ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 28, 2011, 12:39:55 am »



 
เปิดใจ'พระรักเกียรติ'ฝาก'แม้ว'รับผิดติดคุก

   "พระรักเกียรติ" เปิดใจอยู่ใน "คุก" ทำให้ได้ทบทวนอดีต ครั้งที่มีตำแหน่งการเมือง ใช้ชีวิตประมาท-ขาดศีลธรรม ลุ่มหลงอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ ทั้งดื่มสุรา นารี เล่นพนัน เผยเคยมีเงินนับร้อยล้าน แต่ต้องหลบซ่อนใช้แค่วันละ 100 บาท ฝากนักการเมืองที่หนีคดีให้มารับโทษ เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะที่ตนเองไม่หนี จึงมีวันนี้ ยันศาลไม่มีสองมาตรฐาน ว่ากันตามกฎหมาย ใครสู้คดีแพ้ก็ต้องยอมรับผิด
   
   เมื่อวันที่ 9 มกราคม พระรักเกียรติ สุขธนะ หรือฉายา รักขิตะ ธัมโม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางมาออกรายการเจาะใจ ตอน "เจาะใจอดีต รมต.ติดคุก คดีทุจริตสินบนยา 5 ล้านบาท" โดยมีนายสัญญา คุณากร และนายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ เป็นพิธีกร ซึ่งจะออกอากาศในวันที่ 14 มกราคมนี้
   
   พระรักเกียรติเปิดใจว่า หลังรับการพักโทษหรือปล่อยตัวก่อนกำหนด 2 ปี 6 เดือน ก็บวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดสิรินธราวาส อ.โนนสะอาด จ.อุดรธานี และหากไม่มีปัญหาต้องลาสิกขาก็อยากบวชตลอดชีวิต และไม่คิดหวนกลับมาสู่เส้นทางการเมืองอีกต่อไป
   
   เล่นการเมืองเป็นสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) มาตั้งแต่อายุ 26 ปี และเป็น ส.ส.สมัยแรกปี 2526 จากนั้นเป็น ส.ส.ติดต่อกันถึง 7 สมัย สังกัดพรรคกิจสังคม จึงอยากพูดบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยจะไม่ขอพูดโกหกหรือให้ร้ายผู้อื่น ต้องยอมรับว่าระบบการเมืองไทยตั้งแต่ปี 2526-2544 เป็นการเมืองระบบเก่าก่อนปฏิรูป นักการเมืองอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของหัวหน้าพรรคหรือหัวหน้าทีม ต้องอยู่ในมุ้งหรือก๊วน นักการเมืองอาวุโสให้การดูแลกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยปัจจัยที่นำมาสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองมาจากกลุ่มผู้สนับสนุนการเงินแก่นักการเมือง หน้าที่ผู้รับการสนับสนุนคือทำตามมติพรรค จะมีการประชุมตกลงเป็นมติพรรคก่อนโหวตในสภา
   
   ต่อมาเมื่อเติบโตขึ้นมีพรรษาทางการเมืองมากขึ้น ทำให้มีนักการเมืองในพื้นที่มาสังกัดอยู่ในกลุ่ม จึงขยับขึ้นเป็นผู้ดูแล มีกลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุน เมื่อมี ส.ส.ในกลุ่ม 5 คน ก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยปี 2535 และได้รับความไว้วางใจให้ดูแล ส.ส.ภาคอีสานตอนบน 5-6 จังหวัด สำหรับสัดส่วนโควตารัฐมนตรีในแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพรรคว่าจะได้รับการจัดสรรกี่ตำแหน่ง ขณะที่ ส.ส.บางคนป็น ส.ส.ถึง 10 สมัย แต่ก็ไม่เคยเป็นรัฐมนตรี เพราะเขาไม่มีภาวะผู้นำไม่มีทีม ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับ
   
