ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2011, 05:27:13 am »เราจะมีชีวิตรอดพ้นศตวรรษที่ 21 หรือไม่?
จ่าเป็นหัวข้อเรื่องของบทความนี้ดูน่ากลัว แต่ก็ต้องถามประชาชนเอาไว้บ้างเหมือนกันว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ในอดีตจนกระทั่งปัจจุบันนี้ว่ามีความสุขกายสบายใจดีอย่างถ้วนหน้ากันหรือไม่? ทุกอย่างเหมือนเดิมหรือไม่? เพราะนิสัยที่เคยชินหรือสงสัยว่าเราคงไปทำอะไรที่ไม่ดีหรือไม่รู้ คล้ายไม่เจตนาให้กับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมหรืออย่างไร? ถึงได้ภัยธรรมชาติก่อความทุกข์ยากให้เราถึงขนาดนี้ ไหนบอกว่าธรรมชาติและโลกหรือจักรวาลไม่มีชีวิต เราจะทำอะไรมันก็ได้ยังไงล่ะ แล้วทำไม? มันถึงได้เป็นอย่างนี้ ถ้ามันเป็นเช่นนี้แล้ว ความเชื่อของมนุษย์เราถึงเรื่องของชีวิต รวมไปถึงเรื่องของสังคมของมนุษย์ และระบบของสังคมต่างๆ ที่เราคิดขึ้นมาบริหารสังคมของเรา ไม่ว่าระบบการเมืองการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระบบการศึกษา ระบบการเรียนการสอน (ที่เราที่สอนตามฝรั่ง) ใช้กันมานานโดยคิดว่าดีแล้ว ถูกต้องแล้ว และทยอยใช้ทั่วทั้งโลกนั้น ใช้โดยคิดว่าฝรั่งทำอะไรเป็นถูกหมด แถมยังโยนทิ้งของเราไปด้วยเสียอีกต่างหาก ฉะนั้น เราที่เอาแต่ทำตามๆ เขาไปจนเคยชิน เห็นทีเราจะต้องเอาระบบต่างๆ เหล่านั้นมาสังคายนาเสียใหม่ทั้งหมดอย่างรอบคอบ
เมื่อเช้านี้ลูกชายคนเล็กที่อายุ 50 ปีหยกๆ ได้บอกผู้เขียนว่า ที่ไต้หวันมีหมอดูที่ทำนายว่าในตอนเช้าของวันนี้ (วันที่ 11 พฤษภาคม) เวลาประมาณ 09.00 นาฬิกาเศษ จะมีแผ่นดินไหวขนาด 14 รีชเตอร์สเกล (นอกสเกลไปอีก) ซึ่งให้คลื่นสึนามิสูงกว่า 100 เมตร (ราวๆ ตึกที่สูง 40-50 ชั้น) เกิดขึ้นในโลกที่ไหนสักแห่งที่หมอดูคนนั้นไม่ได้บอก นั่น-หากเกิดขึ้นจริงๆ มันก็จะใหญ่และรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงถึงขนาดนี้น่าจะหนักหน่วงและทำอันตรายได้มากกว่าแผ่นดินไหวที่เกิดที่ญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนมีนาคมปีนี้ถึงกว่าแสนๆ เท่า ผู้เขียนคิดว่าหากแผ่นดินไหวเกิดที่เกาะใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นในขนาดนี้ หรือขนาดใหญ่กว่านี้อีกสักสเกลเดียว เกาะใหญ่น้อยต่างๆ ของญี่ปุ่นอาจจะหายไปทั้งหมดตามที่ใครก็ไม่รู้ทำนายไว้ก็ได้ การทำนายของหมอดูชาวไต้หวันนั้นไม่ทราบว่าทางไต้หวันมีกฎหมายที่ห้ามไม่ให้ใครทำนายหรือเตือนเรื่องภัยธรรมชาติให้ประชาชนไต้หวันตกใจกลัวเป็นพิเศษหรือไม่? ผู้เขียนไม่รู้ แต่ลูกชายบอกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจของไต้หวันได้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว เตรียมจับหมอดูคนนั้นอยู่แล้ว เพราะการทำนายเหตุการณ์เช่นนั้นในเวลาที่สั้นเช่นนั้น ประชาชนย่อมจะตื่นกลัว แม้ว่าจะไม่ได้บอกว่าแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ตาม เพราะประชาชนต่างก็รู้ว่าการทำนายนั้นอยู่ที่ไต้หวัน และหมอดูคนนั้นก็เป็นคนไต้หวัน แถมมีสึนามีซึ่งแสดงว่ามีที่ชายฝั่ง ซึ่งคงจะเป็นที่ไต้หวันเองหรือญี่ปุ่นหรือสถานที่ใกล้ๆ ทั้งความตื่นกลัวของประชาชนก็มีอยู่แล้ว ตอน 10 โมงเช้าลูกชายจึงได้พูดว่า “สงสัยว่าป่านนี้ตำรวจคงจับตัวหมอดูไปเรียบร้อยแล้ว” ที่น่าแปลกใจคือ ประเทศอื่นๆ ทั้งทางตะวันตกและทั่วทั้งโลกเขาไม่มีกฎหมายแบบเดียวกันนี้ห้ามหรืออย่างไร? ทั้งๆ ที่ทั่วโลกกำหนดไว้แจ่มชัดแล้วว่า วันที่ 22 เดือนธันวาคม ปี 2012 นี้ อารยธรรมของมนุษยชาติและอะไรที่มนุษย์มีหรือใช้ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเรามาตั้งแต่ต้นเลย รวมทั้งตัวมนุษย์เองจะอันตรธานหายไปทั้งหมด หายไปพร้อมๆ กับประชาชนของโลก 80% ซึ่งจะค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ ภายใน 10-20 ปีนี้ แต่จะเพิ่มทวีขึ้นในทันทีทันใดเป็นจำนวนมากๆๆ ในวันดังกล่าว หรือที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุดในเครือจักรภพอังกฤษ ผู้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ “การเดี้ยน” เมื่อวันที่ 31 มีนาคมปีกลายนี้เองว่า ในเร็วๆ นี้ (คิดว่าปี 2020) ประชาชนของโลกจะตายไปอย่างปัจจุบันทันด่วนจากภัยธรรมชาติ (ซึ่งผู้เขียนคิดเอาเองว่าเป็นเช่น น้ำท่วมโลก แผ่นดินไหวรุนแรงมาก คือไม่น้อยกว่า 15 รีชเตอร์ขึ้นไป ที่มาพร้อมๆ กับสึนามิ การเคลื่อนย้ายของขั้วแม่เหล็กโลก ฯลฯ เป็นต้น) หรือจะเป็นคำทำนายของพระอรหันต์ผึ้งที่เมืองอัตตะปือ ประเทศลาว ที่ทำหนังสือแจกไปทั่วบอกว่าให้ระวังปีมะโรง ซึ่งตรงกับปี พ.ศ.๒๕๕๕ (2012) จนกระทั่งปีกุน หรือประมาณ พ.ศ.๒๕๑๙ ซึ่งผู้คนชาวโลกจะเหลือเพียง 20% เพราะน้ำท่วมโลกกะทันหัน (ประเทศไทยนั้นเนื่องจากประชาชนจะหันไปหาวัด หันไปหาพุทธศาสนากันมากขึ้น (ไม่ได้พูดถึงศาสนาอื่นๆ) ฉะนั้นจึงเหลือประชาชนมากหน่อย คือจะเหลือราวๆ 30% ก็ไม่รู้ว่าที่ไต้หวันมีสองสแตนดาร์ดกับประเทศต่างๆ เขาทั่วทั้งโลกหรือไม่? ได้ก่อปัญหาให้กับใครบ้างหรือไม่? และประเทศต่างๆ เขาจะมองไต้หวันในเรื่องนี้อย่างไร? นั่น-ผู้เขียนไม่รู้ คิดเอาเองว่าน่าจะอยู่ที่ข้อมูลกับเจตนาของหมอดูผู้นั้น และ/หรือใครเดือดร้อนหรือไม่?
