ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 02:51:04 pm »เมื่อมีความพากเพียรกำหนดซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง จิตก็รวมตัวเป็นสมาธิ
ความง่วงก็กระจายไปเอง หรือเมื่อปฏิบัติไปแล้ว
เกิดความรู้สึกท้อถอย ท้อแท้ เบื่อหน่าย ก็ประคองจิตไว้
ดูความเบื่อ ดูความท้อถอยนั่นแหละ ดูอาการในจิตว่ามันท้อมันถอยในจิตอย่างไร
ดูไปๆ ว่ามันเกิด มันคลาย หรือมันหายไป
หรือเมื่อฟุ้งซ่านหงุดหงิด ก็กำหนดดูความฟุ้งซ่าน
ดูความหงุดหงิดที่ปรากฏในจิต ดูอาการที่ฟุ้งว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร
เวลาฟุ้งมันร้อนใจ ไม่สบายใจอย่างไร อาการจะแรงขึ้นหรือจะเบาลง
จางลงก็ดูไป ความฟุ้งซ่านก็เป็นสภาวธรรม เป็นอกุศลธรรมที่ปรากฏอยู่
เมื่อกำหนดพิจารณาดูความฟุ้งซาน ก็เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เป็นการพิจารณาธรรมในธรรมเช่นกัน
สติสัมปชัญญะที่เข้าไประลึกดูความฟุ้งซ่านนี้ จะต้องดูอย่างวางเฉย
ให้หัดดูความฟุ้งซ่านอย่างวางเฉย
แม้จิตจะหงุดหงิดจะร้อนใจ ก็ไม่ว่าอะไร ทำใจให้วางเฉย
เมื่อผู้ดู คือสติสัมปชัญญะเขาวางเฉย เขาแยกตัวออกมาต่างหาก
ความฟุ้งซ่านเหลานั้นก็จะแปรสภาพจางคลายให้ดู และหายไปในที่สุด
เพราะฉะนั้นให้ดูอย่างผู้ดู ดูสักแต่ว่าดู
รู้สักแต่ว่ารู้ อย่าไปวุ่นวายกับมันด้วย สักแต่ว่าเข้าไว้
สักแต่ว่าฟุ้ง จะฟุ้งก็ไม่ว่าอะไร ไม่หายฟุ้งก็ไม่ว่าอะไร
จะเกิดอีกก็ไม่ว่าอะไร จะจางไปก็ไม่ว่าอะไร
จะแรงขึ้นก็ทำใจไม่ว่าอะไร ไม่พยายามบังคับให้หายฟุ้ง
เพราะเข้าใจแล้วว่า ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นก็ดีแล้ว เกิดขึ้นมาก็จะได้ดู
เพราะความฟุ้งก็เป็นสภาวธรรม เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติ ธรรมดา
แต่ก็ตั้งอยู่ไม่ได้นาน ถ้าสติสัมปชัญญะเข้าไปดูอย่างวางเฉย
ความฟุ้งซ่านนั้นจะแปรสภาพเป็นจางคลายหายไป
นอกเสียจากว่าเราดูอย่างบังคับ ดูอย่างมีความเกลียดชัง
ดูด้วยความอยาก คืออยากจะสงบ ดูแบบอยากสงบๆ
ถ้าเราดูอย่างเกลียดชัง ไม่เอา ไม่ชอบ หงุดหงิด เกลียดเหลือเกินความฟุ้งซ่านนี้
ก็เหมือนกับไปใส่เชื้อความฟุ้งซ่านให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติไม่ถูก
จิตมีกิเลสเจือกำกับ จิตไม่บริสุทธิ์ คือมีตัณหา มีโลภะ มีโทสะกำกับ
หรือเรียกว่าจิตมี อภิชฌา และ โทมนัส
แต่สติสัมปะชัญญะเป็นธรรมฝ่ายบริสุทธิ์
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้พึงละอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ หมายความว่า