   พิธีกรถามว่า เป็นรัฐมนตรีได้รับเงินเดือน 9 หมื่นบาทอุปถัมภ์ ส.ส.ในกลุ่มอย่างไร พระรักเกียรติบอกว่า การเมืองมีกลุ่มทุนสนับสนุน กลุ่มทุนมากพรรคยิ่งเติบโต มีจำนวน ส.ส.รัฐมนตรีและกลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุนมากขึ้นด้วย หรือเป็นวงจรอุบาทว์ ต่อมาจึงมีการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 จัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาตรวจสอบนักการเมืองและมีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ผ่านมาคนที่ขึ้นศาลนี้ยังไม่มีใครชนะ ไม่ว่าจะเป็นนายวัฒนา อัศวเหม, พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือนายวราเทพ รัตนากร ซึ่งต้องโทษจำคุก 2 ปีจากคดีหวยบนดิน แต่ศาลให้รอการลงอาญา
   
   เมื่อถามว่า วงจรมุ้งการเมืองยังมีอยู่หรือไม่ พระรักเกียรติกล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะอยู่ในเรือนจำ พ้นโทษออกมาก็บวชเลย พิธีกรได้ถามต่อถึงวิธีการเอื้อประโยชน์ของกลุ่มทุนการเมือง พระรักเกียรติบอกว่า ช่วงที่มีอำนาจวาสนา ทำอะไรก็มีแต่คนสนับสนุน จัดชกมวยนักมวย ฟ้าประกอบ รักเกียรติยิม ก็ได้แชมป์โลก แต่ไม่ขอพูดถึงคำขอที่ชัดเจนของกลุ่มผู้สนับสนุนต่างๆ เพราะจะผิดศีล
   
   พระรักเกียรติกล่าวให้สติถึงการใช้ชีวิตว่า ระหว่างที่ต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำ ก็ได้ทบทวนความผิดในอดีตของตน พบว่าเมื่อมีตำแหน่งการเมืองสูงขึ้น ได้ใช้ชีวิตประมาท ขาดศีลธรรม เพราะลุ่มหลงอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ ผิดศีล ทั้งดื่มสุรา นารี และพนัน ตอนแรกเล่นการพนันแต่น้อย ช่วงหลังถึงกับบินไปเล่นในกาสิโนต่างประเทศ ได้เสียครั้งละเป็น 10 ล้าน เคยเล่นเสียหนัก 20-30 ล้านบาท และเคยเล่นได้สูงสุด 109 ล้านบาท ตอนนั้นคิดว่าเป็นทางนำมาซึ่งความสุข ไม่เคยทราบว่าเป็นสุขไม่ยั่งยืน และต้องกลายมาเป็นความทุกข์
   
   "นักการเมืองที่ไปเล่นไม่ได้ชวนกัน ต่างคนต่างไปเล่น เพราะไปทำความผิด จึงไม่ชวนกันไป ส่วนครอบครัวเมื่อรู้ว่าอาตมาเล่นการพนันก็ห้ามปราม แต่ก็ไม่ฟัง เพราะลุ่มหลงในกิเลส"
   
   พิธีกรถามว่า เหตุใดจึงไม่ไปฟังคำตัดสินศาลและหลบหนีคดี พระรักเกียรติกล่าวว่า ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอยู่ในทางสามแพร่ง เป็นทุกข์ที่ต้องหลบซ่อน คิดว่าจะหนีไปต่างประเทศ แต่เราไม่มีทรัพย์สินซุกซ่อนอยู่ในต่างประเทศเหมือนคนอื่น ถ้าหนีก็ต้องหนี 20 ปี ทางเลือกข้อนี้จึงตัดทิ้ง ส่วนแพร่งที่ 2 คิดว่าจะฆ่าตัวตาย แต่ว่าขัดกับนิสัยซึ่งเป็นคนกล้าได้กล้าเสียใจ นักเลง แพ้ก็ยอมรับ ส่วนสุดท้ายคือคิดจะเข้ามอบตัว แต่ไม่กล้า เพราะกลัวเรือนจำ จึงต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ใน กทม. ต้องตระเวนไปขออาศัยอยู่ตามแฟลตหรือคอนโดฯ เพื่อน เปลี่ยนที่อยู่ทุก 2-3 เดือน
   