นั่น-สำหรับสาธารณชนคนทั่วไปย่อมจะขึ้นกับข้อเท็จจริง และข้อเท็จจริงคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มากๆๆ เขามีความรู้สึกอย่างไรเมื่อ “รับและรู้” ข้อมูลนั้น ผู้เขียนเข้าใจว่ากฎหมายที่มีคนเขียนขึ้นมา เพราะคนส่วนใหญ่มากๆๆ ที่ว่านั้น พูดง่ายๆ หมายถึง “ชนชั้นกลาง” - ที่เป็นวัตถุประสงค์ไม่ว่ารัฐบาลไหนของประเทศต่างๆ ทุกๆ ประเทศ - “ชนชั้นกลาง” ที่สร้างสังคมของมนุษย์ขึ้นมาล้วนก็ “เป็นผู้ตาม” สังคมนั้นที่ดีโดยไม่คิดอะไรทั้งนั้น รู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดีอย่างสุนทรภู่ว่าไว้กระนั้น นั่นคือความจริงทางสังคมหรือทางโลกที่ให้ความเป็นสอง กับความจริงทางธรรมอันเป็นความจริงที่แท้จริง ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะมองเห็นและเข้าใจมันอย่างแจ่มแจ้งแทงตลอด คนส่วนใหญ่มากๆๆ หรือชาวโลกเกือบทั้งหมดจึงไม่รู้ - โดยคิดว่า - ความเป็นสอง (dualism) ไม่สำคัญเลย หรือคิดว่าไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าใดนัก ไล่ไปตั้งแต่แม็ตทีเรียลลิสต์ คนรุ่นใหม่ที่คิดอะไรๆ ขึ้นกับเทคโนโลยีวัตถุแทบทั้งหมด ไล่ต่อไปจนถึงฝรั่งตะวันตก - ที่ก่อนหน้าที่จะมีควอนตัมเม็คคานิกส์กับทฤษฎีความสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ต่างพากันไม่รู้จักความเป็นสองหรือรู้จัก แต่คิดว่าไม่สำคัญเลย แม้ว่าสาธารณชนคนทั่วไปส่วนใหญ่ของโลกของทุกวันนี้จะยังไม่รู้จึงไม่เชื่อก็ตาม แต่ทว่าผู้เขียนคิดว่าความเป็นสองหรือทวิตามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่ามันคือจุดหมายปลายทางของ “การรู้” (cognition) เรา-มนุษย์ทุกคนเกิดขึ้นมาในโลกเพื่อการรู้นี้ “เพียงสถานเดียว” และนั่นคือวิวัฒนาการที่เป็นไปเองตามธรรมชาติของจิตจนกระทั่งครบถ้วนสเปกตรัมทางจิต (spectrum of consciousness) ผ่านพ้นสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ภายในเร็วๆ วันนี้เข้าสู่นิพพาน - ที่สามารถจะเร่งให้มีวิวัฒนาการทางจิตผ่านขั้นต่างๆ ของสเปกตรัมได้
ขอออกไปนอกทางของบทความสักเล็กน้อย ผู้เขียนเคยไม่เข้าใจในเนื้อหาสาระของสติปัฏฐาน 4 ซึ่งมีคำแปลเป็นภาษไทยอยู่อย่างหนึ่งในการทำสมาธิในบทนี้ที่ผู้เขียนไม่เข้าใจ นั่นคือการพิจารณาเห็น “กายในกาย” หรือ “เวทนาในเวทนา” ฯลฯ เพราะว่าจะให้พิจารณาหรือให้เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนาที่เป็นภาษาเดียวกัน