5. เซ็นกับจริยศาสตร์ สมมติฐานเกี่ยวกับโลกในปรัชญาตะวันตกกระแสหลักเห็นว่า
มีความเป็นจริงบางอย่างอยู่ก่อนการรับรู้ของมนุษย์ สมมติฐานนี้นำไปสู่การมองโลก
ในเชิงทวิลักษณ์ เช่น ผู้รับรู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้ กายกับจิต เหตุผลกับประสบการณ์ เป็นต้น และถ้าพิจารณา
ในบริบทของจริยศาสตร์ตะวันตก เราจะพบว่าจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน (normative ethics) ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้เหตุผลในการแสวงหาว่าอะไรคือ “สิ่งที่ควร” สำหรับทุกคน โดยพิจารณาว่าอะไรควรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินการกระทำว่าเป็นการกระทำที่ถูกที่ควร การแสวงหานั้นมีนัยของการแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร นอกจากนี้
ยังมีนัยว่าการกระทำที่ควรอยู่ในขอบเขตความสามารถที่จะกระทำได้ของมนุษย์ จริยศาสตร์ตะวันตกจึงมองจากกรอบการแยกแยะเชิงทวิทัศน์
ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และสิ่งอื่นแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง
พุทธปรัชญานิกายเซ็นเลือกที่คำถามทางจริยศาสตร์ว่า
“เราควรเป็นอย่างไร” มากกว่าการถามว่า “เราควรทำอย่างไร” นิกายเซ็น การเรียกร้องให้มนุษย์กลับไปสู่ประสบการณ์ดั้งเดิมที่ปราศจากการแยกแยะ
เชิงมโนทัศน์ เพราะความเป็นจริงสำหรับเซ็นคือการปรากฎขึ้นของความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษย์ โลก และการรับรู้ กล่าวคือ
ความเป็นจริงมิใช่โลกภายนอกที่ต้องแสวงหา แต่เป็นเรื่องภายในตัวมนุษย์เอง จริยศาสตร์สำหรับนิกายเซ็นจึงไม่ใช่เรื่องของ “
ควร” แต่เป็นเรื่องของ “
เป็น” กล่าวคือ ผู้ฝึกปฏิบัติเซ็นคือผู้ที่รับรู้โลกตามอย่างที่เป็น ปราศจากการแยกแยะระหว่างตัวตนหนึ่งกับอีกตัวตนหนึ่ง
แต่เป็นการตระหนักรู้ในตนเองสำหรับพุทธปรัชญาแล้ว ข้อเสนอของนิกายเซ็นจึงเป็นอีกข้อเสนอหนึ่งที่น่ารับฟังในเรื่องของ “
อนัตตา” กล่าวคือ สำหรับนิกายเซ็น
ตัวตนหนึ่งดำรงอยู่ภายในความสัมพันธ์กับตัวตนอื่น กล่าวได้ว่า
ผู้อื่นดำรงอยู่ในตัวเรา อันที่จริงแล้วความเป็นตัวเราซึ่งดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศ ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ขึ้นต่อสิ่งอื่นนั้นหามีไม่ ส่วนต่อไปจะเป็นการเสนอทัศนะเกี่ยวกับจริยศาสตร์ในปรัชญาเซ็นโดยอาศัยปริศนาธรรมต่อไปนี้
ไป่ฉางกับห่านป่าครั้งหนึ่งอาจารย์เซ็นหม่าจือ (Ma-tsu,? – 788 A.D.) เดินไปกับศิษย์ชื่อไป่ฉาง (Pai-Chang, 720 – 814 A.D.) ท่านสังเกตเห็นห่านป่าฝูงหนึ่งบินผ่านหน้าไป ท่านจึงถามไป่ฉางว่า “ห่านป่าพวกนี้กำลังบินไปไหน?” ไป่ฉางตอบว่า “พวกมันบินลับตาไปแล้ว” อาจารย์หม่าจือได้ยินดังนั้นก็ตรงเข้าไปบิดจมูกลูกศิษย์อย่างแรง เมื่อไป่ฉางร้องว่า “เจ็บครับเจ็บ ท่านอาจารย์!” ท่านก็ตะคอกด้วยเสียงอันดังว่า “ใครกันที่บอกว่าพวกมันบินลับตาไปแล้ว!” (The Blue Cliff Record, Case 53)