   "จากคนที่มีเงิน 100 ล้าน ต้องใช้เงินวันละ 100 บาท และมีโรคความดัน เบาหวาน ประจำตัวต้องไปออกกำลังกาย เวลาตำรวจมาพบก็เตือนให้หลบๆ หน่อย เพราะเขาไม่อยากจับ แต่เป็นเพราะมีผู้โทร.แจ้งหลายรอบ"
   
   ถามว่า เมื่อต้องถูกส่งตัวเข้ารับโทษในเรือนจำรู้สึกอย่างไร พระรักเกียรติกล่าวว่า รู้สึกโล่งอก เพราะไม่ต้องหนีและหลบซ่อนตัวอีกแล้ว แทนที่จะทุกข์ทรมานเพราะการถูกคุมตัวกลายเป็นโล่งใจ วันรับโทษครั้งแรก คือการนับ 1 ใหม่อีกครั้ง เรือนจำได้พัฒนาไปสู่ระบบสากลมีมาตรฐานมากขึ้น แต่ก็ยังแออัด ในห้องนอนต้องนอนถึง 100 คน และวันที่ลำบากที่สุด คือวันไฟดับ ไม่มีพัดลม ทำให้หายใจลำบาก หากลุกขึ้นก็จะเสียที่นอน 14 ชั่วโมงของทุกวันต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนนอน ถูกขัง ใส่กุญแจ 2 ครั้ง เพราะเรือนจำมีเจ้าหน้าที่น้อย ต้องขังเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการแหกหัก ช่วงแรกๆ รู้สึกอึดอัดกระวนกระวายใจ บางคนรับไม่ได้ ถึงกับเป็นบ้า เดินพูดคนเดียว นั่งคุยกับต้นไม้
   
   "แต่อาตมาตั้งใจดูแลตัวเอง ไม่ให้ป่วย ไม่ให้ตาย เพราะไม่ต้องการตกเป็นข่าวประวัติศาสตร์ว่าเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่ตายในคุก และยังต้องรักษาจิตใจไม่ให้เป็นบ้า โดยใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งเรือนจำได้จัดให้มีการสอนศาสนาของทุกศาสนา จึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้อาตมารู้จักธรรม ตอนเป็นรัฐมนตรีไปทำบุญเป็นชาวพุทธ แต่ไม่เคยรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ไม่รู้จักคำว่า ทาน ศีล ภาวนา เมื่อถูกกิเลสเข้าครอบงำ ทำบุญแทนที่จะได้บุญก็ได้บาป พอบุญหมด กรรมตามทันจึงต้องตกนรกบนดิน ซึ่งอาตมาคิดว่าคดีนี้เป็นคดีแรกจึงถูกลงโทษเต็มที่ 15 ปีแตกต่างจากคดีหวยบนดินซึ่งลงโทษเพียง 2 ปี ระหว่างติดคุกอาตมาก็ทำใจอยู่เป็นปี แต่เห็นว่านักโทษหลายคดีโดนหนักกว่าเรา เช่น พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อายุ 72 ปีแล้ว สุขภาพไม่ดี แต่ยังมีความหวังจะได้กลับบ้าน แต่กลายเป็นต้องมาเก็บของจากเรือนคลองเปรมเพื่อไปรอรับโทษประหารที่เรือนจำกลางบางขวาง ของเราจึงดีกว่าเขา ถ้าทำดี มีโอกาสกลับบ้านก่อน 15 ปี" พระรักเกียรติกล่าว
   
   พิธีกรถามว่า หลังจากติดคุกชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไร พระรักเกียรติกล่าวว่า ทำให้ได้คิดว่าทำผิดแล้วต้องแก้ไข เพราะคนส่วนใหญ่คิดแต่แก้ตัวว่าไม่ได้รับความยุติธรรมและไม่ยอมรับโทษ ส่วนอาตมาทำใจยอมรับและพยายามแก้ไข โดยไม่ขอกลับไปสู่เส้นทางการเมืองทั้งที่ยังมีอายุเพียง 56 ปี เนื่องจากเส้นทางเก่าถ้าย้อนกลับไปจะพบกับความทุกข์อีก และชีวิตหลังจากนี้ขอแก้ไขด้วยการทำสิ่งใหม่ คือ ศึกษา ปฏิบัติและเผยแผ่ธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าสึกออกมาก็จะขอทำงานเลี้ยงครอบครัวในอาชีพที่ปรึกษากฎหมาย เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเล่นการเมืองเคยเป็นทนายความ
   
