับ
- กินเห็ดสามอย่างขึ้นไปปรุงอาหาร ห้ามผัดน้ำมัน
แต่ใช้กะทิแทนน้ำมันจะได้ประโยชน์มากกว่า
(ต้มเห็ดแล้วกินแต่น้ำก็ได้) เพื่อชั้นไขมันขั้นต้น
-กินขมิ้นชันก่อนนอน(ไม่จำกัดจำนวน)

การดูแลตับให้แข็งแรง จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
งดใช้เครื่องสำอางที่มีสารเคมีกับใบหน้า
งดใช้ยาสระผมี่มีสารเคมีกับหนังศรีษะ เพราะสารเคมี
จะเข้าไปถึงตับได้โดยตรง...
ผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมท จะตกค้างในตับ
ทำร้ายตับโดยตรง และทำให้เลือดหนืด
ไม่กินอาหารระหว่างตี1-ตี3 เพราะเป็นเวลาที่ตับต้องขับสารพิษ
ถ้ากินอาหารเวลานี้ ตับจะไม่ได้ทำหน้าที่หลัก คือ การขับสารพิษออกจากร่างกาย

"ถึงจะบำรุงอะไร แต่ถ้าสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกาย ก็ไม่เกิดประโยชน์"
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: มีนาคม 01, 2011, 05:40:03 am »

โรคไต
เกิดมาจากระบบดูดซึมไม่ดี
ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแล้ว
มันเข้าตัวไม่ได้จะถูกส่งไปให้ไตขับทิ้ง
ทำให้ไตทำงานหนักกว่าปกติ

เป็นที่คาดการณ์กันว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า
จะมีคนต้องการรอล้างไตอีก 9 ล้านคน

-ลำไส้เล็กต้องดูดซึมกลุ่มสารอาหาร
ที่จะไปสร้างกรดอะมิโนเพื่อไปสร้างเซลล์ใหม่
ในร่างกาย เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท
เซลล์กระดูก ได้แก่ โปรตีน วิตามินซี,บี1,บี3,บี6
-ลำไส้ใหญ่ต้องดูดซึมกลุ่มสารอาหาร
ที่จะไปสร้างเม็ดเลือดเพื่อไปสร้างภูมิคุ้มกัน
ได้แก่ วิตามิน เอ,ซี,อี
-ถ้าลำไส้เล็กดูดซึมไม่หมด ก็จะส่งไปให้ไต

ไต มีหน้าที่กรองเลือดว่าเม็ดไหนหมดอายุแล้ว
ก็กรองออกไป เม็ดเลือดที่ยังไม่หมดอายุ
ก็ส่งคืนกลับไป และอื่นๆอีกมาก

ไตทำงานหนัก โดยไม่จำเป็น คือ
-กินอาหารรสจัด
-กินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ
-กินเนื้อสัตว์ แล้วไม่มีวิตามิน ซี,บี1,บี3,บี6(ซึ่งหาได้จากน้ำกระชาย)
มาช่วยเปลี่ยนให้เป็นกรดอะมิโน ถึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย
-เกิดจากความกลัว ขี้ตกใจ ชอบข่มขู่คนอื่น
ถ้าเป็นอย่างนี้ ร่างกายจะผลิตไขมันขึ้นมาเอง
ให้เป็นไขมันฝ่ายร้าย ถ้าอารมณ์ดี ไม่เครียด
มีจิตเมตตาก็จะเป็นไขมันฝ่ายดี
(ถ้าดูแลปอดดี ไตก็แข็งแรง เมื่อไตแข็งแรง กระดูดก็จะแข็งแรงด้วย)

วิธีดูแลไต
-รู้ว่าเป็นโรคไตแล้ว ควรให้หมอรักษาดีที่สุด
-งดอาหารผัดน้ำมัน
-ล้างลำไส้ หรือระบบดูดซึม เป็นประจำด้วยสูตร
1. มะละกอดิบต้มน้ำ เอาน้ำมาชงชา(ดื่มกิน)
2. โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว(ดื่มกิน)
3. ใช้เห็ดสามอย่างขึ้นไป นำมาปรุงอาหาร(ห้ามผัดน้ำมัน)

อาหารบำรุงไต เช่น น้ำกระชาย เม็ดบัว เห็ดหูหนูดำ
ลูกเกด องุ่นดำ งาดำ ลูกแปะก๊วย ผลไม้ชื่อลูกไข่เน่า
กล้วยตาก ลูกสำรอง เฉาก๊วย แก้วมังกร ถั่วห้าสี
ผักดอง ผลไม้ดอง

