ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 10:25:31 pm »




จากการรับบท “พระสุพรรณกัลยา” ในละครเรื่อง “กษัตริยา” ของค่ายกันตนา เมื่อ ปี พ.ศ. 2546 นถึงวันนี้ “จุ๋ย” วรัทยา นิลคูหา ยังคงเป็นนางเอกที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
       
       ไม่แปลกอะไรที่คนรอบข้างโดยเฉพาะเพื่อนสนิท จะมองเธอว่าเป็นผู้หญิงทำงาน ที่มีเรื่องให้ยุ่งตลอดเวลา นั่นเพราะความนิยมที่แฟนละครมีต่อเธอยังไม่เคยลดน้อยถอยลงไปนั่นเอง
       
       ดังนั้นเราจึงยังได้เห็นเธอผ่านจอโทรทัศน์ ทั้งในบทของนางเอก พิธีกร และในงานโชว์ตัวต่างๆ
       
       แต่ถึงแม้จะมีช่วงเวลาว่างให้ต้องหยุดพัก เธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบอยู่นิ่งเฉย
       
       ร้านอาหารชื่อ “ตำเพลิน” ที่หุ้นกับอดีตคนรัก นักแสดงหนุ่ม “นิว” วงศกร ปรมัตถากร เปิดขึ้นที่ห้างคาร์ฟู ย่านสุขาภิบาล 5 คือหลักฐานยืนยัน
       
       “ถ้าวันไหนไม่ทำงานจะรู้สึกไม่สนุก และเหงาๆ เพราะชอบทำงานมากกว่าที่จะหยุดนิ่ง ก็เลยเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองรัก นั่นก็คือร้านอาหาร และถ้าอนาคตไม่ได้เล่นละคร ก็คงหาอะไรทำอีกเช่นกัน”
       
       เมื่อไม่ค่อยมีเวลาว่างให้ต้องปลีกตัวไปไหน บางเวลาบ้านของเธอจึงกลายเป็นแหล่งรวมเพื่อนฝูงไปโดยปริยาย
       
       “กลุ่มเพื่อนสนิท ตอนเรียนมัธยม ถ้าจะนัดกันไปไหน หลายคนต้องบอกว่า หาคิวดาราให้ได้ก่อน แล้วค่อยนัดเจอ (หัวเราะ) และบ้านจุ๋ยจะเป็นเสมือนแหล่งรวมเพื่อน เพื่อนัดเจอกันหรือจัดงานเลี้ยง เพราะจุ๋ยจะไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยวที่ไหน ถ้ามีเวลาแทนที่จะนัดกันไปเที่ยวกลางคืนที่อื่น ก็จะนัดมารวมกันที่บ้านจุ๋ยเป็นหลัก”
       
       เธอน้อมรับกับการเป็นสาวบ้างานที่คนอื่นมองเข้ามา รวมถึงการเป็นเจ้านายที่ดูดุ จริงจัง พูดคำไหนคำนั้น ในสายตาพนักงานประจำร้าน และเป็นน้องสาวขาโหด ชอบจัดการ ในสายตาพี่ชาย เพราะตัวเธอเองก็รู้สึกเช่นนั้น แต่ถ้าต้องเป็นสาวที่ไล่ตามแฟชั่นอยู่ตลอดเวลา นั่นคงไม่ใช่ตัวเธอแน่ๆ
       
       “ไม่ใช่ผู้หญิงที่แฟชั่นจ๋า ต้องอยู่ในเทรนด์ตลอดเวลา ชอบหาอะไรที่มันเหมาะกับตัวเรามากกว่า อะไรที่ทำแล้วมีความสุข และเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีหลายบุคคลิก ใน 7 วัน แต่งตัวไม่เคยซ้ำแบบ เพราะเป็นคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่ชอบอะไรที่จำเจ
       
       อยากให้คนมองเราแล้วไม่เบื่อ ซึ่งในงานถ่ายแฟชั่นจะค่อนข้างประสบความสำเร็จ ดูได้จากแมกกาซีนที่ถ่ายออกมาในแต่ละเล่ม คนใกล้ตัว เช่น คุณแม่ มักจะบอกว่า ทำไมลูกสาวไม่เหมือนกันเลยสักเล่ม”
       