   พระรักเกียรติเปิดใจถึงครอบครัวว่า ขณะนี้ไม่มีสิ่งใดน่าห่วง ไปขอลาบวชครั้งแรกภรรยาก็อนุโมทนา ส่วนลูกเรียนจบและเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปแล้ว ในงานบวชเพื่อนๆ มากันพร้อมหน้า แม้แต่ข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขและผู้ที่เคยร้องเรียนในคดีทุจริตยาก็มาอโหสิกรรมให้ จึงต้องขอบคุณคนที่โทรศัพท์ไปแจ้งให้มาจับ เพราะถ้ายังหนีต่อไป วันนี้คงไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่นี่ใช้เวลาเพียง 5 ปีก็สามารถกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ ตนจึงเห็นสัจธรรมของชีวิตครบถ้วน
   
   "ทุกวันนี้ไปเทศนาให้ชาวบ้าน นักเรียนและนักโทษฟัง ปกติคนเคยติดคุกแล้วจะอาย แต่สำหรับอาตมา อยากยกชีวิตที่มีหลายรสชาติมาสอนผู้คน และเยาวชนกลุ่มเสี่ยงให้รู้ว่าไม่มีใครหนีกรรมได้ แม้แต่คนเป็นรัฐมนตรีก็เสื่อมยศ เสื่อมวาสนาได้" พระรักเกียรติกล่าว
   
   ต่อข้อถามว่า หากมีสิ่งวิเศษสามารถย้อนเวลาได้จะกลับไปบอกรัฐมนตรีรักเกียรติว่าอย่างไร พระรักเกียรติกล่าวว่า ถ้าวันนั้นรู้ธรรม จะไม่ทำผิด จะไม่ใช้ชีวิตประมาท และไม่ยอมให้กิเลสครอบงำ จะบอกเขาว่าเส้นทางนั้นเป็นความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ทำให้เกิดความทุกข์และเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ทำผิด
   
   ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดระยะเวลาให้สัมภาษณ์รายการเจาะใจ พระรักเกียรติให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้าผ่องใส ตอบคำถามด้วยกิริยาสำรวม หากคำถามใดที่กล่าวถึงบุคคลที่สามในทางเสียหายก็จะหลีกเลี่ยงไม่วิจารณ์
   
   พระรักเกียรติยังให้สัมภาษณ์ฝากถึงนักการเมืองที่ถูกตัดสินโทษแล้วหลบหนีคดีว่า หากมารับโทษก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะวันนั้นไม่หนี จึงมีวันนี้ เมื่อยอมรับโทษจึงมีวันพ้นโทษ การหนีอาจเป็นเหมือนนายราเกซ สักเสนา ซึ่งถูกจับกลับมารับโทษแม้จะหนีไปอยู่นอกประเทศก็ไม่มีความสุข ที่ผ่านมาไม่คิดว่าศาลไม่ยุติธรรมหรือมีสองมาตรฐาน ศาลตัดสินตามตัวบทกฎหมายที่พรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นผู้อนุมัติ จะไปกล่าวหาว่าไม่ยุติธรรมก็ไม่ได้ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีความคิดจะไปแทรกแซงศาล เมื่อสู้คดีเต็มที่ แพ้ก็ต้องยอมรับผิด ในศาลฎีกามีแต่ผู้พิพากษา ระดับผู้ใหญ่ มีคุณสมบัติเป็นประธานศาลฎีกาได้ทุกคน และองค์คณะที่ตัดสินคดีอาตมา ต่อมาก็เป็นประธานศาลฎีกาหลายคน.
   
   ----
http://www.thaipost.net/sunday/100110/16150
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 28, 2011, 12:38:56 am »


 
“ถ้ารู้ธรรมะพระพุทธเจ้าอาตมาคงไม่ติดคุก6”
   
   โสภณ เปียสนิท
   
   ...................................................
   
