ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 28, 2011, 12:39:55 am »เปิดใจ'พระรักเกียรติ'ฝาก'แม้ว'รับผิดติดคุก
"พระรักเกียรติ" เปิดใจอยู่ใน "คุก" ทำให้ได้ทบทวนอดีต ครั้งที่มีตำแหน่งการเมือง ใช้ชีวิตประมาท-ขาดศีลธรรม ลุ่มหลงอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ ทั้งดื่มสุรา นารี เล่นพนัน เผยเคยมีเงินนับร้อยล้าน แต่ต้องหลบซ่อนใช้แค่วันละ 100 บาท ฝากนักการเมืองที่หนีคดีให้มารับโทษ เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะที่ตนเองไม่หนี จึงมีวันนี้ ยันศาลไม่มีสองมาตรฐาน ว่ากันตามกฎหมาย ใครสู้คดีแพ้ก็ต้องยอมรับผิด
เมื่อวันที่ 9 มกราคม พระรักเกียรติ สุขธนะ หรือฉายา รักขิตะ ธัมโม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางมาออกรายการเจาะใจ ตอน "เจาะใจอดีต รมต.ติดคุก คดีทุจริตสินบนยา 5 ล้านบาท" โดยมีนายสัญญา คุณากร และนายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ เป็นพิธีกร ซึ่งจะออกอากาศในวันที่ 14 มกราคมนี้
พระรักเกียรติเปิดใจว่า หลังรับการพักโทษหรือปล่อยตัวก่อนกำหนด 2 ปี 6 เดือน ก็บวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดสิรินธราวาส อ.โนนสะอาด จ.อุดรธานี และหากไม่มีปัญหาต้องลาสิกขาก็อยากบวชตลอดชีวิต และไม่คิดหวนกลับมาสู่เส้นทางการเมืองอีกต่อไป
เล่นการเมืองเป็นสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) มาตั้งแต่อายุ 26 ปี และเป็น ส.ส.สมัยแรกปี 2526 จากนั้นเป็น ส.ส.ติดต่อกันถึง 7 สมัย สังกัดพรรคกิจสังคม จึงอยากพูดบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยจะไม่ขอพูดโกหกหรือให้ร้ายผู้อื่น ต้องยอมรับว่าระบบการเมืองไทยตั้งแต่ปี 2526-2544 เป็นการเมืองระบบเก่าก่อนปฏิรูป นักการเมืองอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของหัวหน้าพรรคหรือหัวหน้าทีม ต้องอยู่ในมุ้งหรือก๊วน นักการเมืองอาวุโสให้การดูแลกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยปัจจัยที่นำมาสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองมาจากกลุ่มผู้สนับสนุนการเงินแก่นักการเมือง หน้าที่ผู้รับการสนับสนุนคือทำตามมติพรรค จะมีการประชุมตกลงเป็นมติพรรคก่อนโหวตในสภา
ต่อมาเมื่อเติบโตขึ้นมีพรรษาทางการเมืองมากขึ้น ทำให้มีนักการเมืองในพื้นที่มาสังกัดอยู่ในกลุ่ม จึงขยับขึ้นเป็นผู้ดูแล มีกลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุน เมื่อมี ส.ส.ในกลุ่ม 5 คน ก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยปี 2535 และได้รับความไว้วางใจให้ดูแล ส.ส.ภาคอีสานตอนบน 5-6 จังหวัด สำหรับสัดส่วนโควตารัฐมนตรีในแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพรรคว่าจะได้รับการจัดสรรกี่ตำแหน่ง ขณะที่ ส.ส.บางคนป็น ส.ส.ถึง 10 สมัย แต่ก็ไม่เคยเป็นรัฐมนตรี เพราะเขาไม่มีภาวะผู้นำไม่มีทีม ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับ
พิธีกรถามว่า เป็นรัฐมนตรีได้รับเงินเดือน 9 หมื่นบาทอุปถัมภ์ ส.ส.ในกลุ่มอย่างไร พระรักเกียรติบอกว่า การเมืองมีกลุ่มทุนสนับสนุน กลุ่มทุนมากพรรคยิ่งเติบโต มีจำนวน ส.ส.รัฐมนตรีและกลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุนมากขึ้นด้วย หรือเป็นวงจรอุบาทว์ ต่อมาจึงมีการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 จัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาตรวจสอบนักการเมืองและมีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ผ่านมาคนที่ขึ้นศาลนี้ยังไม่มีใครชนะ ไม่ว่าจะเป็นนายวัฒนา อัศวเหม, พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือนายวราเทพ รัตนากร ซึ่งต้องโทษจำคุก 2 ปีจากคดีหวยบนดิน แต่ศาลให้รอการลงอาญา
เมื่อถามว่า วงจรมุ้งการเมืองยังมีอยู่หรือไม่ พระรักเกียรติกล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะอยู่ในเรือนจำ พ้นโทษออกมาก็บวชเลย พิธีกรได้ถามต่อถึงวิธีการเอื้อประโยชน์ของกลุ่มทุนการเมือง พระรักเกียรติบอกว่า ช่วงที่มีอำนาจวาสนา ทำอะไรก็มีแต่คนสนับสนุน จัดชกมวยนักมวย ฟ้าประกอบ รักเกียรติยิม ก็ได้แชมป์โลก แต่ไม่ขอพูดถึงคำขอที่ชัดเจนของกลุ่มผู้สนับสนุนต่างๆ เพราะจะผิดศีล
พระรักเกียรติกล่าวให้สติถึงการใช้ชีวิตว่า ระหว่างที่ต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำ ก็ได้ทบทวนความผิดในอดีตของตน พบว่าเมื่อมีตำแหน่งการเมืองสูงขึ้น ได้ใช้ชีวิตประมาท ขาดศีลธรรม เพราะลุ่มหลงอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ ผิดศีล ทั้งดื่มสุรา นารี และพนัน ตอนแรกเล่นการพนันแต่น้อย ช่วงหลังถึงกับบินไปเล่นในกาสิโนต่างประเทศ ได้เสียครั้งละเป็น 10 ล้าน เคยเล่นเสียหนัก 20-30 ล้านบาท และเคยเล่นได้สูงสุด 109 ล้านบาท ตอนนั้นคิดว่าเป็นทางนำมาซึ่งความสุข ไม่เคยทราบว่าเป็นสุขไม่ยั่งยืน และต้องกลายมาเป็นความทุกข์
"นักการเมืองที่ไปเล่นไม่ได้ชวนกัน ต่างคนต่างไปเล่น เพราะไปทำความผิด จึงไม่ชวนกันไป ส่วนครอบครัวเมื่อรู้ว่าอาตมาเล่นการพนันก็ห้ามปราม แต่ก็ไม่ฟัง เพราะลุ่มหลงในกิเลส"
พิธีกรถามว่า เหตุใดจึงไม่ไปฟังคำตัดสินศาลและหลบหนีคดี พระรักเกียรติกล่าวว่า ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอยู่ในทางสามแพร่ง เป็นทุกข์ที่ต้องหลบซ่อน คิดว่าจะหนีไปต่างประเทศ แต่เราไม่มีทรัพย์สินซุกซ่อนอยู่ในต่างประเทศเหมือนคนอื่น ถ้าหนีก็ต้องหนี 20 ปี ทางเลือกข้อนี้จึงตัดทิ้ง ส่วนแพร่งที่ 2 คิดว่าจะฆ่าตัวตาย แต่ว่าขัดกับนิสัยซึ่งเป็นคนกล้าได้กล้าเสียใจ นักเลง แพ้ก็ยอมรับ ส่วนสุดท้ายคือคิดจะเข้ามอบตัว แต่ไม่กล้า เพราะกลัวเรือนจำ จึงต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ใน กทม. ต้องตระเวนไปขออาศัยอยู่ตามแฟลตหรือคอนโดฯ เพื่อน เปลี่ยนที่อยู่ทุก 2-3 เดือน
