พุทธาจาโรลิขิต(
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
นะโม คือความนอบน้อม ขอนอบน้อมแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอนอบน้อมแต่พระบรมครูปราชญ์ พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่นอบน้อมต่อพระพุทธองค์ได้แก่ ผู้พิจารณาตน ผู้มีสติ ผู้ละทิฐิ ผู้เข้าถึงอริยสัจธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้แก่ ผู้ไม่ยึดในขันธ์ เช่น ผู้เห็นทุกข์
ในทุกข์ เห็นธรรมในธรรม ตามความเป็นจริงตกอยู่ในโมหะ คือความหลง เหตุว่าตนของตนไม่พิจารณาตน มัวไปดูอื่นนอกตน นำสายตาออกไปเที่ยวดูนอกใจตน ก็ออกติดตาม ขาดการสังวร ไม่สำรวมตน จึงตกอยู่ในความมืดหรือเรือนอวิชชาตัณหามืดมนเมา(๑) ผู้ใดแบกขันธ์นั้นแบกความโง่
(๒) ผู้ใดยึดในขันธ์ผู้นั้นยึดเอาความทุกข์
(๓) ผู้ที่ยังแบกเอาทั้งความโง่และความฉลาดผู้นั้นยิ่งหนัก
(๔) ผู้ใด
ยังสำคัญว่า ตนรู้แล้ว ตนเป็นผู้ที่ฉลาดแล้ว ผู้นั้น
แบกความโง่ ก็ได้แก่งมโง่ของตนนั่นเอง มิใช่อื่น
อย่าสำคัญตนว่า เป็นโง่ เป็นรู้ เป็นฉลาดใดๆ หากมีคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มิใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาไม่มี ละทิฐิ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นกิเลส ตัณหา อวิชชา อุปาทาน
ละด้วยตนไม่หลง ปฏิบัติตนให้แจ้ง ละ ปล่อยวาง
(๕) หากยัง
แสดงตนอวดว่าเป็นคนเฉยๆ ไม่โง่ ไม่ฉลาด ก็คือผู้
แสดงทิฐิในตน
๑) ถือว่าตนโง่ก็เป็นทิฐิ
๒) ถือว่าตนฉลาดก็เป็นทิฐิ
๓) ถือว่าตนไม่โง่ไม่ฉลาดก็เป็นทิฐิ
หากผู้ใดเมตตาตน สงสารตน อย่านำตนไปสู่ทางที่เสื่อม อย่าประพฤติตนไปในทางที่เสื่อม คำว่าเสื่อมคือจิตไหลลงสู่ทิฐิ อวิชชา ลามก ตกต่ำ ดำมึด คือธรรมอันลามก ด้วยเหตุแห่งอวิชชา ปกปิดใจ จึงไม่แจ้งมีแต่ความหลง ความไม่ปล่อยวาง คือ ตัวทิฐิภายในใจตนที่ยึดในอุปาทานเหตุที่ผู้ปฏิบัติ
ไม่ละราคะตัวสำคัญในโลก จึงทำให้เกิดโทสะ โมหะ เกิดทิฐิมานะ ถือตน ถือตัว ถือเรา ถือเขาว่ามีจริง มีจังในโลกต่างๆ แห่งความหลงอันมึนเมาแห่งจิตใจที่ไม่ได้ชำระขัดเกลากองกิเลสอนุสัยภายในกมล สันดานตน หลง จม งมงาย อยู่ใน
ธรรมอันลามกฝ่ายดำ