กรณีนันชวนฆ่าแมว นันชวนเห็นเหล่าศิษย์ทะเลาะกันแย่งลูกแมว นันชวนจึงจับลูกแมวตัวนั้นขึ้นมาแล้วพูดขึ้นท่ามกลางเหล่าศิษย์ว่า “ใครก็ตามที่สามารถอธิบายปรัชญาเซ็นได้ผู้นั้นจะได้แมว แต่ถ้าไม่ เราจะฆ่าแมวนี้เสีย” ไม่มีใครตอบได้ ดังนั้นนันชวนจึงตัดแมวออกเป็นสองท่อน ต่อมาเมื่อโจชูกลับมา นันชวนก็ได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้น โจชูได้ฟังดังนั้นก็ถอดรองเท้าออกแล้ววางบนศีรษะแล้วเดินจากไป นันชวนเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้าอยู่ ณ ที่นั้น เจ้าคงช่วยแมวตัวนั้นไว้ได้” (Mumonkan, Case 14)
ปริศนาธรรมทั้งสองข้างต้นทำให้เกิดคำถามว่าเซ็นมี
ท่าทีทางจริยธรรมอย่างไร เพราะ
พฤติกรรมของ
อาจารย์หม่าจือที่ใช้ความรุนแรงบิดจมูกหรือของ
อาจารย์นันชวนที่ฆ่าแมว ทำให้มองได้ว่าเซ็นไม่มีกฎเณฑ์ทางจริยธรรม เพราะแนวคิดแบบเซ็น
อยู่เหนือการแบ่งแยกเชิงทวิลักษณ์(ความดี-ความชั่ว) กฎเกณฑ์ทางจริยธรรมใช้สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรม แต่อาจารย์เซ็นเป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว ดังนั้น กฎเกณฑ์ทางจริยธรรมจึงไม่สามารถใช้กับอาจารย์เซ็นได้
นอกจากนี้อาจเป็นได้ว่าการยึดติดในการพิจารณาการกระทำใดเป็นการกระทำที่ถูกต้อง การกระทำใดเป็นการกระทำที่ผิด
ในทางหนึ่งอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการบรรลุธรรมได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า การ
แสวงหากฎเกณฑ์ทางจริยธรรมอาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรม
แต่หากเราหันกลับไปมองคำสอนในปรัชญาเซ็นเกี่ยวกับการปฏิบัติ-การบรรลุธรรมเราจะพบว่าความสัมพันธ์ของการปฏิบัติ-บรรลุธรรม
ในแง่หนึ่งมีมิติแห่งจริยธรรมในปรัชญาเซ็นแฝงอยู่เพราะในห้วงของการปฏิบัติซาเซ็นนั้น ผู้ปฎิบัติมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติอยู่ภายในกรอบของความถูกต้องอยู่ตลอดเวลา กล่าวอีกนัยหนึ่ง จริยศาสตร์สำหรับเซ็น
ผูกโยงกับจิตสำนึกของผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็น
การแสดงออกโดยธรรมชาติอย่างเป็นไปเอง (spontaneous) ดังปริศนาธรรมนี้
ศิษย์:
อะไรคือมรรค นันชวน:
จิตที่ปกตินั่นเองคือมรรค (Mumonkan, Case 19)
จากที่กล่าวมา
การรู้ (knowing) ก็คือ
การดำรงอยู่ (being) เพราะความจริงทำให้ผู้ฝึกเซ็นรู้เกี่ยวกับความจริงว่าตัวเขาคือความจริงและกำลัง “
ทำความจริง” ซึ่ง
เป็นอิสระจากสิ่งชั่วร้ายไปโดยปริยาย และหากจะเปรียบวิธีคิดระหว่างเซ็นและพุทธปรัชญาแบบเถรวาทแล้ว จะเห็นได้ว่าทัศนะทางจริยศาสตร์ของเถรวาท
ให้ความสำคัญเรื่องศีลหรือวินัยสำหรับเป็นฐานในการพัฒนาสมาธิและปัญญา(ศีล-สมาธิ-ปัญญา) แต่ในนิกายเซ็นนั้น ปัญญาช่วยทำให้ศีล
ไม่เป็นเพียงกรอบหรือข้อวัตรปฏิบัติเท่านั้น แต่เป็น
วัตรปฏิบัติที่เป็นไปเองภายในวิถีแห่งเซ็น(ปัญญา-สมาธิ-ศีล) หรือก็คือ
จิตปกตินั่นเอง
ฉะนั้นหากจะกล่าวถึงจริยศาสตร์แบบเซ็นแล้วคงจะไม่ใช่จริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐานที่เป็นเรื่องของ
“ควร” “ไม่ควร” แต่จริยศาสตร์แบบเซ็นคือจริยศาสตร์แห่งการค้นหาใบหน้าดั้งเดิม กล่าวคือ
เป็นการทำลายความแตกต่างระหว่างผู้รับรู้และสิ่งที่รับรู้ โดยอาศัยการรู้ตระหนักในตนเอง พิจารณาในแง่นี้จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นกรณีของนันชวนฆ่าแมวหรือการตบตีบิดจมูกของอาจารย์นั้น ก็คือการทำให้
ผู้ฝึกเซ็นกลับไปสู่ภาวะดั้งเดิมก่อน
การแยกแยะความแตกต่างระหว่างผู้รับรู้และ
สิ่งที่รับรู้นั่นเอง
มัสยา นิรัติศยภูติ (ผู้เรียบเรียง)