ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: มีนาคม 11, 2011, 06:20:26 pm »
งานเขียนชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของหลู่ซวิ่นคือ "Wild Grass"
เป็นการรวมบทกวีนิพนธ์และร้อยแก้วอันไพเราะ แต่อ่านแล้วหดหู่
เพราะมีบรรยากาศของสังคมจีนที่น่าสมเพชอดสู เนื่องจากไร้ศักดิ์ศรี
เขาเปรียบเทียบพลังควบคุมจากภายนอกที่มีอิทธิพลเหนือสังคมจีน
เสมือนหนึ่งเปลวไฟที่พุ่งผุดขึ้นมาจากบาดาล แล้วแลบเลียสิ่งมีชีวิต
บนผืนแผ่นดินทั้งหมด ในที่สุดจะไม่มีสิ่งใดที่มีชีวิตเหลือรอดไปได้เลย
แม้แต่หญ้ารก ใบสาก และต้นไม้ใหญ่ซึ่งฝังรากลึกหยั่งลงไปในดิน
หลูซวิ่นใช้ชีวิตเป็นอาจารย์มหาวิทยาลับหลายแห่งทางด้านอักษรศาสตร์
บั้นปลายชีวิตของเขา เมื่อเขาอายุได้ 55 ปี เขานิยมขบวนการคอมมิวนิสต์มาก
ในแง่ที่มีความซื่อสัตย์ ยึดมั่นในอุดมการณ์ ทำการต่อสู้กับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง
และได้ผล ต่างจากกลุ่มก๊กมินตั๋งซึ่งมีการฉ้อราษฎร์บังหลวง
ปรากฎเป็นที่รู้เห็นทั่วไป
หากเขายังมีชีวิตอยู่นานต่อไป ใครๆเชื่อว่า หลู่ซวิ่นคงเข้าพวกไป
กับคอมมิวนิสต์แล้ว แต่ปรากฎว่าหลูซวิ่นถึงแก่กรรม เมื่อ ค.ศ.1936
ด้วยโรควัณโรคเช่นเดียวกับบิดาของเขา เขาจึงปรากฎเป็นที่รู้จักกัน
ทั่วไปทั้งในและนอกประเทศจีนด้วยผลงานทางวรรณกรรมของเขา
มิใช่นักปฏิวัติที่ลงมือจับอาวุธต่อสู้อย่างจริงจังเคียงบ่าเคียงไหล่
กับเหมาเจ๋อตุงและโจวเอินไหล
บ้านของหลู่ซวิ่น ทีเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์จะมีปีแห่งไม่ทราบแน่ชัด
เท่าที่มีข้อมูลคือ 3 แห่ง คือ บ้านเกิดที่เมืองเส้าชิง บ้านพักที่เซี๊ยะเหมิน
ขณะที่เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลับเมืองนั้น และบ้านในเขตเช่าของ
ฝรั่งเศสที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายในชีวิตงานเขียน
และตายที่บ้านหลังนั้น
จะขอเล่าถึงบ้านเกิดของหลู่ซวิ่น ที่เมืองเส้าชิง ซึ่งเป็นบ้านของเขา
เพียงแห่งเดียวที่ได้ไปชมมา จะขอแปลย่อๆถึงสิ่งที่หลู่ซวิ่น
ได้เล่าเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของเขาดังต่อไปนี้
"หลังบ้านเราเป็นสวนใหญ่ มีชื่อว่า "สวนพืชร้อยชนิด"
สวนนั้นเราได้ขายไปพร้อมกับบ้านเมื่อหลายปีมาแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าได้เห็นสวนนั้นก็คือ เมื่อ 7-8 ปีมาแล้ว
จำได้ว่าเห็นคราวนั้นมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด สมัยข้าพเจ้ายังเด็ก
สวนนั้นคือ สวรรค์ของข้าพเจ้า
สมัยนั้น ในสวนนั้นมีผักเขียวขึ้นเป็นแปลงๆ มีก้อนหินใหญ่
และลื่นวางอยู่รอบปากบ่อ มีต้นไม้สูงใหญ่ และต้นหม่อน
ใบออกสีม่วงๆ เวลาเดินผ่านไป จะได้ยินเสียงจักจั่นร้องระงม