   
   เมื่อตั้งใจอยากลงเลือกตั้ง แต่พ่อไม่เห็นด้วยอยากให้ลูกทำมาค้าขายมากกว่า เขาต้องแสดงความมุ่งมั่นให้พ่อเห็นว่า การเป็นนักการเมืองของเขาเป็นจริงได้ “สุดท้ายเมื่อพ่อเห็นถึงความตั้งใจ ท่านจึงบอกว่าถ้าอยากลงเลือกตั้ง จะหาเสียงก็หาไปไม่ว่ากัน ลองดูก็ได้ แต่พ่อไม่ช่วยนะ” เป็นอันว่า พ่อยอมให้ลงเลือกตั้ง แต่อยากลองดู “น้ำยา” ของลูกชายโดยยืนดูลูกทำงานที่ตัวเองรักเงียบๆ
   
   
   
   โอกาสเป็นของเขาอย่างแท้จริง ด้วยความรักในสิ่งที่ตนปรารถนามานาน “เมื่อมีโอกาสลงการเมืองสนามจริง อาตมาจึงทุ่มเทและตระเวนออกหาเสียงเป็นปี” กล่าวกันว่า เมื่อมีใจรัก “งานก็เหมือนการเล่น” ความมุ่งมั่นของคนแม้เทวดายังต้องยอม เขานำ “วิธีการหาเสียง” แบบที่เคยเรียนรู้จากการหาเสียงของ ส.ส. ที่เคยช่วยงานมาใช้อย่างได้ผล “การขึ้นปราศรัยบนเวทีโดยติดตั้งลำโพงขยายเสียง เป็นที่ตื่นตายตื่นใจของผู้คน”
   
   
   
   วิธีการใช้คำพูดออดอ้อน และการช่วยเหลือเพื่อความเป็นกันเอง ขอคะแนนจากญาติพี่น้องตามหมู่บ้าน “พี่น้องโนนสะอาดจะมีลูกหลานได้เป็น ส.ส. เป็นนักการเมืองระดับชาติ ผมจะอยู่กับพี่น้อง คอยดูแลช่วยเหลือพี่น้องทางกฏหมาย” แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นการ “ไปคลุกคลีกินนอนอยู่ที่นั้นๆ จนทักทายเรียกชื่อคนนั้นคนนี้ได้ถูกหมด จำชื่อคนได้ทุกหมู่บ้าน” ทำได้อย่างนี้ถือว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น” เป็นความจริง
   
   
   
   “มีเพื่อนเก่าอยู่เป็นจำนวนมาก ตอนนี้พ่อให้คนออกไปเชิญพวกเขามาหาแล้ว เพื่อวางแผนหาเสียง” เมื่อพ่อเห็นความตั้งใจและความเป็นไปได้ในด้านการเมือง พ่อกลับเป็นฐานเสียงสำคัญช่วยเหลือด้วยความยินดี ชาวบ้านที่เคยมีความสัมพันธ์กับพ่อของคุณรักเกียรติจึงให้ความช่วยเหลือ เพราะเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาก่อน “มีหลายคนบอกว่าติดหนีบุญคุณพ่อเทียมไว้มาก เพราพ่อเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคน ได้ช่วยเหลือชาวบ้านไว้มาก ไม่เคยข่มเหงหรือเอารัดเอาเปรียบ”
   
   
   http://gotoknow.org/blog/up-community/435961
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 28, 2011, 12:37:29 am »



