ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 06:39:24 pm »กัดนิ้วเรียกบุตร
สมัยราชวงศ์โจว เจิงเซินเป็นศิษย์ในสำนักขงจื๊อเป็นผู้มีความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้ายิ่ง
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังตัดฟืนอยู่ในป่า มีแขกคนหนึ่งมาเยือนที่บ้าน เนื่องจากเจิงเซินไม่อยู่ อีกทั้งไม่มีเงินจะซื้ออาหารมาต้อนรับแขกตามธรรมเนียม มารดาร้อนใจที่รอแล้วรอเล่าบุตรก็ยังไม่กลับมา ที่สุดนางเกิดความคิดขึ้นว่าสายเลือดของแม่กับลูกนั้นมีความสัมพันธ์ต่อกัน จึงใช้ฟันกัดนิ้วของตนเองจนแตก ในบัดดลนั้นเอง เจิงเซินกำลังตัดฟืนอยู่ในป่าก็รู้สึกเจ็บเสียวในอก เขาสังหรณ์ใจว่า ทางบ้านคงเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงรีบแบกฟืนกลับบ้านทันที!
แบกข้าวร้อยลี้
สมัยราชวงศ์โจว จื่อลู่เป็นศิษย์คนหนึ่งในสำนักขงจื๊อ ครอบครัวของเขายากจนมาก ต้องไปเก็บผักป่ามากินประทังชีวิต เพื่อเลี้ยงดูผู้บังเกิดเกล้า เขาต้องไปรับจ้างทำงานไกลบ้าน ครั้นได้เงินมาก็จะซื้อข้าวสาร แล้วแบกกลับบ้านเป็นระยะทางไกลนับร้อยลี้เป็นประจำ
เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตแล้ว จื่อลู่เดินทางลงใต้ไปรับราชการที่แคว้นฉู่จนได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แม้ว่าบัดนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาจะสมบูรณ์พูนสุข แต่จิตใจเขาก็ยังคงรำลึกถึงพ่อแม่อยู่เสมอ เขามักจะรำพึงรำพันว่า “แม้ว่าบัดนี้เราจะมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว การอยู่ดีกินดีจะมีความหมายอะไร ยังคิดอยากจะเหมือนเช่นแต่ก่อนที่กินผักป่าและแบกข้าวไกลร้อยลี้เพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ เสียดายที่วันเวลาเหล่านี้ไม่สามารถหวนกลับมาอีกแล้ว”
สมัยราชวงศ์โจว เจิงเซินเป็นศิษย์ในสำนักขงจื๊อเป็นผู้มีความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้ายิ่ง
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังตัดฟืนอยู่ในป่า มีแขกคนหนึ่งมาเยือนที่บ้าน เนื่องจากเจิงเซินไม่อยู่ อีกทั้งไม่มีเงินจะซื้ออาหารมาต้อนรับแขกตามธรรมเนียม มารดาร้อนใจที่รอแล้วรอเล่าบุตรก็ยังไม่กลับมา ที่สุดนางเกิดความคิดขึ้นว่าสายเลือดของแม่กับลูกนั้นมีความสัมพันธ์ต่อกัน จึงใช้ฟันกัดนิ้วของตนเองจนแตก ในบัดดลนั้นเอง เจิงเซินกำลังตัดฟืนอยู่ในป่าก็รู้สึกเจ็บเสียวในอก เขาสังหรณ์ใจว่า ทางบ้านคงเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงรีบแบกฟืนกลับบ้านทันที!
:
:
:
:
:
แบกข้าวร้อยลี้
สมัยราชวงศ์โจว จื่อลู่เป็นศิษย์คนหนึ่งในสำนักขงจื๊อ ครอบครัวของเขายากจนมาก ต้องไปเก็บผักป่ามากินประทังชีวิต เพื่อเลี้ยงดูผู้บังเกิดเกล้า เขาต้องไปรับจ้างทำงานไกลบ้าน ครั้นได้เงินมาก็จะซื้อข้าวสาร แล้วแบกกลับบ้านเป็นระยะทางไกลนับร้อยลี้เป็นประจำ
เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตแล้ว จื่อลู่เดินทางลงใต้ไปรับราชการที่แคว้นฉู่จนได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แม้ว่าบัดนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาจะสมบูรณ์พูนสุข แต่จิตใจเขาก็ยังคงรำลึกถึงพ่อแม่อยู่เสมอ เขามักจะรำพึงรำพันว่า “แม้ว่าบัดนี้เราจะมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว การอยู่ดีกินดีจะมีความหมายอะไร ยังคิดอยากจะเหมือนเช่นแต่ก่อนที่กินผักป่าและแบกข้าวไกลร้อยลี้เพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ เสียดายที่วันเวลาเหล่านี้ไม่สามารถหวนกลับมาอีกแล้ว”
:
:
:
:
: