ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มีนาคม 09, 2011, 06:36:18 am »





อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ คุณมด

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 05:45:40 pm »




๖.    ทศวัตรปฏิบัติ             การปฏิบัติตามหน้าที่ที่ดีของท่านที่ทำอยู่เป็นประจำ

  ๖.๑   ไร้รูปแบบในรูปแบบ ไม่ยึดแบบใดทั้งสิ้น เปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อมแห่งธรรมชาติแล้วแต่เหตุปัจจัย จะเห็นว่างานที่กำหนดว่าจะทำอย่างนั้น เวลานี้ มักจะเปลี่ยนไปแล้วแต่โอกาสแต่ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่ต้องพึ่งอำนาจใคร มีอำนาจในตนเอง มุ่งธรรมเป็นเครื่องอยู่ตลอดกาล ไม่มีใครติชมท่านได้เพราะอำนาจและธรรมะที่เป็นเครื่องอยู่ของท่าน เป็นปัจจัตตัง

  ๖.๒   เป็นผู้นำทางวิญญาณ การเป็นผู้นำนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการกระทำเพื่อหวังผลเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ตำแหน่งหน้าที่ฐานะทางการงาน การเงิน ชื่อเสียงเกียรติยศ แต่สำหรับท่านแล้วไม่เข้าอยู่ขอบข่ายที่กล่าวมาแล้วเลย ท่านเป็นผู้นำที่มีแต่ "ให้"ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้ได้  "ห่วง"ด้วยความเอื้ออาทรต่อทุกๆสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและโลก "หาญ"กล้าที่จะทำโดยไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดไม่ว่าจะคิดจะทำสิ่งใดที่ดีโดยไม่ชี้นิ้ว กระโดดลงไปทั้งตัวและหัวใจ "เห็น"เป็นผู้รู้แจ้งโดยตลอดม่ว่าจะเป็นเรื่องใด สาขาอะไร แขนงไหน "เหิน"เป็นผู้อยู่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา อยู่สูงกว่าที่ว่าสูงลอย อยู่ท่ามกลางผืนดิน ผืนน้ำ และแผ่นฟ้า "เหี้ยม"เหี้ยมโหดต่อศิษย์พระและผู้ที่อยู่ในปกครอง หากประพฤติผิดทำนองคลองธรรม จนกระทั่งทำให้เกิดผลเสียหายต่อส่วนรวม หากเป็นความผิดเล็กน้อยที่แก้ไขได้ท่านจะนิ่งเฉยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จนกว่าจะเห็นว่าไม่ไหวแล้วจึงได้ลงมือ

  ๖.๓   ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์มีความปราถนาที่ดีต่อสัตว์โลก มักจะเห็นแก่ผู้อื่นก่อนตนเอง ท่านเลี้ยงดูเด็กยากจน เด็กไร้โอกาส รวมทั้งพ่อแม่รับไม่ไหวก็ส่งมาให้หลวงปู่ ทำหน้าที่เป็นแพทย์ เยียวยารักษาทั้งกายและใจ หลวงปู่จะทำการรักษาโดยเฉพาะที่มีปัญหาจริงๆ นอกจากนั้นท่านมักปฏิเสธโดยเฉพาะที่ยังสามารถรับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันได้ ท่านถือในเรื่องจรรยาบรรณแพทย์มาก ท่านรักษาโรคทางจิตหรือทางใจมากกว่า ท่านวางมือไปนานแล้ว แต่ระยะหลังลูกหลานป่วยไข้รักษาไม่หาย เดินทางมาจากแดนไกลทั้งกรุงเทพฯ ใต้ ตะวันออก อีสาน ท่านจึงหันมาให้การรักษาอีก เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๗ นี้เอง ท่านได้เริ่มดำเนินโครงการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด และฟื้นฟูสมรรถภาพ แก่เยาวชนจากอำเภอปราณบุรี โดยให้ชื่อว่าเพื่อนใหม่เพื่อชีวิต ใช้ระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็ม หลวงปู่รับผิดชอบโครงการ รับเป็นวิทยากรผู้ดำเนินการและรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยเป็นผู้วางโครงการ แผนงาน เนื้อหา ตารางอบรม ทั้งในสานที่ถ้ำไก่หล่น และนอกสถานที่อีกหลายแห่ง เช่นเกาะสิงโต ท่านควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดโดยตลอด จนประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง

  ๖.๔   คำนึงถึงประโยชน์สูงประหยัดสุด ไม่ว่าท่านจะทำอะไรทุกอย่างจะต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสีย ไม่สิ่นเปลืองไม่สูญเสียเปล่า เสียมากได้น้อยจะไม่ทำ ไม่ใช่อยากได้มากหรือโลภ แต่เลือกวิธีหรือหนทางที่สูญเสียน้อย แต่ได้ประโยชน์เท่าเดิมหรือมากกว่า

  ๖.๕   ให้ความเสมอภาค ให้ความเสมอกันด้วยความเป็นอยู่ของธรรม ไม่เลือกเขา เลือกใคร ไกลหรือใกล้ได้รับคำสอนทุกคน ทำใจเป็นกลาง ที่จริงคำว่าใจก็เป็นกลางๆ เป็นธรรมชาติที่เป็นกลางๆอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นศิษย์ใกล้ชิดหรือผู้ใดที่มากราบนมัสการหลวงปู่ ไม่มีการจัดคิว (เหมือนบางแห่ง) ใครอยากพบได้พบแต่หากท่านไม่อยากพบท่านหลบเอง โดยเฉพาะคนชั่วที่ไม่สามารถกลับตัวได้ หรือคนที่ไม่สมควรพบ เท่าที่สังเกตดูหลวงปู่มักจะให้ความอนุเคราะห์ เอื้ออาทรเป็นประจำ แสดงว่ามีโอกาสที่จะกลับตัวได้ท่านจึงให้โอกาส

  ๖.๖  รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ท่านไม่เคยว่างในความว่าง ท่านจะต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้เกิดประโยชน์อยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นงานเพื่อศาสนาหรือสังคม งานเล็กหรืองานใหญ่ งานหนักหรืองานเบา อาทิการรักษาความสะอาด การขนย้าย การตกแต่ง งานปลูกสร้าง ปลูกต้นหม้ ไม่เพียงแต่ท่านปฏิบัติท่านยังพยายามสร้างทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม และสอนอยู่เสมอว่า ให้ละชั่ว ประพฤติชอบ ประกอบต่ความดี

  ๖.๗  กตัญญูรู้คุณคน สำนึกในบุญคุณที่ต้องตอบแทนเสมอ ถึงแม้จะไม่อยู่ในฐานะที่จะต้องตอบแทน เพราะทุกคนทำเพื่อท่าน เสียสละเพื่อท่าน เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม แต่ถ้าหากเกี่ยวพันกับท่านไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ท่านจะต้องหาโอกาสตอบแทนหรือชดใช้สิ่งนั้นอยู่เสมอมิได้ขาด ถึงแม้ว่าบุคคลคนนั้น จะไม่ไปมาหาสู่ พูดง่ายๆ เลิกมาวัด หลวงปู่มีโอกาสต้องตามไปตอบแทนเสมอ และการตอบแทนของท่านจะเหนือกว่าที่ทุกท่านคิด ทุกครั้ง ทุกโอกาส

  ๖.๘  เป็นทั้งพ่อ แม่ พี่เลี้ยงครูบาอาจารย์ หลวงปู่จะถือว่า ศิษย์หรือผู้มาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เป็นเสมือนญาติที่แสนสนิท มีความรักมีความห่วงใยรักใคร่ เหมือนลูกหลาน ไม่ว่าจะกินจะนอน เจ็บไข้ได้ป่วย หลวงปู่จะอนาทรร้อนใจ คอยแนะนำตักเตือนเมื่อลูกหลานทำผิด บางครั้งก็ต้องลดต้องลงมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงคลุกคลีตีโมง ประคบประหงม แนะนำกลยุทธในการต่อสู้กับศัตรูหรือกิเลสในตัวเรานั่นเอง สวมวิญาณของครูอย่างเต็มเปี่ยม โดยไม่หวังผลตอบแทนเลยสอนทุกคน ทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกรูปแบบ ทุกแขนงวิชา ท่านกล่าวว่า “ศิษย์ตายก็ไม่เสียใจ ไม่มีศิษย์ก็ไม่เสียใจ แต่มีศิษย์โง่ซิมันน่ากลุ้มใจ” และ “ครูที่ดีไม่ต้องการศิษย์ แต่ศิษย์ที่ดีควรต้องการครู”

  ๖.๙  ไร้ทิฐิมานะ ท่านอ่อนน้อมถ่อมตน ตามมงคลสูตรว่า นิวาโต จ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ หลวงปู่กล่าวว่า “รวงข้าวยิ่งสุกก็ยิ่งอ่อนน้อม” หากท่านเคยเห็นหลวงปู่เข้ากราบนมัสการพระเถระผู้ใหญ่ ท่านจะต้องซึ้งใจไม่มีวันลืม หลวงปู่นอบน้อม อ่อนน้อมทุกท่วงท่าและท่วงที กิริยาวาจานบนอบ นอบน้อม นุ่มนิ่ม นิ่มนวลประดุจนางฟ้า

  ๖.๑๐ ทำงานมาก ฉันน้อย นอนน้อย งานทุกชนิดท่านไม่เคยดูดาย ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ งานของใคร อย่างไรสูงต่ำแค่ไหน ท่านทำหมด เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แม้ยามหลับนอนพักผ่อน หรือป่วยไข้ ท่านก็ไม่ยอมนิ่งเฉย เวลานอนพักผ่อนซึ่งน้อยอยู่แล้ว ท่านถึงแม้จะเป็นมืนก็ยังนำมาใช้ประโยชน์ เช่น ปลูกต้นไม้ แก้ไขปัญหาให้ลูกหลาน เตรียมจัดหาลู่ทางให้ลูกหลาน เรียกว่าทำการงานไม่ให้คั่งค้าง แม้ในเวลาฉันถึงแม้จะเป็นมื้อเดียว บางครั้งทำงานเกือบเที่ยงอยู่แล้ว ท่านก็ไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าใด บ่อยครั้งต้องตามไปนิมนต์ท่าน ท่านกลับตอบว่า กูรู้หรอก กูไม่ยอมอดหรอกเพราะฉันแค่มื้อเดียว

๗.      ทศธรรมนิเทศ             การอบรมสั่งสอนหรือแสดงธรรมของท่าน ท่านพยายามให้ทุกโอกาสที่ควรให้ เหมือนไม่เลือกบุคคล กาลเวลา สถานที่ คือ เลือกว่าควรจะเลือกเรื่องอะไร แก่ใคร ที่ไหน อย่างไร ซึ่ง จะทำให้เราได้ฟังธรรมะตามโอกาสอันควรไปด้วย กาเลน ธ มฺ ม ส สวา น โอกาสต่างๆ เหล่านั้นพอสรุปได้ดังนี้

  ๗.๑     ทุกโอกาสที่พบและจาก
  ๗.๒     เวลาถวายจตุปัจจัย ไทยทานอื่นๆ
  ๗.๓     เมื่อพบปัญหา
  ๗.๔     เวลาปฏิบัติงานหรือกิจกรรมตางๆ
  ๗.๕     โอกาสศึกษาโลกทัศน์

  ๗.๖     เวลาที่ว่าง
  ๗.๗     หลังจากสวดมนต์เย็นหรือเช้า
  ๗.๘     ประชุมหรือมีผู้คนมาชุมนุมพร้อมกัน
  ๗.๙     ร้องขอให้แสดง หรือนิมนต์ไปแสดง
  ๗.๑๐    ปุจฉา-วิสัชนา หรือกระจกจริยธรรม


๘.     ทศบริจาคะ  หลวงปู่มีแต่คำว่าให้ ให้ทั้งชีวิตร่างกายแบบพระโพธิสัตว์ เริ่มด้วย

  ๘.๑    ชีวิต เป็นการให้ที่สูงสุดสำหรับมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงความกลัว ความตาย หากเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาวพุทธและชาวโลก

  ๘.๒     ร่างกาย มอบถวายชีวิตโดยไม่ต้องคิด จะเหนื่อยจนสายใจแทบขาด เจ็บไข้ได้ป่วยทางกายอย่างไร ไม่อาทร ขอให้ผู้อื่นสบาย ลูกหลาน ญาติโยมได้พ้นทุกข์ก็พอแล้ว

  ๘.๓    จิตใจ หลวงปู่ได้มอบให้ทั้งกายและใจ ที่ประกอบไปด้วยความเมตตา ปรานี ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ปุถุชนเดินดิน เจ้าใหญ่นายโต สิงห์สาราสัตว์ น้อยใหญ่ ท่านไม่เคยดุด่าว่ากล่าวทำร้ายหรือทำลายผู้ใดเลย แม้แต่ถูกกลั่นแกล้งท่านก็เฉยไม่ตอบโต้ บางสิ่งบางอย่างคนทั่วๆไปเห็นว่าไม่ดี ไม่ควร ซุกซน ไม่น่ารัก ท่านวางเฉย ตรงกันข้ามกลับเอ็นดู เห็นใจ สงสาร ให้ความอนุเคราะห์ เอื้ออาทร

  ๘.๔     โลหิต ให้ทุกสิ่งทุกอย่างหมด แม้กระทั่งโลหิตภายในร่างกาย ก็ยังยินยอมให้ในทุกโอกาส เพื่อช่วยเหลือ เพื่อจรรโลง เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำพิธีประสะโลหิตเพื่อสร้างวัตถุมงคล

  ๘.๕     ทรัพย์สินแม้แต่ที่ดินที่เคยมีมาก่อนบวช ก็ยกถวายแก่พระศาสนาทั้งสิ้น พืชผักผลไม้ที่หลวงปู่ปลูก หรือหามาได้ก็แจกจ่ายแก่ญาติโยม พระ เณรในทุกโอกาส เช่นในวันสำคัญๆ วันขึ้นปีใหม่ วันเกิด วันที่พระเณรลาสิกขาบท

  ๘.๖     อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่มีค่ามหาศาล เป็นทรัพย์อันประเสริฐ บริสุทธิ์ที่สามารถนำติดตัวไปได้ทุกยุคทุกสมัย ทุกภพชาติใช้ไม่มีวันหมด ท่านก็ให้โอกาสพวกเราได้สะสม กักตุน โดยทำบุญสร้างศาสนสถาน ท่านทอดกฐินวัดไกลๆที่ขัดสน ท่านถวายเงินช่วยเหลือพระภิกษุสงฆ์อาพาธ ฯลฯ ท่านก็จะนำมาให้เราร่วมอนุโมทนาบุญด้วยทุกครั้ง

  ๘.๗     วัตถุธรรม สิ่งที่มีค่าที่ปุถุชนทั้งหลายปราถนา ท่านก็สร้างให้ในโอกาสอันควร และแจกแก่ลูกหลานญาติโยมทุกครั้ง ทุกโอกาสทั้งๆที่ต้องใช้เงินในการลงทุนคราวละมากๆ กรรมการมักจะเสนอความคิด โต้แย้งไม่ให้แจก แต่ให้จำหน่ายเพื่อนำเงินทุนมาทำนุบำรุงพุทธศาสนา ท่านมักจะไม่ยอมต้องแจกให้ได้ก่อนเสมอ ท่านไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แล้วยังสอนอีกด้วยว่ามีไว้เป็นเครื่องเตือนสติสัมปชัญญะ (พระสติ) เพื่อความไม่ประมาทในกิจการทั้งปวง แถมยังเน้นถึงความศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากท่านที่ได้รับไปแล้วให้ละอายชั่วกลัวบาปสำนึกในหน้าที่ กตัญญูกตเวที เสียสละ รู้จักเอื้ออาทร

  ๘.๘     ให้เวลาให้โอกาส หลวงปู่เน้นมากในเรื่องเวลา  ท่านกล่าวว่า การทำลายหรือฆ่าเวลาเท่ากับฆ่าพระธรรม เวลาของท่านมีค่ามากแต่ท่านก็ยังสละเวลา มืดค่ำ ดึกดื่น เที่ยงคืน ท่านเอื้ออาทร กลับจากไปแสดงธรรมนอกสถานที่ ท่านจะแอบแวะเยี่ยมเยียนลูกหลานที่ทำงาน หรือพักผ่อนภายในวัดเสมอๆโดยไม่ห่วงตัวเองเลย

  ๘.๙     ทรัพย์สินบริจาค เงินทองข้าวของ เครื่องกระป๋อง บะหมี่มาม่า นม ข้าวสาร น้ำตาลทราย เครื่อเวชภัณฑ์รวมทั้งหยูกยา เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ที่ญาติโยมนำมาถวาย ท่านจะนำออกแจกจ่ายให้ไม่ว่าจะเป็นคนยากจนในชุมชนต่างๆ วัดวาอาราม โรงเรียน เด็กนักเรียน ท่านแจกจ่ายจนหมด ไม่เคยเก็บกักตุนไว้ใช้ในโอกาสต่อไปเลย ต้องการใช้หาเอาเองใหม่ ข้าวสารที่วัดมีมากมาย แต่ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ วัดต้องไปซื้อข้าวสารเอง เห็นไหมล่ะ

  ๘.๑๐   การสืบพระศาสนา หลวงปู่ได้จัดให้มีการบรรพชาและอุปสมบท สามเณร และพระภิกษุเป็นประจำทุกปีในเดือนมีนาคม – เมษายน แต่ละปีไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ รูป นอกจากนั้นในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น ถวายในหลวงและพระราชินีในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของทั้งสองพระองค์ และในโอกาสอื่นๆอีกมาก เช่น โครงการศากยบุตรเป็นต้น นอกจากพระเณรแล้วยังมีการบวชเนกขัมมะ เป็นพระราชกุศลและกุศลตามฤดูกาลต่างๆอีกด้วย แม้แต่ผลักดันให้เกิดโครงการวิปัสสนาจารย์ในนครปฐม เพื่อกระตุ้นให้พระสงฆ์หันมาใส่ใจการปฏิบัติธรรม


๙.      ทศนิเสธ        เอกลักษณ์ของท่านอย่างหนึ่ง ก็คือ มักจะทำอะไรๆที่ตรงกันข้ามกับการแสดงออก ปากกับใจไม่ตรงกัน หรือพูดง่ายๆก็คือ ปฏิเสธหรือไม่ยอมรับไว้ก่อน แล้วจึงโอนอ่อนผ่อนตามในภายหลังด้วยความเอื้ออาทรและเมตตาปรานี เหมือนดังที่กล่าวไว้ตอนต้นๆในทศสูตร เข้าใจว่าท่านอาจจะปรับ หรือปราบกิเลสของแต่ละคน ว่าจะลดละหรือมีมานะมากแค่ไหน ที่ข้าพเจ้าพบมีหลายรายที่ไร้วาสนา อุตส่าห์เช่ารถตู้มาตั้งไกล ถูกไล่กลับก็กลับไปเฉยเลย ไม่มานะ ไม่อดทน คงต้องจนไปนาน แต่ช่างเถอะ มาเรียนรู้และทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งในเรื่องต่างๆทุกแง่ทุกมุม โดยพิจารณากลับไป (อนุโลมา) กลับมา (ปฏิโลมา) หลายๆครั้ง หลายๆหนจนกว่าจะแจ่มแจ้ง ซึ่งพอจะรวบรวมประโยคหรือคำพูดที่เป็นนิเสธได้ดังนี้

  ๙.๑     มักทำไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อมีใครมาแล้วถามว่า “มาทำอะไร” “มาหาใคร” “เสียเวลา กลับไปเถอะ” บางครั้งถ้าญาติโยมตอบว่ามาหาหลวงปู่ จะได้รับคำตอบจากท่านว่า “อยู่ข้างบนถ้ำ” หรือ “ไม่อยู่”

  ๙.๒     ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู เรื่องของมึงไม่เกี่ยวกับกู

  ๙.๓     มาทำไม ตอบ มาฟังธรรมะ : ไม่มีธรรมะอะไร ธรรมะอยู่ที่ตัวมึง

  ๙.๔     ถามใคร ถามกูแล้วกูจะไปถามใคร

  ๙.๕     ไม่ยอมรับ : เป็นศิษย์หรือ กูไม่มีศิษย์โง่ๆอย่างพวกมึง

  ๙.๖     แกล้งสนับสนุน (แทนที่จะห้าม) เอาเลยลูก โดดลงไปเลย, เอาตีนรับไว้, เอานิ้วใส่เข้าไป

  ๙.๗     ผลักไสไล่ส่ง : เวลาเรากลับ ท่านจะพูดว่า “น่าจะกลับไปตั้งนานแล่ว”

  ๙.๘     ห้ามทำอีก : ทีหลังไม่ต้องมาอีกแล้วนะ หน้าด้าน

  ๙.๙     ไม่ยินดียินร้าย เมื่อมีญาติโยมนำของมาถวายมักจะพูดว่า “ทีหลังอย่าเอามาอีกนะ สิ้นเปลืองเปล่าๆ” หรือ “กูไม่เอาไม่จำเป็นต้องใช้ มึงเก็บไว้ กูเอาจะบอกเอง” (นำเงินมาถวาย)

  ๙.๑๐  การขอความช่วยเหลือ มักจะตอบว่า “ไม่ใช่ญาติกู ทำไมต้องช่วยมึงด้วย”


๑๐.    ทศนามะ       สมญานามของหลวงปู่นั้นมีมากมายแม้แต่คำว่าหลวงปู่ก็มีคนขนานนามให้ แม้แต่สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันยังขนานนามท่านว่าหลวงปู่หนุ่มแห่งวัดอ้อน้อย การให้สมญานามนั้น ท่านมักจะได้รับจากกลุ่มชนต่างๆในแต่ละแดนแต่ละชุมชน ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไปตามสภาวะและโอกาสที่ท่านไปเยือน จนปัจจุบันนี้ก็ไม่แน่ใจว่า ชื่อไหนถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ข้าพเจ้าไม่อาจยืนยันได้ แต่เท่าที่รวบรวมได้มีดังต่อไปนี้

  ๑๐.๑    พระวัชรปัญญา
  ๑๐.๒    หลวงปู่เทพโลกอุดร
  ๑๐.๓    พระจร
  ๑๐.๔    พระผี
  ๑๐.๕    หลวงพ่อโอภาสี

  ๑๐.๖    สมเด็จแตงโม
  ๑๐.๗    พระอวโลกิเตศวร
  ๑๐.๘    พระอชิตะ (หลวงปู่ทวด)
  ๑๐.๙    วิลาเลปะ
  ๑๐.๑๐  กกุสันธะ พระองค์ที่สิบ

   ข้าพเจ้าได้หยิบสิบ-สิบหยิบ จากหลวงปู่จนมาเป็นหลวงปู่สิบทัศน์ จากแง่มุมต่างๆที่พอจะรวบรวมได้อย่างแสนเข็ญและก็ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่หยิบมานี้ จะถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ หรืออาจจะไม่ถูกเลยก็ได้ก่อนที่จะให้ท่านผู้อ่านตัดสินใจตรงนี้ ข้าพเจ้าต้องกราบขอขมาหลวงปู่มา ณ ที่นี้ด้วย ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย ที่บังอาจล่วงละเมิด หรือล่วงเกินหลวงปู่โดยมิได้เจตนาใดๆจากหนังสือเล่มน้อยนี้ หวังเพียงให้ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ในรุ่นหลังๆ ซึ่งไม่มีโอกาสได้พบเห็นจริยาวัตรต่างๆของหลวงปู่ในภาพเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว

   สำหรับท่านผู้อ่านได้โปรดใช้วิจารณญาณเอาเองตามสติปัญญาและความศรัทธาของท่านว่าเท็จจริงถูกต้อง-ไม่ถูกต้องประการใด เพราะต่างคนต่างความคิดต่งจิตต่างใจ อาจมองต่างมุมกัน ยังไงๆ ให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ไม่เชื่อไม่ว่าแต่อย่าลบหลู่ นรกจะกินหัวเสียเปล่าๆ

   สำหรับข้าพเจ้าที่เขียนขึ้นมานี้เพียงเอาไว้เป็นเครื่องรำลึกว่า ครั้งหนึ่ง เราเคยพบ เราเคยเห็น เคยได้ยิน เคยสัมผัส เคยลิ้มรส เคยฟังคอนเสิร์ต เคยเช็คบิล เคยได้กลิ่นอะไร อะไรด้วยกัน แล้วเราต่างก็ได้อะไร ไม่ได้อะไร เหลืออะไร ไม่เหลืออะไรด้วยกัน และยังเป็นควายๆเหมือนเดิม ก็ดีเหมือนกัน ควายมีศีลกินเจ ไม่ปากมากไม่พูดปดมดเท็จ ไม่ยินดียินร้าย ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มีสมาธิในการยืน เดิน นั่ง นอน มีสติปัญญาอย่างควายๆ มีความสว่าง สงบ เย็น สุขุม อย่างควายๆ เสียอย่างเดียว ยังเป็นทาสไม่เป็นไทเลยต้องเป็นโสดาฟายก็ยังดีนะท่านนะเป็นถึงโพธิสัตว์ควายๆ ลาหล่ะครับ สวัสดีครับ ขอบคุณครับที่ท่านอ่านมาตั้งนาน ขอให้โชคดีมีความสุขทั่วถ้วนหน้ากันนะครับ สวัสดี


บันทึกโดย : เพชรประศาณ์ นาคะเวช

http://www.facebook.com/note.php?note_id=10150365791160285

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 05:31:48 pm »



๑๐ ปี+ ประสบการณ์ศิษย์พุทธะ : หมวด ๑ เรื่องเล่าจากพี่
- หลวงปู่สิบทัศน์ (ตอน ๑)

โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) ณ วันที่ 18 มกราคม 2011 เวลา 8:59 น.

...

 …วันนั้น เราได้ฟังธรรมะจากหลวงปู่มากมายหลายบท หลายบรรพ หลายคัมภีร์ จวบจนกระทั่งเย็น จึงได้กราบลาด้วยความปิติยินดีเป็นล้นพ้น ที่ได้มีโอกาสกราบนมัสการพระอย่างหลวงปู่ ได้เจริญสติปัญญาทางธรรม ได้รู้ ได้เห็นอะไรๆหลายอย่าง ที่เป็นเหมือนค่ายกล กับดัก และกระบวนท่าต่างๆ ที่หลวงปู่ใช้พิชิตมาร หยิบสิบจากหลวงปู่ (หลวงปู่สิบทัศน์) ก็ได้เริ่มสิบหยิบด้วยกันดังนี้…

    ฝนจะตก ลูกจะออก ดอกไม้จะบาน ถึงกาลจะตาย ห้ามมิได้ฉันใด ใครจะห้ามมิให้ข้าพเจ้าได้นมัสการหลวงปู่ ก็คงไม่ได้ฉันนั้น ได้พบแล้วถึงพูดได้ เพราะหลวงปู่ลั่นวาจาไว้บ่อยว่า “ใครอยากพบก็ได้พบ ถ้าไม่อยากพบกูหลบเอง” หมายถึงว่า ไม่ต้องมีต้นห้องคอยห้ามปรามหรือจัดคิว

    วันมาฆะบูชา ๗ มีนาคม ๒๕๒๖ เพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าข่าวหลวงปู่ ตอนนั้นพวกเราบุญยังน้อย จึงไม่มีโอกาสไปร่วมในพิธีหุงน้ำมันมนต์และประสะโลหิต ล่วงมาอีกประมาณ ๑๐ วัน จนถึงวันที่ ๑๗ มีนาคม จึงได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการหลวงปู่ เห็นไหมตั้งแต่รู้ข่าวจนถึงวันได้ไป ใช้เวลา ๑๐ วันพอดี (หยิบสิบ) เราไปด้วยกันสามคน ชายหนึ่งหญิงสอง ไม่ต้องกล่าวซ้ำเพราะมีอยู่ในอยู่กับปู่ภาค ๑ ของอาจารย์นารีรัตน์ แล้ววันนั้นเราได้ฟังธรรมะจากหลวงปู่มากมายหลายบท หลายบรรพ หลายคัมภีร์ จวบจนกระทั่งเย็นจึงได้กราบลาด้วยความปิติยินดีเป็นล้นพ้น ที่ได้มีโอกาสกราบนมัสการพระอย่างหลวงปู่ ได้เจริญสติปัญญาทางธรรม ได้รู้ ได้เห็นอะไรๆหลายอย่าง ที่เป็นเหมือนค่ายกล กับดัก และกระบวนท่าต่างๆที่หลวงปู่ใช้พิชิตมาร หยิบสิบจากหลวงปู่ (หลวงปู่สิบทัศน์) ก็ได้เริ่มด้วยกันดังนี้ คือ

๑.  ทศสูตร                         ๖.   ทศวัตรปฎิบัติ
๒.  ทศลักษณ์                     ๗.   ทศรรมนิเทศ
๓.  ทศญาณ                       ๘.   ทศบริจาคะ
๔.  ทศภพชาติ                    ๙.   ทศนิเสธ
๕.  ทศบัญชา                     ๑๐.  ทศนามะ


    โดยหยิบสิบเรื่องแรกที่หลวงปู่ยื่นให้เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าเรื่องอย่าเชื่ออะไรง่ายนัก จากการที่หลวงปู่ได้ซักถามพวกเราว่า มาทำไม รู้ได้อย่างไร พวกเราตอบว่า มีผู้หวังดีบอกกล่าว ท่านจึงได้ให้ธรรมหยิบแรกแก่พวกเรา เรียกว่า

๑.      ทศสูตร (เกสปุตติยสูตร หรือกาลามสูตร หรือหลักมหาปาเทส) เป็นสูตรของพระพุทธองค์ที่เน้นบทบาททางปัญญา ก่อนที่จะเชื่อถือ ปฎิบัติ อะไรให้ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนดังนี้

  ๑.๑    อย่าเชื่อเพราะ    ฟังตามกันมา                                 มา อนุสฺ สเวน
  ๑.๒    อย่าเชื่อเพราะ    นับถือสืบต่อกันมา                         มา ปรมฺ ปราย
  ๑.๓    อย่าเชื่อเพราะ    ข่าวเล่าลือ                                    มา อิติกราย
  ๑.๔    อย่าเชื่อเพราะ    มีอ้างไว้ในตำรา                             มา ปิฎก สมฺ ปทา เนน
  ๑.๕    อย่าเชื่อเพราะ    อ้างเหตุผลทางตรรก                      มา ตกฺก เหตุ

  ๑.๖    อย่าเชื่อเพราะ    การตีความตามนัยยะ (อนุมาน)        มา นยเหตุ
  ๑.๗    อย่าเชื่อเพราะ    คิดตรองตามอาการที่ปรากฏ          ปริวิตกฺ เกน
  ๑.๘    อย่าเชื่อเพราะ    เข้ากับความเห็นของตน                 มา ทิฎฐินิชฺ ฌานกฺขนฺติยา
  ๑.๙    อย่าเชื่อเพราะ    ผู้พูดน่าเชื่อ                                   มา ภพฺพรูปตาย
  ๑.๑๐  อย่าเชื่อเพราะ    เห็นว่าผู้พูดเป็นครูของตน               มา สมโณ โน ครูติ

   หยิบสิบจากธรรมะของหลวงปู่ ผ่านมาแล้วหนึ่ง ก็อยากจะเล่าถึงว่าทำไมถึงได้มาถ้ำไก่หล่น มาแล้วได้อะไร จากกล่าวมาแล้วข้างต้นว่า เพื่อนร่วมงานแว่วข่าวมา จากนั้นสิบวันถึงได้มากราบนมัสการหลวงปู่ โดยมีกระแสข่าวมาว่า มีพระดี นัยว่าเป็นหลวงปู่เทพโลกอุดร จึงได้พากันมากราบนมัสการและดูว่า เท็จจริงประการใด เมื่อได้พบครั้งแรกด้วยตาสัมผัส ก็นึกแปลกใจนิดๆว่า หลวงปู่ทำไมหนุ่มจัง ช่างเถอะหลวงปู่คงมีหลายร่าง จะปรากฎในร่างใดก็ได้ ข่าพเจ้าคิด ก่อนที่จะทราบว่า พระรูปไหนอย่างไร ก็โดนขบวนการของหลวงปู่เล่นงาน โดยมีศิษย์วัยรุ่นและญาติโยมที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ร่วมมือกัน แต่พวกเราไม่หวั่นไหว

ในที่สุดก็ได้มีโอกาสกราบนมมัสการและได้ฟังธรรมะจากท่าน ทุกขั้นตอนที่ให้ธรรมะตั้งแต่เที่ยง (หลังเพล) จนพลบค่ำ จะเต็มไปด้วยกุศโลบาย วิธีการให้ทำแยบยล คำพูดคำจาแบบโบราณๆ ที่ครูมักใช้กับศิษย์รักใกล้ชิด ด้วยลักษณะท่าทางที่ไม่ยอมรับ แต่ก็รับ ปฏิเสธแต่ก็ให้ ขับไล่ไสส่งแต่ก็เอื้ออาทร ไม่สอนแต่บอก เป็นเช่นนี้ตลอด ไม่มีการให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นขั้นตอนแบบผู้ให้ทั่วๆไป หรือแบบอย่าตำรา ให้เหมือนไม่ให้ ถ้าอยากได้ต้องใช้สติปัญญาเหมือนกับที่หลวงปู่เน้นอยู่เสมอในภายหลังว่า ความยากลำบากทำให้คนฉลาด หลวงปู่ให้เทคนิคกลยุทธมากมายหลายขบวน อยากจะยกตัวอย่างให้ฟังแต่…ไม่ดีกว่า มันง่ายเกินไป อยากรู้อยากเห็น อยากทราบรายละเอียดจริงๆ ก็ต้องขวนขวายเอาเองบ้าง มันถึงจะมีค่าอันควร จะได้ฉลาดยังไง ไม่รู้ไม่เห็น ไม่เข้าสัมผัสความเยือกเย็น คงไม่ถึงใจ

    หลังจากลงถ้ำวันนั้น เราได้อะไรหลายๆอย่าง ได้ด้วยตนเอง (ปัจจัตตัง) แต่มีอยู่อย่างหนึ่งซึ่งน่าฉุกคิด หลวงปู่สั่งปรามพวกเราไม่ให้ชักชวน บอกเล่าหรือชักนำใครมาอีก นัยว่าท่านต้องการวิเวก ต้องการพักผ่อน ต้องการทำภารกิจบางอย่างที่ท่านตั้งใจมาที่นี่ นี่แหล่ะคือบทเชื่อมโยง ปุถุชนคนเดินดินก็รู้อยู่แล้วว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ แล้วห้ามทำไม อ๋อ! เข้าใจแล้วล่ะ เพราะโดยปกติหลวงปู่จะห้ามปรามใครมิให้ทำสิ่งที่ไม่ควร หลวงปู่มักจะส่งเสริมเสมอ เช่น ใช้มีดหั่นพืชพันธุ์ ธัญญาหาร หรือพวกเนื้อสัตว์ในการปรุงอาหาร หลวงปู่มักจะกล่าวว่า เอานิ้วแหย่เข้าไปเลยลูก เป็นการเสริมเชิงประชด พวกเราก็ไม่ทำ จะเกิดความระมัดระวัง ไม่ประมาททันที นี่เอง ที่สั่งห้ามพวกเรา นี่คิดเอาเองนะว่า ถ้าห้ามอย่างนี้ยิ่งต้องพาคนมา ครับวันรุ่งขึ้นพวกที่ไปด้วยกันก็พาเพื่อนฝูงขึ้นไปกราบอีก ก็ถูกหลวงปู่ดุด่าว่ากล่าวตามธรรมเนียมปฏิบัติของท่าน โดยกล่าวหาข้าพเจ้าว่ายุ่งพาใครต่อใครมาอีก “ใครที่ไหน ลูกเมียผม” ข้าพเจ้าตอบหลวงปู่ จากวันนั้นเป็นต้นมา เราก็ต้องผิดศีลข้อมุสาอยู่เรื่อยๆ เพราะเวลาใครถามว่าไปไหนมา ก็ต้องตอบเลี่ยงๆ ไปเรื่อยๆ บางทีก็ต้องมุสาจริงๆ ความจริงใจอยากจะบอกเล่าเก้าสิบ แต่ใจหนึ่งก็ประหวั่นว่าจะถูกดุอีก จะทำให้เราพลาดโอกาสอันดีงามที่ควรมี ถ้ามีคนพลุกพล่านมากเกินไป จนหลวงปู่ต้องจร

    หลังจากนั้นไปอีก ๑๐ วัน ราวๆปลายเดือน ๒๗ มีนาคม ที่วัดอ้อน้อย กำแพงแสน (วัดของหลวงปู่ที่นครปฐม) ได้มีการบรรพชาและอุปสมบทพระเณร ๑๐๐ กว่ารูป และได้นำพระเณรมาปฏิบัติธุดงคกิจที่ถ้ำไก่หล่น ถึง ๑๐ วัน ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ถึง ๑๐ วัน ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ถึง ๑๐ เมษายน พวกเราก็ได้มาร่วมช่วยงานทุกอย่างที่พึงมีพึงทำ โดยเฉพาะภรรยาข้าพเจ้ามาพักค้างคืนที่นี่ตลอดงาน ส่วนข้าพเจ้านั้น ขึ้น-ล่อง ระหว่างเพชรบุรีกับถ้ำไก่หล่นทุกวันจนหลวงปู่เปรยว่า ไอ้นี่มันขึ้นล่อง เหมือนอย่างกับบ้านมันอยู่ตีนบันไดถ้ำ

    ตอนนี้เองที่ภรรยาของข้าพเจ้าซึ่งชอบทางโหงวเฮ้ง ได้ศึกษาด้วยตนเองและจากปรมาจารย์หลายท่าน ทั้งตำรา ทั้งเทป และยังแอบพักลักจำจากหลวงปู่เสมอๆ ไม่ใช่มดหมออะไร สมัครเล่น ดูเป็นครั้งคราวเพื่อนฝูงที่รู้จักมักจะสอบถาม แบมือให้ดูด้วย รู้สึกเขาก็ไม่ค่อยชอบนัก มันน่ารำคาญ ในที่สุดก็ได้ละวางเสียแล้วหลังจากที่หมอดูโหงวเฮ้งของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้มากราบหลวงปู่ในวันหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าและภรรยาก็อยู่ด้วย หมอดูท่านนี้ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่ก็เลยมาทาบทามดู ในที่สุดก็ยอมรับว่าหลวงปู่เก่งจริง และยังได้ซักถามเรื่องครอบครัวลูกเต้าเขาด้วย เขาพอใจมาก หลังจากที่เขากลับไปแล้ว หลวงปู่ได้หันมาทางภรรยาข้าพเจ้า และขอร้องให้เลิกเถอะ ซึ่งความจริงท่านก็พูดมาหลายครั้งแล้วว่า ศึกษาเพื่อรู้ไว้ แต่อย่าไปจริงจังนัก ครั้งนี้ท่านอธิบายว่า การที่เราฝืนลิขิตสวรรค์ แก้ให้คนอื่นได้พ้นจากสิ่งที่เขาไม่ปารถนา สิ่งที่ไม่ดีนั้นจะไปไหน ถ้าดวงเราไม่แข็งแรง ไม่ดีพอเราก็จะต้องเป็นฝ่ายรับเอง

ในเรื่องนี้ขอแถมนิดหนึ่ง แต่ต้องใช้วิจารณญาณของตนเองด้วยหลวงปู่สอนหมอฮวงจุ้ยท่านนั้นว่า ถ้าจะถ่ายทอดวิชาให้กับลูก ถ่ายทอดได้ถ้าลูกคนโตเป็นหญิง แต่ถ้าไม่ใช่ลูกคนนั้นจะสูญเสียไป บังเอิญลูกของหมอฮวงจุ้ยก็ได้เสียไปแล้วจริงๆ เขาถามหลวงปู่ว่าแล้วคนที่สองจะถ่ายทอดได้ไหม หลวงปู่บอกว่าได้ เอาละกลับมาได้แล้วไปไกลเลยเถิดไปแล้ว ภรรยาของข้าพเจ้าได้แอบดูลักษณะของหลวงปู่ และกำหนดลักษณะเป็นทศลักษณ์ดังนี้

๒.      ทศลักษณ์      ตามลักษณะของหลวงปู่นั้น ถ้าดูเผินๆ จะเหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป ไม่เห็นจะน่าเป็นที่ยำเกรงหรือน่าบูชาเลย มองดูเชยๆ เชื่องช้า ไร้มาด ไร้รูปแบบ ที่แท้ซ่อนรูปหรือที่หลวงปู่รียกว่า งำประกาย

  ๒.๑   ศรีษะ เป็นรูปกระดองเต่า ตั้งแต่หน้าผากเลยไปถึงกลางกระหม่อม สมองดี
  ๒.๒   คิ้ว มีลักษณะหักมุมตรงกลาง เหมือนสามเหลี่ยมหน้าจั่ว แสดงถึง ความมุ่งมั่น จริงจัง ทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด
  ๒.๓   ตา โตเรียวยาว แววตาบ่งบอกถึงความซื่อและจริงใจ
  ๒.๔   จมูก โด่งตรง ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา
  ๒.๕   ปาก กว้างโค้งลง เป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบเลียนแบบใคร พูดจริงทำจริงทำได้

  ๒.๖   หู มีหยักขอบบน เป็นหูคนมีศิลป์
  ๒.๗   โครงสร้างของคาง เป็นสี่เหลี่ยม อดทน อนุรักษ์นิยม
  ๒.๘   ท่าทางการเดิน ดูระหง งดงาม
  ๒.๙   ไร้เหงื่อ ไม่ว่าจะร้อนระอุ เพียงใด ทำงานหนักแค่ไหน ไร้เหงื่อ กลิ่นตัว หอม ไร้กลิ่นอื่นๆ หมด แต่มีกลิ่นหอม
  ๒.๑๐ ลายมือมีชีวิต ตัวอักษรมีลักษณะของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ บางคำคล้ายตัวด้วง บางคำเหมือนใบไม้

๓.    ทศญาณ        หลายท่านทราบดีว่าหลวงปู่มีความสามารถหยั่งรู้เรื่องราวต่างๆ เป็นพิเศษ หรือ สามารถกำหนดรู้อันเกิดจากอำนาจสมาธิ ซึ่งแยกแยะได้ดังนี้

  ๓.๑   อภิญญาญาณ หลวงปู่มักจะขอตัวไปทำสมาธิ เพื่อให้เกิดอภิญญาญาณอยู่เสมอ หลังเสร็จสิ้นภารกิจหนักๆ หรือเริ่มภารกิจใหม่บางอย่าง ซึ่งผลจากการเกิดอภิญญาญาณนั้น พอจะพูดเป็นสังเขปได้ดังต่อไปนี้

  ๓.๒   จักขุญาณ หลวงปู่มีตาทิพย์ อยากเห็นสิ่งใดเพียงกำหนดจิตดูก็จะเห็นได้ ไม่ว่านรกสวรรค์ ผีเปรต หรือพวกสัมภเวสี เวลาที่ท่านนั่งรถผ่านไปตามถนนหนทางเรือ แม้แต่โรงพยาบาล

  ๓.๓   โสตญาณ หลวงปู่มีหูทิพย์ได้ยินได้ฟังเสียงต่างๆ เมื่อกำหนดจิต ตัวอย่างข้าพเจ้าและภรรยาทะเลาะกันที่บ้านเพชรบุรีในตอนเช้า พอสายๆไปถ้ำ หลวงปู่ก็ยังดุด่าว่า ไอ้สองคนนี่กัดกันอยู่เรื่อย แล้วสั่งสอนต่อไป

  ๓.๔   เจโตปริยญาณ หลวงปู่สามารถล้วงความคิดของผู้อื่นได้และรู้วาระจิต ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่จบ(ไม่จบ) ป.๔ ในสมัยก่อน เมื่อหลวงปู่ไปอบรมพนักงานของบริษัทต่างๆ หลวงปู่รู้เทคนิค วิธีการใหม่ๆ ได้อย่างไรในเมื่อสมัยก่อนนั้นยังไม่มี ไม่เกิดธุรกิจแบบนี้ หลวงปู่ตอบว่า กูก็ดูดเอาความคิดของเขามาได้

  ๓.๕   อิทธิวิถีญาณ มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ หลวงปู่มักไม่ค่อยแสดงแต่มีคนบอกเล่าอยู่เสมอ แต่ที่ข้าพเจ้าเห็นกับสายตาข้าพเจ้าเอง ก็คือ หลวงปู่บิน ที่อาจารย์นารีรัตน์เขียนในหนังสืออยู่กับปู่และตอนที่โดดจากหน้าผาลงมาที่หน้าถ้ำไก่หล่น ตอนปราบนักบวชปลอม