สูตรละลายนิ่วในไต
-กินแกนสับปะรดวันละ 3 แกน หรือจะปั่นกินคู่กับ
ใบโหระพาก็ได้ กินจนหายปวดหลัง(สังเกตตัวเอง)
-เหล้าขาว 1 ก๊ง เติมมะนาว 1 ลูก กินก่อนนอน
10-20 วัน แล้วหยุดกิน

สูตรล้างไต
-รากหมาก รากมะพร้าว รากตาล ลูกไต้ใบ
ต้มรวมกันแล้วเอาน้ำมาดื่ม เพื่อล้างไต
-ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบมะนาว กระชาย
หอมแดง ใบสะระแหน่ อย่างละ 1 กำมือ
ใส่ในหม้อดิน เติมน้ำให้ท่วม ต้มให้เดือด
แล้วยกลง รอให้เย็น กินให้หมด ภายใน 1 วัน
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2011, 08:16:01 pm »

อาหารผัดน้ำมัน
ใช้น้ำมันที่ประกอบอาหาร
ถ้ามีส่วนประกอบของน้ำมันปาล์มอยู่ด้วย
ไม่ควรนำเข้าร่างกาย...
เพราะน้ำมันปาล์ม น่าจะสกัดไปใช้เป็นเชื้อเพลิงอย่างอื่น
ถ้าจะบอกว่า...น้ำมันปาล์มไม่มีโคเลสเตอรอล
ถ้าอย่างนั้น น้ำมันเบนซินก็ไม่มีโคเลสเตอรอล
น้ำมันดีเซลก็ไม่มีโคเลสเตอรอลเหมือนกัน
แล้วน้ำมันเหล่านี้สมควรเอามากินเล่นได้หรือไม่

ดูจากก้นกระทะและรอบๆเตาแก๊ส
หรือท่อน้ำทิ้งที่ล้างจาน จะมีคราบเหนียวของน้ำมันเกาะอยู่
เราก็ล้างมันออกได้ แล้วถ้ากินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ
น้ำมันที่เข้าไปโดนอุณหภูมิของร่างกายที่ 37 องศาตลอดเวลา
น้ำมันจะเหนียวเป็นกาวยึดเกาะที่ผนังลำไส้  เป็นเวลานานเข้า
ก็จะหนาตัวขึ้น ไปขวางระบบดูดซึม ระบบดูดซึมของร่างกายจะเสีย
แล้วเราจะส่งอะไรเข้าไปล้างมันได้...

ระบบดูดซึมเสีย...
เมื่อระบบดูดซึมเสีย ลำไส้จะดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์
ไปสร้างเม็ดเลือดไม่ได้...  กินยา หรือวิตามินก็ไม่ดูดซึม
เพราะผ่านชั้นไขมันที่ผนังลำไส้ไปไม่ได้ หรือผ่านไปได้น้อย
ต่างกับการให้น้ำเกลือ โดยการฉีดเข้าเส้นเลือด...
โดยไม่ต้องผ่านระบบดูดซึม แต่ใครจะให้น้ำเกลือได้ทุกวันคงไม่มี

เมื่อระบบดูดซึมไม่ได้ พวกสารอาหารและโปรตีน
จะถูกส่งไปให้ไตขับทิ้ง ไตก็ต้องทำงานหนัก และอ่อนล้าเป็นธรรมดา
ผลที่ตามมาคือความเจ็บป่วย การเกิดโรคต่างๆ

ทุกคนที่เคยกินอาหารผัดน้ำมัน หรือของที่ทอดน้ำมันบ่อยๆ
หรือทุกวัน ควรจะต้องล้างลำไส้เพื่อให้ระบบดูดซึมทำงานได้ดีขึ้น

การไม่ล้างลำไส้ ก็เปรียบเสมือนการกินข้าว
แล้วไม่ล้างจาน มื้อต่อไปก็ใช้จานใบเก่าใส่ข้าวกินใหม่