เวลาปฏิบัติเมื่อกำหนดกาย เวทนา จิต หรือ ธรรม อย่างเช่นกำหนดความฟุ้ง
ให้วางเฉยไว้ อย่าไปอยากสงบ ทำใจว่าสงบก็ได้ แม้ไม่สงบก็ทำใจไม่ว่าอะไร
สอนใจตนเองว่าจะปฏิบัติเพื่อไม่เอาอะไร อะไรจะเกิดขึ้นมาในกายในใจ
ก็จะเป็นผู้ไม่ว่าอะไรจริงๆ แต่เรามักคอยจะเอาอย่างนั้น คอยจะไม่เอาอย่างนี้
แล้วก็หงุดหงิด วุ่นวายเสริมเข้าไปอีก
จิตที่ไม่มีกิเลสเข้าไปบงการ จิตที่วางเฉยอยู่ไม่ว่าอะไรนั้นแหละ
คือการมีสติอย่างถูกต้อง แล้วผู้ปฏิบัติก็จะค่อยๆ เห็นธรรมชาติความเป็นจริง
ว่าธรรมทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นความสงสัย ความฟุ้งซ่าน ความง่วง ความท้อถอย
หรือจะเป็นราคะ โทสะ โมหะเหล่านี้ ล้วนมีความเกิดดับเป็นธรรมดา
คือเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็เปลี่ยนแปลง จางไป คลายไป หายไป ไม่ตั้งอยู่
แล้วก็คอยสังเกตอีกว่า ลักษณะที่มันคลายหายไปมันมีอะไรเกิดขึ้นต่อ
ก็ดูกันต่อไปอีก ไม่ว่าจะเป็นที่กาย หรือที่ใจ
รวมแล้วก็เป็นการปฏิบัติอยู่ในมหาสติปัฏฐานสี่
ทำสติปัฏฐานทั้งสี่ให้สมบรูณ์ บางครั้งรู้กาย บางครั้งรู้เวทนา
บางครั้งรู้จิต บางเวลารู้ธรรมในธรรม
แล้วแต่ว่าธรรมใดปรากฏเด่นชัด ก็ระลึกรู้ธรรมนั้น
ฝึกใหม่ๆ ก็ฝึกเป็นขั้นเป็นตอนก่อน ดูลมหายใจ ดูอิริยาบถ
คือหัดดูกายไปก่อน แล้วก็เริ่มสังเกตสภาวธรรมทั่วๆ กาย คือความรู้สึกเวทนา
จนกระทั่งน้อมเข้าไปถึงจิตใจ รู้จิต รู้ใจ
พอดูทั้งกายทั้งใจเป็นขั้นตอนไปไม่เลือกแล้ว
สิ่งใดปรากฏสติก็ระลึกรู้ รู้ทันๆ แล้วก็ฝึกปล่อยวาง
รู้อะไรก็ปล่อยให้หมด ไม่ยึดถือ ไม่เอาอะไรทั้งหมด
แต่ก็ยังรู้อยู่ ยังดู ยังพิจารณาอยู่
การปล่อยจึงไม่ใช่การปล่อยแบบทิ้งขว้างไป ปล่อยแต่ต้องมีการสังเกตด้วย
สติเป็นตัวระลึก สัมปชัญญะเป็นตัวสังเกต
การสังเกตก็ต้องมี การระลึกก็ต้องมี
การปล่อยวางก็ต้องมี ปัญญา สมาธิ ความเพียรก็ต้องมี
มีอยู่ให้ผสมกันไปทั้งปล่อยวาง ทั้งสมาธิ ปัญญา ความเพียร
ทั้งการระลึกและการสังเกต
สังเกตอะไร สังเกตความเปลี่ยนแปลง สังเกตความเกิดขึ้นความหมดไป
หรือสังเกตว่าบังคับไม่ได้
สังเกตเฉพาะที่เป็นปัจจุบัน อย่าไปคิดถึงอดีต อนาคตให้ยืดยาว
ปฏิบัติไปก็ให้เป็นไปด้วยกัน คือ มีทั้งรู้-ทั้งละ ผสมกลมกลืนเป็นกลาง
ค่อยๆเจริญสติไปจนจิตใจมีความผ่องใสเบาเป็นปกติ
จะเห็นว่าสภาวธรรมทั้งหลาย ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ มีแต่หมดไป สิ้นไป
