ข้อความโดย: rain....
« เมื่อ: มิถุนายน 05, 2011, 02:46:05 pm » :13:เข้าวัดให้เป็นโดย พระชยสาโร
ถ้าหากเราไม่คิดทำความเข้าใจกับตัวเอง ไม่สนใจว่าชีวิตมัน คือ อะไรกันแน่
ไม่อยากพัฒนาตน การเข้าวัดก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนคนไม่สบายไป รพ.
เพื่อบริจาคทรัพย์บำรุง รพ.โดยไม่คิดรักษาโรคของตัวเอง เพราะยังไม่เจ็บมากก็เลยเสียดายเวลา
โรคของเรา คือ ความทุกข์ สาเหตุสำคัญ คือ การไม่รู้จักตัวเองก็ถูกหลอกง่าย
พร้อมที่จะตกเป็นเหยื่อของสิ่งมายาทั้งหลายอยู่เสมอ มัวแต่ดิ้นรนเพื่อจะได้สิ่งที่ชอบ และเลี่ยงสิ่งที่ไม่ชอบอยู่เสมอ
เชื่องมงายในร่างกาย และจิตใจว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็ย่อมไม่เห็นความไม่เที่ยง และความไม่มีเจ้าของของชีวิต
การปฎิบัติธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระจากกิเลสได้
การทำบุญอย่างเดียวไม่ปฎิบัติถึงจะทำให้มีสิ่งยึดเหนี่ยวอยู่ในใจบ้าง
แต่มันไม่มั่นคง ลึกๆแล้วเราจะยังคงอยู่ในสภาพเดิม
คือเคว้งคว้างอยู่เหมือนเรือเล็กๆ กลางทะเลอันกว้างใหญ่
มีเข็มทิศก็ใช้ไม่ค่อยเป็น มีสมอก็ไม่รู้จักทอด เอาแต่ประดับประดาเรือก่อนอับปาง
ชาวพุทธเราควรสนใจวิธีอุดรู วิธีวิดน้ำบ้าง จะได้เอาตัวรอดได้
หากไม่สนใจศึกษาเรื่องตัวเอง เข้าวัดแล้วสักแต่ว่าไหว้พระพอเป็นพิธี
ทำบุญบำรุงวัดตามประเพณี แล้วออกไปชมต้นไม้บ้างก่อนกลับ
ไม่ใช้ว่าไม่ดี ดีอยู่หรอก แต่ยังดีไม่พอ ศาสนา ธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องน้อมเข้ามาเป็นเครื่องชำระ
วัดอยู่ได้เพราะน้ำใจของญาติโยม ลูกศิษย์หลวงพ่อชารังเกลียดการเรี่ยไรที่สุด
จึงอยู่ได้ด้วยศรัทธาของญาติโยมโดยแท้ การช่วยทางปัจจัยสี่สำคัญเหมือนกั น
แต่พระที่ดีท่านไม่ยินดีในเรื่องนี้ สิ่งที่ท่านยินดีที่สุด ชอบที่สุด คือ การเห็นผู้ครองเรือนตั้งใจปฏิบัติธรรม
ไปวัด ไม่ว่าเพื่อทำบุญสุนทาน ไหว้พระ
กราบนมัสการครูบาอาจารย์ หรือไปจำศีลปฏิบัติธรรม
พยายามระลึกอยู่เสมอว่า จุดประสงค์ของเรา
ควรอยู่ที่ความดีความสงบและปัญญา ระวังอย่าวุ่นบุญก็แล้วกัน หรือร้ายกว่านั้น
อย่านั่งในโรงครัวทานอาหารคุยเรื่องทางโลก
วิจารณ์เรื่องการบ้านการเมือง พรรคไหนดี พรรคไหนเลว
หรือนินทาลูกเขยลูกสะใภ้ อย่าคุยในเรื่องใดที่เพิ่มกิเลสในใจทั้งของผู้พูดและผู้ฟัง
หรือพูดให้ชาววัดแตกแยกกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียดายเวลาที่สละเข้าวัด
เรียกว่าเข้าวัดแต่ไม่ถึงวัด ฉะนั้นมาถึงที่ร่มเย็นอย่าให้มันร้อน