สูตรล้างระบบดูดซึม
1. มะละกอดิบต้มน้ำชงชา(ชามะละกอ)
วิธีทำ ใช้มะละกอดิบปอกเปลือก มาหั่นแบบชิ้นฟัก
ใส่หม้อ เติมน้ำ ต้มให้เดือดแล้วยกลง...
เอาเฉพาะน้ำมาชงชา ใช้ชาจีน หรือชาเขียว
หรือชาใบหม่อนก็ได้ ควรแช่ชาไม่เกิน 5 นาที
แล้วกรองชาออก สูตรนี้จะช่วยล้างไขมันที่เกาะลำไส้ได้ดี
ควรทำดื่มเป็นประจำทุกวัน เพราะเรากินอาหารผัดน้ำมันมาหลายปี
2. โยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว
วิธีทำ นมสด 1 กล่อง เทใส่แก้ว เติมโยเกิตรสธรรมชาติครึ่งถ้วยของโยเกิต
เติมน้ำผึ้งและมะนาว ชิมรสชาติตามชอบใจ แล้วตั้งทิ้งไว้สักพักหนึ่ง
เพื่อให้จุลินทรีย์ขยายตัวแล้วกินความหวานของน้ำผึ้ง และช่วยย่อยไขมัน
ของนมก่อน แล้วจึงค่อยดื่ม จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดี
ถ้าดื่มเวลา 13.00-15.00 น. จะได้ผลดีมาก เพราะตรงเวลาของลำไส้เล็ก
3. รากหญ้าคา เก๋ากี้ เก็กฮวย ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ตะไคร้หอม
ต้มรวมกันกินแต่น้ำ เป็นสูตรล้างลำไส้ได้ดีที่สุด
4. บอระเพ็ด ยาว 1 เกียก เติมน้ำ 2 แก้ว แล้วต้มดื่มกินน้ำ ก็ช่วยล้างลำไส้ได้
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2011, 07:59:40 pm »

หลักการพึ่งตนเองขั้นพื้นฐาน
เป็นการดูแลสุขภาพตัวเอง
ไม่ให้เจ็บป่วย ซึ่งเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน
ทีทุกคนควรกระทำเพื่อไม่ต้องรอเวลา
ที่จะเจ็บป่วยแล้วโยนภาระไปให้หมออย่างเดียว

ถ้าเริ่มต้นสนใจดูแล และใส่ใจสุขภาพ
ตอนนี้ก็ยังเรียกได้ว่าไม่สายเกินไป
ที่จะแก้ปัญหาสุขภาพของเราเอง
ดีกว่าจะปล่อยให้เวลาผ่านไปแต่ละวัน
แล้วเกิดเจ็บป่วยมากขึ้น
จนยากที่จะย้อนกลับมาแก้ไขได้...

คนเจ็บป่วย จากความคิด 80 เปอร์เซ็นต์
มากกว่า การกินแล้วเจ็บป่วย?...

คุณคิดอย่างไร...ก็เป็นอย่างที่คิด
เช่นคิดว่าตัวเองอ่อนแอ เกียจคร้าน ก็เป็นอย่างที่คิด

คุณพูดอย่างไร...ก็เป็นอย่างที่พูด
พูดคำหยาบคายเป็นประจำ ก็เป็นคนหยาบคาย

คุณกินอย่างไร?...ก็เป็นอย่างที่กิน
กินอาหารที่มีประโยชน์ ร่างกายก็ไม่เจ็บป่วย

คุณทำอย่างไร?...ก็เป็นอย่างที่ทำ
เช่นนั่งผิดท่า นั่นท่าเดียว
เอียงไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นปีๆ ก็ปวดกระดูก

ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น?
ในช่วงเวลา 05.00-07.00น.
เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่...
ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระ
แล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00น.-09.00น.
ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหารแล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก
อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออก
จะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่
ผ่านลำไส้เล็ก มาที่กระเพาะอาหาร
ก็จะถูกดูดซึมซ้ำอีกครั้ง...
ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว
เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกาย
ซึ่งมีความร้อน 37 องศาตลอดเวลา
ไม่เหมือนกันตู้เย็นที่เก็บได้นานกว่า
เพราะฉะนั้น แก๊สพิษเหล่านี้
จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด
เลือดจึงไม่สะอาด ถ้าเลือดไม่สะอาด
ไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย
ไหลผ่าน สมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ
ผิวหนัง ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย

ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอน เพราะเลือดไม่สะอาด
ไปเลี้ยงหัวใจ หัวใจก็อ่อนล้า ไม่สดชื่น

มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาด
ไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับออกทางผิวหนัง
และลมหายใจ ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น
แต่คนอื่นได้กลิ่น...

ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา 05.00-07.00น.
นานๆเข้า เป็นระยะเวลาหลายๆปี เลือดที่ไม่สะอาด
ไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมื้อเช้า
ช่วงเวลา 07.00-09.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหาร
ที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำจะเสื่อมเร็ว

ปวดเข่า เมื่ออายุมากขึ้น เป็นริดสีดวงทวาร

วิธีแก้...
พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
ถ้าไม่ขับถ่าย ให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่

ควรกินข้าวเช้าทุกวัน ระหว่างเวลา 07.00-09.00 น.