นี้คือการปฏิบัติที่เรียกว่า “เจริญวิปัสสนากรรมฐาน”
แต่การจะทำให้ได้ทันทีทันใดอย่างใจคงไม่ได้
ผู้ปฏิบัติจะต้องค่อยๆ ปลูกสร้างสะสมเหตุปัจจัยไปทุกๆวัน
จนกว่า สติ สมาธิ ปัญญา ความเพียรมีกำลังขึ้น
ถ้ายังไม่ได้สะสม ไม่ได้ฝึกให้มาก ก็ยังไม่มีกำลัง
หรือบางทีมีกำลังแต่ก็ไม่สม่ำเสมอกัน เราก็ต้องมาปรับให้สม่ำเสมอกันอีก
สังเกตดูอย่าให้ตึง อย่าให้หย่อนเกินไป ถ้ารู้สึกว่าจดจ้องเพ่งเล็ง
บังคับจับอารมณ์เกินไปก็ให้รู้จักปล่อยวางออก
แต่ถ้าปล่อยเกินไปก็จะไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ไม่คอยสังเกต ก็จะกลายเป็นหย่อนเกินไป
กลายเป็นเผลอเป็นหลับ การปล่อยโดยไม่รู้นี้ทำให้หลับได้
บางคนพอนั่งปฏิบัติก็หลับ พอทำจิตใจปล่อยวาง หลับไปเลย
แสดงว่ามันหย่อนไม่พอดีกัน แต่บางคนก็เพ่งจนเคร่งตึง นี้ก็เกินไป
บังคับเกินไป มันก็เคร่งตึง ก็ให้รู้จักปรับลงมา
คนไหนที่หนักไปในทางเคร่งตึง แสดงว่าการใส่ใจตั้งใจมากไป
ก็ควรลดการจดจ้องเพ่งเล็งอยากได้ลง แล้วมาเพิ่มการปล่อยวางให้มากขึ้น
บางคนเขาปล่อยวางจนไม่ต้องตั้งใจดู ตั้งใจปล่อยท่าเดียว
เพราะดูอยู่แล้วจนเคยชินในการกำหนดดูๆ ถึงไม่ตั้งใจดูมันก็จะดู
สติสัมปะชัญญะที่เคยชินจะมีกำลัง แม้ไม่ตั้งใจจะดู แต่จิตก็ดูอยู่
เราจึงควรมาเพิ่มการปล่อยวาง ปล่อย.....
จนพอได้ส่วนขึ้นมา จิตก็จะรวมตัวลงไป
จิตจะไม่ไปไหน จะรู้อยู่แต่ข้างใน เข้าไปรู้สภาวะในกายในใจได้อย่างละเอียด
ผู้ปฏิบัติก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าจิตไม่ลงตัว ก็คอยแต่จะออกข้างนอก
จึงต้องคอยปรับให้พอดีไว้ นี้เป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติจะต้องหัดสังเกต
และพิจารณาด้วยตนเอง ไม่มีใครมาวัดใจเราได้
เราต้องฟังและคอบปรับเทียบเคียงเอาเอง ฝึกหัดเอาเอง
ก็จะได้รับคุณประโยชน์จากการปฏิบัติธรรมตามสมควร
วันนี้ขอยุติเพียงเท่านี้ ขอความสุขความเจริญในธรรม จงมีแด่ทุกท่านเทอญ...
คัดย่อจาก.. พระธรรมเทศนาเรื่อง “สติระลึกรู้อะไร”
โดย เขมรํสีภิกขุ
ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13357
นำมาแบ่งปันโดย.. baby@home
Pics by : Google
สุขใจดอทคอม * อกาลิโกโฮม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
โดย เขมรํสีภิกขุ
ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13357
นำมาแบ่งปันโดย.. baby@home
Pics by : Google
สุขใจดอทคอม * อกาลิโกโฮม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