ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ดอกโศก
« เมื่อ: เมษายน 15, 2011, 10:48:02 am »

อนุโมทนาค่่ะ
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: เมษายน 15, 2011, 05:37:50 am »

อุบายวิปัสสนาอันเป็นเครื่องถ่ายถอนกิเลส
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

คัดลอกบางส่วนจาก
หนังสือ “มุตโตทัย” การทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา. หน้า ๑๕-๑๗

   

ธรรมชาติของดีทั้งหลายย่อมเกิดมาแต่ของไม่ดี
มีอุปมาดั่งดอกปทุมชาติอันสวยๆ งามๆ
ก็เกิดมาจากโคลนตมอันเป็นของสกปรก ปฏิกูล น่าเกลียด
แต่ว่าดอกบัวนั้นเมื่อขึ้นพ้นโคลนตมแล้วย่อมเป็นสิ่งที่สะอาด
เป็นที่ทัดทรงของพระราชา อำมาตย์ อุปราช และเสนาบดี เป็นต้น
และดอกบัวนั้น..มิได้กลับคืนไปยังโคลนตมนั้นเลย

ข้อนี้เปรียบเหมือนพระโยคาวจรเจ้า
ผู้ประพฤติพากเพียรประโยคพยายาม
ย่อมพิจารณาซึ่งสิ่งสกปรกน่าเกลียด
จิตจึงพ้นจากสิ่งสกปรกน่าเกลียดได้
สิ่งสกปรกน่าเกลียดนั้นก็คือ ตัวเรานี้เอง

ร่างกายนี้เป็นที่ประชุมแห่งของโสโครก
คือ อุจจาระ ปัสสาวะ (มูตร คูถ) ทั้งปวง
สิ่งที่ออกมาจากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
ก็เรียกว่า ขี้ ทั้งหมด เช่น ขี้หัว ขี้เล็บ ขี้ฟัน เป็นต้น
เมื่อสิ่งเหล่านี้ร่วงหล่นลงสู่อาหาร มีแกงกับเป็นต้น ก็รังเกียจ ต้องเททิ้ง กินไม่ได้
และร่างกายนี้ต้องชำระขัดสีอยู่เสมอจึงพอเป็นของดูได้
ถ้าหาไม่ก็จะมีกลิ่นเหม็นสาบ เข้าใกล้ใครก็ไม่ได้
ของทั้งปวงมีผ้า แพร เครื่องใช้ต่างๆ เมื่ออยู่นอกกายของเราก็เป็นของสะอาดน่าดู
แต่เมื่อมาถึงกายนี้แล้วก็กลายเป็นของสกปรกไป
เมื่อปล่อยไว้นานๆ เข้าไม่ซักฟอกก็จะเข้าใกล้ใครไม่ได้เลยเพราะเหม็นสาบ

ดังนี้จึงได้ความว่า
ร่างกายของเรานี้เป็นเรือนมูตร เรือนคูถ
เป็นอสุภะ ของไม่งาม ปฏิกูลน่าเกลียด
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเป็นถึงปานนี้
เมื่อชีวิตหาไม่แล้ว ยิ่งจะสกปรกหาอะไรเปรียบเทียบมิได้เลย
เพราะฉะนั้นพระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย
จึงมาพิจารณาร่างกายอันนี้ให้ชำนิชำนาญด้วยโยนิโสมนสิการตั้งแต่ต้นมาทีเดียว
คือ ขณะเมื่อยังเห็นไม่ทันชัดเจนก้พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งกายอันเป็นที่สบายแห่งจริต
จนกระทั่งปรากฏเป็นอุคคหนิมิต คือ ปรากฏส่วนแห่งร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง
แล้วก็กำหนดส่วนนั้นให้มาก เจริญให้มาก ทำให้มาก

การเจริญทำให้มากนั้นพึงทราบอย่างนี้
ชาวนาเขาทำนา เขาก็ทำที่แผ่นดิน ไถที่แผ่นดิน
ดำลงไปในขี้ดิน ปีต่อไปเขาก็ทำที่ขี้ดินนั้นเอง
เขาไม่ได้ทำในอากาศ กลางหาว คงทำแต่ที่ดินแห่งเดียว
ข้าวเขาก็ได้เต็มยุ้งเต็มฉางเอง

เมื่อทำให้มากในที่ดินนั้นแล้ว ไม่ต้องร้องเรียกว่า
ข้าวเอ๋ยข้าว จงมาเต็มยุ้งเน้อ ข้าวก็จะหลั่งไหลมาเอง
และจะห้ามว่า ข้าวเอ๋ยข้าว จงอย่ามาเต็มยุ้งเต็มฉางเราเน้อ
ถ้าทำนาในที่ดินนั้นเองจนสำเร็จแล้ว
ข้าวก็มาเต็มยุ้งเต็มฉางโดยไม่ต้องสงสัยเลย

ฉันใดก็ดี พระโยคาวจรเจ้าก็ฉันนั้น
คงพิจารณากายในที่เคยพิจารณาอันถูกนิสัย
หรือที่ปรากฏมาให้เห็นครั้งแรก อย่าละทิ้งเลยเป็นอันขาด

การทำให้มากนั้นมิใช่หมายแต่การเดินจงกรมเท่านั้น
ให้มีสติหรือพิจารณาในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด
ก็ให้มีสติรอบคอบในกาลอยู่เสมอจึงจะชื่อว่าทำให้มาก
เมื่อพิจารณาในร่างกายนั้นจนชัดเจนแล้ว
ให้พิจารณาแบ่งส่วนออกเป็นส่วนๆ ตามโยนิโสมนสิการของตน
กระจายออกเป็นธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และพิจารณาให้เห็นไปตามนั้นจริงๆ
อุบายตอนนี้ตามแต่ตนจะใคร่ครวญออกอุบายตามที่ถูกจริตนิสัยของตน
แต่อย่าละทิ้งหลักเดิมที่ตนได้รู้ครั้งแรกนั่นเทียว

  ...รักษาใจ...

ให้อายสิ่งที่มันเป็นบาป...สิ่งที่ไม่เป็นบาป..ไม่ต้องอาย
ขอบพระคุณที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=37768#p255445