       ภายใต้ใบหน้าที่สวยคมเข้ม นางเอกสาวยอมรับว่า ที่ผ่านมีเรื่องให้ต้องอารมณ์ร้อน รู้สึกโกรธ และหงุดหงิด เช่นหลายๆคน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะอยากให้งานทุกงานที่ทำออกมาดีมีประสิทธิภาพ และความกังวลเรื่องสุขภาพของคนในครอบครัว แต่ดีตรงที่สามารถปรับอารมณ์ให้เย็นลงได้ในเวลาไม่นาน
       
       “คนรอบข้างจะรู้ว่าจุ๋ยเป็นคนที่อารมณ์ขึ้นลงง่าย พอขึ้นปุ๊บ อีก 5 นาทีลงแล้ว จะจบเป็นเรื่องๆ สมมติเรื่องนี้ผ่านการอธิบายเสร็จแล้ว ก็คือจบ ณ ตรงนั้น จะไม่มีเอามาพูดอีก หรือไม่เอามารวมกับเรื่องใหม่ จบแล้วจบเลย เป็นคนโกรธง่าย หายเร็ว ไม่เก็บเอามากังวล ไม่ฝังใจ สามารถตัดอะไรออกไปจากใจได้ง่าย”
       
       แม้ว่าทุกวันนี้เธอจะนับถือศาสนาคริสต์ ทว่าที่ผ่านมา ได้นำหลักธรรมในการดำเนินชีวิตของหลายศาสนามาปรับใช้ เพราะเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี และใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียนใคร
       
       หากเป็นศาสนาพุทธ หลักธรรมที่เธอยึดถือคือ “การเดินสายกลาง”
       
       “หลักการเดินสายกลาง เป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่ายมาก นั่นคือเราต้องไม่ใช้ชีวิตให้ตึงหรือหย่อนจนเกินไป ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
       
       เช่นตอนนี้จุ๋ยเป็นฆราวาส ไม่ได้เป็นนักบวช ฉะนั้น จุ๋ยก็จะใช้ชีวิตเหมือนปุถุชนธรรมดา มี รัก โลภ โกรธ หลง แต่เราก็ต้องรู้ตัวเองด้วย ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันมากน้อย แค่ไหน และต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเป็นคนดี
       
       จุ๋ยใช้ชีวิตอย่างคนสุขนิยม เกิดมาชีวิตนึง เราจะทำอย่างไรให้เราสุขที่สุด ทุกข์น้อยที่สุด ไม่บีบคั้นตัวเองมาก เพราะฉะนั้นหลักการเดินสายกลางจึงเป็นหลักที่เข้ากับจุ๋ยที่สุดแล้ว”

       
       เธอก็เหมือนเช่นทุกคนที่มีความฝันเป็นของตัวเอง อาจแตกต่างกับบางคนตรงที่ ไม่ใช่คนฝันไกลนัก
       
       “แค่อยากให้ชีวิตมีความสุข มีบ้านที่น่าอยู่ จุ๋ยเป็นคนติดบ้าน ชอบอยู่บ้าน ทำกับข้าว ฝันว่าอยากจะมีบ้านที่สามารถปลูกต้นไม้เยอะๆ เพราะชอบบ้านที่ครึ้มๆมีเสียงน้ำ เป็นบ้านที่สามารถเก็บของที่จุ๋ยมีอยู่ไว้ได้หมด เพราะจุ๋ยเป็นคนที่มีของเยอะมาก และเป็นบ้านที่คนในครอบครัวสามารถมาอยู่รวมกันได้ทุกคน ได้อยู่กับคนที่เรารัก ทำในสิ่งที่เรารักจริงๆ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว”
       
       เช่นกัน เธอเป็นผู้หญิงของยุคสมัยนี้ ที่ไม่เชื่อเรื่องผู้ชายต้องเป็นช้างเท้าหน้าและผู้หญิงต้องเป็นช้างเท้าหลัง
       