ทบไม่เคยปรากฏว่า นักการเมืองที่เคยดำรงตำแหน่งสูงระดับรัฐมนตรี ต้องคำพิพากษาลงโทษจำคุก แล้วปรับวิถีชีวิตสู่ทางธรรม เมื่อพ้นโทษก็ออกบวชและนำความผิดพลาดแต่หนหลังมาเปิดเผย ทั้งการบรรยาย ให้สัมภาษณ์ และทำหนังสือออกเผยแพร่ เป็นอุทาหรณ์ให้ทุกฝ่ายรู้ระวัง ถ้ารู้ธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาคงไม่ติดคุก
   หนังสือที่พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม หรือนายรัก เกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถ่ายทอดเนื้อหาธรรมในรูปเล่มพ็อกเกตบุ๊ก ที่นักการเมืองทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ รวมไปถึงบุคคลที่อยู่ใกล้กลุ่มผลประโยชน์และบุคคลทั่วไปได้เรียนรู้ และใช้เป็นแนวทางวางตน เตือนใจ ไม่ให้เผลอกายกระทำผิดเข้าเพราะความไม่รู้
   หลังมีคำพิพากษาให้จำคุก อาตมาก็หนี ตอนนั้นเครียด โทรศัพท์หาใครก็ไม่ได้ เคยคิดฆ่าตัวตายหลายวิธีเช่น บรรทุกน้ำมันเต็มรถจะพุ่งชนตอม่อทางด่วน ขึ้นดาดฟ้าตึกใบหยกอยู่ ๓๔ ครั้ง แต่ก็ไม่กล้า จะไปต่างประเทศก็ไม่มีเงิน ไม่มีคนรู้จัก จะหนีก็ต้องหนี ๒๐ ปี ถึงจะหมดอายุความ แต่ถ้าถูกจับ ก็นับหนึ่งการลงโทษ อาตมาโทษ ๑๕ ปี ก็ได้เริ่มต้นนับทันที วันที่ถูกจับ ถ้าสังเกตจากภาพข่าวจะเห็นอาตมาหน้าตาไม่เศร้าหมองเลย เพราะโล่งใจที่ไม่ต้องหนีอีกต่อไป วินาทีนั้น เกิดธรรมะกับอาตมาแล้ว
   พระรักเกียรติ บอกว่าที่ไม่กล้ามอบตัวเพราะกลัวถูกจองจำ แต่เมื่อถูกส่งตัวเข้าไปกลับมีความสุขเพราะไม่มีความกดดัน และด้วยการคิดที่มีระบบ ท่านวางแผนการอยู่ในเรือนจำว่า ต้องไม่ตาย และไม่ให้บ้า เพราะทั้ง ๒ อย่างเป็นเรื่องน่าขายหน้า หลังจากต้องอับอายเพราะต้องคดี และได้ข้อสรุปว่า การจะไม่ตายก็ต้องออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร เนื่องจากมีโรคประจำตัวและการป่วยในเรือนจำจะรักษายาก ทางเรือนจำไม่นำออกไปรักษาข้างนอก ส่วนการระวังเรื่องบ้า เพราะมีโอกาสเกิดได้จากความเครียดและมีคนมีปัญหาสุขภาพจิตรวมอยู่ด้วย
   ในเรือนจำมีระบบเยียวยารักษาใจ ด้วยหลักศาสนา จะมีนักเผยแผ่ นักเทศน์สั่งสอนให้สติ สำหรับศาสนาพุทธ นิมนต์พระจากวัดสร้อยทองเข้าไปสอน ผู้ต้องขังรักเกียรติได้ฟัง เรียนและสอบได้นักธรรมโทก็ในเรือนจำนั่นแหละ
   
   