"จากคนที่มีเงิน 100 ล้าน ต้องใช้เงินวันละ 100 บาท และมีโรคความดัน เบาหวาน ประจำตัวต้องไปออกกำลังกาย เวลาตำรวจมาพบก็เตือนให้หลบๆ หน่อย เพราะเขาไม่อยากจับ แต่เป็นเพราะมีผู้โทร.แจ้งหลายรอบ"
ถามว่า เมื่อต้องถูกส่งตัวเข้ารับโทษในเรือนจำรู้สึกอย่างไร พระรักเกียรติกล่าวว่า รู้สึกโล่งอก เพราะไม่ต้องหนีและหลบซ่อนตัวอีกแล้ว แทนที่จะทุกข์ทรมานเพราะการถูกคุมตัวกลายเป็นโล่งใจ วันรับโทษครั้งแรก คือการนับ 1 ใหม่อีกครั้ง เรือนจำได้พัฒนาไปสู่ระบบสากลมีมาตรฐานมากขึ้น แต่ก็ยังแออัด ในห้องนอนต้องนอนถึง 100 คน และวันที่ลำบากที่สุด คือวันไฟดับ ไม่มีพัดลม ทำให้หายใจลำบาก หากลุกขึ้นก็จะเสียที่นอน 14 ชั่วโมงของทุกวันต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนนอน ถูกขัง ใส่กุญแจ 2 ครั้ง เพราะเรือนจำมีเจ้าหน้าที่น้อย ต้องขังเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการแหกหัก ช่วงแรกๆ รู้สึกอึดอัดกระวนกระวายใจ บางคนรับไม่ได้ ถึงกับเป็นบ้า เดินพูดคนเดียว นั่งคุยกับต้นไม้
"แต่อาตมาตั้งใจดูแลตัวเอง ไม่ให้ป่วย ไม่ให้ตาย เพราะไม่ต้องการตกเป็นข่าวประวัติศาสตร์ว่าเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่ตายในคุก และยังต้องรักษาจิตใจไม่ให้เป็นบ้า โดยใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งเรือนจำได้จัดให้มีการสอนศาสนาของทุกศาสนา จึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้อาตมารู้จักธรรม ตอนเป็นรัฐมนตรีไปทำบุญเป็นชาวพุทธ แต่ไม่เคยรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ไม่รู้จักคำว่า ทาน ศีล ภาวนา เมื่อถูกกิเลสเข้าครอบงำ ทำบุญแทนที่จะได้บุญก็ได้บาป พอบุญหมด กรรมตามทันจึงต้องตกนรกบนดิน ซึ่งอาตมาคิดว่าคดีนี้เป็นคดีแรกจึงถูกลงโทษเต็มที่ 15 ปีแตกต่างจากคดีหวยบนดินซึ่งลงโทษเพียง 2 ปี ระหว่างติดคุกอาตมาก็ทำใจอยู่เป็นปี แต่เห็นว่านักโทษหลายคดีโดนหนักกว่าเรา เช่น พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อายุ 72 ปีแล้ว สุขภาพไม่ดี แต่ยังมีความหวังจะได้กลับบ้าน แต่กลายเป็นต้องมาเก็บของจากเรือนคลองเปรมเพื่อไปรอรับโทษประหารที่เรือนจำกลางบางขวาง ของเราจึงดีกว่าเขา ถ้าทำดี มีโอกาสกลับบ้านก่อน 15 ปี" พระรักเกียรติกล่าว
พิธีกรถามว่า หลังจากติดคุกชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไร พระรักเกียรติกล่าวว่า ทำให้ได้คิดว่าทำผิดแล้วต้องแก้ไข เพราะคนส่วนใหญ่คิดแต่แก้ตัวว่าไม่ได้รับความยุติธรรมและไม่ยอมรับโทษ ส่วนอาตมาทำใจยอมรับและพยายามแก้ไข โดยไม่ขอกลับไปสู่เส้นทางการเมืองทั้งที่ยังมีอายุเพียง 56 ปี เนื่องจากเส้นทางเก่าถ้าย้อนกลับไปจะพบกับความทุกข์อีก และชีวิตหลังจากนี้ขอแก้ไขด้วยการทำสิ่งใหม่ คือ ศึกษา ปฏิบัติและเผยแผ่ธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าสึกออกมาก็จะขอทำงานเลี้ยงครอบครัวในอาชีพที่ปรึกษากฎหมาย เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเล่นการเมืองเคยเป็นทนายความ