อวัยวะที่ใช้ในการพิจารณาอวัยวะเดียวกันในที่นี้ต่างก็เป็นความคิดที่ได้มาจากสมองอันเดียวกัน จะถามใครก็เหนียมอาย แต่ผู้เขียนมาคิดได้ในตอนหลังว่านั่น - มีทางเป็นไปได้หากเราคิดเรื่องเดียวกันบนมุมมอง หรือยิ่งกว่านั้นคิดบนความจริงที่ต่างกัน เช่น ความจริงทางโลก กับความจริงทางธรรมอันเป็นความจริงที่แท้จริง ซึ่งนั่นก็คือความว่างนั่นเอง เป้าหมายสุดท้ายของสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์คือ “การรู้” นั้น
กลับมาที่หัวข้อเรื่องของวันนี้ เราจะมีชีวิตรอดพ้นจากศตวรรษที่ 21 หรือไม่? ในความเห็นของผู้เขียนทั้งทางศาสนาและทางวิทยาศาสตร์ เรา-มนุษย์จะมีชีวิตผ่านพ้นอย่างแน่นอน แต่มนุษย์จะหายไปมาก เพราะโลกไม่แตกไม่พัง “จริงๆ” หรอก อีกตั้ง 4,000 ล้านปีค่อยพูดกัน ที่ว่าโลกแตกโลกพังหมายถึงอารยธรรมวัตถุ เทคโนโลยี และจิตที่เปลี่ยน ที่แตก ที่พัง พร้อมๆ กับความเคยชินของเรา
ก่อนอื่นบทความนี้ไม่ว่าอย่างไรก็เกี่ยวข้องกับความจริงที่แท้จริง ซึ่งผู้เขียนคิดเอาเอง และเชื่ออย่างยิ่งว่า เรากำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ นับแต่มีโฮโม ซาเปียนส์ อุบัติขึ้นมาในโลกในจักรวาลแห่งนี้ นั่นคือเรากำลังจะมีวิวัฒนาการทางจิตเข้าสู่สภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) เอ็งแมส (en mass) ขึ้นภายในเร็วๆ วันนี้ โดยสรุป “คร่าวๆ” ว่าในเร็วๆ นี้หรือในทศวรรษนี้จะมี 3 สิ่ง 3 ประการที่เกี่ยวข้องกันที่จะเกิดขึ้น ที่ไม่ว่าอย่างไร “ต้องเกิดขึ้น” ดังนี้ 1.จะมีความเป็นทั้งหมดหรือความเป็นหนึ่งที่เชื่อมโยงติดต่อกันของสรรพสิ่งและปรากฏการณ์ทั้งหมด โดยเฉพาะศาสนากับวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญคือ ปวงชนจะรู้ ส่งเสริมและยอมรับการเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ 2.ฟิสิกส์ใหม่ที่รวมทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ทฤษฎีควอนตัม และเมื่อเร็วๆ นี้ ทฤษฎีซูเปอร์สตริงกำลังพิสูจน์ด้วยคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียวของความจริงทางธรรม ซึ่งก็คือความจริงที่แท้จริง มิน่าที่นักฟิสิกส์จำนวนมาก รวมทั้งเซอร์อาเธอร์ เอ็ดดิงตัน นักฟิสิกส์ใหม่รางวัลโนเบลถึงได้พูดเหมือนๆ กันว่า คณิตศาสตร์คือภาษาของพระเจ้าที่ทิ้งไว้เพื่อให้ผู้ที่สมาธิแก่กล้าค้นพบ ซึ่งผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่าถึงซึ่งอภิมหาปัญญาที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า ปัญญาวิมุตติ 3.