   ก่อนหน้านั้น อาตมาก็เป็นพุทธมามกะ เคยเป็นประธานงานทอดผ้าป่า แต่ไม่รู้หรอกว่าพระท่านสอนอะไร ศีล ๕ ก็รู้ และทำตรงข้ามทุกข้อ เรียกง่าย ๆ ว่าหันหลังให้คำสอนของพระศาสนา ก็เพราะหันหลังนี่แหละถึงติดคุก
   ธรรมะจากการเรียน การปฏิบัติที่พระรักเกียรติซาบซึ้งและเผยแผ่แก่ทุกคน ก็คือ หลักธรรมในโอวาทปาฏิโมกข์ มีหลักเพียง ๓ ข้อ ซึ่งถ้าทุกคนทำตาม จะไม่ต้องมีคุก ตะราง มีแต่คนดี สังคมสงบ ข้อแรก คือการไม่ทำบาปทั้งปวง สอง ทำกุศลให้ถึงพร้อม และสาม ทำจิตใจให้ขาวรอบ
   การไม่ทำบาป การไม่ทำผิดศีล เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว การสร้างกุศลทำบุญก็เป็นเรื่องดี แต่จะให้ดี จิตใจต้องสะอาด ให้ขาวรอบ ข้อธรรมที่เข้าใจง่ายที่สุด คือเรื่องกรรม ทุกคนมีกรรมของตน กรรมให้ผล กรรมเป็นแดนเกิด เป็นที่พึ่งพาอาศัย ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยง ยกตัวอย่างอาตมาเอง ที่ใช้ชีวิตผิดพลาด มัวเมา จึงส่งผลให้รับกรรมติดคุก
   พระรักเกียรติ ย้ำว่าในฐานะที่ศึกษาหลักธรรมในพุทธศาสนา พบว่าเป็นสิ่งที่เรียนรู้ไม่มีวันจบ เพราะมีมากถึง ๘๔,๐๐๐ หมวด เป็นยาวิเศษที่รักษาจิตให้หายทุกข์ได้ อาตมาก็ใช้รักษาใจไม่ให้บ้า ฉะนั้นจึงสมควรเรียนรู้อย่างจริงจัง จึงสมัครเรียนปริญญาโทด้านพุทธศาสนา เพื่อนำความรู้มาถ่ายทอดต่อเพื่อดึงรั้งไม่ให้คนหลุดไปในทางอโคจร จะนำธรรมะมาอธิบายกับประชาชนให้ปฏิบัติเพื่อเข้าใจและเชื่อ ป้องกันไม่ให้เขาหันหลังให้กับศาสนา ทุกวันนี้คนสนใจแต่วัตถุเทคโนโลยี ทำให้จิตใจเสื่อมคลายจากศีลธรรม จึงต้องช่วยกันสอนโดยอาตมาตั้งใจทำเรื่องนี้อย่างเต็มที่
   ในฐานะที่เคยเป็นนักการเมืองและต้องคำพิพากษาโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีประเด็นคำแนะนำสำหรับนักการเมือง โดยพระรักเกียรติบอกว่า นักการเมืองเมื่อแรกเข้าสู่วงการจะเต็มไปด้วยอุดมการณ์เพื่อรับใช้สังคม แต่เมื่อเข้าไปแล้วจะถูกครอบงำโดยระบบอุปถัมภ์ จึงต้องทำตามการครอบงำ อุดมการณ์ก็เปลี่ยน ที่คิดเสียสละก็เป็นการเล่นการเมืองเพื่อเป็นรัฐบาล พร้อมกับตอบแทนแหล่งทุนทางการเมือง ต้องหาเสียงให้ได้ ส.ส.สนับสนุนมากที่สุดเพื่อให้ได้เป็นรัฐมนตรี ทำทุกวิถีทางให้ได้ร่วมรัฐบาล ให้ได้อยู่กระทรวงที่มีผลประโยชน์ และตอบสนองกลุ่มทุนพร้อมกับเก็บสะสมไว้ใช้จ่ายในการเลือกตั้งต่อไป
   อาตมาอยากเตือนนักการเมือง การดำเนินตามวงจรนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้เพราะเป็นวัฏจักรของอบายมุข เป็นความเสื่อมไม่ใช่ความสุข การจะสลัดให้พ้นได้ ต้องใช้หลักธรรมตามแนวพระพุทธศาสนา เช่น รู้จักการเดินสายกลาง ไม่สุดโต่ง จะแก้ปัญหาความขัดแย้งก็ใช้หลักอภัยทาน นักการเมืองต้องมีคุณธรรม รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ยึดหลักโอวาทปาฏิโมกข์ บ้านเมืองถึงจะมีความสงบสุข ไม่ทะเลาะ ไม่ชิงดีชิงเด่น จะทำให้เราชำระจิตให้ขาวรอบ มีสติ รู้ตัวตลอดเวลา สังคมก็จะไม่วุ่นวาย
   นักการเมืองที่รู้ธรรมย่อมดีแก่ตนเอง และบ้านเมือง


http://pad.fix.gs/index.php?topic=662.new#new


http://www.youtube.com/watch?v=ZAwQFQuw41o#