ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 09:59:25 pm »"สวนอันศักดิ์สิทธิ์"–"เสาหินอโศก" ลุมพินีสถาน.
เยือนเนปาลครั้งนี้ ขอย้อนบันทึกความทรงจำในค่ำคืนวันแห่งความ รัก วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 ณ ลานเสาหินอโศก ลุมพินีสถาน
ค่ำคืนนี้ คณะสะพานบุญจากมูลนิธิไทยพึ่งไทย นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้ไปทำพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการบูรณปฏิสังขรณ์บริเวณที่ได้ชื่อว่าเป็น "สวนอันศักดิ์สิทธิ์" หรือ "Sacred Garden" สถานที่ประสูติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดินแดนแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พุทธศาสนิกชนทั่วโลก ถ้ามีโอกาสต่างก็อยากจะเดินทางมาสักการบูชาให้ได้สักครั้งในชีวิต...
ราวปี 236 พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จมา ณ ลุมพินี โดยคำแนะนำของพระอุปคุตเถระว่า...สถานที่ แห่งนี้คือที่ประสูติจากพระครรภ์ของพระพุทธเจ้า เป็นหนึ่งในสี่สังเวชนียสถานที่พระพุทธองค์รับสั่งกับพระอานนท์ก่อนปรินิพพานว่า...ให้เป็นสถานที่แทนตัวพระพุทธองค์หลังเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน แล้วให้พุทธบริษัทมาสักการะและปลงธรรมสังเวช
นั่งสมาธิภาวนา ค่ำคืนแห่งความรัก.
พระเจ้าอโศกมหาราชจึงทรงให้สร้างเสาหินอโศกและพระสถูปไว้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อให้ พุทธศาสนิกชนรุ่นหลังได้รับรู้ มาสักการบูชาสังเวชนียสถานแห่งนี้ได้อย่างถูกต้อง
วันเวลาผ่านไปนับร้อยๆปี...ลุมพินีถูกปล่อยทิ้งร้างยาวนาน กระทั่งวันที่ 1 ธันวาคม 2438 มีการขุดค้นพบเสาหินอโศก และเมื่อถึงสมัยกึ่งพุทธกาล...ราวปี 2513 ฯพณฯอูถั่น ชาวพุทธพม่า ในฐานะเลขาธิการองค์การสหประชาชาติตอนนั้น ก็ได้พยายามผลักดันโครงการพัฒนาลุมพินีเป็นผลสำเร็จ ทำแผนแม่บทพัฒนาลุมพินีสถานขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่นับหมื่นเอเคอร์
ผ่านมา...ถึงวันนี้ สวนอันศักดิ์สิทธิ์ ลุมพินีตามแผนแม่บทยังคงไม่มีความคืบหน้า ยิ่งใครได้ ไปช่วงฤดูฝน นับตั้งแต่ก้าวแรกจากจุดลงรถ ถนนทางดินก็เปียกแฉะเป็นโคลนเดินได้ยากลำบาก เข้าสู่วิหารมายาเทวี ด้วยสภาพเท้าเปื้อนโคลน... ความรู้สึกแปลกๆ ไม่สบายใจน่าจะเกิดขึ้นเหมือนๆกันทุกคน
อีกอย่างพุทธศาสนิกชนทุกคนจุดธูปเทียนบูชาตั้งจิตอธิษฐานเพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต หน้าเสาหินอโศก...เรียบร้อยแล้ว เมื่อต้องปักธูปเทียน ก็ต้องไปปักกับกระถางต้นไม้ ที่มีสภาพหักไปครึ่งหนึ่ง วางอยู่บนพื้นหญ้า เทียนก็ต้องปักเอากับแนวฐานอิฐเจดีย์เก่า
ภาพที่เห็นทำให้หลายคนฉุกคิด...การกราบไหว้ บูชาพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพนบนอบสูงสุด ไฉนเลย?ถึงทุลักทุเลเช่นนี้
กระทั่งเป็นโอกาสของคณะสะพานบุญชุดนี้ ทำให้ชื่อ..."ประเทศไทย" ต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ลุมพินีสถานมรดกโลก ได้รับอนุมัติแบบจากคณะกรรมการ มรดกโลก วันที่ 11 มกราคม 2554 ถือเป็นยุคที่สามที่ลุมพินีสถานได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์
พิธีวางศิลาฤกษ์และลงนาม MOU โครงการบูรณปฏิสังขรณ์.