อยู่ตามใบไม้ นานๆครั้งจงจะเห็นนกตัวเล็กๆ บินทะยานออกจากพุ่มหญ้า
ไปสู่ท้องฟ้า ที่ตีนกำแพงดินเหนียวเตี้ยๆ มีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง
เช่นจะเห็นจิ้งหรีดบ้านกับจิ้งหรีดสวนกัดกันเสียงดังจิ๊กจั๊ก หากใคร
ไปพลิกอิฐหักพังก็จะเห็นกิ้งกือแอบอยู่ ถ้าเอามือไปโดนตัวมันล่ะก็
อาจได้ยินเสียงฟ่อแผ่นเบา บนต้นมะเดื่อมีสัตว์ตัวเล็กๆหลายชนิด
เกาะติดแน่นอยู่ ลูกมะเดื่อตอนยังไม่แก่ มีรูปร่างเหมือนดอกบัวตูม
ข้าพเจ้าไม่กล้าเข้าไปวิ่งเล่นใกล้ๆพงหญ้าสูง เพราะคนพูดกันว่า
มีงูสีน้ำตาลใหญ่อยู่ในนั้น
พอถึงหน้าหนาว สวนนี้ก็จะแห้งแล้งจนไม่น่าสนุก ยิ่งเวลามีหิมะตกหนา
หากพวกเด็กๆ จะมาเล่นปั้นมนุษย์หิมะกัน ก็ต้องใช้เวลานาน
และใช้ฝีมือมากกว่าจะดูออกว่าเป็นมนุษย์หิมะ ในที่สุดเราก็ไม่เล่นปั้นหิมะ
แล้วไปวิ่งจับนกแทน
ข้าพเจ้าเล่นสนุกอยู่ได้ไม่กี่ปี มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่เข้าใจเลยว่า
ทำไมพ่อแม่จึงต้องจับข้าพเจ้าไปโรงเรียน โรงเรียนนั้นอยู่ใกล้บ้านที่สุด
คือแค่อยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามเท่านั้น แต่ก็เป็นโรงเรียนที่ได้ชื่อว่า
มีครูที่เข้มงวดที่สุด ข้าพเจ้าไม่รู้ตัวเองทำผิดอะไร ถึงได้ถูกลงโทษ
ด้วยการถูกส่งไปโรงเรียนอย่างนี้ จะเป็นเพราะข้าพเจ้าไปขุดหาหนอน
ใต้กำแพงจนกำแพงพังหรือเป็นเพราะข้าพเจ้าขว้างก้อนอิฐเข้าไป
ในสวนบ้านของตระกูลเหรียง หรือข้าพเจ้ากระโดดกำแพงหนีไปเที่ยวนอกบ้าน
แต่จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม ก็หมายความว่า ข้าพเจ้าถูกนำตัวพรากจาก
สวนสวรรค์อันเป็นที่รักของข้าพเจ้า ลาก่อนจิ้งหรีดเพื่อนรัก...
ลาก่อนพุ่มราสเบอรี่....ลาก่อนเจ้าต้นมะเดื่อเพื่อนยาก...
หลู่ซวิ่น บรรยายภาพเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและประสบการณ์ในโรงเรียน
ของเขาด้วยภาษาง่ายๆ แต่เขาสามารถจำลองภาพ กลิ่น เสียง
บุคลิกและความรู้สึกต่างๆออกมาให้คนอ่านตกอยู่ในบรรยากาศเช่นนั้น
ราวกับได้นั่งนอนหรือเดินเหิน วิ่งเล่นไปกับเขาด้วย
ทีเป็นประสบการณ์น่าสนใจจริงๆ ก็คือ ได้เห็นโรงเรียนแห่งแรกของหลู่ซวิ่น
ซึ่งเป็นตึกชั้นเดียวเป็นแนวยาว ตั้งอยู่บนลำคลองแคบๆ อยู่ตรงข้ามกับ
ปากซอยบ้านหลู่ซวิ่นเลย
และได้เห็น "สวนสวรรค์" ภายในบ้านเดิมของเขา ซึ่งบัดนี้...
มีแต่แปลงผักสีเขียว ไม่มีพุ่มหญ้ารก ไม่มีพุ่มหม่อน ไม่มีต้นมะเดื่อ
แต่เชื่อว่าหากขุดลงไปในดินจะต้องเจอจิ้งหรีด กิ้งกือ ไส้เดือน และ
งูตัวเล็กอย่างแน่นอน เพราะพืนดินเฉอะแฉะทำให้เชื่อเช่นนั้น
ไม่ได้ยินเสียงจักจั่น เพราะต้นไม้ใหญ่ใบหนาหายไป ไม่เห็นสวนบ้าน
ตระกูลเหลียง แต่ก็ได้ซับเอาบรรยากาศของชีวิตของชนชั้นเจ้าของที่ดิน
แบบ"จีนเก่า"ไว้เต็มหูเต็มตา
ขอบพระคุณคุณดวงใจ จากหนังสือ จีน หลายมิติ