อารยธรรมและระบบทางสังคมต่างๆ ที่ตั้งบนกิเลสตัณหา (self and ego) เช่น คนเราเกิดมาด้วยกิเลส หรือด้วยความดี - ความชั่ว และหลักการวัตถุนิยม ที่เราคิดว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์แก้ไขไม่ได้นั้น เมื่อเรามีวิวัฒนาการทางจิตจนถึงขั้นมีวิวัฒนาการถึงจิตวิญาณ (spirituality) มันก็จะทุเลาเบาบางลงเอง ในขณะเดียวกันความเป็นหนึ่ง ความรักเมตตาเอื้ออาทรกันก็จะมีมากขึ้นๆ
แต่นั่นมันก็สายเกินไปเสียแล้วอย่างที่ปีเตอร์ รัสเซลล์ กล่าวไว้ เราไม่อาจเปลี่ยนกรรมโดยรวมได้ กรรมที่มนุษยชาติก่อกับธรรมชาติโดยรวมได้ แม้จะอ้างว่าที่กระทำไปก็ด้วยความไม่รู้ แต่ความไม่รู้ (อวิชชา) สำหรับกรรมร่วมโดยรวมกับไม่เจตนาสำหรับปัจเจกบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน มันซับซ้อนสับสนกว่ากัน ในพุทธศาสนานั้นแรงที่ขับเคลื่อนกรรมมีเพียง 2 อย่าง คือ อวิชชาและตัณหาราคะ และในระหว่างทั้ง 2 อย่างนั้นดูเหมือน (ไม่ยืนยัน) ว่าอวิชชาจะมีความสำคัญกว่า เพราะอวิชชาหรอกถึงมีปฏิจจสมุปบาท มีเครื่องปรุงแต่งสังขาร หรือมี “ตัวกูของกู” ขึ้นมา สำหรับผู้เขียน ปัญญา (ภาวนามปัญญา) ที่ปราบอวิชชาโดยตรงจึงชนะเหนือสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
เรา - มนุษยชาติจึง -ไม่ว่าด้วยประการใด - ก็หนีบ่วงกรรมไม่พ้น และในสายตาของผู้เขียนนั้น มนุษย์ส่วนใหญ่จะพบกับบ่วงกรรมบ่วงนี้ในเร็วๆ วันนี้ ในทางวิทยาศาสตร์นั้นมี 2 แบบที่เขียนๆ กัน คือ เซอรมาร์ติน รีส นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่ใหญ่มากๆ คิดว่ามนุษยชาติทั้งสปีชีส์เลยจบสิ้นภายในศตวรรษที่ 21 ทั้งหมด ส่วนเจมส์ ลัฟล็อก ที่ดังกว่าที่พูดมาข้างบนก็บอกว่ามนุษย์จะเหลือเพียง 18% เพราะตายกะทันหัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนขององค์การนาซาก็ว่าเช่นนั้นทั้งหมด คาดว่าจะเกิดภายใน 8 ปี หรือปี 2020 ผู้เขียนที่ไม่ได้เป็นอะไรนอกจากสนใจและติดตามมานานจึงเชื่อในควอนตัมฟิสิกส์ เชื่อในทฤษฎีมนุษย์จักรวาล (cosmologic anthropic principle) จึงไม่เชื่อว่ามนุษย์จะตายทั้งหมด นอกจากนี้ยังเชื่อชาวมายา ผู้ติดตามกลุ่มดาว 7 ดวง ที่ชื่อ “ไพลแอด” เชื่อชาวอินเดียนแดง เชื่อวัฒนธรรมเวดิค เชื่ออรหันต์ผึ้ง (ชาวบ้านลาวตั้งให้เป็นอรหันต์กระมัง?) โดยเฉพาะเชื่อในกฎแห่งกรรม คือ เป็นคนที่เชื่ออะไรที่มีเหตุผล (ไม่ใช่เหตุผลทางโลก) อยู่แล้ว.
http://www.thaipost.net/sunday/220511/38951