  ๓.๖   มโนยิทธิญาณ เรามักจะเห็นหลวงปู่สร้างความประหลาดใจให้แก่ลูกศิษย์อยู่เสมอ เห็นอยู่หลัดๆที่ถ้ำ แต่มีคนเห็นหลวงปู่ไปบิณฑบาตอยู่ที่เมืองเหนือได้ บางครั้งก็บอกว่าจะไปธิเบต น่าสงสัยไปอย่างไร แสดงว่าหลวงปู่สามารถกำหนดจิต ไปปรากฎตัวที่ต่างๆได้ แม้แต่เรื่องลูกสาวคุณชูหัวหิน เจ็บหนักอยู่โรงพยาบาล เด็กบอกว่าเห็นหลวงปู่มาปรากฏ แล้วบอกให้แกกลับบ้านได้แล้ว ส่วนคนป่วยข้างเตียงแกนั้นยังไม่หายกลับไม่ได้ เป็นไปได้ยังไง? แม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ยังงงๆอยู่ อยู่บนถ้ำเห็นหลวงปู่นั่งอยู่ เราลงมาข้างล่างเห็นหลวงปู่กำลังทำงานงกๆ เราก็เลยสงสัยแต่คิดว่าหลวงปู่เดินเร็ว ขึ้นถ้ำลงถ้ำเร็ว คงลงมาตะกี้

  ๓.๗   ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ หลวงปู่สามารถล่วงรู้อดีตชาติของตนเองได้ ท่านกล่าวว่า กูยังมีบาปหนา เพราะกูเคยฆ่าคนมาเยอะแยะตอนเป็นทหารเสือของพระเจ้าอยู่หัวในอดีต และแม้แต่เรื่องครุดาไลลามะ ครุคือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นครูของดาไลลามะในธิเบต ในแต่ละสำนักหรือวัดก็จะมีครุผู้ทำหน้าที่นี้ ซึ่งมีไม่มากนักของแต่ละสำนัก ท่านก็เป็นครุองค์หนึ่ง ทราบว่าเมื่อท่านละสังขารแล้วร่างของท่านเป็นทองคำ การที่จะเป็นทองคำได้นั้นก็โดย ครุทุกองค์ที่ละร่างก็จะกลับคืนสู่ธิเบต เจ้าหน้าที่ของแต่ละสำนัก จะดำเนินการตามพิธีปลงศพ ชำระล้างภายในให้สะอาดหมดจด เอาเครื่องในตับไตไส้พุงออกให้หมด แล้วบรรจุสมุนไพรลงไปแทน แล้วห่อหุ้มด้วยทองคำหนักถึง ๑๒๒๐ บาท แล้วเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่เรียกว่า วังโปตาลา

  ๓.๘   จุตูปปาตญาณ เป็นญาณที่หลวงปู่รู้ว่าจิตของผู้ที่ตายไปแล้วอยู่ที่ไหน แม้แต่เรื่องของหลานของยายเล็กหัวหินเป็นแม่ครัวยังได้สอบถามความเป็นอยู่ของหลาน หรือแม้แต่เรื่องคุณย่าสีนวล

  ๓.๙   อตีตังสญาณ เป็นญาณที่รู้เรื่องราวของอดีตชาติทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น เรื่องประวัติศาสตร์โบราณ พิธีกรรมในสมัยดึกดำบรรพ์ เรื่องของเกจิอาจารย์ทั้งหลาย แม่แต่พวกเครื่องประดับ เพชร นิล จินดา มีอยู่เรื่องหนึ่งไม่ทราบว่าใครเล่าหรือยัง ไม่เป็นไรอีกรอบก็ได้ เรื่องมีอยู่ว่า หลวงปู่จ้างช่างทองจาก อ.ปราณบุรี มาปิดทองพระประธานในถ้ำ ผู้รับจ้างมาได้รับความรู้ในเรื่องทองในสมัยโบราณจากหลวงปู่ ทำให้งานเสร็จ รวดเร็ว และสามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งไม่เคยมีความรู้มาก่อนเลย จึงได้ลดค่าแรงให้หลวงปู่ตอบแทนค่าวิชา

  ๓.๑๐ อนาคตังสญาณ เป็นญาณที่ล่วงรู้อนาคต เช่นเรื่องพระอาจารย์ยันตระ อาจารย์พุทธโธ อาจารย์นิกร พระดังๆในอดีตท่านก็เคยทำนายเล่นเอาพวกเราขนลุกเกรียวมาแล้ว แม้แต่เมืองไทยเราท่านกล่าวว่าอีก ๕๐ ปี ข้าวจะยากหมากจะแพง ประชาชนจะเดือดร้อนท่านถึงได้สร้างพระและฝังไว้ในที่ต่างๆ แม้แต่ที่เจดีย์มหาโพธิสัตว์ในถ้ำไก่หล่น ขณะนี้ก็คงเหลือไม่ถึง ๕๐ ปี แล้วท่านพูดมาแล้วร่วมๆ ๑๐ ปีได้

    เป็นที่น่าสังเกต เรามิอาจจะรู้ได้ว่าหลวงปู่ได้อาสวักขยญาณแล้วหรือไม่ คือญาณที่ทำให้หมดอาสวะ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับพระอรหันต์

๔.     ทศภพชาติ    ปัจจุบันนี้เราจะหาพระที่เป็นพระแท้นั้นหาได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร มีแต่พระที่ประพฤติปฏิบัติ ออกนอกลู่นอกทางเป็นส่วนใหญ่ อย่างที่เราท่านเห็นๆกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก รับสะเดาะเคราะห์ เสริมสิริมงคล ขยันหมั่นในกิจนิมนต์ ใบ้หวยรวยเบอร์ฯ ซึ่งเหล่านี้พบยากในตัวท่าน ตรงกันข้าม ท่านพยายามสร้างพวกเราและทุกๆคน ที่ขึ้นมาบนถ้ำให้สามารถเผชิญกับความทุกข์ทั้งหลาย ด้วยวิธีธรรมชาติ ทั้งสอน ทั้งทำ ทั้งนำ เป็นตัวอย่าง เพื่อให้พ้นทุกข์และประสบสุขในที่สุด จะเห็นได้ว่า ท่านเป็นผู้สืบอายุพระศาสนา ซึ่งจะขอยืนยันคำกล่าวนี้ในข้อ ๔ ทศภพชาติ และข้อ ๕ ทศบัญชา ต่อไป

   ทศภพชาตินี้ เราไม่ทราบว่าท่านได้ถือกำเนิดเกิดมาในโลกของจักรวาลนี้กี่ภพกี่ชาติแล้ว แต่ละชาติเป็นอะไรแค่ไหนอย่างไร เราทราบแต่เพียงว่า ภพนี้หรือชาตินี้ เป็นภพที่ ๙ ของท่าน ทำไมเราถึงทราบก็เพราะว่า ท่านได้กล่าวว่า ในภพชาตินี้ท่านถือกำเนิดเกิดมาจากวิญญาณทีได้พักผ่อนมาเป็นเวลายาวนาน นับเป็นเวลาถึงพันปี ถึงได้มาโปรดเวไนยสัตว์ในภพนี้ ซึ่งนับว่าเป็นภพที่ ๙  ของท่าน เท่าที่ทราบน่าจะสิ้นสุดภาระหน้าที่ในการสืบทอดพระพุทธศาสนาในภพชาตินี้แล้ว โดยมีพระผู้มีหน้าที่ตรวจสอบจากธิเบตได้จาริกมาพบท่านเมื่อต้นกำเนิดภพชาตินี้ แล้วได้ให้ท่านเลือกสิ่งที่ท่านจะเลือก โดยใช้การเสี่ยงทายสอบถามความสมัครใจของท่านว่า จะถือกำเนิดในชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายหรือไม่ เพราะถือว่าท่านได้เสียสละปฏิบัติหน้าที่ เพื่อพระศาสนามายาวนานแล้ว โดยใช้ลูกแก้วกลมและเหลี่ยมให้ท่านเลือกลูกใดลูกหนึ่ง ถ้าเลือกลูกกลมก็แสดงว่าท่านหมดภาระหน้าที่ไม่ต้องมาเกิดเพื่อโปรดเวไนยสัตว์อีกต่อไปเป็นภพชาติสุดท้าย