       “มันผลัดกันเดินได้ค่ะ และผลัดกันนำได้ในแต่ละเรื่อง เพราะบางเรื่องเราอาจจะถนัดกว่า อีกเรื่องผู้ชายเขาอาจจะถนัดกว่า ฉะนั้นมันไม่เกี่ยวกันแล้วว่าคุณจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คุณจะอายุน้อย หรืออายุมาก
       
       บางครั้งไม่ใช่ผู้ชายจะถูกเสมอไป บางครั้งผู้หญิงอาจจะมีความคิดที่ละเอียดอ่อนกว่า มองอะไรที่ลึกและทะลุปรุโปร่งกว่า หรือมีความอดทนกว่าในบางเรื่อง ดังนั้นก็ควรที่จะช่วยกันนำ ช่วยกันแก้ไขปัญหา ร่วมเดินทางไปด้วยกัน

       
       สังเกตได้จากการใช้ชีวิตของผู้หญิงในโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือว่าอยู่ในกองถ่าย บางครั้งผู้หญิงก็เป็นคนสั่งได้ ผู้หญิงผู้ชายมันเท่ากัน อยู่ที่ว่าคุณมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องอะไร แต่ถ้าบางอย่างผู้ชายทำได้ดีกว่า เราก็ควรจะเคารพเขา”
       
       ในความรู้สึกของเธอ การเกิดเป็นผู้หญิงอาจเสียเปรียบผู้ชายอยู่บ้างก็แค่เรื่องธรรมชาติของร่างกาย
       
       “ผู้ชายอาจจะแข็งแรงกว่า และไม่ต้องตั้งครรภ์ ไม่ต้องมีประจำเดือน ซึ่งมันทำให้ร่างกายของผู้หญิงไม่พร้อมในทุกวัน แต่ในเรื่องความคิด สิ่งที่ผู้หญิงผู้ชายจะทำได้ ไม่แตกต่างกัน”
       
       เดิมทีถ้าเลือกเกิดได้เธออยากเกิดเป็นผู้ชายมากกว่า
       
       “ด้วยสภาพร่างกาย ผู้ชายทำอะไรได้คล่องกว่าในบางเรื่อง แต่คนจะชอบแซวจุ๋ยอยู่แล้วว่า เป็นผู้หญิงแมนๆ คงเกิดมาผิดเพศ(หัวเราะ)”
       
       แต่เมื่อได้รู้ว่า การเกิดมาเป็นผู้หญิง ได้นำความสุขมาสู่ครอบครัวมากแค่ไหน เธอจึงรู้สึกดีใจและพอใจกับการเกิดเป็นผู้หญิง
       
       “ต้องขอเกิดเป็นผู้หญิงนี่แหละ เพราะที่บ้านมีพี่ชาย 2 คนแล้ว ก่อนที่จะมีจุ๋ย พ่อกับแม่อยากได้ลูกผู้หญิงมาก ดังนั้นการเกิดมาเป็นลูกผู้หญิงก็เลยทำให้พ่อรักมาก”
       
       ปัจจุบันคุณพ่อและคุณแม่ของเธอ เกษียณจากงานซึ่งเคยทำที่กรมที่ดินและองค์การโทรศัพท์ ดังนั้นหน้าที่ของลูกสาวเช่นเธอในทุกวันนี้ ก็คือการทำให้ชีวิตในวัยเกษียณของทั้งสองท่านมีความสุขที่สุด
       
       “เขาอยากจะได้อะไร เช่นอยากจะได้ที่เพิ่ม อยากจะได้ที่ตรงภูเขา อยากสร้างบ้าน อยากทำนู่นอยากทำนี่ จุ๋ยจะคอยสนับสนุนตรงนี้ รวมถึงคอยดูแลเรื่องสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ และคนอื่นๆในครอบครัวด้วย
       