แบบที่ว่า เริ่มตั้งแต่...สร้างทางเดินเท้ารอบวิหารมายาเทวี สร้างลานปฏิบัติ ธรรม 5 ลาน...หน้าเสาหินอโศก, ต้นมหาโพธิ์ และบริเวณใกล้เคียง สร้างอาคาร อเนกประสงค์ สร้างสวนปรับภูมิทัศน์รอบวิหารมายาเทวีและบริเวณสวนอันศักดิ์สิทธิ์ ให้สวยงามดุจดั่งเมื่อครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าประสูติ
งบก่อสร้างที่ใช้ประมาณการอยู่ที่ 60 ล้านบาท...คณะสะพานบุญขอบอกบุญผ่านไปถึงพุทธศาสนิกชนทั่วไทย ให้ได้มีโอกาสทำบุญร่วมกันทั้งประเทศ ทำกันคนละ 1 บาท... 10 บาท หรือทำเท่าที่มีกำลังรับไหว ร่วมกันสร้างชื่อประเทศไทยให้เป็นที่กล่าวขานจดจำ ใครจะทำมากทำน้อยติดต่อไปได้ที่ "มูลนิธิไทยพึ่งไทย" โทรศัพท์0-2971-7575 โทรสาร 0-2971-6777 หรือที่เว็บไซต์ www.lumbinidevelopment.org
แอฟ-สงกรานต์ คู่รักแห่งปีร่วมวางอิฐบนแผ่นดินแห่งความรัก.
บรรยากาศค่ำคืนแห่งความรักในดินแดนแห่งความรัก รักที่แม่มีต่อลูก...สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า พระราชรัตนรังษี (วีรยุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดไทยลุมพินี ประเทศเนปาล ให้ธรรมะท่ามกลางความสงบจากคณะสะพานบุญเกือบร้อยชีวิตที่ตั้งจิตนั่งสมาธิภาวนา เมื่อบวกกับอากาศที่หนาวเย็นต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศเงียบสงบยิ่งขึ้น
ท่านว่า..."การทำงานด้วยศรัทธา คนทำก็จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะงานที่ไม่ได้ทำง่ายๆ การบูรณะสังเวชนียสถานที่เป็นมรดกโลกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ ที่ผ่านมาผู้ใหญ่หลายท่านถึงจะมีกำลังครบทุกด้านจะขอทำก็ได้รับคำปฏิเสธ"
เริ่มก่อสร้างทางเดินเท้ารอบวิหารมายาเทวี.
บุญใหญ่ครั้งนี้ สำหรับพุทธศาสนิกชนไทย ที่ ผ่านมาประเทศไทยมีเรื่องราวเกิดขึ้นในทางเร่าร้อนไม่ สงบงดงาม การบูรณปฏิสังขรณ์แผ่นดินเกิดของพระพุทธเจ้า...แผ่นดินที่แม่ให้กำเนิดลูก ซึ่งเป็นแผ่นดินแห่งความรัก บุญใหญ่ครั้งนี้หวังอานิสงส์เกิดในบ้านเมืองไทยแผ่นดินแม่ของคนไทย และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสมหามงคล 60 ปี ราชาภิเษก และ 84 พรรษามหาราชา
ได้ไปเยือนลุมพินีสถานครั้งหน้า..."สวนอันศักดิ์สิทธิ์"คงร่มรื่นย้อนอดีตสมัยพุทธกาล.
http://www.thairath.co.th/column/life/global/156971