แต่ถ้าเลือกลูกเหลี่ยมก็แสดงว่ายังสมัครใจที่จะทรมานกาย ซึ่งเป็นที่สุดแห่งทุกข์ เพื่อโปรดเวไนยสัตว์อีกต่อไป ในภพชาติที่ ๑๐ เป็นภพชาติสุดท้าย ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าคงไม่ต้องเล่าต่อไปอีกแล้วว่า หลวงปู่ท่านเลือกลูกกลมหรือลูกเหลี่ยม… ท่านลองทายซิ…? ถูกแล้วท่านตอบถูกจากสติปัญญาที่ท่านไตร่ตรองและใคร่ครวญ จะเห็นว่าแม้แต่ชื่อเรื่องที่ข้าพเจ้าตั้งว่าหยิบสิบ-สิบหยิบ หรือหลวงปู่สิบทัศน์ก็บอกอยู่แล้วว่าต้องเป็นสิบ ท่านก็จะถือกำเนิดเกิดใหม่อีกในภพที่ ๑๐ เป็นภพสุดท้าย ส่วนท่านจะถือกำเนิดเกิดมาในร่างใดอย่างไรนั้น คงสุดปัญญาของข้าพเจ้าที่จะรู้และทราบได้ ใครรู้ช่วยบอกเอาบุญทีเถอะ จะได้จารึกไว้เป็นหลักฐานสำหรับคนรุ่นต่อๆไป

ถึงอย่างไรๆ ท่านก็คงต้องเป็นพระโพธิสัตว์ช่วยเหลือโลกมนุษย์ต่อไปสำหรับพวกเราทั้งหลาย หลวงปู่ท่านว่า ถึงเวลานั้นพวกเราจะไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน อย่างไร (เกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้) ดังนั้นจึงใคร่ขอเชิญท่านทั้งหลายได้โปรดสร้างกุศลกรรมด้วยความตั้งมั่นในสติและวิญญาณที่ดีพร้อม ถวายแด่หลวงปู่ เพื่อเสริมพลังให้ท่านได้ปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงตามที่ท่านปราถนาทั้งหมดทั้งสิ้น พลานิสงส์นี้อาจทำให้ท่านสามารถติดตามหลวงปู่ไปในภพในชาติหน้าด้วยกันได้ทุกท่านทุกคน ที่มีใจปราถนา เพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์พร้อมกับหลวงปู่ในภพชาติใหม่ด้วยเทอญ สาธุ… สาธุ… สาธุ


๕.     ทศบัญชา      ได้กล่าวมาแล้วในทศภพชาติที่ ๔ ที่หลวงปู่ถือกำเนิดเกิดมาและยังได้รับบัญชาให้เลือกลูกเหลี่ยมเพื่อกำเนิดเกิดใหม่ในภพชาติใหม่ที่ ๑๐ ในภพชาตินี้ที่ถือกำเนิดเกิดมา ได้ถือบัญชาจากเบื้องบนติดมาด้วย นัยว่าคำบัญชานั้น ก็คือให้หาดวงอาทิตย์ ๑๐ ดวง หมายถึงให้มาหาผู้มีสติปัญญาบารมี เพื่อสืบทอดพระศาสนาแทนหลวงปู่ ๑๐ คนด้วยกัน ท่านจึงดั้นด้นภิกขาจารมานานแสนนานไกลแสนไกล ทั่วทั้งแคว้นแดนไทยก็ยังหาไม่พบ หากท่านมีตัวแทนท่านก็จะได้ละวางภาระหน้าที่อันพึงกระทำอยู่นี้ได้ โดยมอบหมายการงานให้ดำเนินแทนต่อไป ท่านก็คงไม่ต้องมีภพชาติที่ ๑๐ คงไม่ต้องเลือกลูกเหลี่ยม ดังนั้น ท่านจึงต้องมีภพชาติต่อไป ทำให้ไม่สามารถหาตัวแทนได้ คงจะหาได้ในภพชาติหน้าอย่างแน่นอน (ข้าพเจ้าคิดเอง)

    แต่ถึงอย่างไรท่านจะละทิ้งภาระหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายมาไม่ได้ จึงต้องคิดหาช่องทางอื่น โดยจัดสร้างพระขึ้น ๑๐ รุ่น แทนผู้มีสติปัญญา ๑๐ คน ได้สร้างมาแล้วครบ ๑๐ รุ่นๆ สุดท้ายที่สร้างในถ้ำไก่หล่น เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๖ ซึ่งนับว่าเป็นการสร้างพระในถ้ำเป็นครั้งแรกของโลก พระรุ่นสุดท้ายนี้มีทั้งหมด ๙๑๙ องค์ประกอบด้วย

      พระพุทธรูปปางประทานพร ๙ นิ้ว และ ๕ นิ้ว รวม ๑๕๐ องค์
      พระสังกัจจายน์ ๙ นิ้ว และ ๕ นิ้ว รวม ๑๕๐ องค์
      พระอวโลกิเตศวรเนื้อเหล็กน้ำผึ้ง รวม ๖๑๙ องค์

   ซึ่งมีส่วนผสมเป็นพิเศษทั้งทอง นาก เงิน น้ำผึ้ง ปรอท และ โลหิตหลวงปู่ผสมอยู่ด้วย ไว้แทนกาย ใจและวิญญาณศักด์สิทธิ์ของหลวงปู่จะได้สิงสถิตอยู่กับพระเครื่องเหล่านี้ ส่วนวัสดุที่เหลือนำมาสร้างเหรียญพระมหาโพธิสัตว์รูปใบโพธิ์ สำหรับพระที่สร้างทั้ง ๑๐ รุ่นได้แก่

   รุ่นแรก                    ห้าเหลี่ยมพระคันธาราษฎร์
   รุ่นสอง                    สมเด็จฝังพระธาตุ
   รุ่นสาม                    พระสังกัจจายน์ดำ
   รุ่นสี่                       สมเด็จชุบน้ำมัน
   รุ่นห้า                     พระสังกัจจายน์เนื้อผสมวัดระฆังและวัดปากน้ำรุ่น ๑

   รุ่นหก                      ดาวสุริยะ
   รุ่นเจ็ด                     พระสังกัจจายน์เนื้อเหล็ก
   รุ่นแปด                   สมเด็จปรกโพธิ์
   รุ่นเก้า                     พระสังกัจจายน์รุ่นเสาร์ ๕ (ลงทอง พิมพ์ด้วยมือ)
   รุ่นสิบ                      พระพุทธรูปและพระอวโลกิเตศวร

   ในสามรุ่นแรกหลวงปู่สร้างร่วมกับพระสหายอีก ๒ ท่านคือ หลวงปู่สี และหลวงปู่สอน

http://www.facebook.com/note.php?note_id=10150365762175285