       ณ ตอนนี้ จะพยายามเป็นคนไม่เถียงพ่อไม่เถียงแม่แล้วค่ะ ไม่ทะเลาะ ไม่อะไรเลย ยอมอย่างเดียว ตอนเด็กๆ อาจจะมีบ้าง อยากจะอธิบาย ตอนนี้ถ้าจะอธิบาย ก็จะอธิบายเบาๆ แล้วปล่อยผ่าน คุณพ่อคุณแม่ค่อนข้างจะเข้าใจจุ๋ยอยู่แล้ว ไม่ค่อยบังคับเคี่ยวเข็ญ
       
       เรื่องบ้านเรื่องอะไร จุ๋ยไม่มีให้ต้องกังวลถึงคุณพ่อ คุณแม่เลย เราดูแลตัวเองได้หมด ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ท่านเกษียณแล้ว ต้องเดินทางไปเยี่ยมคุณตา และดูแลคุณย่าบ้าง ผู้ใหญ่บ้านจุ๋ยท่านอายุยืนมาก คุณตาและคุณ ย่าก็ยังอยู่ อายุ 90 กว่าปีแล้ว คุณพ่อคุณแม่จะคอยดูแลท่าน แล้วจุ๋ยจะเป็นฝ่ายดูแลคุณพ่อคุณแม่อีกทีหนึ่ง ดูแลกันไปคนละสเต็ป”
       
       ตลอดมาทั้งพ่อและแม่คือผู้ที่หล่อหลอมให้เธอเป็นผู้หญิงในแบบที่ต้องมีสัจจะ มีความอดทน และไม่หลงลืมกิริยามารยาทที่เรียบร้อย
       
       “คุณพ่อสอนเรื่องความมีสัจจะและความอดทน พูดคำไหนก็ต้องคำนั้น ถ้าพูดไปแล้วต้องทำให้ได้ ส่วนเรื่องความอดทน จุ๋ยเคยป่วยหรือปวดท้อง คุณพ่อก็บอกให้อดทน ถ้าไม่อะไรมากจริงๆ อย่าสำออย อย่าอ่อนแอ
       
       จุ๋ยเลยค่อนข้างจะเข็มแข็ง เวลาป่วยจะไม่ค่อยกินยา หรือเข้าโรงพยาบาลเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่เราทำอาชีพนี้ ต้องหายเร็ว ป่วยปุ๊บก็ต้องรีบกินยา ต้องเข้าโรงพยาบาล ฉีดยาบ้าง จะได้หายเร็วๆ เพื่อจะสามารถทำงานได้ต่อ
       
       ส่วนคุณแม่สอนเรื่องความเรียบร้อย ปกติจุ๋ยเป็นคนที่ชอบใส่รองเท้าผ้าใบ ไม่ชอบใส่ส้นสูง คุณแม่ก็จะคอยสอนว่าผู้หญิงต้องอย่างโน้นอย่างนี้ สอนเรื่องการเดินเหิน ขาต้องหุบนะ อย่ายืนขากาง”

       
       นอกจากคุณแม่คือผู้หญิงที่เป็นต้นแบบคนสำคัญให้กับชีวิตของเธอแล้ว มองเข้าไปในสังคมไทย เธอยังเคารพนับถือนักบริหารหญิงอย่าง คุณหมอต้อย หรือ แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์
       
       “คุณหมอต้อยเป็นประธานกรรมการใหญ่ของผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน เป็นผู้หญิงเก่งที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว และคิดในสิ่งที่ดีๆคือต้องการสร้างอาชีพให้คนไทย ต้องการให้คนไทยช่วยคนไทยด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หรือเรื่องการดูแลลูกน้อง ภาพของคุณหมอที่จุ๋ยได้เห็นและจากที่เคยพูดคุยด้วย คุณหมอเป็นคนพูดจาน่ารัก มีความคิดดี มีความเป็นผู้นำ นึกถึงคนส่วนรวม
       
       ที่ผ่านมาจุ๋ยมีโอกาสร่วมงานกับคุณหมอหลายครั้ง และจุ๋ยได้เข้าวงการเพราะคุณหมอให้จุ๋ยเป็นพรีเซ็นเตอร์ แล้วพอคนเห็นรูปจุ๋ยก็ชักชวนมาเข้าวงการ คุณหมอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่จุ๋ยชื่นชอบ เพราะการทำงานของคุณหมอเป็นการทำงานที่นึกถึงคนรอบข้าง ใครที่อยู่กับคุณหมอก็จะรักคุณหมอ”
       