ต้องฝึกให้เย็นสิ ตัวเราจึงจะเหมาะกับสถานที่
ให้น้อมนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาสู่ใจเรา สำรวมกาย วาจา ใจ
หาอุบายแก้ข้อบกพร่องที่อยู่ในใจ เสริมสร้างสิ่งที่ดีงามอย่างนี้คือการเข้าวัดที่เข้าท่า
ได้ทั้งวัตรปฏิบัติ ได้ทั้งเครื่องวัดตัวเอง
ในพระพุทธศาสนา วัดเป็นสถานที่สำคัญ
แต่ศาสนาที่แท้ไม่ติดอยู่ที่สถานที่ ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัด
ไม่ได้อยู่ที่ตู้พระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ที่ไหน
มันอยู่ที่เรา อยู่ที่เราแต่ละคน แผ่นดินไหว
หรือผู้ก่อการร้ายบุกเข้ามาวางระเบิดหน้าพระประธานวัดป่านานาชาติ
จนวัดเหลือแต่หลุมลึก ผู้ที่ยังเหลืออยู่ ต้องอดทน
อย่าพึ่งโกรธ ศาสนาก็ไม่ได้สูญหายไปกับวัตถุ
ชาวพุทธเราควรสร้างวัดให้พอดีแก่กิจของสงฆ์
และช่วยท่านรักษาสิ่งที่สร้างแล้วอย่างดี
แต่อย่าพึงลืมว่าวัดเป็นแค่สิ่งที่เอื้อต่อการศึกษาและปฏิบัติธรรม
การสร้างศาสนวัตถุก็ได้บุญอยู่หรอก ได้บุญเยอะ
แต่ยังไม่ใช่บุญชั้นเยี่ยม คือการสงบจากกิเลส
ยังไม่ถึงสิ่งสูงสุดที่เราควรได้รับจากการเป็นชาวพุทธ
วัตถุเป็นฐานของการเข้าถึงแก่นแท้ของพระศาสนา
จาก หนังสือ "ทำไม" โดย
ท่านชยสาโร
ขอบคุณโพสจาก http://www.baanmaha.com/community/thread40036.html
ถ้าหากเราไม่คิดทำความเข้าใจกับตัวเอง ไม่สนใจว่าชีวิตมัน คือ อะไรกันแน่
ไม่อยากพัฒนาตน การเข้าวัดก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนคนไม่สบายไป รพ.
เพื่อบริจาคทรัพย์บำรุง รพ.โดยไม่คิดรักษาโรคของตัวเอง เพราะยังไม่เจ็บมากก็เลยเสียดายเวลา
โรคของเรา คือ ความทุกข์ สาเหตุสำคัญ คือ การไม่รู้จักตัวเองก็ถูกหลอกง่าย
พร้อมที่จะตกเป็นเหยื่อของสิ่งมายาทั้งหลายอยู่เสมอ มัวแต่ดิ้นรนเพื่อจะได้สิ่งที่ชอบ และเลี่ยงสิ่งที่ไม่ชอบอยู่เสมอ
เชื่องมงายในร่างกาย และจิตใจว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็ย่อมไม่เห็นความไม่เที่ยง และความไม่มีเจ้าของของชีวิต
การปฎิบัติธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระจากกิเลสได้
การทำบุญอย่างเดียวไม่ปฎิบัติถึงจะทำให้มีสิ่งยึดเหนี่ยวอยู่ในใจบ้าง
แต่มันไม่มั่นคง ลึกๆแล้วเราจะยังคงอยู่ในสภาพเดิม
คือเคว้งคว้างอยู่เหมือนเรือเล็กๆ กลางทะเลอันกว้างใหญ่
มีเข็มทิศก็ใช้ไม่ค่อยเป็น มีสมอก็ไม่รู้จักทอด เอาแต่ประดับประดาเรือก่อนอับปาง
ชาวพุทธเราควรสนใจวิธีอุดรู วิธีวิดน้ำบ้าง จะได้เอาตัวรอดได้
หากไม่สนใจศึกษาเรื่องตัวเอง เข้าวัดแล้วสักแต่ว่าไหว้พระพอเป็นพิธี