ความสำคัญของอาหารมื้อเช้า
การไม่กินอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย
ที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำ
ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย...

อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสารอาหาร
ในช่วงเวลา 07.00-09.00 น. ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้า
ของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจนเป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง
ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง
เพราะสมองต้องการกรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง
รวมถึงวิตามินบี 1,และบี 12 มื้อเช้าถ้าไม่มีเวลาจริงๆ
ก็ควรกิน สูตร โยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว และกล้วย 1 ลูก

สมองเสื่อม
จากงานวิจัยในประเทศไทย...
พบว่าวันข้างหน้าอีกประมาณ 4-5 ปี
จะมีผู้ป่วยสูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 9 ล้านคน
เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้ว...
ก็มาหาทางบำรุงสมองกันดีกว่า
เพื่อป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมก่อนเหตุอันควร
ซึ่งเมื่อเป็นแล้วจะเป็นภาระกับคนในครอบครัวอย่างมาก
ที่จะต้องมาคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา

สาเหตุอาจเกิดมาจากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง
เพราะกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำติดต่อกันหลายปี
น้ำมันจะมาเกาะผนังลำไส้ ทำให้ดูดซึมอาหาร
ที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองไม่ได้

วิธีดูแลสมอง เช่น
1. ขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
2. กินอาหารเช้าระหว่าง 07.00-09.00 น. เพื่อให้เลือด
รับสารอาหารไปเลี้ยงสมอง และกินโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว
ระหว่างเวลา 13.00-15.00 น. เพื่อเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็ก
ให้เป็น บี12 แล้วส่งไปบำรุงสมอง
3. ล้างระบบดูดซึมด้วยสูตรมะละกอดิบต้มน้ำชงชา
4. ใช้กระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสด ต้มกับพุทราจีน
ใช้ดื่มน้ำเพื่อล้างหลอดเลือดเป็นประจำ
5. กินน้ำกระย แล้วกินน้ำใบบัวบกตาม จะส่งบำรุงสมองได้โดยตรง
และผลไม้ที่ชื่อลูกไข่เน่าเป็นผลไม้ที่บำรุงสมองได้ดีมาก หรือ
คื่นฉ่าย,เม็ดบัว,ลูกแปะก้วย
6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ก่อนที่จะกินอาหารอะไรเข้าไปบำรุง ให้นึกถึงว่าลำไส้เรา
ได้ล้างบ้างหรือยัง ถ้ายังไม่เคยล้าง ควรใช้สูตรมะละกอดิบต้มน้ำ
แล้วนำน้ำร้อนนั้นมาชงชาดื่มล้างลำไส้เป็นประจำ

วิธีกดนิ้วเพื่อให้เลือดเลี้ยงสมอง(สูตร2134)
ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วชี้         2 ครั้ง
ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วกลาง    1 ครั้ง
ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วนาง      3 ครั้ง
ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วก้อย      4 ครั้ง

แล้วทำกลับ โดยมา กดที่นิ้วนาง 3 ครั้ง
และที่นิ้วกลาง  1 ครั้ง
กดที่นิ้วชี้         2 ครั้ง

เป็นการจบเท่ากับ 1 ชุด รวมเป็น 1 ชุด
พอเริ่มชุดที่ 2 ให้กด นิ้วกลาง 1 ครั้ง ต่อไปเลย
ทำอย่างนี้ให้ได้ 50 ชุดต่อวัน

ความสัมพันธ์ของสมองกับปลายนิ้วมือ
จะเกิดพลังครบวงจรของเขาเอง...
เป็นการกระตุ้นให้หลั่งสาร เอนโดรฟิน

ฝึกการหายใจเข้าอย่างช้าๆ ให้พุงป่องออก
แล้วหายใจออกให้พุงยุบลง (หายใจลึกๆ)
เป็นการไปกระตุ้นเซลล์สมอง ...
ที่คุมโปรแกรมความจำที่ดีงามในอดีต
หรือปัจจุบัน และเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้ปอดกับสมอง

ในทางตรงกันข้าม ถ้าหายใจถี่ๆตื้นๆเร็วๆ
จะเป็นการกระตุ้นเซลล์สมอง
กลุ่มที่บันทึกเรื่องไม่ดีเอาไว้ ให้ออกมาใช้งาน
จึงควรฝึกหายใจช้าๆ เพื่อกระตุ้นเซลล์สมอง
กลุ่มที่บันทึกเรื่องดีๆ ออกมาใช้งาน
เป็นวิธีป้องกันสมองเสื่อมได้อีกวิธีหนึ่ง