พระรักเกียรติเปิดใจถึงครอบครัวว่า ขณะนี้ไม่มีสิ่งใดน่าห่วง ไปขอลาบวชครั้งแรกภรรยาก็อนุโมทนา ส่วนลูกเรียนจบและเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปแล้ว ในงานบวชเพื่อนๆ มากันพร้อมหน้า แม้แต่ข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขและผู้ที่เคยร้องเรียนในคดีทุจริตยาก็มาอโหสิกรรมให้ จึงต้องขอบคุณคนที่โทรศัพท์ไปแจ้งให้มาจับ เพราะถ้ายังหนีต่อไป วันนี้คงไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่นี่ใช้เวลาเพียง 5 ปีก็สามารถกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ ตนจึงเห็นสัจธรรมของชีวิตครบถ้วน
"ทุกวันนี้ไปเทศนาให้ชาวบ้าน นักเรียนและนักโทษฟัง ปกติคนเคยติดคุกแล้วจะอาย แต่สำหรับอาตมา อยากยกชีวิตที่มีหลายรสชาติมาสอนผู้คน และเยาวชนกลุ่มเสี่ยงให้รู้ว่าไม่มีใครหนีกรรมได้ แม้แต่คนเป็นรัฐมนตรีก็เสื่อมยศ เสื่อมวาสนาได้" พระรักเกียรติกล่าว
ต่อข้อถามว่า หากมีสิ่งวิเศษสามารถย้อนเวลาได้จะกลับไปบอกรัฐมนตรีรักเกียรติว่าอย่างไร พระรักเกียรติกล่าวว่า ถ้าวันนั้นรู้ธรรม จะไม่ทำผิด จะไม่ใช้ชีวิตประมาท และไม่ยอมให้กิเลสครอบงำ จะบอกเขาว่าเส้นทางนั้นเป็นความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ทำให้เกิดความทุกข์และเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ทำผิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดระยะเวลาให้สัมภาษณ์รายการเจาะใจ พระรักเกียรติให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้าผ่องใส ตอบคำถามด้วยกิริยาสำรวม หากคำถามใดที่กล่าวถึงบุคคลที่สามในทางเสียหายก็จะหลีกเลี่ยงไม่วิจารณ์
พระรักเกียรติยังให้สัมภาษณ์ฝากถึงนักการเมืองที่ถูกตัดสินโทษแล้วหลบหนีคดีว่า หากมารับโทษก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะวันนั้นไม่หนี จึงมีวันนี้ เมื่อยอมรับโทษจึงมีวันพ้นโทษ การหนีอาจเป็นเหมือนนายราเกซ สักเสนา ซึ่งถูกจับกลับมารับโทษแม้จะหนีไปอยู่นอกประเทศก็ไม่มีความสุข ที่ผ่านมาไม่คิดว่าศาลไม่ยุติธรรมหรือมีสองมาตรฐาน ศาลตัดสินตามตัวบทกฎหมายที่พรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นผู้อนุมัติ จะไปกล่าวหาว่าไม่ยุติธรรมก็ไม่ได้ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีความคิดจะไปแทรกแซงศาล เมื่อสู้คดีเต็มที่ แพ้ก็ต้องยอมรับผิด ในศาลฎีกามีแต่ผู้พิพากษา ระดับผู้ใหญ่ มีคุณสมบัติเป็นประธานศาลฎีกาได้ทุกคน และองค์คณะที่ตัดสินคดีอาตมา ต่อมาก็เป็นประธานศาลฎีกาหลายคน.
----
http://www.thaipost.net/sunday/100110/16150