ทำบุญบำรุงวัดตามประเพณี แล้วออกไปชมต้นไม้บ้างก่อนกลับ
ไม่ใช้ว่าไม่ดี ดีอยู่หรอก แต่ยังดีไม่พอ ศาสนา ธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องน้อมเข้ามาเป็นเครื่องชำระ
วัดอยู่ได้เพราะน้ำใจของญาติโยม ลูกศิษย์หลวงพ่อชารังเกลียดการเรี่ยไรที่สุด
จึงอยู่ได้ด้วยศรัทธาของญาติโยมโดยแท้ การช่วยทางปัจจัยสี่สำคัญเหมือนกั น
แต่พระที่ดีท่านไม่ยินดีในเรื่องนี้ สิ่งที่ท่านยินดีที่สุด ชอบที่สุด คือ การเห็นผู้ครองเรือนตั้งใจปฏิบัติธรรม
ไปวัด ไม่ว่าเพื่อทำบุญสุนทาน ไหว้พระ
กราบนมัสการครูบาอาจารย์ หรือไปจำศีลปฏิบัติธรรม
พยายามระลึกอยู่เสมอว่า จุดประสงค์ของเรา
ควรอยู่ที่ความดีความสงบและปัญญา ระวังอย่าวุ่นบุญก็แล้วกัน หรือร้ายกว่านั้น
อย่านั่งในโรงครัวทานอาหารคุยเรื่องทางโลก
วิจารณ์เรื่องการบ้านการเมือง พรรคไหนดี พรรคไหนเลว
หรือนินทาลูกเขยลูกสะใภ้ อย่าคุยในเรื่องใดที่เพิ่มกิเลสในใจทั้งของผู้พูดและผู้ฟัง
หรือพูดให้ชาววัดแตกแยกกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียดายเวลาที่สละเข้าวัด
เรียกว่าเข้าวัดแต่ไม่ถึงวัด ฉะนั้นมาถึงที่ร่มเย็นอย่าให้มันร้อน
ต้องฝึกให้เย็นสิ ตัวเราจึงจะเหมาะกับสถานที่
ให้น้อมนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาสู่ใจเรา สำรวมกาย วาจา ใจ
หาอุบายแก้ข้อบกพร่องที่อยู่ในใจ เสริมสร้างสิ่งที่ดีงามอย่างนี้คือการเข้าวัดที่เข้าท่า
ได้ทั้งวัตรปฏิบัติ ได้ทั้งเครื่องวัดตัวเอง
ในพระพุทธศาสนา วัดเป็นสถานที่สำคัญ
แต่ศาสนาที่แท้ไม่ติดอยู่ที่สถานที่ ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัด
ไม่ได้อยู่ที่ตู้พระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ที่ไหน
มันอยู่ที่เรา อยู่ที่เราแต่ละคน แผ่นดินไหว
หรือผู้ก่อการร้ายบุกเข้ามาวางระเบิดหน้าพระประธานวัดป่านานาชาติ
จนวัดเหลือแต่หลุมลึก ผู้ที่ยังเหลืออยู่ ต้องอดทน
อย่าพึ่งโกรธ ศาสนาก็ไม่ได้สูญหายไปกับวัตถุ
ชาวพุทธเราควรสร้างวัดให้พอดีแก่กิจของสงฆ์
และช่วยท่านรักษาสิ่งที่สร้างแล้วอย่างดี
แต่อย่าพึงลืมว่าวัดเป็นแค่สิ่งที่เอื้อต่อการศึกษาและปฏิบัติธรรม
การสร้างศาสนวัตถุก็ได้บุญอยู่หรอก ได้บุญเยอะ
แต่ยังไม่ใช่บุญชั้นเยี่ยม คือการสงบจากกิเลส
ยังไม่ถึงสิ่งสูงสุดที่เราควรได้รับจากการเป็นชาวพุทธ
วัตถุเป็นฐานของการเข้าถึงแก่นแท้ของพระศาสนา
จาก หนังสือ "ทำไม" โดย
ท่านชยสาโร
ขอบคุณโพสจาก http://www.baanmaha.com/community/thread40036.html