       ย้อนกลับไปมองชีวิตในช่วงวัยรุ่นที่ผ่านมา เธอมองว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างโชคดีเพราะไม่เคยผ่านพบกับปัญหาที่เลวร้าย หรือเคยทำผิดพลาดจนอยากกลับไปแก้ไข
       
       “ช่วงวัยรุ่นจะเป็นช่วงที่แฮปปี้ รู้สึกว่าจัดการกับตัวเองได้ดีมากๆไม่ค่อยมีเรื่องอะไรที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับชีวิตเลย เรื่องครอบครัวก็ดี การเรียนก็ดี และเพื่อนก็เจอแต่เพื่อนที่ดีๆ ชีวิตในวัยรุ่นจึงมีแต่ความสนุกสนาน ไม่มีอะไรที่อยากกลับไปแก้ไขเลย ตรงกันข้าม อยากกลับไปใช้ชีวิตในเวลานั้นอีกมากกว่า”
       
       อย่างไรก็ตามถึงแม้จะจัดการกับชีวิตของตัวเองได้ดีแค่ไหน จนถึงวันนี้เธอก็ยังอดเป็นห่วงผู้หญิงในสังคมปัจจุบันไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัย
       
       “อย่างที่จุ๋ยบอกผู้หญิงเสียเปรียบผู้ชายเรื่องสรีระ และความเป็นเพศหญิง ทำให้มีอะไรที่ต้องเสียเปรียบอยู่หลายๆอย่าง ตามที่เราเห็นข่าว บางทีกลับบ้านดึกๆดื่นๆ แล้วเช้าตรู่ต้องออกมาทำงาน อาจโชคร้ายต้องมาเจอผู้ชายที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจได้หลายครั้ง หรือความเสียเปรียบหลังการแต่งงาน กับสถานภาพทางสังคมที่ยังไม่เท่าเทียมผู้ชายอยู่ดี”
       
       แต่ในด้านหนึ่งเธอก็มองว่า ปัจจุบันมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่เข้มแข็งและมีความสามารถมากขึ้น
       
       “ในปัจจุบันมี Single Mom หรือแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวเกิดขึ้นเยอะ เลี้ยงลูกได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งผู้ชาย แต่ในความรู้สึกส่วนตัว ถ้าเกิดเขามีความสุขแบบเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่ในบางครั้งถ้าต้องทนเจ็บกับอะไรมากมาย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่มีความสุข ฉะนั้นจุ๋ยจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า ถ้าผู้หญิงบางคนจะไม่ต้องทนผู้ชายต่อไป”
       
       ในวันนี้นางเอกสาวมีความสุขที่มีคนรู้ใจอยู่เคียงข้างกาย แต่ถ้าวันหน้าทุกอย่างต้องเปลี่ยนไป หรือต้องอยู่เป็นโสดไปตลอด เธอเชื่อว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้หญิงโสดที่มีความสุขได้เช่นกัน อย่างที่เธอได้บอกไปแล้วว่า เธอเป็นคนสุขนิยม
       
       “จุ๋ยสามารถอยู่เป็นโสดได้ค่ะ ไม่ใช่ซีเรียสว่า ชีวิตนี้ฉันจะตาย ถ้าขาดผู้ชาย ชีวิตคงอยู่ได้ด้วยครอบครัว คนรอบข้าง เพื่อน และงาน
       
       แต่ว่าการมีความรัก มีคนที่มาดูแลเราก็เป็นสิ่งที่เติมเต็มให้กับชีวิตอีกแบบหนึ่ง และถ้ามีความจำเป็นให้ต้องอยู่คนเดียวก็คงทำได้ เพราะไม่ใช่ผู้หญิงที่ไขว่คว้าหาผู้ชายมากขนาดนั้น”

       
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 124 มีนาคม 2554 โดย พรพิมล)

http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9540000028263